พระผู้เป็นสารถีฝึกนระ ทรงเห็นประชา
สัตว์ที่ควรจะนำไปให้ตรัสรู้ได้ แม้ในสถานที่นับ
ด้วยโยชน์ไม่ถ้วน ก็รีบเสด็จไปทรงแนะนำ
ครั้งนั้น เราเป็นบุตรของพราหมณ์ใน
พระนครหังสวดี เป็นผู้เรียนจบทุกเวท เข้าใจ
ไวยากรณ์ ฉลาดในนิรุตติ เฉียบแหลมในคำภีร์
นิฆัณฑุ เข้าใจตัวบท รู้ชัดในคัมภีร์เกฏุภะอาทิผิด อักขระ ฉลาด
ในฉันท์และกาพย์กลอน
เมื่อเที่ยวเดินพักผ่อน ได้ไปถึงพระวิหาร
หังสาราม ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด
อันมหาชนแวดล้อม
เรามีมติเป็นข้าศึก เข้าไปเฝ้าพระพุทธ-
เจ้า ผู้ปราศจากกิเลสธุลี ซึ่งกำลังทรงแสดงธรรม
ได้สดับพระดำรัสอันงามของพระองค์อันปราศจาก
มลทิน
ไม่ได้พบเห็นพระดำรัส ที่ไร้ประโยชน์
ของพระมุนี คือ คำที่ชักอาทิผิด อักขระมาผิด คำที่ต้องกล่าวซ้ำ
หรือคำที่ไม่ถูกทาง เพราะฉะนั้นเราจึงได้บวช
โดยเวลาไม่นานเลยเราก็เป็นผู้แกล้วกล้า
ในธรรมทุกอย่าง ได้รับสมมติให้เป็นเจ้าหมู่เจ้า
คณะ ในพระพุทธพจน์อันละเอียด
๗๒/๑๓๗/๓๙๑

อนาปัตติวาร
[๑๘๔] ยืนอยู่ในอารามแลเห็นหรือได้ยิน ๑ เขาฟ้อนรำขับร้อง
หรือประโคมผ่านมายังสถานที่ภิกษุณียืนอยู่ นั่งอยู่ หรือนอนอยู่ ๑ เดินสวน
ทางไปแลเห็นหรือได้ยิน ๑ เมื่อมีกิจจำเป็นเดินผ่านไปแลเห็นหรือได้ยิน ๑
มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ
ลสุณวรรคอาทิผิด อักขระที่ ๑ จบ
อรรถกถาลสุณวรรค สิกขาบทที่ ๑๐
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑๐ พึงทราบดังนี้:-
สองบทว่า ยงฺกิญฺจิ นจฺจํ มีความว่า พวกนักฟ้อนเป็นต้นหรือ
พวกนักเลง จงฟ้อนรำก็ตามที โดยที่สุดแม้นกยูง นกแขกเต้าและลิงเป็นต้น
ฟ้อนรำ ทั้งหมดนั่น จัดอาทิผิด อักขระเป็นการฟ้อนรำทั้งนั้น.
สองบทว่า ยงฺกิญฺจิ คีตํ มีความว่า การขับร้องของพวกนักฟ้อน
เป็นต้น หรือการขับร้องกีฬาให้สำเร็จประโยชน์ ซึ่งประกอบด้วยการสรรเสริญ
คุณพระรัตนตรัย ในเวลาที่พระอริยเจ้าทั้งหลายปรินิพพาน หรือการขับร้อง
ทำนองสวดธรรมสรภัญญะของพวกภิกษุ ผู้ไม่สำรวมก็ตามที ทั้งหมดนี้จัดเป็น
การขับร้องทั้งนั้น.
สองบทว่า ยงฺกิญฺจิ วาทิตํ มีความว่า เครื่องบรรเลงมีที่ขึ้นสาย
เป็นต้น หรือการประโคมกลองเทียมก็ตามที ชั้นที่สุดแม้การตีอุทกเภรี
(กลองน้ำ) ทั้งหมดนี้จัดเป็นการประโคมดนตรีทั้งนั้น.
