บรรลุมรรคสุข และผลสุข. ก็เพราะได้ความสุข ฉะนั้นแม้เราปรารถนาความสุข
นั้นก็พึงรักษาหญ้ามุงกระต่ายไว้ บุรุษผู้เข้าสงครามอาทิผิด อักขระไม่ยอมถอย เพื่อจะให้รู้
ว่าตนไม่ถอย จึงผูกหญ้ามุงกระต่ายไว้บนศีรษะที่ธงหรือที่อาวุธ ท่านจงจำเรา
ว่ามารนี้ยังนำไปอยู่ น่าติเตียน ชีวิตของเราผู้แพ้ เสนาของท่าน เพราะฉะนั้น
ท่านจงจำไว้อย่างนี้ว่า สงฺคาเม เม มตํ เสยฺโย ยญฺเจ ชีเว ปราชิโต
เราตายเสียในสงครามอาทิผิด อักขระยังดีกว่า แพ้แล้วเป็นอยู่จะดีได้อย่างไร อธิบายว่า เรา
ตายเสียในสงครามกับท่านผู้ทำอันตรายแก่ผู้ปฏิบัติชอบ ดีกว่าแพ้แล้วมีชีวิตอยู่.
หากมีคำถามว่า เพราะเหตุไร จึงว่าตายดีกว่า. ตอบว่า เพราะ
สมณพราหมณ์บางพวกหยั่งลงไปแล้วในเสนาของท่านย่อมไม่ปรากฏ ส่วนผู้มี
วัตรงามย่อมไปโดยหนทางที่ชนทั้งหลายไม่รู้. อธิบายว่า สมณพราหมณ์
บางพวกหยั่งลงไปแล้ว คือ จมลงไปแล้ว เข้าไปแล้วในเสนาของท่านอันมี
วัตถุกามเป็นเบื้องต้น มีการยกตนข่มผู้อื่นเป็นที่สุดย่อมไม่ปรากฏ คือย่อมไม่
ประกาศด้วยคุณทั้งหลายมีศีลเป็นต้น ดุจเข้าไปสู่ที่มืด สมณพราหมณ์เหล่านี้
หยั่งลงไปแล้วอย่างนี้ บางครั้งก็โผล่ขึ้นโดยนัยมีอาทิว่า สาหุ สทฺธา ดุจบุรุษ
โผล่ขึ้นในบางครั้งแล้วจมลงฉะนั้น. อนึ่ง ผู้มีวัตรงามมีพระพุทธเจ้า พระปัจ-
เจกพุทธเจ้าเป็นต้นแม้ทั้งปวง ย่อมไปโดยหนทางที่ชนทั้งหลายไม่รู้ เพราะถูก
เสนานั้นครอบงำไว้ อันได้แก่ไปสู่พระนิพพานอันเป็นแดนเกษม.
ฝ่ายมารฟังคาถานี้แล้ว ไม่พูดอะไร ๆ แล้วก็หลีกไป. ก็เมื่อมารนั้น
หลีกไปแล้ว พระมหาสัตว์ยังไม่บรรลุธรรมวิเศษอย่างใด เพราะบำเพ็ญทุกร-
กิริยานั้น ทรงดำริต่อไปว่า จะพึงมีทางอื่นเพื่อการตรัสรู้หรือหนอ ทรงให้นำ
๔๗/๓๕๕/๔๐๕
ธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ เป็นไฉน ?
กุศลในภูมิ ๔ อกุศล วิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูปที่
เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้แต่นับเนื่องในธรรมายตนะ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า
ธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้.
ติกะ จบ
อัฏฐกถากัณฑวรรณนา๑
อธิบายเนื้อความหมวดติกะ
บัดนี้ ถึงลำดับการพรรณนาอัฏฐกถากัณฑ์ที่ท่านตั้งไว้ในลำดับแห่ง
นิกเขปกัณฑ์. ถามว่า ก็กัณฑ์นี้ ชื่อว่า อัฏฐกถากัณฑ์ เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า เพราะยกเนื้อความพระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎกขึ้นขยายความ.
จริงอยู่ ความแตกต่างกันแห่งธรรมที่มาในปิฎกทั้ง ๓ ท่านได้
กำหนดแยกแยะใคร่ครวญไว้ด้วยอัฏฐกถากัณฑ์นั่นแหละ ย่อมชื่อว่า เป็นคำ
อันท่านวินิจฉัยดีแล้ว. แม้จะกำหนดทางแห่งนัยในพระอภิธรรมปิฎกทั้งสิ้น
ตลอดถึงการขยายความปัญหา การเป็นไปแห่งการนับในมหาปกรณ์ ไม่ได้
ก็ควรนำมาเปรียบเนื้อความดูจากอัฏฐกถากัณฑ์ได้.
ถามว่า ก็อัฏฐกถากัณฑ์นี้ เกิดแต่ใคร ?
ตอบว่า เกิดแต่พระสารีบุตรเถระ.
จริงอยู่ พระสารีบุตรเถระได้กล่าวอัฏฐกถากัณฑ์ให้สัทธิวิหาริกอาทิผิด ของ
ท่านรูปหนึ่ง ซึ่งไม่อาจกำหนดขยายเนื้อความในนิกเขปกัณฑ์ได้ แต่อัฏฐกถา
กัณฑ์นี้ ท่านกล่าวคัดค้านไว้ในมหาอรรถกถาว่า ธรรมดาพระอภิธรรมไม่ใช่
๑ บาลีเป็น อัตถทธารกัณฑ์
๗๖/๘๙๙/๕๖๒
มีความงามในที่สุด ด้วยบาทที่สุด เพราะพระธรรมมีความงามรอบด้าน.
พระสูตรมีอนุสนธิเดียว มีความงามในเบื้องต้นด้วยคำนิทาน. มีความงามใน
ที่สุดด้วยคำนิคม. มีความงามในท่ามกลางด้วยคำที่เหลือ. พระสูตรที่มีอนุสนธิ
ต่าง ๆ มีความงามในเบื้องต้นด้วยอนุสนธิแรก. มีความงามในที่สุดด้วยอนุสนธิ
ในที่สุด. มีความงามในท่ามกลาง ด้วยอนุสนธิที่เหลือ ศาสนาธรรมแม้ทั้งสิ้น
มีความงามในเบื้องต้น ด้วยศีลอันเป็นอรรถของตนบ้าง มีความงามในท่าม
กลาง ด้วยสมถะและวิปัสสนา มรรคและผลบ้าง. มีความงามในที่สุด ด้วย
พระนิพพานบ้าง.
