วันจันทร์, มกราคม 31, 2565

Nipphan

 
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ เหตุไม่
เคยมี ก็มีมาแล้ว พระฉวีวรรณของพระตถาคตบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งนัก คู่ผ้า
เนื้อเกลี้ยงมีสีดังทองสิงคี ซึ่งเป็นผ้าทรงนี้ ข้าพระองค์น้อมเข้าไปสู่พระกายของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ย่อมปรากฏดังถ่านไฟที่ปราศจากเปลวฉะนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ข้อนี้เป็นอย่างนั้น อานนท์ในกาลทั้ง ๒
กายของตถาคต ย่อมบริสุทธิ์ ฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนัก ในกาลทั้ง ๒ เป็นไฉน
คือ ในเวลาราตรีที่ตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๑ ในเวลาราตรีที่
ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานอาทิผิด สระธาตุ ๑ ในกาลทั้ง ๒ นี้แล กายของ
ตถาคต ย่อมบริสุทธิ์ ฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนัก ดูก่อนอานนท์ ในปัจฉิมยามแห่ง
ราตรีวันนี้แล ตถาคตจักปรินิพพานในระหว่างไม้สาละทั้งคู่ ในสาลวันแห่ง
มัลลกษัตริย์ทั้งหลาย เป็นที่แวะเวียนไป ณ เมืองกุสินารา มาเถิด อานนท์ เรา
จักไปยังแม่น้ำกกุธานที. ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าแล้ว.
[๑๒๓] ปุกกุสะนำคู่ผ้าเนื้อเกลี้ยงมีสีดังทองสิงคี
เข้าไปถวาย พระศาสดาทรงครองคู่ผ้านั้น
แล้วมีวรรณดังทอง งดงามแล้ว.

แม่น้ำกกุธานที

[๑๒๔] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ไป
ยังแม่น้ำกกุธานที เสด็จลงสู่แม่น้ำกกุธานที ทรงสรงแล้ว ทรงดื่มแล้ว เสด็จขึ้น
เสด็จไปยังอัมพวันตรัสกะท่านพระจุนทกะว่า ดูก่อนจุนทกะ ท่านจงช่วยปูผ้า
สังฆาฏิพับเป็น ๔ ชั้นให้เรา เราเหนื่อยนัก จักนอน. ท่านพระจุนทกะทูลรับ
พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ปูผ้าสังฆาฏิพับเป็น ๔ ชั้น. ลำดับนั้น
 
๑๓/๑๒๒/๓๐๓

วันอาทิตย์, มกราคม 30, 2565

Phan Ta

 
มาในที่นี้ด้วยความสำคัญว่า อมรปุระ คนอื่นนอกจากนั้น หัวร่อนิดหน่อย
แล้วกล่าวว่า ท่านเอย พูดอะไรกัน ท่านผิดทั้งคำต้นคำหลัง ท่านผู้นั้นมี
พันตาอาทิผิด อักขระที่ไหน มีวชิราวุธที่ไหน มีช้างเอราวัณที่ไหน ที่แท้ ท่านผู้นั้นเป็น
พรหม ท่านรู้ว่าคนที่เป็นพราหมณ์ประมาทกันจึงมาเพื่อประกอบไว้ในพระเวทแล
เวทางค์เป็นต้นต่างหากเล่า. คนอื่นที่เป็นบัณฑิตก็ปรามคนเหล่านั้นทั้งหมดพูด
อย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้มิใช่พระจันทร์เพ็ญ มิใช่กามเทพ มิใช่ท้าวสหัสนัยน์ มิใช่
พรหมทั้งนั้น แต่ท่านผู้นี้ เป็นอัจฉริยมนุษย์ จะเป็นศาสดาผู้นำโลกทั้งปวง.
เมื่อชาวนครเจรจากันอยู่อย่างนี้ พวกราชบุรุษก็กราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระเจ้าพิมพิสารว่า ข้าแต่สมมุติเทพ เทพ คนธรรพ์ หรือนาคราช ยักษ์ หรือ
ใครหนอเที่ยวแสวงหาภิกษาในนครของเรา. พระราชาทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว
ทรงยืน ณ ประสาทชั้นบน ทรงเห็นพระมหาบุรุษเกิดจิตอัศจรรย์ไม่เคยมี ทรงสั่ง
พวกราชบุรุษว่า พวกท่านจงไปทดสอบท่านผู้นั้น ถ้าเป็นอมนุษย์ ก็จักออก
จากนครหายไป ถ้าเป็นเทวดา ก็จักไปทางอากาศ ถ้าเป็นนาคราช ก็จักมุดดิน
ถ้าเป็นมนุษย์ ก็จักบริโภคภิกษาตามที่ได้มา.
ฝ่ายพระมหาบุรุษ มีอินทรีย์สงบ มีพระหฤทัยสงบเป็นประหนึ่งดึงดูด
สายตามหาชน เพราะความงามแห่งพระรูป ทรงแลชั่วแอก รวบรวมอาหาร
ระคนกัน พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้ เสด็จออกจากนครทางประตูที่เสด็จเข้า
มา บ่ายพระพักตร์ไปทางตะวันออกแห่งร่มเงาภูเขาปัณฑวะ ประทับนั่งพิจารณา
อาหาร ไม่มีอาการผิดปกติเสวย. แต่นั้น พวกราชบุรุษก็ไปกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระราชา.
ลำดับนั้น พระเจ้าแผ่นดินแคว้นมคธ พระนามว่าพิมพิสาร ผู้อัน
เหล่าพาลชนนึกถึงได้ยาก ผู้มีเขาพระเมรุและเขามันทาระเป็นสาระ ผู้ทรงเป็น
แก่นสารแห่งสัตว์ ทรงมีความตื่นเต้นเพราะการเห็น ที่เกิดเพราะได้สดับคุณของ
 
๗๓/๒๖/๗๑๗

วันเสาร์, มกราคม 29, 2565

Khoma

 
ครั้นท่านได้รับตำแหน่งอันเลิศนั้นอย่างนี้แล้ว จึงได้ระลึกถึงบุพ-
กรรมของตน ได้รับความโสมนัส เมื่อจะประกาศอ้างถึงข้อประพฤติของ
พระพุทธเจ้า จึงกล่าวคาถาเป็นต้นว่า ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต ดังนี้. บทว่า
วตฺถํ โขมํ มยา ทินฺนํ ความว่า ผ้าที่เกิดในแคว้นโขมะอาทิผิด อักขระ คือเรามีจิต
เลื่อมใส มีความเคารพนับถือมาก ในพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้น้อมถวาย
ผ้าโขมะอาทิผิด อักขระที่มีเนื้อละเอียดอ่อนยิ่งนัก. บทว่า สยมฺภุสฺส ความว่า พระองค์
นั่นแล เป็นแล้ว เกิดแล้ว คือนิพพานแล้วโดยอริยชาติ. บทว่า มเหสิโน
เชื่อมความว่า ชื่อว่า มเหสี เพราะอรรถว่า ค้นหา แสวงหา กองศีล
กองสมาธิ กองปัญญา กองวิมุตติ และกองวิมุตติญาณทัสสนะอย่างใหญ่
หลวงได้, เราได้ถวายผ้าโขมะเพื่อประโยชน์แก่การทำเป็นจีวร แด่พระ-
สยัมภูผู้แสวงหากองแห่งสาระคุณอันใหญ่นั้นแล้ว.
บทว่า ตํ ในบทว่า ตํ เม พุทโธ วิยากาสิ นี้ เป็นทุติยาวิภัตติ
ใช้ลงในอรรถแห่งฉัฏฐีวิภัตติ, อธิบายว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำ คือ
ตรัสแล้วโดยพิเศษ ถึงผลทานของเราผู้ถวายผ้านั้น. บทว่า ชลชุตฺตม-
นามโก ได้แก่ มีพระนามว่า ปทุมุตตระ. ปาฐะว่า ชลรุตฺตมนายโก
ดังนี้ก็มี, ความแห่งปาฐะนั้นว่า ผู้นำชั้นยอด คือประธานแห่งหมู่เทวดา
และพรหมทั้งหลายผู้รุ่งเรือง. บทว่า อิมินา วตฺถทาเนน ความว่า ด้วย
ผลแห่งการถวายผ้า ในอนาคตกาล เธอจักเป็นผู้มีวรรณะเพียงดัง
ทองคำ.
บทว่า เทฺว สมฺปตฺตึ อนุโภตฺวา ได้แก่ ได้เสวยสมบัติทั้งสอง คือ
ทิพยสมบัติ และมนุษยสมบัติ. บทว่า กุสลมูเลหิ โจทิโต ความว่า
เป็นผู้อันส่วนแห่งกุศลตักเตือนแล้ว คือส่งไปแล้ว ได้แก่ คล้าย ๆ กับ
 