๕/๑๘๔/๒๑๔
วิตกทั้งหลายเป็นเหตุให้คะนอง
(เกิดมา) แต่ฝ่ายธรรมดำเหล่านี้ ย่อมวิ่ง
เข้ามาสู่เราผู้ออกจากเรือนบวช เป็นผู้ไม่
มีเหย้าเรือนแล้ว.
บุตรของคนชั้นสูงทั้งหลาย ผู้มีฝีมือ
อันเชี่ยวชาญ ศึกษาดีแล้ว ทรงธนูไว้
มั่นคง พึงทำคนที่ไม่ยอมหนีมีจำนวนตั้ง
พัน ๆ ให้กระจัดกระจายไปรอบด้าน
(ฉันใด) ถึงแม้ว่าสตรีมากยิ่งกว่านี้จักมา
สตรีเหล่านั้นก็จักเบียดเบียนเรา ผู้ตั้งมั่น
แล้วในธรรมของตนไม่ได้เลย (ฉันนั้น)
เพราะว่า เราได้ฟังทางเป็นที่ไปสู่พระ-
นิพพานนี้ในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระ
พุทธเจ้า ผู้เป็นเผ่าอาทิผิด พันธุ์พระอาทิตย์แล้ว
ใจของเรายินดีแล้วในทางเป็นที่ไปสู่
พระนิพพานนั้น.
แน่ะมารผู้ชั่วร้าย ถ้าท่านจะเข้ามา
หาเราผู้อยู่อย่างนี้ แน่ะมฤตยุราช เราจัก
ทำโดยวิธีที่ท่านจักไม่เห็นแม้ซึ่งทางของ
เราได้เลย ดังนี้.
๒๕/๗๒๙/๓๐๔

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทูสิยา ได้แก่ ผู้ทําให้เสียหาย
อธิบายว่า เห็นพระองค์แล้วไม่ลุกขึ้นรับ ชื่อว่าผู้กระทำผิด. บาลีว่า
ทูสิกา ดังนี้ก็มี เนื้อความก็อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า ภูนหตา ได้แก่
ขจัดความเจริญ อธิบายว่า กำจัดความเจริญ. บทว่า รญฺโญ พึง
ประกอบกับบทว่า ทูสิยา. ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า หม่อมฉันทำความ
ผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ มิใช่กุมารนี้ เพราะฉะนั้น ขอพระองค์โปรด
ปลดปล่อยธรรมปาละ ผู้ยังอ่อนหาความผิดมิได้นี้เสียเถิด ก็ถ้าพระ-
องค์ประสงค์จะตัดมือทั้งสอง ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์จงตัดมือ
ทั้งสองของหม่อมฉัน ผู้กระทำผิด.
พระราชาทรงแลดูนายเพชฌฆาตๆ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติ-
เทพ ข้าพระองค์จะกระทำอาทิผิด สระอย่างไร. พระราชาตรัสว่า ท่านอย่าชักช้า
จงตัดมือทั้งสองเสีย. ขณะนั้น นายเพชฌฆาตถือขวานอันคมกล้า
ตัดมือทั้งสองของพระกุมารเหมือนตัดหน่อไม้อ่อนฉะนั้น. เมื่อนาย
เพชฌฆาตตัดมือทั้งสองอยู่ ธรรมปาลกุมารนั้น ไม่ร้องไห้ ไม่ร่ำไร
กระทำขันติและเมตตาให้เป็นปุเรจาริก อดกลั้นอยู่. ส่วนพระนาง-
จันทาเทวีถือเอาปลายมือที่ขาดใส่ไว้ในพก มีโลหิตไหลอาบพระองค์
ทรงเที่ยวปริเทวนาการอยู่. นายเพชฌฆาตทูลถามอีกว่า ข้าแต่สมมติ
เทพ ข้าพระองค์จะทำอะไร. พระราชาตรัสว่า จงตัดเท้าทั้งสองเสีย.
พระนางจันทาเทวีได้สดับดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
๕๘/๗๔๒/๗๗๐

บทว่า อุทกสงฺคเหอาทิผิด อักขระ มีความว่า เมื่อภูมิภาคถูกน้ำท่วม คือ ขังแช่
แล้ว, อธิบายว่า ทั้งที่ดอนอาทิผิด สระทั้งที่ลุ่ม เป็นที่มีน้ำเป็นอันเดียวกัน.