อีกอย่างหนึ่ง มีความงามในเบื้องต้น ด้วยศีลและสมาธิ. มีความงาม
ในท่ามกลาง ด้วยวิปัสสนาและมรรค, มีความงามในที่สุด ด้วยผลและพระ
นิพพาน.
๑ อีกอย่างหนึ่ง มีความงามในเบื้องต้น ด้วยความตรัสรู้ดีของ
พระพุทธเจ้า มีความงามในท่ามกลาง ด้วยความเป็นธรรมดีแห่งพระธรรม
มีความงามในที่สุด ด้วยการปฏิบัติดีของพระสงฆ์.
อีกอย่างหนึ่ง มีความงามในเบื้องต้น ด้วยพระอภิสัมโพธิญาณ อัน
ผู้สดับศาสนาธรรมนั้นแล้ว ปฏิบัติโดยความเป็นเช่นนั้นจะพึงบรรลุ มีความ
งามในท่ามกลาง ด้วยปัจเจกโพธิญาณ มีความงามในที่อาทิผิด สุด ด้วยสาวกโพธิญาณ.
อนึ่ง ศาสนธรรมนั้น เมื่อสาธุชนสดับอยู่ ย่อมนำมาแต่ความงามฝ่ายเดียว
แม้ด้วยการสดับ เพราะจะข่มนิวรณธรรมไว้ได้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
มีความงามในเบื้องต้น เมื่อสาธุชนปฏิบัติอยู่ ก็ย่อมนำมาแต่ความงามฝ่ายเดียว
แม้ด้วยการปฏิบัติ เพราะจะนำมาแต่ความสุขอันเกิดแต่ สมถะและวิปัสสนา
๑ องค์การศึกษาแผนกบาลี แปลออกสอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๐๑
๑/๙/๒๑๕
พระนางจิตตา ๑ พระนางชันตุ ๑ พระนางชาลินี ๑ พระนางวิสาขา ๑.
พระมเหสีองค์หนึ่ง ๆ มีหญิงบริวารองค์ละ ๕๐๐.
พระมเหสีองค์ใหญ่มีโอรส ๔ พระองค์ คือ เจ้าชายโอกกามุขะ ๑
เจ้าชายกากัณฑะ ๑ เจ้าชายหัตถินิกะ ๑ เจ้าชายนิปุระ ๑. มีพระธิดา ๕
พระองค์ คือ เจ้าหญิงปิยา ๑ เจ้าหญิงสุปปิยา ๑ เจ้าหญิงอานันทา ๑
เจ้าหญิงวิชิตาอาทิผิด สระ ๑ เจ้าหญิงวิชิตเสนา ๑ ครั้นพระมเหสีองค์ใหญ่ได้พระโอรส
พระธิดา ๙ องค์แล้ว ก็สิ้นพระชนม์.
พระราชาจึงทรงนำราชธิดาซึ่งยังสาว ทั้งมีรูปโฉมงดงามองค์อื่นมา
ตั้งไว้ในตำแห่งพระอัครมเหสี. พระอัครมเหสีอาทิผิด อักขระได้ประสูติพระโอรสองค์หนึ่ง
ครั้นประสูติได้ ๕ วัน พวกนางนมได้ตกแต่งพระชันตุกุมารนำมาเฝ้าพระราชา.
พระราชาทรงยินดีได้พระราชทานพรแด่พระมเหสี. พระนางจึงทรงปรึกษากับ
บรรดาพระญาติทูลขอราชสมบัติให้แก่พระโอรส. พระราชาทรงพิโรธว่า
หญิงถ่อยใจชั่ว เจ้าจงพินาศเสียเถิด เจ้าปรารถนาให้พวกโอรสของเราได้รับ
อันตราย แล้วไม่พระราชทานตามที่พระมเหสีทูลขอ. พระอัครมเหสีประเล้า
ประโลมพระราชาในที่ลับบ่อย ๆ ครั้นให้ทรงพอพระทัยแล้ว ทูลพระดำรัสมี
อาทิว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เป็นมหาราช ไม่ควรกล่าวเท็จ แล้วทูลวิงวอนซ้ำ
แล้วซ้ำอีก.
ลำดับนั้น พระราชาตรัสเรียกพระโอรสทั้งหลายมาตรัสว่า ดูก่อนลูก ๆ
ทั้งหลาย พ่อเห็นชันตุกุมารน้องของพวกลูก จึงได้ผลุนผลันให้พรแก่มารดา
ของชันตุกุมาร เธอประสงค์จะให้โอรสครองราชสมบัติ เมื่อพ่อล่วงลับไปแล้ว
๔๗/๓๓๑/๓๓๓
อรรถกถาราชภัฏวัตถุ
พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องราชภัฏต่ออาทิผิด สระไป:-
สองบทว่า ปจฺจนฺตํ ยุจฺจินเถ มีความว่า ท่านทั้งหลายจงยังปัจจันต
ชนบทให้เจริญ มีคำอธิบายว่า ท่านทั้งหลายจงขับไล่พวกโจรเสียแล้ว จัดแจง
บ้านที่พ้นโจรภัยแล้วให้ราบคาบ จัดการรักษาโดยกวดขัน ให้การกสิกรรมเป็น
ต้นเป็นไป. ฝ่ายพระราชาเพราะพระองค์เป็นพระโสดาบัน จึงไม่ทรงบังคับว่า
จงฆ่า จงประหารพวกโจร. พวกอำมาตย์ซึ่งเป็นหมอกฎหมาย คิดว่า ใน
บรรพชา อุปัชฌาย์เป็นใหญ่ รองไปอาจารย์ รองลงไปคณะ จึงพากันกราบ
ทูลคำทั้งปวงมีอาทิ ว่า ขอเดชะ พึงให้ตัดศีรษะอุปัชฌาย์เสีย ด้วยคิดอาทิผิด อักขระเห็นว่า
นี้มาในข้อวินิจฉัยแห่งกฎหมาย.