๗๑/๑๕/๑๕

วันศุกร์, มกราคม 28, 2565

Nam

 
ฟัน เข้าไป (ในลำคอ) เป็นอาบัติเหมือนกัน. ถ้าอามิสละเอียด รสไม่ปรากฏ,
จัดเข้าฝักฝ่ายแห่งอัพโพหาริก.
เมื่อเวลาจวนแจ ภิกษุฉันอาหารในที่ไม่มีน้ำ ขากบ้วนน้ำลาย ทิ้งไป
๒ - ๓ ก้อน แล้วพึงไปยังที่มีน้ำบ้วนปากเถิด. หน่อขิงที่รับประเคนเก็บไว้เป็น
ต้นงอกออก, ไม่มีกิจที่จะต้องรับประเคนใหม่. ไม่มีเกลือจะทำเกลือด้วยน้ำ
ทะเล ควรอยู่. น้ำเค็มที่ภิกษุรับประเคนเก็บไว้กลายเป็นเกลือ หรือเกลือกลาย
เป็นน้ำ, น้ำอ้อยสดกลายเป็นน้ำอ้อยแข้นหรือน้ำอ้อยแข้นกลายเป็นน้ำอ้อยเหลว
ไป การรับประเคนเดิมนั่นแหละยังใช้ได้อยู่. หิมะและลูกเห็บ มีคติอย่างน้ำ
นั้นแล.
พวกภิกษุกวน (แกว่ง) น้ำให้ใสด้วยเมล็ดผลไม้ที่ทำน้ำให้ใส (เมล็ด
ตุมกาก็ว่า) ซึ่งเก็บรักษาไว้, น้ำมีน้ำอาทิผิด สระที่กวนให้ใสเป็นต้นนั้น เป็นอัพโพหาริก
ระคนกับอามิส ก็ควร. น้ำที่กวนให้ใสด้วยผลมะขวิดเป็นต้น ที่มีคติเหมือน
อามิส ควรแต่ในเวลาก่อนฉันเท่านั้น. น้ำในสระโบกขรณีเป็นต้น ขุ่นข้น
ก็ควร แต่ถ้าว่า น้ำขุ่นข้นนั้น ติดปากและมือ ไม่ควร. น้ำนั้นควรรับประเคน
แล้วจึงบริโภค. น้ำขุ่นข้นในสถานที่ถูกไถในนาทั้งหลาย พึงรับประเคน.
ถ้าน้ำไหลลงสู่ลำธารเป็นต้น แล้วเต็มแม่น้ำ ควรอยู่.
ชลาลัยมีบึงซึ่งมีต้นกุ่มเป็นต้น มีน้ำอันดาดาษไปด้วยดอกไม้ที่หล่น
จากต้น. ถ้ารสดอกไม้ไม่ปรากฏ ไม่มีกิจที่จะต้องรับประเคน. ถ้าน้ำน้อยอาทิผิด มี
รสปรากฏ พึงรับประเคน. แม้ในน้ำที่ปกคลุมด้วยใบไม้สีดำในลำธารทั้งหลาย
มีซอกเขาเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. ดอกไม้ทั้งหลายมีเกสรก็ดี มีน้ำต้อยที่ขั้ว
ก็ดี (มีขั้วและน้ำนมก็ดี) เขาใส่ลงในหม้อน้ำดื่ม, พึงรับประเคน. หรือว่า
ดอกไม้ทั้งหลายภิกษุรับประเคนแล้วพึงใส่ลงไปเถิด. ดอกแคฝอยและดอกมะลิ
 
๔/๕๒๖/๕๗๖

วันพฤหัสบดี, มกราคม 27, 2565

Sing

 
[เรื่องผีเข้าสิงภิกษุ]
ในเรื่องของภิกษุผู้ถูกผีเข้าสิง มีวินิจฉัยดังนี้:- ภิกษุอีกรูปหนึ่ง
ได้ให้การประหาร (แก่ภิกษุผู้ถูกผีเข้าสิงอาทิผิด อาณัติกะนั้น ) ด้วยคิดว่า จักขับไล่ยักษ์ให้
หนีไป. ภิกษุนอกจากนี้ คิดว่า คราวนี้ ยักษ์นี้ ไม่สามารถจะทำพิรุธได้,
เราจักฆ่ามันเสีย ได้ให้การประหาร. และในเรื่องของภิกษุผู้ถูกผีเข้าสิงเรื่อง
แรกนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุ ผู้ไม่มีความประสงค์
จะให้ตาย เพราะเหตุนั้น ด้วยพระพุทธดำรัสเพียงเท่านี้นั่นแล ภิกษุจึงไม่ควร
ให้การประหารแก่ภิกษุผู้ถูกผีสิง, แต่พึงเอาใบตาลหรือเส้นด้ายพระปริตรผูกไว้
ที่มือหรือเท้า. พึงสวดพระปริตรทั้งหลาย มีรัตนสูตรเป็นต้น พึงทำธรรมกถา
ว่า ท่านอย่าเบียดเบียนภิกษุผู้มีศีล ดังนี้.
เรื่องพรรณนาสวรรค์เป็นต้น มีเนื้อความชัดเจนแล้ว. ก็คำที่พึง
กล่าวในเรื่องพรรณนาสวรรค์เป็นต้นนี้ ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วแล.
[เรื่องภิกษุตัดต้นไม้]
เรื่องตัดต้นไม้ ก็เช่นเดียวกับเรื่องผูกร่างร้าน. แต่มีความแปลกกัน
ดังต่อไปนี้:- ภิกษุใด แม้ถูกต้นไม้ล้มทับแล้ว ยังไม่มรณภาพ และเธอ
สามารถจะตัดต้นไม้หรือขุดแผ่นดินแล้วออกไปโดยข้าง ๆ หนึ่งได้, และในมือ
ของเธอก็มีมีดและจอบ อยู่ ภิกษุแม้นั้นควรสละชีวิตเสีย. และไม่ควรตัดต้นไม้
หรือไม่ควรขุดดิน. เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่า ภิกษุเมื่อทำอย่างนั้น ย่อม
ต้องปาจิตตีย์ ย่อมหักรานเสียซึ่งพุทธอาณา ย่อมไม่ทำศีลให้มีชีวิตเป็นที่อาทิผิด อาณัติกะสุด;
เพราะเหตุนั้น ถึงแม้ชีวิตก็ควรสละเสีย แต่ไม่ควรสละศีล; ครั้นภิกษุคำนวณ
ได้รอบคอบดังกล่าวมาแล้วนี้ ไม่พึงทำ (การตัดต้นไม้และขุดดิน) ด้วยอาการ
กธารี ผึ่งถากไม้, ขวานโยน, จอบ.
 
