วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 31, 2567

Nit

 
๑ รองเท้าที่ขลิบด้วยหนังแมว ๑ รองเท้าที่ขลิบด้วยหนังค่าง ๑ รองเท้าที่ขลิบ
ด้วยหนังนกเค้า ๑ เท้าแตก ๑ สวมรองเท้าในวัด ๑ เท้าเป็นหน่อ ล้างเท้า ตอ
ไม้และสวมเขียงเท้าเดินเสียงดังขฏะ ขฏะ ๑ เขียงเท้าสานด้วยใบตาล ๑ เขียง
เท้าสานด้วยใบไผ่ ๑ เขียงเท้าสานด้วยหญ้า ๑ เขียงเท้าอาทิผิด อักขระสานด้วยหญ้ามุงกระต่าย
๑ เขียงเท้าสานด้วยหญ้าปล้อง ๑ เขียงเท้าสานด้วยใบเป้ง ๑ เขียงเท้าสานด้วย
แฝก ๑ เขียงเท้าถักด้วยขนสัตว์ ๑ เขียงเท้าประดับด้วยทองคำและเงิน ๑ เขียง
เท้าประดับด้วยแก้วมณี ๑ เขียงเท้าประดับด้วยแก้วไพฑูรย์ ๑ เขียงเท้าประดับ
ด้วยแก้วผลึก ๑ เขียงเท้าทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ๑ เขียงเท้าประดับด้วยกระจก ๑
เขียงเท้าทำด้วยดีบุก ๑ เขียงเท้าทำด้วยสังกะสี ๑ เขียงเท้าทำด้วยทองแดง ๑
จับโค ๑ ขี่ยานและภิกษุอาพาธ ๑ ยานเทียมด้วยโคตัวผู้ ๑ คานหาม ๑ ที่นั่ง
และที่นอน ๑ หนังผืนใหญ่ ๑ หนังโค ๑ ภิกษุ ใจร้าย ๑ เตียงตั่งของพวกคฤหัสถ์
ที่หุ้มหนัง ๑ สวมรองเท้าเข้าบ้าน และภิกษุอาพาธ ๑ พระมหากัจจานะ ๑
พระโสณะ สวดสูตรอันมีอยู่ในอัฏฐกวรรค โดยสรภัญญะและพระพุทธเจ้า
ผู้เป็นนายกได้ทรงประทานพร ๕ อย่างนี้ แก่พระโสณะเถระ คือ อนุญาตสงฆ์
ปัญจวรรคทำการอุปสมบทได้ ๑ สวมรองเท้าหลายชั้นได้ ๑. อาบน้ำได้เป็น
นิตย์อาทิผิด อักขระ ใช้หนังเครื่องลาดได้ ๑ ทายกถวายจีวร เมื่อยังไม่ถึงมือภิกษุ ยังไม่ต้อง
นับราตรี ๑.

หัวข้อประจำขันธกะ จบ
 
๗/๒๔/๔๐

วันพุธ, ตุลาคม 30, 2567

Utsaha

 
บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย . . . ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนภิกษุจึงได้บวชในพระธรรมวินัย อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้วอย่างนี้
เพราะเหตุแห่งท้องเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.

ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุนั้นว่า จริงหรือ ภิกษุ ข่าวว่า
เธอบวชเพราะเหตุแห่งท้อง.
ภิกษุนั้นทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคอาทิผิด อักขระพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึง
ได้บวชในธรรมวินัยที่เรากล่าวดีแล้วอย่างนี้ เพราะเหตุแห่งท้องเล่า ดูก่อน
โมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยัง
ไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสแล้ว . . . ครั้นแล้ว ทรงทำธรรมีกถารับสั่ง
กะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ให้อุปสมบท
บอกนิสัย ๔ ว่าดังนี้:-

นิสสัย ๔
๑. บรรพชาอาศัยโภชนะคือคำข้าวอันหาได้ด้วยกำลังปลีแข้ง เธอพึง
ทำอุตสาหะอาทิผิด อักขระในสิ่งนั้นตลอดชีวิต อดิเรกลาภ คือ ภัตอาทิผิด อักขระถวายสงฆ์ ภัตเฉพาะสงฆ์
การนิมนต์ ภัตถวายตามสลาก ภัตถวายในปักษ์ ภัตถวายในวันอุโบสถ์ ภัต-
ถวายในวันปาฏิบท.
๒. บรรพชาอาศัยบังสุกุลจีวร เธอพึงทำอุตสาหะในสิ่งนั้นตลอดชีวิต
อดิเรกลาภ คือ ผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ผ้าป่าน ผ้าเจือ
กัน เช่นผ้าด้ายแกมไหม.
 