ในข้อว่า น ภิกฺขเว ราชภโฏ ปพฺพาเชตพฺโพ นี้ มีวินิจฉัยว่า
จะเป็นอำมาตย์ หรือมหาอำมาตย์ หรือเสวกหรือผู้ได้ฐานันดรเล็กน้อย หรือ
ผู้ไม่ได้ก็ตามที บุคคลผู้หนึ่งซึ่งได้รับเลี้ยงด้วยอาหารหรือเบี้ยเลี้ยงของ
พระราชา ถึงความนับว่า ราชภัฏ ทั้งหมด ราชภัฏนั้นไม่ควรให้บวช. ฝ่าย
บุตรที่น้องชายและหลานชายเป็นต้น ของราชภัฏนั้น ไม่ได้รับอาหารอาทิผิด อักขระหรือเบี้ย
เลี้ยงจากพระราชา จะให้ชนเหล่านั้นบวช ควรอยู่. ฝ่ายผู้ใดถวายโภคะประจำ
หรือเงินเดือนเบี้ยหวัดรายปี ซึ่งตนได้รับพระราชทาน คืนแด่พระ-
ราชา หรือให้บุตรและพี่น้องชายรับตำแหน่งนั้นแทน แล้วทูลลาพระราชาว่า
บัดนี้ ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้ได้รับเลี้ยงของเทวะแล้ว. หรือว่าอาหารและเบี้ยเลี้ยง ซึ่งผู้
ใดได้รับเพราะเหตุแห่งราชการใด. ราชการนั้นเป็นกิจอันตนทำเสร็จแล้ว หรือ
ผู้ใดเป็นผู้ได้บรมราชานุญาตว่า เจ้าจงบวช จะให้บุคคลแม้นั้นบวช ควรอยู่.
อรรถกถาราชภัฏวัตถุ จบ
๖/๑๐๒/๒๔๖
ท่านขอรับ ขอนิมนต์พระภิกษุ ๕๐๐ รูป ท่านก็กล่าวว่า ฉันรับ
สำหรับภิกษุที่เหลือเว้นพระจุลลปัณฐกะ พระจุลลปัณฐกะได้ฟัง
คำนั้นก็โทมนัสเหลือประมาณ พระศาสดาทรงเห็นพระจุลลปัณถกะ
ร้องไห้อยู่ ทรงดำริว่า จุลลปัณฐกะเมื่อเราไปจักตรัสรู้ จึงเสด็จ
ไปแสดงพระองค์ในที่ที่ไม่ไกลแล้วตรัสว่า ปัณฐกะ เธอร้องไห้
ทำไม
ป.พี่ชายขับไล่ข้าพระองค์พระเจ้าข้า
พ.ปัณฐกะ พี่ชายของเธอไม่มีอาสยานุสยญาณสำหรับ
บุคคลอื่น เธอชื่อว่าพุทธเวไนยบุคคล ดังนี้ ทรงบันดาลอาทิผิด สระฤทธิ์มอบผ้า
ชิ้นเล็ก ๆ ที่สะอาดผืนหนึ่งประทานตรัสว่า ปัณฐกะ เธอจงเอา
ผ้าผืนนี้ภาวนาว่า รโชหรณํ รโชหรณํ ดังนี้.
ท่านนั่งเอามือคลำผ้าท่อนเล็กที่พระศาสดาประทานนั้น
ภาวนาว่า รโชหรณํ รโชหรณํ เมื่อท่านลูบคลำอยู่ (เช่นนั้น) ผ้าผืน
นั้นก็เศร้าหมอง เมื่อท่านลูบอาทิผิด สระคลำอยู่บ่อย ๆ ก็กลายเป็นเหมือนผ้า
เช็ดหม้อข้าว ท่านอาศัยความแก่กล้าแห่งญาณ เริ่มตั้งความสิ้นไป
และความเสื่อมไปในผ้านั้น คิดว่า ท่อนผ้านี้โดยปกติสะอาดบริสุทธิ์
เพราะอาศัยอุปาทินนกสรีระ จึงเศร้าหมอง แม้จิตนี้ก็มีคติเป็น
อย่างนี้เหมือนกัน แล้วเจริญสมาธิกระทำรูปาวจรฌาน ๔ ให้ปรากฏ
บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาแล้ว ท่านเป็นผู้ได้ฌานด้วย
มโนมยิทธินั่นเอง สามารถทำคนคนเดียวเป็นหลายคนได้ หลายคน
ก็สามารถทำให้เป็นคนเดียวได้ ก็พระไตรปิฎกและอภิญญา ๖
มาถึงท่านพร้อมกับพระอรหัตมรรคนั่นแหละ
๓๒/๑๔๖/๓๔๖
๒๔. เรื่องอาทิผิด สระอุทกุกเขปในแม่น้ำ ๒๕. เรื่องอุทกุกเขปในสมุทร ๒๖. เรื่อง
อุทกุกเขปในชาตสระ ๒๗. เรื่องสีมาคาบเกี่ยว ๒๘. เรื่องสมมติสีมาทับสีมา
๒๙. เรื่องวันอุโบสถมีเท่าไร ๓๐. เรื่องอาการที่ทำอุโบสถมีเท่าไร ๓๑. เรื่อง
ปาติโมกขุทเทสมีเท่าไร ๓๒. เรื่องคนชาวดงมาพลุกพล่าน ๓๓. เรื่องไม่มี
อันตราย ๓๔. เรื่องแสดงธรรม ๓๕. เรื่องถามวินัย ๓๖. เรื่องกล่าวคุก-
คาม ๓๗. เรื่องวิสัชนาวินัย ๓๘. เรื่องกล่าวคุกคามอีกเรื่องหนึ่ง ๓๙. เรื่อง
โจทด้วยอาบัติ ๔๐. เรื่องทำโอกาส ๔๑. เรื่องค้านกรรมที่ไม่เป็นธรรม
๔๒. เรื่องภิกษุ ๔-๕ รูปทำความเห็นแย้ง ๔๓. เรื่องแกล้งสวดปาติโมกข์ไม่