๒/๒๒๖/๔๔๒

วันพุธ, มกราคม 26, 2565

Hup Kha

 
อย่างอุกฤษฏ์ ถูกความอยากในรสพัวพันแล้ว จึงขึ้นไปสู่ปราสาท ๗ ชั้น
ตามคำของนาง.
หญิงแพศยาแสดงอาการ ๔๐ อย่าง เกี้ยวพระเถระ
นางให้พระเถระนั่งแล้ว แสดงแง่งอนของหญิง ลีลาของหญิง
ซึ่งมาแล้วอย่างนี้ว่า “ เพื่อนผู้มีหน้าเอิบอิ่ม ได้ยินว่า หญิงย่อมเกี้ยวชาย
ด้วยฐานะ ๔๐ อย่าง คือ : สะบัดสะบิ้ง ๑ ก้มลง ๑ กรีดกราย ๑ ชะมด-
ชม้อย ๑ เอาเล็บดีดเล็บ ๑ เอาเท้าเหยียบเท้า ๑ เอาไม้ขีดแผ่นดิน ๑
ชูเด็กขึ้น ๑ ลดเด็กลง ๑ เล่นเอง ๑ ให้เด็กเล่น ๑ จูบเอง ๑ ให้เด็ก
จูบ ๑ รับประทานเอง ๑ ให้เด็กรับประทาน ๑ ให้ของเด็ก ๑ ขอของ
คืน ๑ ล้อเลียนเด็ก ๑ พูดดัง ๑ พูดค่อย ๑ พูดคำเปิดเผย ๑ พูด
ลี้ลับ ๑ (ทำนิมิต) ด้วยการฟ้อน ด้วยการขับ ด้วยการประโคม ด้วย
การร้องไห้ ด้วยการเยื้องกราย ด้วยการแต่งตัว ๑ ซิกซี้ ๑ จ้องมองดู ๑
สั่นสะเอว ๑ ยังของลับให้ไหว ๑ ถ่างขา ๑ หุบขาอาทิผิด สระ ๑ แสดงถัน ๑
แสดงรักแร้ ๑ แสดงสะดือ ๑ ขยิบตา ๑ ยักคิ้ว ๑ แม้มริมฝีปาก ๑
แลบลิ้น ๑ เปลื้องผ้า ๑ นุ่งผ้า ๑ สยายผม ๑ เกล้าผม ๑” ยืนข้าง
หน้าของพระเถระนั้นแล้วกล่าวคาถานี้ว่า :-
“ หญิงแพศยาผู้มีเท้าย้อมแล้วด้วยน้ำครั่ง สวม
เขียงเท้า (กล่าวแล้วว่า) แม้ท่านก็เป็นชายหนุ่ม
สำหรับดิฉัน และแม้ดิฉันก็เป็นหญิงสาวสำหรับท่าน,
แม้เราทั้งสองแก่แล้ว มีไม้เท้ากรานไปข้างหน้าจึง
จักบวช.”
๑. มาในอัฏฐกถาชาดก ๘/๒๖๑ กุณาลชาดก. ๒. กตมนุกโรติ ย่อมทำตามซึ่งกรรมอันเด็ก
ทำแล้ว.
 
๔๓/๓๖/๕๑๕

วันอังคาร, มกราคม 25, 2565

Pueaktom

 
อุปกรณ์ทุกอย่าง และเสบียงมีสัตตุก้อนเป็นต้น ใส่ลงในกระสอบหนัง เครื่อง
อุปกรณ์และเสบียงทั้งหมดนั้น หนักประมาณ กุมภะหนึ่ง ฝ่ายนายพราน
โสณุดรนั้น เตรียมตัวเสร็จแล้วถึงวันที่ เจ็ด ก็มาเฝ้าถวายบังคมพระราชเทวี
ลำดับนั้น พระนางเทวี รับสั่งกะเขาว่า เครื่องอุปกรณ์ทุกอย่างของเจ้าสำเร็จแล้ว
เจ้าจงลองยกกระสอบนี้ดูก่อน ก็นายพรานโสณุดรนั้น เป็นคนมีกำลังมาก
ทรงกําลังประมาณห้าช้างสาร เพราะฉะนั้น จึงยกกระสอบขึ้นคล้ายกระสอบพลู
แล้วสะพายบ่า ยืนเฉย ดุจยืนมือเปล่า พระนางสุภัททา จึงประทานข้าวของ
แก่พวกลูก ๆ ของนายพราน แล้วกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ จัดส่ง
นายพรานโสณุดรไป.
ฝ่ายนายพรานโสณุดรนั้น ครั้นถวายบังคมลาพระราชาและพระราช
เทวีแล้ว ก็ลงจากพระราชนิเวศน์ ขึ้นรถออกจากพระนคร ด้วยบริวารเป็น
อันมาก ผ่านคามนิคมและชนบทมาตามลำดับ ถึงปลายพระราชอาณาเขตแล้ว
จึงให้ชาวชนบทกลับ เดินทางเข้าป่าไปกับชาวบ้านชายแดน จนเลยถิ่นของ
มนุษย์ จึงให้ชาวบ้านชายแดนกลับทั้งหมด แล้วเดินไปเพียงคนเดียว สิ้นระยะ
ทาง ๓๐ โยชน์ ถึงป่าชัฏ ๑๘ แห่งโดยลำดับ คือตอนแรกป่าหญ้าแพรก
ป่าเลา ป่าหญ้า ป่าแขม ป่าไม้มีแก่น ป่าไม้มีเปลือก ชัฏ ๖ แห่ง เป็น
ชัฏพุ่มหนาม ป่าหวาย ป่าไม้ต่างพรรณระคนคละกัน ป่าไม้อ้อ ป่าทึบ แม้
งูก็เลื้อยไปได้ยาก คล้ายป่าแขม ป่าไม้สามัญ ป่าไผ่ ป่าที่มีเปือกตมอาทิผิด แล้ว
มีน้ำล้วน มีภูเขาล้วน ครั้นเข้าไปแล้ว ก็เอาเคียวเกี่ยวหญ้าแพรกเป็นต้น
เอามีดสำหรับตัดพุ่มไม้ไผ่ ฟันป่าแขมเป็นต้น เอาขวานโค่นต้นไม้ ใช้สิ่วใหญ่
เจาะทำทางเดิน ที่ป่าไผ่ก็ทำพะองพาดขึ้นไปตัดไม้ไผ่ให้ตกบนพุ่มไผ่อื่น แล้ว
เดินไปบนยอดพุ่มไม้ไผ่ ถึงที่ซึ่งมีเปือกตมอาทิผิด อักขระล้วน ก็ทอดไม้เลียบแห้งเดินไปตาม
นั้น แล้วทอดท่อนอื่นต่อไปอีก ยกท่อนนอกนี้ขึ้น ทอดต่อไปข้างหน้าอีก
 