บทว่า อุทกจิกฺขลฺล มีความอาทิผิด อักขระว่า ในที่ซึ่งเธอทั้งหลายเหยียบแล้ว
เหยียบแล้ว น้ำโคลนย่อมกระฉูดขึ้นถึงตะโพก, ทางลื่นอาทิผิด เช่นนี้.
บทว่า โอกปุณฺเณหิ มีความว่า ชุ่มโชกด้วยน้ำ.
ได้ยินว่า จีวรของพวกเธอ มีเนื้อแน่น, น้ำซึ่งตกที่จีวรเหล่านั้น จึง
ไม่ไหลไปเพราะเป็นผ้าเนื้อแน่น, ย่อมติดค้างอยู่เหมือนห่อผูกไว้ ; เพราะ
ฉะนั้นเท่านี้จึงกล่าวว่า มีจีวรชุ่มโชกด้วยน้ำ. ปาฐะว่า โอฆปุณฺเณหิ ก็มี.
วินิจฉัยในคำว่า อวิวทมานา วสฺสํ วสิมฺหา นี้ พึงทราบดังนี้:-
ภิกษุเหล่านั้น อยู่ไม่ผาสุก เพราะไม่มีความสำราญด้วยเสนาสนะใน
ฐานที่ตนเป็นอาคันตุกะ และเพราะเป็นผู้กระวนกระวายในใจ ด้วยไม่ได้เฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะฉะนั้น พวกเธอจึงไม่ทูลว่า พวกข้าพระองค์ไม่
วิวาทกัน จำพรรษาเป็นผาสุก.
ข้อว่า ธมฺมึ กถํ กตฺวา มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอน
อนมตัคคิยกถาแก่ภิกษุเหล่านั้น. เธอทั้งหมดเทียว ได้บรรลุพระอรหัตอาทิผิด ในเวลา
จบกถา แล้วได้เหาะไปในอากาศ จากที่ซึ่งตนนั่งทีเดียว. พระธรรมสังคาหกา
จารย์ทั้งหลายหมายเอาอนมตัคคิยกถานั้นกล่าวว่า ธมฺมึ กถํ กตฺวา ภายหลัง
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า ถ้าการกรานกฐิน จักได้เป็นการที่เราได้บัญญัติ
แล้วไซร้ ภิกษุเหล่านั้น จะเก็บจีวรไว้ผืนหนึ่งแล้ว มากับอันตรวาสกและ
อุตราสงค์จะไม่ต้องลำบากอย่างนั้น; ก็ธรรมดาการกรานกฐินนี้ อันพระพุทธเจ้า
ทุก ๆ พระองค์ ทรงบัญญัติแล้ว ดังนี้. มีพระประสงค์จะทรงอนุญาตการ
กรานกฐิน จึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา, ก็แล ครั้นตรัสเรียกมาแล้ว จึงตรัส
คำว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว เป็นอาทิ.
๗/๑๒๗/๒๒๗

อุจเฉททิฏฐิ ท่านกล่าวด้วยบทว่า อสญฺญี ภวิสฺสํ ( เราจักไม่มีสัญญา )
ความสำคัญ. ด้วยทิฏฐิ ท่านกล่าวด้วย บทว่า เนวสญฺญีนาสญฺญี ภวิสฺสํ
( เราจักมีสัญญาก็หามิได้ ไม่มีสัญญาก็หามิได้ ) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความ
สำคัญเป็นโรค เป็นดังหัวฝีอาทิผิด อักขระ เป็นดังลูกศร เพราะเหล่านั้นแล เธอทั้งหลาย
ได้ศึกษาว่า เราจักมีใจไม่สำคัญอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย
พึงศึกษาอย่างนี้แล.