ให้ได้ยิน ๔๔. เรื่องทรงอนุญาตให้พยายามสวด ๔๕. เรื่องสวดปาติโมกข์
ในบริษัทที่มีคฤหัสถ์ปนอยู่ด้วย ๔๖. เรื่องไม่ได้รับ อาราธนาสวดปาติโมกข์
๔๗. เรื่องภิกษุไม่รู้ในโจทนาวัตถุนคร ๔๘. เรื่องภิกษุมากรูปด้วยกันไม่รู้
จักอุโบสถเป็นต้น ๔๙. เรื่องส่งไปพอจะกลับมาอาทิผิด อักขระทันในวันนั้น ๕๐. เรื่องไม่
ยอมไป ๕๑. เรื่องดิถีที่เท่าไรแห่งปักษ์ ๕๒. เรื่องภิกษุมีเท่าไร ๕๓. เรื่อง
ไปบิณฑบาตบ้านไกลทรงอนุญาตให้บอก ๕๔. เรื่องระลึกไม่ได้ ๕๕. เรื่อง
โรงอุโบสถรก ๕๖. เรื่องอาสนะและประทีป ๕๗. เรื่องภิกษุไปสู่ทิศ
๕๘. เรื่องภิกษุรูปอื่นเป็นพหูสูต ๕๙. เรื่องส่งภิกษุไปพอจะกลับมาทันใน
วันนั้น ๖๐. เรื่องจำพรรษา ๖๑. เรื่องทำอุโบสถ ๖๒. เรื่องให้ปาริสุทธิ
๖๓. เรื่องทำกรรม ๖๔. เรื่องพวกญาติ ๖๕. เรื่องภิกษุชื่อคัคคะ. ๖๖. เรื่อง
ภิกษุ ๕ รูป ๓ รูป ๒ รูป และรูปเดียว ๖๗. เรื่องต้องอาบัติ ๖๘. เรื่อง
แสดงสภาคาบัติ ๖๙อาทิผิด อาณัติกะ. เรื่องภิกษุรูป ๑ ระลึกอาบัติได้ ๗๐. เรื่องสงฆ์ทั้งหมด
ต้องสภาคาบัติและสงสัย ๗๑. เรื่องไม่รู้ชื่อและโคตรอาบัติ ๗๒. เรื่องภิกษุ
พหูสูต ๗๓. เรื่องภิกษุมามากกว่า มาเท่ากัน และมาน้อยกว่า ๗๔. เรื่อง
๖/๒๐๔/๕๐๕
ญาณ. และในลำดับที่เกิดพระสัพพัญญุตญาณ อรุณก็ขึ้นแล. ลำดับนั้น
ทรงยับยั้งอาทิผิด อาณัติกะอยู่สัปดาห์หนึ่ง ณ ควงอาทิผิด อักขระโพธิพฤกษ์ โดยบัลลังก์นั้นเอง เมื่อถึง
ราตรีวันปาฏิบท (วัน ๑ ค่ำ) ทรงมนสิการถึงปฏิจจสมุปบาท โดยนัยที่
กล่าวแล้วในยามทั้ง ๓ แล้วทรงเปล่งอุทานนี้ตามลำดับ.
แต่เพราะมาในขันธกะทั้ง ๓ วาระว่า ทรงมนสิการถึงปฏิจจสมุป-
บาทเป็นอนุโลมปฏิโลม ท่านจึงกล่าวไว้ในอรรถกถาขันธกะว่า พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงมนสิการอย่างนี้ในยามทั้ง ๓ แล้วทรงเปล่งอุทานเหล่านี้
อย่างนี้ คืออุทานที่ ๑ ด้วยอำนาจพิจารณาปัจจยาการ อุทานที่ ๒ ด้วย
อำนาจพิจารณาพระนิพพาน อุทานที่ ๓ ด้วยอำนาจพิจารณามรรค. แม้
คำนั้นก็ไม่ผิด.
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาธรรมในระหว่างภายใน
สัปดาห์ทั้ง ๖ ที่เหลือ เว้นสัปดาห์ที่ประทับ ณ รัตนฆรเจดีย์ โดยมากทรง
เสวยวิมุตติสุขอยู่. แต่ในสัปดาห์ที่ประทับ ณ รัตนฆรเจดีย์ ทรงประทับ
อยู่ด้วยการพิจารณาพระอภิธรรมเท่านั้นแล.
จบอรรถกถาตติยโพธิสูตรที่ ๓
๔. อชปาลนิโครธสูตร
ว่าด้วยธรรมที่ทำให้เป็นพราหมณ์
[๔๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ ประทับอยู่ที่ควงไม้อช-
ปาลนิโครธ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ที่ตำบลอุรุเวลา ก็สมัยนั้นแล พระ-
๔๔/๔๑/๘๑
ก็ดี ทายกอาทิผิด ผู้มีจิตเลื่อมใสจัดไทยธรรมให้
เป็นของควรบูชาตามสมควรแล้ว บริจาค
ในท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลายซึ่ง
เป็นเนื้อนาดี การบูชา การบริจาคที่
กระทำในท่านเหล่านั้น ผู้เป็นทักษิไณย-
บุคคล ย่อมเป็นการบูชาอย่างดี เป็นการ
บริจาคอย่างดีพร้อมมูล ยัญย่อมมีผล
ไพบูลย์ และเทวดา เลื่อมใส.
ปราชญ์ผู้ศรัทธา มีใจปลอดโปร่ง
(จากความตระหนี่) ครั้นบูชายัญอย่างนี้
แล้ว ย่อมเป็นบัณฑิตเข้าถึงโลกอันไม่มี
ความเบียดเบียนเป็นสุข.