๖๑/๒๓๕๑/๓๙๒

วันจันทร์, มกราคม 24, 2565

Tuen

 
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตื่นอาทิผิด บรรทมในปัจจุสสมัยแห่งราตรี ทรงได้ยิน
เสียงเด็ก ครั้นแล้วตรัสเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสถามว่า ดูก่อนอานนท์ นั่น
เสียงเด็ก หรือ ?
จึงท่านพระอานนท์กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่าภิกษุทั้งหลายรู้อยู่ ให้บุคคลผู้มีอายุหย่อน ๒๐ ปี อุปสมบท จริงหรือ ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฉน
โมฆบุรุษพวกนั้นรู้อยู่ จึงได้ให้บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี อุปสมบทเล่า. ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลายบุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี เป็นผู้ไม่อดทนต่อ เย็น ร้อน หิว
ระหาย เป็นผู้มีปรกติไม่อดกลั้นต่อสัมผัส แห่งเหลือบ ยุง ลม แดด สัตว์
เลื้อยคลาน ต่อคลองแห่งถ้อยคำที่เขากล่าวร้าย อันมาแล้วไม่ดี ต่อทุกขเวทนา
ทางกายที่เกิดขึ้นแล้วอันกล้าแข็ง เผ็ดร้อน ไม่เป็นที่ยินดี ไม่เป็นที่ชอบใจ
อันอาจนำชีวิตเสียได้ ส่วนบุคคลมีอายุ ๒๐ ปี ย่อมเป็นผู้อดทนต่อ เย็นร้อน
หิว ระหาย เป็นผู้มีปรกติอดกลั้นต่อสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด สัตว์
เลื้อยคลาน ต่อคลองแห่งถ้อยคำที่เขากล่าวร้าย อันมาแล้วไม่ดี ต่อทุกขเวทนา
ทางกายที่เกิดขึ้นแล้ว อันกล้าแข็ง เผ็ดร้อน ไม่เป็นที่ยินดี ไม่เป็นที่ชอบใจ
อันอาจนำชีวิตเสียได้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การกระทำของโมฆบุรุษเหล่านั้น
นั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความ
เลื่อมใส่ยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . . ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรู้อยู่ ไม่พึงให้บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี
อุปสมบท รูปใดให้อุปสมบท ต้องปรับธรรม.
 
๖/๑๑๑/๒๖๑

วันอาทิตย์, มกราคม 23, 2565

Wilasini

 
ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในพระศาสนานี้พิจารณากายในกาย เป็นผู้มี
ความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติอยู่ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้.
พิจารณาเวทนาในเวทนาทั้งหลาย . . .
พิจารณาจิตในจิต. . .
พิจารณาธรรมในธรรมทั้งหลาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติอยู่
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้.
ดูก่อนอานนท์ ภิกษุเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นสรณะ ไม่มีสิ่ง
อื่นเป็นสรณะ เป็นผู้มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นสรณะอยู่ ไม่มีสิ่งอื่นเป็น
สรณะ ด้วยอาการอย่างนี้แล.
ดูก่อนอานนท์ เพราะว่า ในกาลบัดนี้ก็ดี โดยการที่เราตถาคต
ล่วงลับไปแล้วก็ดี ภิกษุทั้งหลายพวกใดพวกหนึ่ง จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มี
ตนเป็นสรณะอยู่ ไม่เป็นผู้มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ จักมีธรรมเป็นเกาะมีธรรมเป็น
สรณะอยู่ ไม่เป็นผู้มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ ภิกษุทั้งหลายพวกใดพวกหนึ่ง ซึ่งเป็น
ผู้ใคร่ในการศึกษาเหล่านี้นั้น จักเป็นผู้ประเสริฐสุดยอด ดังนี้แล.
จบ คามกัณฑ์ ในมหาปรินิพพานสูตร
จบภาณวารที่ ๒

ว่าด้วยอานุภาพของอิทธิบาท ๔

[๙๔] (๑) ครั้งนั้นแล ในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนุ่งสบง
ทรงถือบาตรและจีวรแล้ว เสด็จดำเนินเข้านครเวสาลี เพื่อบิณฑบาต(๒) ครั้น
เสด็จดำเนินเพื่อบิณฑบาตในนครเวสาลีแล้ว เสด็จกลับจากบิณฑบาตในเวลา
๑. บาลีพระสูตรต่อไปนี้ มีกล่าวไว้ใน สํ. มหาวาร. ๑๙/๓๐๒ อธ. อฏฺฐก. ๒๓/๓๑๘-๓๒๔, ขุ.อุ. ๒๕/๑๗๖. ๒. ความในมหาปรินิพพานสูตร ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์อรรถกถา สุมงฺคลวิลาสินีอาทิผิด อักขระ, ทุติยภาค, น. ๙๓๑-๒๐๑ และสารตฺถปฺปกาสินี, ตติยภาค, น. ๓๑๒-๓๒๘.
 
๑๓/๙๔/๒๗๕

วันเสาร์, มกราคม 22, 2565

Akhami

 
สูตรที่ ๕

ว่าด้วยบุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายในและในภายนอก

[๒๘๑] ๓๕. สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ
พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี
สมัยนั้นแล ท่านพระสารีบุตรอยู่ที่ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดา ใน
บุพพาราม ใกล้กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรได้เรียกภิกษุ
ทั้งหลายมาว่า ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นตอบรับท่านพระ-
สารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย เรา
จักแสดงบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายใน และบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายนอก
ท่านทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นตอบรับ
ท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย
ก็บุคคลที่มีสังโยชน์ในภายในเป็นไฉน ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็น
ผู้มีศีล สำรวมแล้วในปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มี
ปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
เมื่อแตกกายตายไป ภิกษุนั้นย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง ครั้นจุติ
จากอัตภาพนั้นแล้ว เป็นอาคามีอาทิผิด อักขระ กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ นี้เรียกว่า
บุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายใน เป็นอาคามีอาทิผิด อักขระ กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้.
ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายนอกเป็นไฉน
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในพระปาติโมกขสังวร
ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย
สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ภิกษุนั้นย่อมบรรลุเจโตวิมุตติอัน
 
๓๓/๒๘๑/๓๖๔

วันศุกร์, มกราคม 21, 2565

Patcha Samana

 
ทิศ พระอุปัชฌายะอาพาธต้องพยาบาลตลอดชีวิต วัตรดังกล่าวมานี้เป็นอุปัช-
ฌายวัตร อันสัทธิวิหาริกพึงประพฤติชอบ
เรื่องอุปัชฌายะสงเคราะห์ด้วยโอวาท อนุศาสนี อุเทศ ปริปุจฉา บาตร
จีวร และบริขาร ความอาพาธ ไม่พึงเป็นปัจฉาอาทิผิด สมณะ อุปัชฌายวัตรฉันใด
แม้อาจริยวัตรก็ฉันนั้น สัทธิวิหาริกอาทิผิด สระวัตรฉันใด อันเตวาสิกวัตรก็ฉันนั้น อาคัน-
ตุกวัตรฉันใด อาวาสิกวัตรก็ฉันนั้น คมิกวัตร อนุโมทนาวัตร ภัตตัคควัตร
บิณฑปาติกวัตร อารัญญกวัตร เสนาสนวัตร ชันตาฆรวัตร วัจจกุฎีวัตร
อุปัชฌายวัตร สัทธิวิหาริกวัตร อาจริยวัตร อันเตวาสิกวัตร เหมือนกันใน
ขันธกะนี้ มี ๑๙ เรื่อง ๑๔ วัตร ภิกษุผู้ไม่บำเพ็ญวัตร ชื่อว่าไม่บำเพ็ญศีล
ผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ ทรามปัญญาย่อมไม่ประสบเอกัคคตาจิต ผู้มีจิตฟุ้งซ่าน มี
อารมณ์มาก ย่อมไม่เห็นธรรมโดยชอบ เมื่อไม่เห็นพระสัทธรรม ย่อมไม่พ้น
จากทุกข์ ภิกษุบำเพ็ญวัตร ชื่อว่าบำเพ็ญศีล ผู้มีศีลบริสุทธิ์ มีปัญญา ย่อม
ประสบเอกัคคตาจิต ผู้มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน มีอารมณ์อย่างเดียว ย่อมเห็นธรรม
โดยชอบ เมื่อเห็นพระสัทธรรมย่อมพ้นจากทุกข์ได้ เพราะเหตุนั้น แล โอรส
ของพระชินเจ้า ผู้มีปัญญาเห็นประจักษ์ พึงบำเพ็ญวัตร อันเป็นพระโอวาท
ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ แต่นั้นจักถึงพระนิพพาน ดังนี้แล.
หัวข้อประจำขันธกะ จบ
 