๖/๘๗/๑๗๑

วันอังคาร, ตุลาคม 29, 2567

Dinron

 
ดูสัตว์ดิ้นรนอาทิผิด อยู่ในโลกเพราะตัณหา

[๕๑] คำว่า เราย่อมเห็น.... ดิ้นรนอยู่ในโลก มีความว่า
คำว่า ย่อมเห็น คือ ย่อมเห็น ย่อมแลดู ตรวจดู เพ่งดู พิจารณาดู
ด้วยมังสจักษุบ้าง ทิพยจักษุบ้าง ปัญญาจักษุบ้าง พุทธจักษุบ้าง สมันตจักษุ
บ้าง.
คำว่า ในโลก คือ ในอบายโลก มนุษยโลก เทวโลก
ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก.
คำว่า ดิ้นรนอยู่ คือ เราย่อมเห็น ย่อมแลดู. ตรวจดู เพ่งดู
พิจารณาดู ซึ่งหมู่สัตว์นี้ดิ้นรน กระเสือกกระสน ทุรนทุราย หวั่นไหว
เอนเอียง กระสับกระส่ายอยู่ ด้วยความดิ้นรนเพราะตัณหา ด้วยความดิ้น
รนเพราะทิฏฐิ ด้วยความดิ้นรนเพราะกิเลส ด้วยความดิ้นรนเพราะความ
ประกอบ ด้วยความดิ้นรนเพราะผลกรรม ด้วยความดิ้นรนเพราะทุจริต
ด้วยราคะของผู้กำหนัด ด้วยโทสะของผู้ขัดเคือง ด้วยโมหะของผู้หลงแล้ว
ด้วยมานะเป็นเครื่องผูกพัน ด้วยทิฏฐิที่ยึดถือไว้ ด้วยความฟุ้งซ่านที่ฟุ้ง
แล้ว ด้วยความสงสัยที่ไม่แน่ใจ ด้วยอนุสัยที่ถึงกำลังด้วยลาภ ด้วยความ
เสื่อมลาภ ด้วยยศ ด้วยความเสื่อมยศ ด้วยสรรเสริญ ด้วยนินทา ด้วยสุข
ด้วยทุกข์ ด้วยชาติ ด้วยชรา ด้วยพยาธิ ด้วยมรณะ ด้วยโสกะปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส ด้วยทุกข์คือความเกิดในนรก ด้วยทุกข์คือ
ความเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ด้วยทุกข์คือความเกิดในวิสัยแห่งเปรต
ด้วยทุกข์คือความเกิดในมนุษย์ ด้วยทุกข์มีความเกิดในครรภ์เป็นมูล ด้วย
ทุกข์มีความตั้งอาทิผิด อักขระอยู่ในครรภ์เป็นมูล ด้วยทุกข์มีความคลอดอาทิผิด อักขระจากครรภ์เป็นมูล
 
๖๕/๕๑/๒๑๘

วันจันทร์, ตุลาคม 28, 2567

Phuen Thi

 
เป็นทุกกฏอย่างเดียว. ในปฐพีแม้ทั้งสอง ในเพราะใช้ให้ปลูกกอไม้ดอก
แม้มาก ด้วยการสั่งครั้งเดียว เป็นปาจิตตีย์กับทุกกฏ หรือเป็นทุกกฏล้วน
แก่ภิกษุนั้น ครั้งเดียวเท่านั้น, ไม่เป็นอาบัติในเพราะใช้ให้ปลูกด้วย
กัปปิยโวหาร ในพื้นอาทิผิด อักขระที่ที่เป็นกัปปิยะ หรือพื้นอาทิผิด อักขระที่ที่เป็นอกัปปิยะ เพื่อ
ประโยชน์แก่การบริโภค. แม้เพื่อประโยชน์แก่อารามเป็นต้น ในอกัป-
ปิยปฐพี ก็คงเป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ปลูกเอง หรือใช้ให้ปลูกด้วยถ้อยคำ-
ที่เป็นอกัปปิยะ. แต่นัยนี้ ท่านมิได้จำแนกไว้ให้ละเอียดในมหาอรรถกถา,
จำแนกไว้แต่ในมหาปัจจรี ฉะนี้แล.
ก็ในการรดเอง และการใช้ให้รด มีวินิจฉัยอาบัติดังนี้:- เป็น
ปาจิตตีย์ ทุก ๆ แห่ง ด้วยน้ำที่เป็นอกัปปิยะ เพื่อประโยชน์แก่การ
ประทุษร้ายตระกูลและบริโภค เป็นทุกกฏก็มี. แต่เพื่อประโยชน์แก่การ
ทั้งสองนั้นเท่านั้น เป็นทุกกฏ ด้วยน้ำที่เป็นกัปปิยะ, ก็ในการประทุษ-
ร้ายอาทิผิด อาณัติกะตระกูลและการบริโภคนี้ เพื่อต้องการบริโภคไม่เป็นอาบัติในการใช้--
ให้รดน้ำด้วยกัปปิยโวหาร แต่ในฐานะแห่งอาบัติ ผู้ศึกษาพึงทราบความ
เป็นอาบัติมาก เพราะมีประโยคมาก ด้วยอำนาจสายน้ำขาด. ในการเก็บ
เอง เพื่อประโยชน์แก่การประทุษร้ายตระกูล เป็นทุกกฏกับปาจิตตีย์ตาม
จำนวนดอกไม้. ในการบูชาพระรัตนตรัยเป็นต้นอย่างอื่น เป็นปาจิตตีย์
อย่างเดียว. แต่ภิกษุผู้เก็บดอกไม้เป็นจำนวนมากด้วยประโยคอันเดียว
พระวินัยธรพึงปรับด้วยอำนาจแห่งประโยค. ในการใช้ให้เก็บ เพื่อ
ประโยชน์แก่การประทุษร้ายตระกูล คนที่ภิกษุใช้ครั้งเดียว เก็บแม้มาก
ครั้ง ก็เป็นปาจิตตีย์กับทุกกฏแก่ภิกษุนั้นครั้งเดียวเท่านั้น ในการเก็บ
เพื่อบูชาพระรัตนตรัยเป็นต้น อย่างอื่นเป็นปาจิตตีย์อย่างเดียว.
 
๓/๖๓๐/๖๓๘

วันอาทิตย์, ตุลาคม 27, 2567

Samnak

 
พระอภิธรรมนี้ ” ดังนี้แล้ว ได้พาบริษัทไปยังสำนักพระอานนทเถระ;
แม้เมื่อพระเถระกล่าวว่า “ ทำไม ? อุบาสก, ” จึงกล่าวว่า “ ท่านขอรับ
พวกผมเข้าไปหาพระเรวตเถระ เพื่อต้องการฟังธรรม, ไม่ได้แม้แต่การ
สนทนาและปราศรัยในสำนักอาทิผิด สระของท่าน เลยโกรธ แล้วจึงมายังสำนักของ
พระสารีบุตรเถระ, แม้พระเถระนั้น ก็แสดงอภิธรรมอย่างเดียวละเอียด
นัก มากมายแก่พวกผม, พวกผมโกรธแม้ต่อพระเถระนั้นว่า พวกเรา
ต้องการอะไรด้วยอภิธรรมนี้ แล้วจึงมาที่นี้; ขอท่านจงแสดงธรรมกถา
แก่พวกผมเถิด ขอรับ.”
พระเถระ. ถ้าอย่างนั้น ขอพวกท่านจงนั่งฟังเถิด.
พระเถระแสดงธรรมแก่พวกเขาแต่น้อย ๆ ทำให้เข้าใจง่าย.
อตุละโกรธคนผู้พูดน้อย
พวกเขาโกรธแม้ต่อพระเถระแล้ว ก็ไปยังสำนักพระศาสดา ถวาย
บังคมแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะพวกเขาว่า “ อุบาสกทั้งหลาย พวก
ท่านมาทำไมกัน .”
พวกอุบาสก. เพื่อต้องการฟังธรรม พระเจ้าข้า.
พระศาสดา ก็พวกท่านฟังธรรมแล้วหรือ ?
พวกอุบาสก. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เบื้องต้น พวกข้าพระองค์
เข้าไปหาพระเรวตเถระ, ท่านไม่กล่าวอะไรกับพวกข้าพระองค์, พวก
ข้าพระองค์โกรธท่านแล้ว จึงไปหาพระสารีบุตรเถระ, พระเถระนั้น
แสดงอภิธรรมแก่พวกข้าพระองค์มากมาย, พวกข้าพระองค์กำหนด
 