จบอุทายิสูตรที่ ๑๐
จบจักกวรรคที่ ๔
อรรถกถาอุทายิสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในอุทายิสูตรที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อภิสงฺขตํ คือทำให้เป็นกอง. บทว่า นิรารมฺภํ คือ
เว้นความปรารภสัตว์. บทว่า ยญฺญํ คือ ไทยธรรม. ที่จริงไทยธรรมนั้น
เขาเรียกว่า ยัญ เพราะเขาพึงบูชา. บทว่า กาเลน คือ ตามกาลอันควร
คือเหมาะ. บทว่า อุปสํยนฺติ คือย่อมเข้าไปถึง. บทว่า กุลํ คตึ ความว่า
๓๕/๔๐/๑๕๓
ทั้งหลายก็จักสามารถรู้แจ้งแทงตลอดได้ เพราะฉะนั้น เราจักเนรมิตพระ-
พุทธนิมิต แล้วทรงเข้าฌานมีอภิญญาเป็นบาท ทรงกระทำบริกรรมด้วย
กามาวจรจิตว่า การถือบาตรและจีวร การดู การเหลียว การคู้ การเหยียด
จงเหมือนเราเถิด. แล้วทรงอธิษฐานด้วยรูปาวจรจิตว่า ขอพระพุทธนิมิต
จงมา ดุจแหวกมณฑลพระจันทร์ซึ่งโผล่ขึ้นจากการล้อมของภูเขายุคนธร
ด้านทิศปราจีนเถิด. หมู่เทพเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า ดูอาทิผิด โน่นท่านทั้งหลาย
พระจันทร์โผล่ขึ้นอีกดวงแล้ว. พอใกล้เข้ามา หมู่เทพละพระจันทร์กล่าวว่า
ไม่ใช่พระจันทร์ พระอาทิตย์ขึ้น พอใกล้เข้ามาอีก ไม่ใช่พระอาทิตย์ เป็น
เทพวิมานองค์หนึ่ง พอใกล้เข้ามา ไม่ใช่เทพวิมาน เป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง
พอใกล้เข้ามาอีก ไม่ใช่เทพบุตร เป็นมหาพรหมองค์หนึ่ง พอใกล้เข้ามา
อีก ไม่ใช่มหาพรหม เป็นพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งเสด็จมา ดังนี้. บรรดา
ทวยเทพเหล่านั้น เทพที่เป็นปุถุชนคิดกันว่า การประชุมเทวดานี้จักมี
พระพุทธเจ้าองค์เดียวหรือมีถึงสององค์. พวกเทพที่เป็นอริยะคิดกันว่า
โลกธาตุหนึ่งมิได้มีพระพุทธเจ้าถึงสองพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าคงจะ
ทรงเนรมิตพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นให้คล้ายพระองค์เป็นแน่.
ลำดับนั้น เมื่อหมู่เทพกำลังดูอยู่นั้นเอง พระพุทธนิมิตเสด็จมาถึง
มิได้ไหว้พระทศพล ทำเสมอ ๆ กันในที่เฉพาะพระพักตร์แล้วประทับนั่ง ณ
อาสนะที่เนรมิตไว้. พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระมหาปุริสอาทิผิด สระลักษณะ ๓๒ แม้
พระพุทธนิมิตก็มี ๓๒ เหมือนกัน. พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระฉัพพรรณ-
รังสีซ่านออกจากพระวรกาย แม้พระพุทธนิมิตก็เหมือนกัน. พระรัศมีใน
พระวรกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมกระทบในพระวรกายของพระ-
พุทธนิมิต. พระรัศมีของพระพุทธนิมิตก็ย่อมกระทบในพระวรกายของ
๖๖/๔๔๑/๖๖
เถรีคาถา ติงสนิบาต
อรรถกถาสุภาชีวกัมพวนิกาเถรีคาถา
ในติงสนิบาต คาถาว่า ชีวกมฺพวนํ รมฺมํ เป็นต้น เป็นคาถา
ของพระสุภาชีวกัมพวนิกาเถรี มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
พระเถรีแม้รูปนี้ ก็ได้บำเพ็ญบารมีมาในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ
สร้างสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน มาในภพนั้น ๆ อบรมกุศลมูลอาทิผิด สระเพิ่ม
พูนสัมภารธรรมเครื่องปรุงแต่งวิโมกข์มาโดยลำดับ มีญาณแก่กล้า มาใน
พุทธุปบาทกาลนี้ ก็บังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในกรุงราชคฤห์
มีนามว่าสุภา.
เล่ากันมาว่า นางมีส่วนแห่งเรือนร่างประกอบด้วยผิวพรรณดั่งทอง
เพราะฉะนั้น นางจึงมีนามคล้อยตามไป ด้วยว่า สุภา แปลว่า งาม ขณะ
พระศาสดาเสด็จเข้าไปกรุงราชคฤห์ นางก็ได้ศรัทธาเป็นอุบาสิกา ต่อมา เกิด
ความสังเวชในสังสารวัฏ เห็นโทษในกามทั้งหลาย และกำหนดเอาเนกขัมมะ
การบวชเป็นทางเกษม บวชในสำนักพระนางปชาบดีโคตมี บำเพ็ญวิปัสสนา
๒-๓ วันเท่านั้น ก็ดำรงอยู่ในพระอนาคามิผล.
ต่อมา วันหนึ่ง ชายนักเลงหญิงคนหนึ่ง เป็นชาวกรุงราชคฤห์
เป็นหนุ่มแรกรุ่น เห็นพระเถรีกำลังเดินไปเพื่อพักกลางวันที่ชีวกัมพวันวิหาร
เกิดจิตปฏิพัทธ์ขึ้นมา ก็ยืนกั้นขวางทางไว้ กล่าวเชิญชวนด้วยกามารมณ์
พระเถรีเมื่อจะประกาศโทษของกามทั้งหลาย และอัธยาศัยในเนกขัมมะการบวช
ของตนด้วยประการต่าง ๆ จึงกล่าวธรรมแก่ชายผู้นั้น ชายผู้นั้นแม้ฟังธรรม-
กถาแล้วก็ไม่ยอมถอย ยังติดตามอยู่นั่นแหละ พระเถรีเห็นเขาไม่อยู่ในถ้อยคำ
๕๔/๔๗๒/๔๓๙
บางชนิด ก็ไม่สามารถจะเจริญเติบโตอาทิผิด อักขระได้ฉะนั้น. แต่ในเวลาต่อมา ท่านเข้าไป
หาพระเวณุทัตตเถระ ตั้งอยู่ในโอวาทของพระเถระแล้ว เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ
อยู่ เมื่อจะถามพระเถระถึงลำดับแห่งข้อปฏิบัติ เพราะมีญาณแก่กล้า จึงได้
กล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า
สิ่งใดอันบุคคลผู้มีความเพียรมั่นพึงทำ กิจใดอัน
บุคคลปรารถนาจะตรัสรู้พึงทำ เราจักทำกิจนั้น ๆ
ไม่ให้ผิดพลาด ตามคำพร่ำสอนของท่าน จงดูความ
เพียรความบากบั่นของเรา อนึ่ง ขอท่านจงบอกหนทาง
อันหยั่งลงสู่อมตมหานิพพานให้เรา เราจักรู้ด้วย
ปัญญา เหมือนกระแสแห่งแม่น้ำคงคาไหลไปสู่สาคร
ฉะนั้น ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ กิจฺจํ ทฬฺหวิริเยน ความว่า สิ่งใด
อันบุคคลผู้มีความเพียรมั่น คือมีความขยันขันแข็งพึงทำ ได้แก่ กิจใดอันบุคคล
พึงทำ คือพึงปฏิบัติด้วยความเพียรมั่น หรือด้วยการเอาใจใส่ธุระของบุรุษ.