๙/๔๔๖/๓๘๗

วันพฤหัสบดี, มกราคม 20, 2565

Mit

 
ทั้งหมดนี้เหมือนตัวเรา.เมื่อยาจกไม่มี ทานบารมีของเราจะพึงเต็มได้อย่างไร
เราควรยึดถือทั้งหมดไว้เพื่อประโยชน์แก่ยาจกเท่านั้น. เมื่อไรยาจกทั้งหลาย
ไม่ขอเราพึงถือเอาของของเราไปเอง. เราพึงเป็นที่รักและเป็นที่ชอบของ
ยาจกทั้งหลายได้อย่างไร. ยาจกเหล่านั้นพึงเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของเรา
ได้อย่างไร. เราเมื่อให้ก็พอใจ แม้ให้แล้วก็ปลื้มใจ เกิดปีติโสมนัสได้อย่างไร
หรือยาจกทั้งหลายของเราพึงเป็นอย่างไร เราจึงจะเป็นผู้มีอัธยาศัยกว้าง-
ขวาง. ยาจกไม่ขอ เราจะรู้ใจของยาจกทั้งหลายได้อย่างไรแล้วจึงให้ เมื่อ
ทรัพย์มี ยาจกมี การไม่บริจาค เป็นการหลอกลวงของเราอย่างใหญ่หลวง.
เราพึงสละอวัยวะหรือชีวิตของตนแก่ยาจกทั้งหลายได้อย่างไร. อีกอย่างหนึ่ง
ควรทำจิตให้เกิดขึ้นเพราะไม่คำนึงถึงประโยชน์ว่า ชื่อว่าประโยชน์นี้ ย่อม
ติดตามทายกผู้ไม่สนใจ. เหมือนตั๊กแตนติดตามคนแผลงศรผู้ไม่สนใจ.
อนึ่ง ผิว่า ผู้ขอเป็นคนที่รัก พึงให้เกิดโสมนัสว่า ผู้เป็นที่รักขอ
เรา. แม้ผู้ขอเป็นคนเฉย ๆ พึงให้เกิดความโสมนัสว่า ยาจกนี้ขอเราย่อม
เป็นมิตรอาทิผิด ด้วยการบริจาคนี้แน่แท้. แม้ผู้ให้ก็ย่อมเป็นที่รักของยาจกทั้งหลาย
แม้บุคคลผู้มีเวรขอ ก็พึงให้เกิดโสมนัสเป็นพิเศษว่า ศัตรูขอเรา. ศัตรูนี้
เมื่อขอเราเป็นผู้มีเวร ย่อมเป็นมิตรที่รักด้วยการบริจาคนี้แน่แท้ พึงยัง
กรุณามีเมตตาเป็นเบื้องหน้าให้ปรากฏ แล้วพึงให้แม้ในบุคคลเป็นกลางและ
บุคคลมีเวร.
 
๗๔/๓๖/๕๙๘

วันพุธ, มกราคม 19, 2565

Dueat Ron

 
เส้นเอ็นปรากฏ และแข้งเป็นเหมือนกระบอกน้ำมัน จะทำเท้าของผู้นั้นให้เป็น
เช่นนี้ แล้วให้เขาบวชควรอยู่.
ถ้าตุ้มนั้นเขื่องขึ้นอีก แม้เมื่อจะให้อุปสมบท พึงทำอย่างนั้น จึงให้
อุปสมบท.
คนน่าเกลียด ไม่น่าชอบใจ มีความเดือดอาทิผิด อักขระร้อนเป็นนิตย์ มีโรคที่รักษา
ไม่หายด้วยโรคชนิดใดชนิดหนึ่ง ในบรรดาโรคริดสีดวงงอก ริดสีดวงลำไส้
โรคดี โรคเสมหะ โรคไอ โรคหืด เป็นต้น ชื่อว่า คนมีโรคเป็นผลแห่ง
บาป แม้บุคคลนี้ก็ไม่ควรให้บวช.
ผู้ใดย่อมประทุษร้ายบริษัท เพราะความที่ตนมีรูปแปลก ผู้นั้น ชื่อ
ปริสทูสกะ คือเป็นคนสูงเกินไป มีนาภีประเทศแค่ศีรษะของชนเหล่าอื่นบ้าง.
เตี้ยเกินไปดังรูปแห่งภูต เตี้ยทั้ง ๒ ท่อนบ้าง. ดำเกินไป คล้ายตอไม้ที่นาถูก
ไฟไหม้บ้าง. ขาวเกินไป มีสีคล้ายบาตรทองแดงที่ขัดด้วยนมส้มและเปรียงเป็น
ต้นบ้าง. ผอมเกินไป มีเนื้อและเลือดน้อย ประหนึ่งร่างกายซึ่งมีแต่กระดูก เอ็น
และหนังบ้าง. อ้วนเกินไป มีเนื้อตั้งหาบ มีพุงพลุ้ยเช่นกับมหาภูตบ้าง. มี
ศีรษะใหญ่เกินไป เหมือนวางกระเช้าไว้บนศีรษะบ้าง. มีศีรษะหลิมเกินไป คือ
ประกอบด้วยศีรษะเล็กนักไม่สมตัวบ้าง. มีศีรษะเป็นลอน ๆ คือประกอบด้วย
ศีรษะเช่นกับทะลายแห่งผลตาลบ้าง. มีศีรษะเรียวแหลม คือประกอบด้วยศีรษะ
อันสอบขึ้นไปโดยลำดับบ้าง. มีศีรษะดังลำไผ่ คือเป็นกระบอก ประกอบด้วย
ศีรษะเช่นกับปล้องไม้ไผ่อย่างเขื่องบ้าง. มีศีรษะเป็นง่ามบ้าง. มีศีรษะเป็นเงื้อม
คือประกอบด้วยศีรษะอันงุ้มลงในข้างทั้ง ๔ ข้างใดข้างหนึ่งบ้าง. มีศีรษะเป็น
แผลบ้าง มีศีรษะเน่าบ้าง.
 