๔๒/๒๗/๔๖๓

วันเสาร์, ตุลาคม 26, 2567

Kot

 
อนฺตรธายิ ความว่า ได้ยินว่า กรุงราชคฤห์ มีมนุษย์เกลือนกล่นภายใน
เมือง เก้าโกฏิ ภายนอกเมือง เก้าโกฏิ รวมได้มนุษย์ ๑๘ โกฏิอาทิผิด อักขระ เข้าไปอาศัย
กรุงราชคฤห์นั้นอยู่. พวกมนุษย์ ไม่สามารถ เพื่อจะนำอาทิผิด สระเอาคนตายออกไปภาย
นอกในมิใช่เวลาได้ วางไว้บนธรณีประตูทิ้งไปภายนอกประตู. มหาเศรษฐี
พอออกไปภายนอกเมือง เท้าก็เหยียบซากที่ยังสด. หลังเท้า ก็กระทบซากที่
ยังสด. หลังเท้า ก็กระทบซากแม้อื่นอีก. ฝูงแมลงวัน ก็บินขึ้น กระจายออก
รอบ ๆ. กลิ่นเหม็น ก็กระทบโพรงจมูก. ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ก็ถึง
ความลดน้อยลง. เพราะเหตุนั้น แสงสว่างของมหาเศรษฐีนั้น ก็อันตรธานไป.
ความมืดปรากฏขึ้น. บทว่า สทฺทมนุสฺสาเวสิ ความว่า สิวกยักษ์คิดว่า
เราจักยังความอุตสาหะให้เกิดแก่เศรษฐีได้ส่งเสียงให้ได้ยินด้วยเสียงอันไพเราะ
เหมือนคนเคาะกระดิ่งทองฉะนั้น.
บทว่า สตํ กญฺญาสหสฺสานิ ความว่า แม้บทแรก เชื่อมกับบท
สหัสสะนี้แล ในข้อนี้ มีอธิบายดังนี้ว่า กับหญิงสาวแสนหนึ่ง ช้างแสนหนึ่ง
ม้าแสนหนึ่ง รถแสนหนึ่ง. แต่ละแสนท่านแสดงไว้แล้ว ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า ปทวีติหารสฺส ได้แก่ ขนาดศอกกำมาหนึ่งในระหว่างเท้าทั้งสอง ใน
การเดินไปสม่ำเสมอ ชื่อว่าการย่างเท้าไปก้าวหนึ่ง. บทว่า กลํ นาคฺฆนฺติ
โสฬสึ ความว่า ส่วนหนึ่งอันจำแนก ๑๖ ส่วนโดย ๑๖ ครั้งอย่างนี้คือ แบ่งการ
ย่างเท้าไปก้าวหนึ่งออกเป็น ๑๖ ส่วน จาก ๑๖ ส่วนนั้น แบ่งส่วนหนึ่งออกเป็น
๑๖ ส่วนอีก. จาก ๑๖ ส่วนนั้น แบ่งส่วนหนึ่งออกเป็น ๑๖ ส่วน ชื่อว่าเสี้ยวที่ ๑๖
สี่แสนเหล่านี้ ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ นั้น มีคำอธิบายว่า เจตนาที่เป็นไปในส่วน
กล่าวคือเสี้ยวที่ ๑๖ นั้น ของบุคคลกำลังไปยังวิหาร เป็นเจตนาที่ยอดเยี่ยม
กว่า การได้นี้ประมาณเท่านี้คือ ช้างแสนหนึ่ง ม้าแสนหนึ่ง รถแสนหนึ่ง
 
๒๕/๘๓๑/๔๑๖

วันศุกร์, ตุลาคม 25, 2567

Malet

 
ที่ชื่อว่าทรงอนุญาตเฉพาะเภสัช ได้แก่ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง
และน้ำอ้อย ที่สามารถแผ่ไปเพื่อสำเร็จอาหารกิจ ซึ่งทรงอนุญาตไว้ โดย
ชื่อแห่งเภสัชอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เราอนุญาตเภสัช ๕. เภสัช ๕
เหล่านั้น ภิกษุรับประเคนแล้ว พึงบริโภคได้ตามสบายในปุเรภัตในวัน
นั้น, ตั้งแต่ปัจฉาภัตไป เมื่อมีเหตุ พึงบริโภค ได้ตลอด ๗ วัน โดย
นัยดังกล่าวแล้ว.
[อธิบายบทภาชนีย์และอนาปัตติวาร]
ข้อว่า สตฺตาหาติกฺกนฺเต อติกฺกนฺตสญฺญี นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ
มีความว่า แม้ถ้าว่า เภสัชนั้นมีประมาณเท่าเมล็ดอาทิผิด อักขระพันธุ์ผักกาด พอจะเอา
นิ้วแตะแล้วลิ้มอาทิผิด อักขระด้วยลิ้นคราวเดียว อันภิกษุจำต้องเสียสละแท้ และพึง
แสดงอาบัติปาจิตตีย์เสีย.
ข้อว่า น กายิเกน ปริโภเคน ปริภุญฺชิตพฺพํ มีความว่า ภิกษุ
อย่าพึงเอาทาร่างกาย หรือทาแผลที่ร่างกาย. แม้บริขารมีผ้ากาสาวะ
ไม้เท้า รองเท้า เขียงเช็ดเท้า เตียงและตั่งเป็นต้น ถูกเภสัชที่เป็นนิสสัคคิย-
วัตถุเหล่านั้นเปื้อนแล้ว เป็นของไม่ควรบริโภค ในมหาปัจจรี กล่าวว่า
ที่สำหรับมือจับแม้ในบานประตูและหน้าต่างก็ไม่ควรทำ. ในมหาอรรถ-
กถาท่านกล่าวว่า แต่ผสมลงในน้ำฝาดแล้วควรทาบานประตูและหน้าต่าง
ได้.
ข้อว่า อนาปตฺติ อนฺโตสตฺตาหํ อธิฏฺเฐติ มีความว่า ในภายใน
๗ วัน ภิกษุอธิษฐานเนยใส น้ำมัน และเปลวมันไว้เป็นน้ำมันทาศีรษะ
หรือเป็นน้ำมันสำหรับหยอด, อธิษฐานน้ำผึ้งไว้เป็นยาทาแผล น้ำอ้อย
 