บทว่า ยํ กิจฺจํ โพทฺธุมิจฺฉตา ความว่า กิจใดอันบุคคลผู้ปรารถนา
เพื่อจะรู้คือตรัสรู้ คือใคร่จะแทงตลอดอริยสัจ ๔ หรือพระนิพพานนั่นแหละ
พึงกระทำ.
บทว่า กริสฺสํ นาวรชฺฌิสฺสํ ความว่า บัดนี้ เราจักทำกิจนั้น ๆ
ไม่ให้ผิดพลาด คือ จักปฏิบัติตามคำสั่งสอน.
บทว่า ปสฺส วิริยํ ปรกฺกมํ ความว่า พระเถระแสดงความเป็นผู้ใคร่
เพื่อจะทำของตน ด้วยคำว่า ท่านจงดูความพยายามชอบ อันได้นามว่า “ วิริยะ ”
เพราะกระทำถูกต้องตามวิธี ในธรรมตามที่ปฏิบัติอยู่ และได้นามว่า ปรักกมะ
เพราะก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่แต่เพียงเชื่อเท่านั้น.
๕๑/๒๘๑/๑๑๘
ทีปนีอาทิผิด อักขระมีวินิจฉัยอันไม่สับสน ก็ถึงการจบลง โดยบาลี
ประมาณ ๙๒ ภาณวาร.
ดังนั้น บุญนั้นใด อันข้าพเจ้าผู้แต่งคัมภีร์ปร-
มัตถอาทิผิด อักขระทีปนีนั้น ได้ประสบแล้ว ด้วยอานุภาพแห่งบุญ
นั้น ขอสัตว์ทั้งปวง หยั่งลงถึงศาสนาของพระโลก-
นาถ ด้วยข้อปฏิบัติมีศีลเป็นต้นอันบริสุทธิ์ จงเป็นภาคี
มีส่วนแห่งวิมุตติรส.
ขอศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงดำรง
อยู่ยั่งยืนในโลก ขอสรรพสัตว์ จงมีความเคารพใน
ศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นเนืองนิจ.
ขอฝนจงตกต้องตามฤดูกาล
ขอพระเจ้าแผ่นดิน ผู้ทรงยินดีเป็นนิจในพระ-
สัทธรรม โปรดทรงปกครองสัตวโลก โดยธรรมเทอญ.
จบกถาพรรณนาความแห่งเถรีคาถา ซึ่งท่านพระอาจารย์ธรรมปาล-
เถระ ผู้อยู่ พทรติตถวิหาร [วัดท่าพุทรา] รจนาไว้.
อรรถกถาเถรีคาถา จบบริบูรณ์
๕๔/๔๗๔/๕๓๙
จงดูฤๅษีผู้ประเสริฐนี้ ซึ่งเป็นผู้มีผิวพรรณ
เหมือนทองคำ ที่ไล่มลทินออกแล้ว มีโลมชาติ
ชูชันอาทิผิด และใจโสมนัส ยืนประนมอัญชลีนิ่งไม่ไหว
ติง ร่าเริง มีนัยน์ตาเต็มดี มีอัธยาศัยน้อมไปใน
คุณของพระพุทธเจ้า มีธรรมเป็นธง หทัยร่าเริง
เหมือนกับถูกรดด้วยน้ำอมฤต
เขาได้สดับคุณของกัจจายนภิกษุแล้ว จึง
ได้ปรารถนาฐานันดรนั้น ในอนาคตกาล ฤาษี
ผู้นี้จักได้เป็นธรรมทายาทของพระโคดมมหามุนี
เป็นโอรสอันธรรมเนรมิต จักเป็นพระสาวกของ
พระศาสดา มีนามชื่อว่ากัจจายนะ
เขาจักเป็นพหูสูต มีญาณใหญ่ รู้อธิบาย
แจ้งชัด เป็นนักปราชญ์ จักถึงฐานันดรนั้น ดัง
ที่เราได้พยากรณ์ไว้แล้ว
ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ เราได้ทำกรรม
ใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้นเราไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา
เราท่องเที่ยวอยู่แต่ในสองภพ คือ ใน
เทวดาและมนุษย์ คติอื่นเราไม่รู้จัก นี้เป็นผลแห่ง
พุทธบูชา
เราเกิดในสองสกุล คือ สกุลกษัตริย์และ
สกุลพราหมณ์ เราไม่เกิดในสกุลที่ต่ำทราม
นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา
๗๒/๑๒๑/๒๑๔
บัณฑิตจักทำคนทุศีล มีศีลไม่ยั่งยืน ให้
เป็นคนอย่างไร.
จบ พรหาฉัตตชาดกที่ ๖
อรรถกถาพรหาฉัตตชาดกที่ ๖
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุโกหก จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ติณํ ติณนฺติ
ลปสิ ดังนี้.
เรื่องปัจจุบันได้กล่าวไว้แล้วเหมือนกัน. ส่วนเรื่องในอดีตมีข้อ
ความดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร.
พาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นอำมาตย์ผู้สอนอรรถและธรรม ของ
พระเจ้าพาราณสีนั้น. พระเจ้าพาราณสีทรงยกกองทัพใหญ่ไปเฉพาะ
พระเจ้าโกศล เสด็จในนครสาวัตถีเข้านครแล้วจับพระเจ้าโกศลได้ด้วย
การรบ. ก็พระเจ้าโกศลมีพระราชโอรสนามว่าฉัตตกุมาร. ฉัตตกุมาร
นั้นปลอมเพศหนีออกไปยังเมืองตักกศิลาเรียนไตรเพท และศิลป-
ศาสตร์ ๑๘ ประการ แล้วเสด็จออกจากเมืองตักกศิลา เที่ยวศึกษา
ศิลปะทุกลัทธิจนถึงปัจจันตคามแห่งหนึ่ง มีพระดาบสอาทิผิด ๕๐๐ รูป อาศัย
ปัจจันตคามนั้นอยู่ ณ บรรณศาลาในป่า. พระกุมารเข้าไปหาดาบส
เหล่านั้นแล้วคิดว่า จักศึกษาอะไร ๆ ในสำนักของพระดาบสแม้เหล่านี้
๕๘/๖๔๕/๖๑๙
เกิดในตระกูลเจ้าลิจฉวี ในกรุงเวสาลี ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้นามว่า วสภะ
เจริญวัยแล้ว เห็นพุทธานุภาพ ในคราวเสด็จไปพระนครไพศาลี ของพระผู้มี
พระภาคเจ้า ได้เป็นผู้มีจิตศรัทธาบวชแล้ว เริ่มตั้งวิปัสสนาแล้ว บรรลุ
พระอรหัต ต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
ในที่ไม่ไกลภูเขาหิมวันต์ มีภูเขาลูกหนึ่ง ชื่อ
สมัคคะ เราได้ทำอาศรม สร้างบรรณศาลาไว้ที่ภูเขา
นั้น เราเป็นชฎิลผู้มีตบะใหญ่ มีนามว่า นารทะ ศิษย์
สี่หมื่นคนบำรุงเรา ครั้งนั้น เราเป็นผู้หลีกออกเร้นอยู่
คิดอย่างนี้ว่า มหาชนบูชาเรา เราไม่บูชาอะไร ๆ เลย
ผู้ที่จะกล่าวสั่งสอนเราก็ไม่มี ใคร ๆ ที่จะตักเตือนเรา
ก็ไม่มี เราไม่มีอาจารย์และอุปัชฌาย์ อยู่ในป่า ศิษย์
ผู้ภักดีพึงอาทิผิด สระบำรุงใจครูทั้งคู่ได้ อาจารย์เช่นนั้นของเรา
ไม่มี การอยู่ในป่าจึงไม่มีประโยชน์ สิ่งที่ควรบูชา
เราควรแสวงหา สิ่งที่ควรเคารพ ก็ควรแสวงหาเหมือน
กัน เราจักชื่อว่า เป็นผู้ที่มีที่พึ่งพำนักอยู่ ใครๆ จักไม่
ติเราได้ ในที่ไม่ไกลอาศรมของเรา มีแม่น้ำซึ่งมี
ชายหาด มีท่าน้ำราบเรียบ น่ารื่นรมย์ใจ เกลื่อนกล่น
ไปด้วยทรายที่ขาวสะอาด ครั้งนั้น เราได้ไปยังแม่น้ำ
ชื่อ อมริกาอาทิผิด สระ กอบโกยเอาทรายมาก่อเป็นพระเจดีย์ทราย
พระสถูปของพระสัมพุทธเจ้า ผู้ทำที่สุดภพ เป็นมุนี
ที่ได้มีแล้วเป็นเช่นนี้ เราได้ทำพระสถูปนั้นให้เป็น
นิมิต เราก่อพระสถูปที่หาดทรายแล้วปิดทอง แล้วเอา
๕๑/๒๖๗/๔๒
ปัจจุปปันนาตีตวาระ อนุโลม
ปุคคลวาระ
กายสังขารมูล
กายสังขารมูละ วจีสังขารมูลี :-
[๑๒๐๓] กายสังขารกำลังเกิดแก่บุคคลใด, วจีสังขารก็เคยดับ
แก่บุคคลนั้น ใช่ไหม ?
ใช่.
ก็หรือว่า วจีสังขารเคยดับแก่บุคคลใด, กายสังขารก็กำลังเกิด
แก่บุคคลนั้น ใช่ไหม ?
ในภังคขณะแห่งจิตของบุคคลเหล่านั้นทั้งหมด เว้นลมอัสสาสะ
ปัสสาสะเสียแล้ว ในอุปปาทอาทิผิด อักขระขณะแห่งจิตก็ดี บุคคลที่กำลังเข้านิโรธ-
สมาบัติอยู่ก็ดี บุคคลที่เกิดอยู่ในอสัญญสัตตภูมิก็ดี วจีสังขารเคยดับ
แก่บุคคลเหล่านั้น แต่กายสังขารไม่ใช่กำลังเกิดแก่บุคคลเหล่านั้น, ใน
อุปปาทขณะแห่งลมอัสสาสะปัสสาสะ วจีสังขารเคยดับ และกายสังขาร
ก็กำลังเกิดแก่บุคคลเหล่านั้น ฯ ล ฯ
ในอุปปาทวาระ ปัจจุปปันนาตีตปุจฉา อนุโลมก็ดี ปัจจนิก
ก็ดี ท่านจำแนกไว้แล้วโดยประการใด, แม้ในอุปปาทนิโรธวาระ
ปัจจุปปันนาตีตปุจฉา อนุโลมก็ดี ปัจจนิกก็ดี ก็พึงจำแนกโดยประการ
นั้น.
ปัจจุปปันนาตีตวาระ จบ
๘๒/๑๒๐๓/๑๒๔๒
[สังเขปและอัทธาในปฏิจจสมุปบาท]
บรรดาองค์แห่งปฏิจจสมุปบาทนั้น อวิชชาและสังขารเป็นสังเขปหนึ่ง.
วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ และเวทนา เป็นสังเขปหนึ่ง. ตัณหา
อุปาทานและภพ เป็นสังเขปหนึ่ง. ชาติและชรามรณะเป็นสังเขปหนึ่ง. ก็ใน
สังเขป ๔ นั้น สังเขปต้น เป็นอตีตัทธา. สองสังเขปกลาง เป็นปัจจุปปันนัทธา
ชาติและชรามรณะเป็นอนาคตัทธา.