๖/๑๓๕/๓๔๕

วันอังคาร, มกราคม 18, 2565

Mahesi

 
พระนางจิตตา ๑ พระนางชันตุ ๑ พระนางชาลินี ๑ พระนางวิสาขา ๑.
พระมเหสีองค์หนึ่ง ๆ มีหญิงบริวารองค์ละ ๕๐๐.
พระมเหสีองค์ใหญ่มีโอรส ๔ พระองค์ คือ เจ้าชายโอกกามุขะ ๑
เจ้าชายกากัณฑะ ๑ เจ้าชายหัตถินิกะ ๑ เจ้าชายนิปุระ ๑. มีพระธิดา ๕
พระองค์ คือ เจ้าหญิงปิยา ๑ เจ้าหญิงสุปปิยา ๑ เจ้าหญิงอานันทา ๑
เจ้าหญิงวิชาตา ๑ เจ้าหญิงวิชิตเสนา ๑ ครั้นพระมเหสีองค์ใหญ่ได้พระโอรส
พระธิดา ๙ องค์แล้ว ก็สิ้นพระชนม์.
พระราชาจึงทรงนำราชธิดาซึ่งยังสาว ทั้งมีรูปโฉมงดงามองค์อื่นมา
ตั้งไว้ในตำแห่งพระอัครมเหสี. พระอัครมเหสีอาทิผิด อักขระได้ประสูติพระโอรสองค์หนึ่ง
ครั้นประสูติได้ ๕ วัน พวกนางนมได้ตกแต่งพระชันตุกุมารนำมาเฝ้าพระราชา.
พระราชาทรงยินดีได้พระราชทานพรแด่พระมเหสี. พระนางจึงทรงปรึกษากับ
บรรดาพระญาติทูลขอราชสมบัติให้แก่พระโอรส. พระราชาทรงพิโรธว่า
หญิงถ่อยใจชั่ว เจ้าจงพินาศเสียเถิด เจ้าปรารถนาให้พวกโอรสของเราได้รับ
อันตราย แล้วไม่พระราชทานตามที่พระมเหสีทูลขอ. พระอัครมเหสีประเล้า
ประโลมพระราชาในที่ลับบ่อย ๆ ครั้นให้ทรงพอพระทัยแล้ว ทูลพระดำรัสมี
อาทิว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เป็นมหาราช ไม่ควรกล่าวเท็จ แล้วทูลวิงวอนซ้ำ
แล้วซ้ำอีก.
ลำดับนั้น พระราชาตรัสเรียกพระโอรสทั้งหลายมาตรัสว่า ดูก่อนลูก ๆ
ทั้งหลาย พ่อเห็นชันตุกุมารน้องของพวกลูก จึงได้ผลุนผลันให้พรแก่มารดา
ของชันตุกุมาร เธอประสงค์จะให้โอรสครองราชสมบัติ เมื่อพ่อล่วงลับไปแล้ว
 
๔๗/๓๓๑/๓๓๓

วันจันทร์, มกราคม 17, 2565

Yam

 
ทุติยวรรคที่ ๒

๑. สนังกุมารสูตร

ว่าด้วยคำสุภาษิตของพรหม

[๖๐๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำสัปปีนี กรุง-
ราชคฤห์.
ครั้งนั้นแล สนังกุมารพรหม เมื่อราตรีปฐมยามอาทิผิด อักขระล่วงไปแล้ว มีรัศมี
อันงดงามยิ่ง ยังฝั่งแม่น้ำสัปปินิทั้งสิ้นให้สว่างแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ
ภาคเจ้ายังที่ประทับ ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วได้ยืนอยู่ ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๖๐๗] สนังกุมารพรหม ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วได้กล่าว
คาถานี้ในสำนักแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่ชน
ผู้รังเกียจด้วยโคตร แต่ท่านผู้ถึงพร้อมด้วย
วิชชาและจรณะ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดใน
เทวดาและมนุษย์.
[๖๐๘] สนังกุมารพรหมได้กราบทูลคำนี้แล้ว พระศาสดาได้ทรงพอ
พระทัย.
ครั้งนั้นแล สนังกุมารพรหมทราบว่า พระศาสดาทรงพอพระทัยต่อ
เราถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประทักษิณแล้วอันตรธานไปในที่นั้นเอง.
 
๒๕/๖๐๖/๑๗๖

วันอาทิตย์, มกราคม 16, 2565

Cha Tok

 
๓. คิริมานันทเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระคิริมานันทเถระ
[๓๓๗] ฝนตกเสียงไพเราะเหมือนเพลงขับ กุฎีของเรามุงดี
แล้ว มีประตูหน้าต่างมิดชิดดี เราเป็นผู้สงบอยู่ในกุฎีนั้น
ถ้าประสงค์จะตกก็ตกลงมาเถิดฝน ฝนตกไพเราะเหมือน
เพลงขับ กุฎีของเรามุงดีแล้ว มีประตูหน้าต่างมิดชิดดี
เราเป็นผู้มีจิตสงบอยู่ในกุฎีนั้น ถ้าประสงค์จะตกอาทิผิด ก็ตกลง
มาเถิดฝน ฯลฯ เราเป็นผู้ปราศจากราคะอยู่ในกุฏี
นั้น ฯลฯ เราเป็นผู้ปราศจากโทสะอยู่ในกุฎีนั้น ฯลฯ เรา
เป็นผู้ปราศจากโมหะอยู่ในกุฎีนั้น ถ้าประสงค์จะตกก็ตก
ลงมาเถิดฝน.
จบคิริมานันทเถรคาถา

อรรถกถาคิริมานันทเถรคาถาที่ ๓

คาถาของท่านพระคิริมานันทเถระ มีคำเริ่มต้นว่า วสฺสติ เทโว
ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระเถระแม้นี้ ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน
สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าสุเมธ
บังเกิดในเรือนมีตระกูล เจริญวัยแล้วอยู่ครองฆราวาส เมื่อภรรยาและบุตร
ของตนทำกาละแล้ว เพียบพร้อมไปด้วยลูกศรคือความโศก เข้าไปสู่ป่า
เมื่อพระศาสดาเสด็จไปในที่นั้นแสดงธรรม ถอนลูกศรคือความโศกได้แล้ว
 
๕๒/๓๓๗/๘๑

วันเสาร์, มกราคม 15, 2565

La

 
๓. เรื่องพระเจ้าวิฑูฑภะ [๓๕]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระนครสาวัตถี ทรงปรารภพระเจ้า
วิฑูฑภะ พร้อมทั้งบริษัท ซึ่งถูกห้วงน้ำท่วมทับให้สวรรคตแล้ว ตรัส
พระธรรมเทศนานี้ว่า “ปุปฺผานิ เหว ปจินนฺตํ” เป็นต้น.
อนุปุพพีกถาในเรื่องนั้น ดังต่อไปนี้ :-
สามพระกุมารไปศึกษาศิลปะในกรุงตักกสิลา
พระกุมาร ๓ พระองค์เหล่านั้น คือ “ พระราชโอรสของพระเจ้า
มหาโกศล ในพระนครสาวัตถี พระนามว่าปเสนทิกุมาร, พระกุมาร
ของเจ้าลิจฉวี ในพระนครเวสาลี พระนามว่ามหาลิ, โอรสของเจ้า
มัลละ ในพระนครกุสินารา พระนามว่าพันธุละ” เสด็จไปนครตักกสิลา
เพื่อเรียนศิลปะในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มาพบกันที่ศาลานอก
พระนคร ต่างก็ถามถึงเหตุที่มา ตระกูล และพระนามของกันและกัน
แล้ว เป็นพระสหายกัน ร่วมกันเข้าไปหาอาจารย์ ต่อกาลไม่นานนักก็
เรียนศิลปะสำเร็จ จึงกราบลาอาทิผิด อักขระอาจารย์พร้อมกัน เสด็จออก (จาก
กรุงตักกสิลา) ได้ไปสู่ที่อยู่ของตน ๆ.
สามพระกุมารได้รับตำแหน่งต่างกัน
บรรดาพระกุมารทั้ง ๓ พระองค์นั้น ปเสนทิกุมาร ทรงแสดง
ศิลปะถวายพระชนก อันพระชนกทรงเลื่อมใสแล้ว (จึง) อภิเษกใน
ราชสมบัติ.
๑. ม. วิฏฏูภวัตถุ.
 