๓/๑๔๔/๑๐๕๒

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 24, 2567

Racha

 
กุลบุตรนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยสีลขันธ์ ของพระอเสขะ ประกอบด้วยสมาธิขันธ์
ของพระอเสขะ ประกอบด้วยปัญญาขันธ์ของพระอเสขะ ประกอบด้วยวิมุตติ-
ขันธ์ของพระอเสขะ ประกอบด้วยวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ของพระอเสขะ
กุลบุตรนั้นเป็นผู้ประกอบแล้วด้วยองค์ ๕ เหล่านี้ ทานที่ให้แล้วในกุลบุตรผู้
ละองค์ ๕ ได้แล้ว ผู้ประกอบแล้วด้วยองค์ ๕ ดังนี้ ย่อมมีผลมาก.
[๔๑๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์
คำร้อยแก้วนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาคำร้อยกรองต่อไปอีกว่า
ศิลปะธนู กำลังเข้มแข็ง และความ
กล้าหาญมีอยู่ในชายหนุ่มผู้ใด พระราชาอาทิผิด สระ
ผู้ทรงการยุทธ์ พึงทรงชุบเลี้ยงชายหนุ่ม
เช่นนั้น ไม่พึงทรงชุบเลี้ยงชายหนุ่มผู้ไม่
กล้าหาญ เพราะเหตุแห่งชาติ ฉันใด.
ธรรมะคือขันติ และโสรัจจะ ตั้งอยู่
แล้วในบุคคลใด บุคคลพึงบูชาบุคคลนั้น
ผู้มีปัญญา มีความประพฤติเยี่ยงพระอริยะ
แม้มีอาทิผิด ชาติต่ำ ฉันนั้นเหมือนกัน.
พึงสร้างอาศรมอันเป็นที่รื่นรมย์
อาราธนาพระพหูสูตทั้งหลายให้อยู่ ณ ที่นั้น
พึงสร้างบ่อน้ำไว้ในป่าที่กันดารน้ำ และ
สร้างสะพานในที่เป็นหล่ม พึงถวาย ข้าว
น้ำ ของเคี้ยว ผ้า และเสนาสนะในท่าน
ผู้ซื่อตรงทั้งหลาย ด้วยน้ำใจอันผ่องใส
 
๒๔/๔๑๐/๕๑๖

วันพุธ, ตุลาคม 23, 2567

Tanha

 
ด้วยอำนาจอุปนิสสยปัจจัย ในมโนทวาร แก่กามาวจรเวทนาซึ่งเป็นไปด้วย
อำนาจตทารัมมณะในมโนทวารนั้น ฉะนี้แล.
นิเทศเวทนาเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย จบ

ว่าด้วยนิเทศตัณหา (บาลีข้อ ๒๖๓)
พึงทราบวินิจฉัยนิเทศตัณหาเกิดเพราะเวทนาเป็นปัจจัย ต่อไป
ตัณหาอาทิผิด อักขระ ๖ อย่าง พระองค์ทรงแสดง
ไว้ในนิเทศนี้ โดยความต่างแห่งรูปตัณหา
เป็นต้น ในตัณหา ๖ เหล่านั้น แต่ละตัณหา
ตรัสไว้ ๓ อย่าง โดยอาการที่เป็นไป.
ก็ในนิเทศตัณหาเกิดเพราะเวทนาเป็นปัจจัยนี้ มีอธิบายว่า ตัณหา ๖
อย่างเหล่านั้นพระองค์ทรงแสดงแล้ว คือ ประกาศแล้ว ตรัสแล้ว ด้วยอำนาจแห่ง
ชื่อโดยอารมณ์ว่า รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพ-
ตัณหา ธรรมตัณหา ดังนี้ เหมือนบุตรที่เขาประกาศชื่อตามบิดาว่า เสฏฺฐิ-
ปุตฺโต ( บุตรเศรษฐี) พฺราหฺมณปุตฺโต (บุตรพราหมณ์) ฉะนั้น. บรรดา
ตัณหา ๖ เหล่านั้น พึงทราบอรรถแห่งคำโดยนัยนี้ว่า รูเป ตณฺหา รูปต-
ณฺหา ตัณหาในรูป ชื่อว่า รูปตัณหา ดังนี้.