[๓๕๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความหวั่นไหวด้วยตัณหา ท่าน
กล่าวด้วยบทว่า อสฺมิ ( เราเป็น ) ความหวั่นไหวด้วยทิฏฐิ ท่านกล่าว
ด้วยบทว่า อยมหมสฺมิ ( เราเป็นนี้ ) ความหวั่นไหวด้วยสัสสตทิฏฐิ
ท่านกล่าวด้วยบทว่า ภวิสฺสํ ( เราจักเป็น ) ความหวั่นไหวด้วยอุจเฉททิฏฐิ
ท่านกล่าวด้วยบทว่า น ภวิสฺสํ ( เราจักไม่เป็น ) ความหวั่นไหวด้วย
สัสสตทิฏฐิ ท่านกล่าวด้วยบทว่า รูปิ ภวิสฺสํ ( เราจักมีรูป ) ความ
หวั่นไหวด้วยอุจเฉททิฏฐิ ท่านกล่าวด้วยบทว่า อรูปี ภวิสฺสํ ( เราจักไม่มี
รูป ) ความหวั่นไหวด้วยสัสสตทิฏฐิ ท่านกล่าวด้วยบทว่า สญฺญี ภวิสฺสํ
( เราจักมีสัญญา ) ความหวั่นไหวด้วยอุจเฉททิฏฐิ ท่านกล่าวด้วยบทว่า
อสญฺญี ภวิสฺสํ ( เราจักไม่มีสัญญา ) ความหวั่นไหวด้วยทิฏฐิ ท่านกล่าว
ด้วยพูดว่า เนวสญฺญินาสัญญี ภวิสฺสํ ( เราจักมีสัญญาก็หามิได้ ไม่มี
สัญญาก็หามิได้ ) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความหวั่นไหวเป็นโรค เป็นดังหัวฝี
เป็นดังลูกศร เพราะเหตุนั้นแล เธอทั้งหลายพึงศึกษาว่า เราจักมีใจไม่ถูก
กิเลสให้หวั่นไหวอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล.
๒๘/๓๕๔/๕๑๑
ด้วยอบเชยและแมงลัก เหมือนดังจะให้คนเบิกบานใจ
ด้วยดอกไม้และกิ่งไม้อันมีกลิ่นหอม เหล่าภมรโผผิน
บินว่อนเสียงวู่ ๆ อยู่โดยรอบ เพราะกลิ่นหอมแห่ง
บุปผชาติ ดูก่อนพราหมณ์ ณ ที่ใกล้สระนั้น มีฟักแฟง
แตงน้ำเต้า ๓ ชนิด ชนิดหนึ่งผลโตเท่าหม้อ อีกสอง
ชนิดผลโตเท่าตะโพน.
[๑๑๕๓] อนึ่ง ที่ใกล้สระนั้นมีผักกาด กระเทียม
หอม เป็นอันมาก ต้นเต่ารั้งตั้งอยู่สล้างดังต้นตาล
อุบลเขียวมีเป็นอันมาก ขึ้นอยู่ริมน้ำพอเอื้อมเด็ดได้
มะลิวัน นมตำเลีย หญ้านาง อบเชย อโศก เทียนป่า
ดอกเข็ม หางช้าง อังกาบ กากะทิง กระลำพัก
ทองเครือ ดอกแย้มบานสะพรั่งขึ้นขนาน ต้นชุมแสง
ขึ้นแซงแทรกอาทิผิด อักขระคัดเค้าและชะเอม มะลิซ้อน หงอนไก่
เทพทาโร แคฝอย ฝ้ายทะเล กรรณิการ์ดอกเบ่งบาน
งาม ปรากฏดังตาข่ายทองเปรียบด้วยเปลวไฟ บุปผ-
ชาติเกิดบนบกและที่เกิดในน้ำ ปรากฏมีในสระนั้น
ทุกอย่าง สระมุจลินท์มีน้ำมาก เป็นที่รื่นรมย์ ด้วย
ประการฉะนี้.
[๑๑๕๔] อนึ่ง ในสระนั้นมีปลาซึ่งว่ายอยู่ในน้ำ
มากมาย คือ ปลาตะเพียน ปลาช่อนอาทิผิด อักขระ ปลาดุก จระเข้
ปลาฉลาม ณ ที่ใกล้สระนั้น มีชะเอมต้น ชะเอมเครือ
กำยาน ประยงค์ เนรภูสี แห้วหมู สัตตบุษย์ สมุล-
๖๔/๑๑๕๓/๕๔๐

ภิกษุจัดการข้าวสารเป็นต้นที่เป็นกัปปิยะ. ไม่เป็นอาบัติแม้ในเพราะซื้อขาย
เพราะบอกกัปปิยการก.