๔๑/๑๔/๑๑

วันศุกร์, มกราคม 14, 2565

Kratha

 
ทั้งหลายเสียแล้วบวชเป็นฤๅษี ทำอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ให้เกิด
แล้ว คณะฤๅษีทั้งปวงประชุมกันในหิมวันตประเทศ ตั้งให้ท่านเป็น
อาจารย์ผู้ให้โอวาท ยอมตนเป็นบริวาร ท่านได้เป็นอาจารย์ผู้ให้โอวาท
ของฤๅษี ๕๐๐ เล่นอยู่ด้วยฌานกรีฑาอยู่ในป่าหิมพานต์ ครั้งนั้น ดาบส
ผู้หนึ่ง เป็นโรคผอมเหลือง ถือพร้าไปผ่าไม้ ครั้งนั้นดาบสปากกล้า
ผู้หนึ่ง นั่งอยู่ใกล้ ๆ ดาบสผอมนั้น พูดว่า จงฟันในที่นี้ จงฟัน
ในที่นี้ ทำให้ดาบสผอมนั้นขัดเคือง เธอโกรธแล้วกล่าวว่า เดี๋ยวนี้
ท่านไม่ใช่อาจารย์ฝึกหัตศิลปะในการผ่าฟืนของเรานะ แล้ว
เงื้อพร้าอันคม ฟันทีเดียวเท่านั้น ทำให้ดาบสปากกล้าถึงสิ้น
ชีวิต พระโพธิสัตว์ให้กระทำสรีรกิจแก่เธอแล้ว ในครั้งนั้น
ที่เชิงจอมปลวกแห่งหนึ่ง ไม่ไกลอาศรมบท นกกระทาตัวหนึ่ง
อาศัยอยู่ ทุกเช้าทุกเย็นมันยืนอยู่บนยอดจอมปลวก ขันเสียง
ดังลั่น ฟังเสียงนั้นแล้ว พรานผู้หนึ่งคิดว่า น่าจะมีนกกระทา
จึงสะกดไปด้วยหมายเสียงเป็นสำคัญ ฆ่ามันแล้วถือเอาไป
พระโพธิสัตว์ไม่ได้ยินเสียงมัน ถามพวกดาบสว่า ที่ตรงโน้น
มีนกกระทาอาทิผิด สระอาศัยอยู่ เพราะเหตุไรเล่าหนอ จึงไม่ได้ยินเสียงมัน ?
พวกดาบสบอกเรื่องนั้นแก่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เทียบเคียง
เหตุการณ์ทั้งสองอย่างแม้เหล่านั้นแล้ว กล่าวคาถานี้ ในท่ามกลาง
หมู่ฤๅษี ความว่า :-
วาจาที่ดังเกินไป ความเป็นผู้รุนแรง
เกินไป พูดล่วงเวลา ย่อมฆ่าผู้มีปัญญาทรามเสีย
 
๕๖/๑๑๗/๔๔๓

วันพฤหัสบดี, มกราคม 13, 2565

Kilet Chat

 
ทิฏฐุปาทาน ก็อย่างนั้น คือ ทิฏฐินั้นด้วย เป็นอุปทานด้วย
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทิฏฐุปาทาน. อีกอย่างหนึ่ง กิเลสชาตอาทิผิด อักขระ ชื่อว่า
ทิฏฐุปาทาน เพราะยึดมั่นทิฏฐิ. หรือชื่อว่า ทิฏฐุปาทาน เพราะวิเคราะห์
ว่า เป็นเหตุให้ยึดมั่นทิฏฐิ. อธิบายว่า กิเลสชาตอาทิผิด อักขระใดย่อมยึดมั่นทิฏฐิเดิม
ในคำทั้งหลายมีอาทิว่า ทั้งอัตตา (อาตมัน) ทั้งโลก เป็นของเที่ยง
เพราะฉะนั้น กิเลสชาตินั้น จึงชื่อว่าอย่างนั้น (ทิฏฐุปาทาน).
อย่างที่ตรัสไว้มีอาทิว่า ทั้งอัตตา (อาตมัน ) ทั้งโลก เป็นของเที่ยง
สิ่งนี้เท่านั้น เป็นสัตยะ (ของจริง) สิ่งอื่นเป็นโมฆะ. (ไร้ประโยชน์).
คำว่า ทิฏฐุปาทานนี้ เป็นชื่อของทิฏฐิทั้งหมดเว้นไว้แต่สีลัพพัตตุปาทาน
และอัตตวาทุปาทาน. นี้เป็นข้อความสังเขปในทิฏฐุปาทานนี้. แต่
โดยพิสดารทิฏฐุปาทานนี้ พึงทราบโดยนัยที่ได้ตรัสไว้แล้วนั่นแหละว่า
บรรดาอุปาทานเหล่านั้น ทิฏฐุปาทานเป็นอย่างไร ? (ทิฏฐุปาทานคือ)
ทานที่บุคคลให้แล้ว ไม่มีผล.
บรรดาอุปาทานเหล่านั้น ชื่อว่า สีลัพพัตตุปาทาน เพราะเป็น
เหตุยึดมั่นศีลและพรตบ้าง เพราะศีลและพรตนั้นยึดมั่นเองบ้าง เพราะ
ศีลและพรตนั้นด้วยเป็นอุปทานด้วยบ้าง.
อธิบายว่า การยึดมั่นด้วยตนเองนั่นแหละโดยความเชื่อมั่นว่า ศีล
และพรตทั้งหลายมีศีลของโคและวัตรของโคเป็นต้น เป็นของบริสุทธิ์ด้วย
อาการอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าอย่างนั้น (สีลัพพัตตุปาทาน). นี้
เป็นข้อความสังเขปในสีลัพพัตตุปาทานนี้.
แต่โดยพิสดารสีลัพพัตตุปาทานนี้ พึงทราบโดยนัยที่ตรัสไว้อาทิผิด อาณัติกะแล้วว่า
บรรดาอุปาทานเหล่านั้น สีลัพพัตตุปาทานเป็นไฉน ? คือ ความบริสุทธิ์
 
๑๗/๑๓๐/๕๙๒

วันพุธ, มกราคม 12, 2565

Phiksu

 
[๓๖๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนท่านพระฉันนะ โดยอเนก
ปริยายดั่งนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระอนุบัญญัติ
๖๑. ๒. ข. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็นผู้กล่าวคำอื่น
ในเพราะความเป็นผู้ให้ลำบาก.
เรื่องพระฉันนะ จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๓๖๒] ที่ชื่อว่า เป็นผู้กล่าวคำอื่น คือ ภิกษุเมื่อถูกไต่สวนใน
เพราะวัตถุหรืออาบัติ ณ ท่ามกลางสงฆ์ ไม่ปรารถนาจะบอกเรื่องนั้น ไม่
ปรารถนาจะเปิดเผยเรื่องนั้น จึงเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อนว่า ใครต้อง
ต้องอะไร ต้องในเพราะเรื่องอะไร ต้องอย่างไร ท่านทั้งหลายว่าใคร ว่าเรื่อง
อะไร ดังนี้ นี่ชื่อว่า เป็นผู้กล่าวคำอื่น.
[๓๖๓] ที่ชื่อว่า เป็นผู้ให้ลำบาก คือ ภิกษุอาทิผิด สระ เมื่อถูกไต่สวนใน
เพราะวัตถุหรืออาบัติ ณ ท่ามกลางสงฆ์ ไม่ปรารถนาจะบอกเรื่องนั้น ไม่
ปรารถนาจะเปิดเผยเรื่องนั้น จึงนิ่งเสีย ทำให้สงฆ์ลำบาก นี่ชื่อว่า เป็นผู้ให้
ลำบาก
บทภาชนีย์
[๓๖๔ ] เมื่อสงฆ์ยังไม่ยกอัญญวาทกกรรม ภิกษุถูกไต่สวนในเพราะ
วัตถุหรืออาบัติ ณ ท่ามกลางสงฆ์ ไม่ปรารถนาจะบอกเรื่องนั้น ไม่ปรารถนา
 
๔/๓๖๓/๒๙๐

วันอังคาร, มกราคม 11, 2565

Chap Chai

 
๕. เธอละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้ว
ไม่ไปบอกข้างโน้น เพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้นแล้ว
ไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกัน
แล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน
ยินดีคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินคนผู้พร้อมเพรียงกัน กล่าวแต่คำ
ที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
๖. เธอละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ
เพราะหู ชวนให้รัก จับอาทิผิด อักขระใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่ พอใจ
แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
๗. เธอละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดจริง
พูดเป็นอรรถ พูดเป็นธรรม พูดเป็นวินัย พูดมีหลัก มีที่อ้าง มีที่สุด
ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอ
ประการหนึ่ง.
๘. เธอเว้นขาดจากการพรากพืชคาม และภูตคาม.
๙. เธอฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดเว้นการฉันในเวลา
วิกาล.
๑๐. เธอเว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และ
ดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล.
๑๑. เธอเว้นขาดจากการทัดทรงประดับและตกแต่งร่างกาย ด้วย
ดอกไม้ ของหอม และเครื่องประเทืองผิว อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว.
๑๒. เธอเว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่.
๑๓. เธอเว้นขาดจากการรับทองและเงิน.
 