ว่าด้วยตัณหา ๑๘ อย่าง
ก็แล บรรดาตัณหาเหล่านั้น ตัณหาแต่ละอย่าง ตรัสไว้ ๓ อย่างนี้
คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตามอาการที่เป็นไป จริงอยู่
 
๗๗/๒๗๓/๕๓๖

วันอังคาร, ตุลาคม 22, 2567

Chedi

 
๙. เรื่องพระเจดีย์อาทิผิด สระทองของพระกัสสปทสพล [๑๕๖]
ข้อความเบื้องต้น
พระบรมศาสดาเมื่อเสด็จจาริกไป ทรงปรารภพระเจดีย์ทองของ
พระกัสสปทสพล จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า “ ปูชารเห ” เป็นต้น.
ความพิสดารว่า พระตถาคตเจ้ามีพระสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นพุทธบริวาร
เสด็จออกจากเมืองสาวัตถีแล้วเสด็จไปเมืองพาราณสีโดยลำดับ เสด็จถึง
เทวสถานแห่งหนึ่ง ในที่ใกล้บ้านโตไทยคาม ในระหว่างทาง. พระสุคต-
เจ้าได้ประทับใกล้เทวสถานนั้น ทรงส่งพระธรรมภัณฑาคาริก (คือพระ-
อานนท์ผู้เป็นขุนคลังแห่งพระธรรม) ให้บอกพราหมณ์ซึ่งกำลังทำกสิกรรม
อยู่ในที่ไม่ไกลมาเฝ้า. พราหมณ์นั้นมาแล้วไม่ถวายอภิวาทแด่พระตถาคต
แต่ไหว้เทวสถานนั้นอย่างเดียว แล้วยืนอยู่. แม้พระสุคตเจ้าก็ตรัสว่า
“ ดูก่อนพราหมณ์ ท่านสำคัญประเทศนี้ว่าเป็นที่อะไร ? ” พราหมณ์จึง
กราบทูลว่า “ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าไหว้ด้วยตั้งใจว่า ที่นี้เป็น
เจติยสถานตามประเพณีของพวกข้าพเจ้า. ” พระสุคตเจ้าจึงให้พราหมณ์นั้น
ชื่นชมอาทิผิด อักขระยินดีว่า “ ดูก่อนพราหมณ์ ท่านไหว้สถานที่นี้ ได้ทำกรรมที่ดีแล้ว.”
ภิกษุทั้งหลายได้สดับพระพุทธดำรัสนั้นแล้วจึงเกิดสงสัยขึ้นว่า “ พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงให้พราหมณ์ชื่นชมยินดีอย่างนี้ ด้วยเหตุอะไรหนอ.”
ลำดับนั้น พระตถาคตเจ้า เพื่อทรงปลดเปลื้องความสงสัยของภิกษุเหล่านั้น
จึงตรัสเทศนา ฆฏิการสูตร ในมัชฌิมนิกาย แล้วทรงนิรมิตพระเจดีย์ทอง
ของพระกัสสปทสพล สูงหนึ่งโยชน์ และพระเจดีย์ทองอีกหนึ่งองค์ไว้ใน
 
๔๒/๒๔/๓๕๕

วันจันทร์, ตุลาคม 21, 2567

Mung

 
ครั้งนั้น เราจับไม้กวาด กวาดอาศรม
ปักไม้สี่อันทำเป็นมณฑป
เราเอาดอกรังมามุงอาทิผิด อักขระมณฑป เราเป็นผู้มีจิต
เลื่อมใส โสมนัส ได้ถวายบังคมพระผู้นำโลกแล้ว
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สุเมธะ
ที่ชนทั้งหลายกล่าวกันว่า มีพระปัญญาดังแผ่นดิน
มีพระปัญญาดี ประทับนั่ง ณ ท่ามกลางพระภิกษุ
สงฆ์ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้
เทวดาทั้งปวงทราบว่าพระพุทธเจ้าจะ
เปล่งวาจา จึงพากันมาประชุมด้วยคิดว่า พระพุทธ
เจ้าผู้ประเสริฐสุด มีพระจักษุ จะทรงแสดงพระ
ธรรมเทศนาโดยไม่ต้องสงสัย
พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสุเมธะ ผู้สม-
ควรรับเครื่องบูชา ประทับนั่งในหมู่เทวดา ได้ตรัส
พระคาถาดังต่อไปนี้
ผู้ใดทรงมณฑป มีดอกรังเป็นเครื่องมุง
แก่เราตลอด ๗ วัน เราพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้ง
หลายจงฟังเรากล่าว
ผู้นั้น เกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์ จักเป็น
ผู้มีผิวพรรณเหมือนทองคำ จักมีโภคทรัพย์
ล้นเหลือ บริโภคกาม
ช้างมาตังคะ ๖ หมื่นเชือกประดับด้วย
เครื่องอาภรณ์ทุกชนิด รัดปะคน และพานหน้า
 
๗๒/๑/๒

วันอาทิตย์, ตุลาคม 20, 2567

Diarathi

 
ปริพาชกอัญญเดียรถีย์เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ความ-
สำเร็จนั้นเป็นของผู้ไม่มีอุปาทาน มิใช่ของผู้มีอุปาทาน. พวกเธอพึงกล่าว
อย่างนี้ว่า ความสำเร็จนั้นเป็นของผู้รู้แจ้งหรือของผู้ไม่รู้แจ้ง. ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์
อย่างนี้ว่า ความสำเร็จนั้นเป็นของผู้รู้แจ้ง มิใช่ของผู้ไม่รู้แจ้ง. พวกเธอพึง-
กล่าวอย่างนี้ว่า ความสำเร็จนั้นเป็นของผู้ยินดียินร้ายหรือของผู้ไม่ยินดียินร้าย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปริพาชกอัญญเดียรถีย์ เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึง
พยากรณ์อย่างนี้ว่า ความสำเร็จนั้นเป็นของผู้ไม่ยินดียินร้าย มิใช่ของผู้ยินดี
ยินร้าย. พวกเธอพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ความสำเร็จนั้นเป็นของผู้ยินดีในความ
เนิ่นช้า มีความเนิ่นช้าเป็นที่มายินดี หรือของผู้ยินดีในความไม่เนิ่นช้า มีความ
ไม่เนิ่นช้าเป็นที่มายินดี. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์อาทิผิด อาณัติกะ
เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ความสำเร็จนั้นเป็นของผู้ยินดี
ในความไม่เนิ่นช้า มีความไม่เนิ่นช้าเป็นที่มายินดี มิใช่ของผู้ยินดีในความ
เนิ่นช้า มีความเนิ่นช้าเป็นที่มายินดี.
ทิฐิ ๒
[๑๕๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทิฐิ ๒ อย่างเหล่านี้ คือ ภวทิฐิ และ
วิภวทิฐิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าอาทิผิด อักขระใดเหล่าหนึ่งเป็นผู้
แอบอิงภวทิฐิเข้าถึงภวทิฐิ หยั่งลงสู่ภวทิฐิ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อ
ว่าเป็นผู้ยินร้ายต่อวิภวทิฐิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด
เหล่าหนึ่ง เป็นผู้แอบอิงวิภวทิฐิเข้าถึงวิภวทิฐิ หยั่งลงสู่วิภวทิฐิ สมณะหรือ
พราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าเป็นผู้ยินร้ายต่อภวทิฐิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะ
หรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมไม่รู้ทั่วถึงความเกิด ความดับ คุณ โทษ
 