แต่ในครั้งก่อน ภิกษุรูปหนึ่งที่จิตตลดาบรรพต ได้กระทำมณฑล
(รูปดวงจันทร์) ไว้ ที่พื้นดิน ใกล้ประตูศาลา ๔ มุข เพื่อให้เกิดความ
เข้าใจแก่พวกคนวัดโดยรำพึงว่า โอหนอ ! พวกคนวัดพึงทอดขนม
ประมาณเท่านี้ เพื่อสงฆ์ในวันพรุ่งนี้. อารามิกชนผู้ฉลาด เห็นมณฑล
นั้น (รูปดวงจันทร์) แล้ว ได้ทำอย่างนั้น ในวันที่สอง เมื่อพวกเขา
ตีกลองประชุมสงฆ์แล้ว จึงถือขนมไปเรียนพระสังฆเถระว่า ท่านขอรับ !
ในกาลก่อนนี้ พวกผมไม่เคยได้ยินบิดามารดา ไม่เคยได้ฟังปู่ย่าตายาย
(บอกเล่าเหตุการณ์) อย่างนี้เลย, พระคุณเจ้ารูปหนึ่งได้ทำเครื่องหมาย
ที่ประตูศาลา ๔ มุข เพื่อประโยชน์แก่ขนม, บัดนี้จำเดิมแต่นี้ไป พระ-
คุณเจ้าทั้งหลาย จงบอกตามความพอใจของตน ๆ เถิด, แม้พวกผมก็จัก
อยู่เป็นผาสุก. พระมหาเถระกลับจากที่นั้นทันที. แม้ภิกษุรูปหนึ่งก็ไม่
รับขนมเลย. ในกาลก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมไม่ฉันแม้ขนมที่เกิดขึ้นใน
อารามนั้น อย่างนี้; เพราะฉะนั้น
ภิกษุ ผู้ไม่ประมาท ไม่ละการปฏิบัติขัดเกลา
ไม่พึงกระทำความโลเล เพื่อประโยชน์แก่อามิส
แม้ในสิ่งอาทิผิด สระที่เป็นกัปปิยะ ฉะนี้แล.
อนึ่ง แม้ในสระโบกขรณี ฝายและเหมืองเป็นต้น ก็มีนัยดังนี้
ที่กล่าวไว้แล้วในสระนี้เหมือนกัน. แม้เมื่อทายกกล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายนา
หรือว่าสวน อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่เพาะปลูกบุพพัณชาติ
อปรัณชาติ อ้อยและมะพร้าวเป็นต้น ภิกษุพึงปฏิเสธว่า ไม่ควร แล้ว
๓/๗๓/๘๗๐
ทราบว่า ท่านพระกุมมาสทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วย
ประการฉะนี้แล.
จบกุมมาสทายกเถราปทาน
กุสัฏฐกทายกเถราปทานที่ ๖ (๔๗๖)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายสลากภัต
[๖๖ ] เรามีจิตเลื่อมใสมีใจโสมนัส ได้
ถวายสลากภัต ๘ ที่ แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระนามว่ากัสสปะ ผู้มีบาปอันลอยเสียแล้ว มี
พรหมจรรย์อันอยู่จบแล้ว
ในกัปนี้นั้นเอง เราได้ถวายสลากภัต ๘อาทิผิด ที่
ด้วยการถวายสลากภัตนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายสลากภัต ๘ ที่
เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว . . . คำสอนของ
พระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระกุสัฏฐกทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วย
ประการฉะนี้แล.