๑๑/๑๐๓/๓๑๐

วันจันทร์, มกราคม 10, 2565

Kratham

 
อรรถกถาอัญชนวนิยเถรคาถา
คาถาของท่านพระอัญชนวนิยเถระเริ่มต้นว่า อาสนฺทึ กุฏิกํ กตฺวา.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตระ
ท่านเป็นช่างดอกไม้ นามว่า สุทัสสนะ บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยดอกมะลิ
กระทำบุญอย่างอื่นไว้ในภพนั้น ๆ เป็นอันมาก บวชในศาสนาของพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ แล้วได้บำเพ็ญสมณธรรม ครั้นใน-
พุทธุปบาทกาลนี้ เกิดในตระกูลเจ้าวัชชี ในพระนครเวสาลี ในเวลาที่เขา
เจริญเติบใหญ่แล้ว ภัยทั้ง ๓ คือ ภัยเกิดแต่ฝนแล้ง ๑ ภัยเกิดแต่ความเจ็บไข้ ๑
ภัยเกิดแต่อมนุษย์ ๑ บังเกิดแล้วในแคว้นวัชชี. ภัยทั้งหมดนั้นพึงทราบโดยนัย
ดังกล่าวแล้วในอรรถกถารัตนสูตร ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึงเมืองเวสาลี
เมื่อภัยทุกอย่างสงบแล้ว และเมื่อธรรมาภิสมัยเกิดแล้วแก่เทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย จำนวนมาก ในการแสดงธรรมของพระบรมศาสดา ราชกุมารนี้เห็น
พุทธานุภาพ ได้มีศรัทธา บรรพชาแล้ว.
ก็ราชกุมารนี้ มีประวัติอย่างไร แม้พระราชาอีก ๔ องค์ ที่จะกล่าว
ต่อไป ก็มีประวัติอย่างนั้น ก็ราชกุมารแห่งเจ้าลิจฉวีผู้เป็นพระสหายของ
ราชกุมารนี้ แม้เหล่านั้น ก็บรรพชาแล้วโดยทำนองนี้แหละด้วยอาการอย่างนี้
คือ ราชกุมารเหล่านั้นเป็นสหายกัน แม้ในกาลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง
พระนามว่า กัสสปะ บวชแล้ว ก็ได้บำเพ็ญสมณธรรมร่วมกันกับราชกุมารนี้
ได้กระทำบุญมีการปลูกพืชคือกุศลเป็นต้นไว้แทบบาทมูลของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ พระอัญชนวนิยเถระนี้ กระทำอาทิผิด สระบุรพกิจเสร็จแล้ว
 
๕๐/๑๙๒/๒๘๓

วันอาทิตย์, มกราคม 09, 2565

Pen

 
นันทนวัน เทพอัปสรประมาณพันหนึ่งพากันมายืนห้อม
ล้อมดีฉัน ดีฉันเป็นอาทิผิด อักขระผู้ประเสริฐเลิศกว่าเทพอัปสรนั้น
โดยรัศมี เกียรติยศ และอายุ ดีฉันได้กระทำ
กัลยาณธรรมไว้มาก มีสติสัมปชัญญะ ท่านเจ้าข้า
ดีฉันมาในโลกครั้งนี้ ก็เพื่อถวายนมัสการท่านปราชญ์
ผู้ประกอบด้วยความกรุณาเจ้าค่ะ เทพธิดานั้น ครั้น
กล่าวถ้อยคำนี้แล้ว เป็นผู้ประกอบด้วยความกตัญญู
กตเวที ไหว้เท้าทั้งสองของพระมหาโมคคัลลานเถระ
องค์อรหันต์แล้วก็อันตรธานไป ณ ที่นั้นนั่นเอง.
จบจัณฑาลิวิมาน
อรรถกถาจัณฑาลิวิมาน
จัณฑาลิวิมานมีคาถาว่า จณฺฑาลิ วนฺท ปาทานิ ดังนี้เป็นต้น.
จัณฑาลิวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กรุงราชคฤห์ ในเวลาใกล้รุ่ง
ทรงเข้ามหากรุณาสมาบัติ ที่พระพุทธเจ้าปฏิบัติกันมาแล้ว เมื่อทรงออก
แล้วตรวจดูโลกอยู่ ได้ทรงเห็นหญิงจัณฑาลแก่คนหนึ่ง ซึ่งอยู่ใน
จัณฑาลิคาม ในนครนั้นนั่นเองสิ้นอายุ ก็กรรมของนางที่นำไปนรก
ปรากฏชัดแล้ว. พระองค์ทรงมีพระทัยอันพระมหากรุณาให้ขะมักเขม้นแล้ว
ทรงดำริว่า เราให้นางทำกรรมอันนำไปสู่สวรรค์ จักห้ามการเกิดใน
นรกของนางด้วยกรรมนั้น ให้ดำรงอยู่บนสวรรค์ จึงเสด็จเข้าไป
 
๔๘/๒๑/๑๗๙

วันเสาร์, มกราคม 08, 2565

Fang

 
๖. ฉฉักกสูตร

[๘๑๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อาราม
ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัส
แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรม
แก่เธอทั้งหลาย อันไพเราะในเบื้องต้น ในท่ามกลางในที่สุด พร้อมทั้งอรรถ
ทั้งพยัญชนะ ประกาศพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง คือ ธรรมหมวด
หก ๖ หมวด พวกเธอจงฟังอาทิผิด ธรรมนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป ภิกษุ
เหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า.
[๘๑๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสดังนี้ว่า พวกเธอพึงทราบ
อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ หมวดวิญญาณ ๖ หมวดผัสสะ ๖
หมวดเวทนา ๖ หมวดตัณหา ๖.
[๘๑๒] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า พึงทราบอายตนะภายใน ๖ นั้น เรา
อาศัยอะไรกล่าวแล้ว ได้แก่ อายตนะคือจักษุ อายตนะคือโสต อายตนะคือ
ฆานะ อายตนะคือชิวหา อายตนะคือกาย อายตนะคือมโน ข้อที่เรากล่าว
ดังนี้ว่า พึงทราบอายตนะภายใน ๖ นั่น เราอาศัยอายตนะนี้ กล่าวแล้วนี้
ธรรมหมวดหก หมวดที่ ๑.
[๘๑๓] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า พึงทราบอายตนะภายนอก ๖ นั่น เรา
อาศัยอะไรกล่าวแล้ว ได้แก่ อายตนะคือรูป อายตนะคือเสียง อายตนะคือกลิ่น
อายตนะคือรส อายตนะคือโผฏฐัพพะ อายตนะคือธรรมารมณ์ ข้อที่เรากล่าว
 
๒๓/๘๑๐/๔๘๖