๑๘/๑๕๕/๔

วันเสาร์, ตุลาคม 19, 2567

Tathakhot

 
ลายมานะ แล้วทำเจ้าศากยะเหล่านั้นให้เป็นภาชนะรองรับ พระธรรมเทศนา
ทรงออกจากสมาบัติเหาะไปสู่อากาศ ดุจเรี่ยรายฝุ่นพระบาทลงบนพระเศียร
ของเจ้าศากยะเหล่านั้น ได้ทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์เช่นกับปาฏิหาริย์ที่พระ
องค์กระทำอาทิผิด สระ ณ โคนต้นคัณฑมัพพฤกษ์. พระราชาทอดพระเนตรเห็นความ
อัศจรรย์นั้น ทรงดำริว่าโอรสนี้เป็นบุคคลเลิศในโลก. เมื่อพระราชาถวาย
บังคมแล้ว เจ้าศากยะทั้งหลายเหล่านั้นไม่อาจเฉยอยู่ได้ ทั้งหมดก็พากัน
ถวายบังคม.
นัยว่าในครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์
ได้ทรงกระทำปาฏิหาริย์เปิดโลก เมื่อปาฏิหาริย์เป็นไปอยู่พวกมนุษย์ยืนอยู่
ก็ตาม นั่งอยู่ก็ตามในมนุษยโลก ย่อมเห็นแต่เทวดาสนทนาธรรมซึ่งกันและ
กัน ตั้งแต่สวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกาถึงชั้นอกนิฏฐภพด้วยตาของตนด้วย
พุทธานุภาพ ในผืนแผ่นดินเบื้องล่าง ย่อมเห็นสัตว์ทั้งหลายเสวยมหาทุกข์
ในนรกนั้น ๆ คือ ในมหานรก ๘ ขุม ในอุสสทนรก ๑๖ ขุม และในโล-
กันตริยนรก. พวกเทวดาในหมื่นโลกธาตุ เข้าไปเฝ้าพระตถาคตอาทิผิด อักขระด้วยเทวา-
นุภาพอันยิ่งใหญ่ บังเกิดจิตอัศจรรย์อย่างไม่เคยมี ประคองอัญชลีนมัสการ
พากันเข้าไปเฝ้า ต่างเปล่งคาถาปฏิสังยุตด้วยพระพุทธคุณ สรรเสริญ
ปรบมือรื่นเริง ประกาศถึงปีติและโสมนัส. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-
ภุมมเทวดา จาตุมมหาราชิกาเทวดา พวก
เทพชั้นดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมิตเทพ
 
๗๔/๑/๑๑

วันศุกร์, ตุลาคม 18, 2567

Ni

 
ภิกษุใดกำจัดวิตกได้แล้ว ปราบปราม
ดีแล้ว ในภายใน ไม่มีส่วนเหลือ ภิกษุนั้น
ชื่อว่าย่อมละฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้เหมือน
งูละคราบเก่าที่คร่ำคร่าแล้วฉะนั้น.
ภิกษุใดไม่แล่นเลยไป ไม่ล้าอยู่
ล่วงกิเลสเป็นเครื่องให้เนิ่นช้านี้อาทิผิด ได้หมดแล้ว
ภิกษุนั้นชื่อว่าย่อมละฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้
เหมือนงูละคราบเก่าที่คร่ำคร่าแล้วฉะนั้น.
ภิกษุใดรู้ว่า ธรรมชาติมีขันธ์เป็นต้น
ทั้งหมด นี้เป็นของแปรผัน ไม่แล่นเลยไป
ไม่ล้าอยู่ในโลก ภิกษุนั้นชื่อว่าย่อมละซึ่ง
ฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้ เหมือนงูละคราบ
เก่าที่คร่ำคร่าแล้วฉะนั้น.
ภิกษุใดรู้ว่า ธรรมชาติมีขันธ์เป็นต้น
ทั้งหมด นี้เป็นของแปรผัน ปราศจาก
ความโลภ ไม่แล่นเลยไป ไม่ล้าอยู่ในโลก
ภิกษุนั้นชื่อว่าย่อมละซึ่งฝั่งในและฝั่งนอก
เสียได้ เหมือนงูละคราบเก่าที่คร่ำคร่าแล้ว
ฉะนั้น.
ภิกษุใดรู้ว่า ธรรมชาติมีขันธ์เป็นต้น
ทั้งหมดนี้เป็นของแปรผัน ปราศจากราคะ
ไม่แล่นเลยไป ไม่ล้าอยู่ในโลก ภิกษุนั้น
 