จบกุสัฏฐกทายกเถราปทาน
๗๒/๖๖/๑๐๗

ถามว่า ก็การปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายควรนานเท่าไร
ตอบว่า การปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายควรนานถึงสองอสงไขย
และแสนกัป ต่ำกว่านั้นไม่ควร พึงทราบเหตุในการปรารถนาเป็นพระปัจเจก-
พุทธเจ้านี้โดยนัยที่กล่าวแล้วในบทก่อนนั่นแล. ก็เมื่อบุคคลปรารถนาความเป็น
พระปัจเจกพุทธเจ้า โดยกาลแม้มีประมาณเท่านี้ พึงปรารถนาสมบัติ ๕ ประการ
ในการสร้างอภินิหาร จริงอยู่ พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น มีเหตุแห่งอภินิหาร
เหล่านี้ คือ ความเป็นมนุษย์ ๑ ความถึงพร้อมด้วยเพศ ๑ การเห็นท่าน
ผู้ปราศจากอาสวะ ๑ อธิการ ๑ ความพอใจ ๑. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า การเห็นท่านผู้ปราศจากอาสวะ ได้แก่ การเห็นพระพุทธเจ้า พระ-
ปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระสาวก องค์ใดองค์หนึ่ง. บทที่เหลือ มีนัยดังกล่าว
แล้วนั้นแล.
ถามว่า ก็การปรารถนาเป็นพระสาวกทั้งหลายควรนานเท่าไร. ตอบว่า
การปรารถนาเป็นพระอัครสาวกทั้งสอง ควรนานหนึ่งอสงไขยและแสนกัป
การปรารถนาเป็นพระอสีติอาทิผิด มหาสาวกควรนานแสนกัป ความปรารถนาเป็นพระ-
มารดาพระบิดา อุปัฏฐาก และพระโอรสของพระพุทธเจ้า ควรนานแสนกัป
เหมือนกัน ต่ำกว่านั้นไม่ควร เหตุในการปรารถนานั้นมีนัยดังกล่าวแล้วนั้น
เทียว ก็พระสาวกเหล่านั้นทั้งหมดมีอภินิหารสมบูรณ์ด้วยองค์ ๒ อย่าง คือ
อธิการ ๑ ความพอใจ ๑ เท่านั้น.
พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงบำเพ็ญพระบารมีทั้งหลาย ตลอดกาลมี
ประเภทตามที่กล่าวแล้ว ด้วยการปรารถนานี้ ด้วยอภินิหารนี้นั้นแลอย่างนี้
๔๖/๒๙๖/๑๑๑
หม้อที่เดือดพล่าน ฉะนั้น. บทว่า มหานิรเย คือ ในอเวจีมหานรก.
บทว่า ภาคโส มิโต คือ (มหานรก) แบ่งไว้เป็นส่วนๆ. บทว่า
ปริยนฺโต คือ ถูกล้อมไว้. บทว่า อยสา คือ ถูกปิดข้างบนด้วยแผ่นเหล็ก.
บทว่า สมนฺตา โยชนสตํ ผริตฺวา ติฏฺฐติ ความว่า เปลวไฟ พวยพุ่ง
ไปอยู่อย่างนั้น. เมื่อสัตว์นรกนั้นยืนดูอยู่ในที่ ๑๐๐ โยชน์ โดยรอบ นัยน์ตา
ก็จะถลนออกมาเหมือนก้อนเนื้อ ๒ ก้อนฉะนั้น.
บทว่า หีนกายูปคา ความว่า เข้าถึงกำเนิดที่ต่ำ. บทว่า อุปาทาเน
ได้แก่ในป่าชัฏอาทิผิด อักขระคือตัณหาและทิฏฐิ. บทว่า ชาติมรณสมฺภเว ได้แก่ เป็นเหตุ
แห่งชาติและมรณะ. บทว่า อนุปาทา ได้แก่เพราะไม่ยึดมั่นด้วยอุปาทาน ๔.
บทว่า ชาติมรณสงฺขเย ความว่า หลุดพ้นในเพราะนิพพาน อันเป็นแดนสิ้น
ไปของชาติและมรณะ.
บทว่า ทิฏฺฐธมฺมาอาทิผิด อักขระภินิพฺพุตา ความว่า ดับสนิทแล้ว ในเพราะ
ดับกิเลสทั้งหมดในทิฏฐธรรม คือ ในอัตภาพนี้นั่นแล. บทว่า สพฺพํ ทุกฺขํ
อุปจฺจคุํ ความว่า ล่วงเลยวัฏทุกข์ทั้งหมด.
จบอรรถกถาทูตสวรรค์ที่ ๖.
๓๔/๔๗๕/๑๖๑