[วัฏฏะและสนธิ ๓ ในปฏิจจสมุปบาท]
อนึ่ง ในสังเขปต้นนั้น ตัณหาอุปาทานและภพ ย่อมเป็นอันท่านถือ
เอาแล้ว ด้วยศัพท์คืออวิชชาและสังขารนั่นแล เพราะฉะนั้น ธรรม ๕ เหล่านี้
จัดเป็นกรรมวัฏในอดีต. ธรรม ๕ อย่าง มีวิญญาณ เป็นต้น จัดเป็นวิปากวัฏ
ในปัจจุบัน. อวิชชาและสังขาร เป็นอันท่านถือเอาแล้วด้วยศัพท์คือตัณหา
อุปาทานและภพนั่นเอง เพราะฉะนั้น ธรรม ๕ เหล่านี้จัดเป็นกรรมวัฏในกาล
บัดนี้. ธรรม ๕ เหล่านี้ จัดเป็นวิปากวัฏต่อไป (ในอนาคต) เพราะองค์
ปฏิจจสมุปบาท มีวิญญาณ เป็นต้น ท่านแสดงโดยอ้างถึงชาติ ชรา มรณะ.
ปฏิจจสมุปบาท มีอาทิผิด สระอวิชชาเป็นต้นนั้น ว่าโดยอาการมี ๒๐ อย่าง.
อนึ่ง ในองค์ปฏิจจสมุปบาทมีสังขารเป็นต้น ระหว่างสังขารกับ
วิญญาณ เป็นสนธิหนึ่ง. ระหว่างเวทนากับตัณหา เป็นสนธิอาทิผิด หนึ่ง. ระหว่าง
ภพกับชาติ เป็นสนธิหนึ่ง ฉะนี้แล. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรู้ ทรงเห็น
ทรงทราบ ทรงแทงตลอด ปฏิจจสมุปบาทนี้ ซึ่งมีสังเขป ๔ อัทธา ๓ อาการ
๒๐ สนธิ ๓ โดยอาการทุกอย่าง ด้วยประการฉะนี้. ความรู้นั้น ชื่อว่าญาณ
เพราะอรรถว่ารู้ (โดยสภาพตามเป็นจริง) ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด.
๑/๙/๑๘๙
ทุศีลนั้น จำเดิมอาทิผิด อักขระแต่กาลที่ละปาณาติบาตได้แล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
ไม่มีธรรมที่จะพึงรู้ทางจักษุและโสตอาทิผิด อักขระว่า เราจักละเมิดดังนี้ จะป่วยกล่าว
ไปไยถึงธรรมที่เป็นไปทางกายเล่า. แม้ในบทอื่น ๆ ที่มีรูปอย่างนี้ ก็พึง
ทราบเนื้อความโดยนัยนี้แหละ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงได้โวหารว่า สมณะ เพราะเป็นผู้มีบาป
สงบแล้ว. บทว่า โคตโม ความว่า ทรงพระนามว่า โคดม ด้วยอำนาจ
พระโคตร. มิใช่แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ที่เว้นจาก
ปาณาติบาต แม้ภิกษุสงฆ์ก็เว้นด้วย แก่เทศนามีมาอย่างนี้ตั้งแต่ต้น แต่
เมื่อจะแสดงเนื้อความ จะแสดงแม้ด้วยสามารถแห่งภิกษุสงฆ์ก็ควร.
บทว่า นิหิตทณฺโฑ นิหิตสตฺโถ ความว่า มีไม้อันวางแล้ว และ
มีมีดอันวางแล้ว เพราะไม่ถือไม้หรือมีดไปเพื่อต้องการจะฆ่าผู้อื่น. ก็ใน
พระบาลีนี้ นอกจากไม้ อุปกรณ์ที่เหลือทั้งหมด พึงทราบว่า ชื่อว่ามีด
เพราะทำให้สัตว์ทั้งหลายพินาศได้. ส่วนไม้เท้าคนแก่ก็ดี ไม้ก็ดี มีดก็ดี
มีดโกนที่ภิกษุทั้งหลายถือเที่ยวไปนั้น มิใช่เพื่อต้องการจะฆ่าผู้อื่น ฉะนั้น
จึงนับว่า วางไม้ วางมีด เหมือนกัน.
บทว่า ลชฺชี ความว่า ประกอบด้วยความละอายอันมีลักษณะเกลียด
บาป. บทว่า ทยาปนฺโน ความว่า ถึงความเอ็นดู คือความเป็นผู้มีเมตตา-
จิต. บทว่า สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี ความว่า อนุเคราะห์สัตว์มีชีวิต
ทั้งปวงด้วยความเกื้อกูล อธิบายว่า มีจิตเกื้อกูลแก่สัตว์มีชีวิตทุกจำพวก
เพราะถึงความเอ็นดูนั้น. บทว่า วิหรติ ความว่า เปลี่ยนอิริยาบถ คือ
ยังอัตภาพให้เป็นไป ได้แก่รักษาตัวอยู่.
คำว่า อิติ วา หิ ภิกฺขเว ความเท่ากัน เอวํ วา ภิกฺขเว วา
๑๑/๙๐/๑๘๘
๓. ตติยปัณณาสก์
โยคักเขมีวรรคที่ ๑
๑. โยคักเขมีสูตร
ว่าด้วยผู้เกษมจากโยคะ
[ ๑๕๒ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมปริยายอันเป็น
เหตุแห่งบุคคลผู้เกษมจากโยคะแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง ก็ธรรม-
ปริยายอันเป็นเหตุแห่งบุคคลผู้เกษมจากโยคะเป็นไฉน ธรรมปริยายอัน
เป็นเหตุแห่งบุคคลผู้เกษมจากโยคะนั้น คือรูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่า
ปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก อาศัยความใคร่ ชวนให้กำหนัด
อันตถาคตละได้แล้ว ถอนรากขึ้นหมดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน
ทำให้ไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา ตถาคตได้บอกความเพียร
ที่ควรประกอบเพื่อละรูปเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น ตถาคต บัณฑิตจึง
เรียกว่า ผู้เกษมจากโยคะ ฯลฯ ธรรมารมณ์ ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่า
ปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก อาศัยความใคร่ ชวนให้อาทิผิด กำหนัด
อันตถาคตละได้แล้ว ถอนรากขึ้นหมดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน
ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดต่อไปเป็นธรรมดา ตถาคตได้บอกความเพียรที่ควร
ประกอบเพื่อละธรรมารมณ์เหล่านั้น เพราะเหตุนั้น ตถาคต บัณฑิตจึง
เรียกว่าผู้เกษมจากโยคะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลธรรมปริยายอันเป็น
เหตุแห่งบุคคลผู้เกษมจากโยคะ.
จบ โยคักเขมีสูตรที่ ๑
๒๘/๑๕๒/๑๗๙