๔๖/๒๙๔/๓

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 17, 2567

Pai Yai

 
อริยสัจ ประทานโสดาปัตติมรรคเป็นต้น มาเถิดคุณ พวกเราจะพาไป
เฝ้าพระศาสดาแล้วได้พาไป และเมื่อพระบรมศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพาภิกษุผู้ไม่มีแก่ใจมาทำไมหรือ จึงพากันกราบ
ทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ. พระบรมศาสดาตรัสถามว่า ได้ยินว่าเธอ
กระสันจะสึกจริงหรือภิกษุ ? เมื่อเธอกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า จึง
ตรัสถามว่า เพราะเหตุไร ? ภิกษุนั้นจึงกราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ.
ลำดับนั้น พระบรมศาสดา จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ธรรมดาว่าสตรี
ทั้งหลายนี้ ได้เคยทำความเศร้าหมองให้เกิดแม้แก่สัตว์ผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย
ผู้ที่ข่มกิเลสได้ด้วยกำลังฌาน เหตุไฉนจักไม่ทำบุคคลผู้ไร้คุณสมบัติเช่น
เธอให้เศร้าหมองเล่า ท่านผู้บริสุทธิ์ยังเศร้าหมองได้ทั้งท่านผู้พรั่งพร้อม
ด้วยอุดมยศก็ยังถึงความเสื่อมยศได้ จะป่วยกล่าวไปไยอาทิผิด สระถึงผู้ไม่บริสุทธิ์
เล่า ลมที่พัดภูเขาสิเนรุให้หวั่นไหว ไฉนจักไม่พัดขยะใบไม้เก่าให้
กระจัดกระจายเล่า กิเลสนี้ยังก่อกวนสัตว์ผู้นั่งอยู่ที่โคนต้นโพธิ์ กำลัง
จะตรัสรู้ได้ ไฉนจักไม่ก่อกวนคนเช่นเธอเล่า ครั้นตรัสดังนี้แล้ว
ภิกษุทั้งหลายทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระ-
นครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาลมี
ทรัพย์สมบัติ ๘๐ โกฏิ ครั้นเจริญวัยแล้วไปเล่าเรียนศิลปะทั้งปวงใน
เมืองตักกศิลา เมื่อเรียนสำเร็จแล้ว ก็กลับมายังเมืองพาราณสี
อยู่ครองเรือนมีบุตรภรรยา ครั้นบิดามารดาล่วงลับไป ก็ได้
 
๕๘/๓๕๔/๓

วันพุธ, ตุลาคม 16, 2567

Uen Uen

 
เกิดขึ้นแล้วในกาลอื่นอาทิผิด สระ อีก อาจริยวาท
เหล่านั้น พระคันถรจนาจารย์ท่านไม่ประสงค์
จะกล่าวไว้ในที่นี้.

พระราชาผู้ทรงธรรม
ก็พระราชาผู้ทรงตั้งอยู่ในธรรมทรงพระนามว่า พระเจ้าอโศก ผู้มี
ศรัทธาอันได้เฉพาะแล้วในพระพุทธศาสนาแห่งนิกายอาจริยวาททั้ง ๑๘
นิกายที่มีมาในกาลก่อน จึงทรงสละพระราชทรัพย์วันละห้าแสนทุก ๆ
วัน คือเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า ๑ แสน เพื่อบูชาพระธรรมเจ้า ๑ แสน
เพื่อบูชาพระสังฆเจ้า ๑ แสน เพื่ออาจารย์ของพระองค์ ชื่อว่านิโครธ-
เถระ ๑ แสน และเพื่อให้สำเร็จประโยชน์จากยารักษาโรค ที่ประตู
ทั้ง ๔ อีก ๑ แสน ได้ให้ลาภสักการะอันมากมายเป็นไปในพระพุทธ-
ศาสนาแล้ว. เดียรถีย์ทั้งหลาย คือ นักบวชนอกพระพุทธศาสนาได้เป็น
ผู้เสื่อมจากลาภสักการะทั้งปวง ไม่ได้อะไรเลยโดยที่สุด แม้แต่อาหาร
หรือผ้าสำหรับปกปิดร่างกาย เมื่อพวกเขาต้องการลาภสักการะอยู่ จึงพา
กันไปบวชในสำนักพระภิกษุทั้งหลายและแล้วก็แสดงทิฏฐิ คือ ความเห็น
ของตน ๆ ว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสอนของพระศาสดา
ดังนี้ แม้เมื่อเขาเหล่านั้นไม่ได้การบรรพชาตามประสงค์ เขาก็พากัน
โกนผม นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์เอาเองนั่นแหล่ะ ได้พากันเที่ยวไปใน
วิหารทั้งหลาย และได้เข้าไปสู่ท่ามกลางสงฆ์ในกาลเป็นที่กระทำซึ่งอุโบ-
สถกรรมเป็นต้น. พวกเดียรถีย์เหล่านั้น แม้ถูกภิกษุสงฆ์ติเตียนอยู่โดย
 
๘๐/๑/๑๕

วันอังคาร, ตุลาคม 15, 2567

Mai Mi

 
เป็นทุกข์อย่างยิ่ง บัณฑิตทราบเนื้อความนั้นตาม
ความจริงแล้ว (กระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน) เพราะ
พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง.
๖. ลาภทั้งหลายมีความไม่มีโรคเป็นอย่างยิ่ง
ทรัพย์มีความสันโดษเป็นอย่างยิ่ง ญาติมีความคุ้นเคย
เป็นอย่างยิ่ง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง.
๗. บุคคลดื่มรสอันเกิดแต่วิเวก และรสพระ-
นิพพานเป็นที่เข้าไปสงบ ดื่มรสปีติอันเกิดแต่ธรรม
ย่อมเป็นผู้ไม่มีอาทิผิด ความกระวนกระวาย ไม่มีบาป.
๘. การพบเห็นเหล่าอริยบุคคลเป็นการดี การ
อยู่ร่วม (ด้วยเหล่าอริยบุคคล) ให้เกิดสุขทุกเมื่อ
บุคคลพึงเป็นผู้มีความสุขเป็นนิตย์แท้จริง เพราะไม่
พบเห็นพวกคนพาล เพราะว่าคนเที่ยวสมาคมกับคน
พาล ย่อมโศกเศร้าตลอดกาลยืดยาวนาน ความอยู่
ร่วมกับพวกคนพาล ให้เกิดทุกข์เสมอไป เหมือน
ความอยู่ร่วมด้วยศัตรู ปราชญ์มีความอยู่ร่วมกันเป็น
สุข เหมือนสมาคมแห่งญาติ เพราะฉะนั้นแล ท่าน
ทั้งหลายจงคบหาผู้ที่เป็นปราชญ์ และมีปัญญา ทั้ง
เป็นพหูสูต นำธุระไปเป็นปกติ มีวัตร เป็นอริยบุคคล
เป็นสัตบุรุษ มีปัญญาดีเช่นนั้น เหมือนพระจันทร์
ซ่องเสพคลองแห่งนักษัตรฤกษ์ฉะนั้น.
จบสุขวรรคที่ ๑๕
 
๔๒/๒๕/๓๖๑

วันจันทร์, ตุลาคม 14, 2567

Bandai

 
สีดำก็ยังไม่จับ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ใช้ยางไม้ น้ำฝาด.
พุทธานุญาตภาพดอกไม้เป็นต้น
[๒๒๖] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ให้ช่างเขียนภาพสตรีบุรุษไว้ในวิหาร
ชาวบ้านเที่ยวชมวิหารเห็นเข้า จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า. .. เหมือนพวก
คฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม . . . ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงให้เขียนภาพสตรี
บุรุษ รูปใดให้เขียน ต้องอาบัติทุกกฏ เราอนุญาตภาพดอกไม้ ภาพเครือเถา
ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ.
เรื่องวิหารมีพื้นที่ต่ำ
[๒๒๗] สมัยนั้น วิหารมีพื้นต่ำ น้ำท่วมได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตให้ถมพื้นที่ให้สูง ดินที่ถมพัง . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตก่อกรุ ๓ อย่าง คือ ก่อด้วยอิฐ ๑ ศิลา ๑ ไม้ ๑ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลง
ลำบาก . . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบันไดอาทิผิด สระ ๓ อย่าง คือ
บันไดอาทิผิด สระอิฐ ศิลา ไม้ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงพลัดตก. . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตราวสำหรับยึด.
เรื่องวิหารมีพื้นโล่งโถง
[๒๒๘] สมัยนั้น วิหารมีพื้นโล่งโถง ภิกษุทั้งหลายละอายที่จะนอน
จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผ้าม่าน ภิกษุทั้งหลายเลิกผ้าม่านมองดูกัน ภิกษุ
 
๙/๒๒๗/๑๑๖

วันอาทิตย์, ตุลาคม 13, 2567

Walawichani

 
สัตว์ทั้งปวงต่างมีวาจาน่ารัก ม้าทั้งหลายต่างก็ร้อง ช้างทั้งหลายต่างก็ร้อง
ด้วยอาการอันอ่อนหวาน. บรรดาดนตรีทุกชนิดต่างก็เปล่งเสียงกึกก้องของตน
ได้เอง ไม่ต้องมีใครตีเลย เครื่องอาภรณ์ที่สวมอยู่ที่มือของมนุษย์ทั้งหลาย
ร้องขึ้นได้ ทิศทุกทิศต่างก็แจ่มใสไปทั่ว สายลมอ่อนเย็นที่จะให้เกิดสุขแก่
สัตว์ทั้งหลายก็พัดโชยมา. เมฆที่มิใช่กาลก็ให้ฝนตก. แม้จากแผ่นดิน น้ำก็ชำ-
แรกไหลออกมา เหล่านกก็ไม่บินไปในอากาศ แม่น้ำก็นิ่งไม่ไหล น้ำใน
มหาสมุทรก็มีรสอร่อย พื้นทั่วไปทุกแห่งก็ดาดาษด้วยดอกบัวหลวงมี ๕ สี.
ดอกไม้ทุกชนิดที่เกิดบนพื้นดินและเกิดในน้ำต่างก็บานไปทั่ว. ที่ลำต้นต้นไม้ก็
มีดอกปทุมลำต้นบาน ที่กิ่งก็มีดอกปทุมกิ่งบาน ที่เถาวัลย์ก็มีดอกปทุมเถาวัลย์
บาน. ที่พื้นดินก็มีดอกปทุมมีก้านชำแรกพื้นหินโผล่ขึ้นเบื้องบน ๆ แห่งละ ๗
ดอก ในอากาศก็มีดอกปทุมห้อยย้อยเกิดขึ้น ฝนดอกไม้โปรยปรายไปโดย
รอบ ๆ ทิพยดนตรีต่างก็บรรเลงขึ้นในอากาศ. ทั้งหมื่นโลกธาตุเป็นประดุจ
พวงมาลัยที่เขาจับเหวี่ยงให้หมุนแล้วปล่อยไป ดูราวกะว่ากำดอกไม้ที่เขาจับบีบ
เข้าแล้วมัดให้รวมกัน และเป็นเสมือนที่นอนดอกไม้ที่ประดับประดาและตก-
แต่งแล้ว มีดอกไม้เป็นพวงเดียวกัน เหมือนพัดวาลวีชนีอาทิผิด อักขระที่กำลังโบกสะบัดอยู่
อบอวลไปด้วยกลิ่นของดอกไม้และธูป ได้เป็นโลกธาตุที่ถึงความงามสุดยอด
แล้ว.
จำเดิมแต่ปฏิสนธิของพระโพธิสัตว์ ผู้ถือปฏิสนธิแล้วอย่างนี้ เพื่อที่
จะป้องกันมิให้เกิดอันตรายแก่พระโพธิสัตว์ และพระราชมารดาของพระโพธิ
สัตว์ เทวบุตร ๔ องค์ มีมือถือพระขรรค์คอยให้การอารักขา ความคิดเกี่ยว
กับราคะในบุรุษทั้งหลาย มิได้เกิดแต่พระราชมารดาของพระโพธิสัตว์. พระ-
นางมีแต่ถึงความเลิศด้วยลาภและความเลิศด้วยยศ มีความสุข มีพระวรกาย
ไม่ลำบาก และทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งอยู่ในพระคัพโภทร
ประดุจด้ายสีขาวที่ร้อยไว้ในแก้วมณีที่ใสแจ๋ว ธรรมดาคัพโภทรที่พระโพธิสัตว์
 
๕๕/๑/๘๖

วันเสาร์, ตุลาคม 12, 2567

Kratha

 
อยู่ในป่าแห่งโน้น ให้มาณพเรียนศิลปะ ดังนี้ ต่างก็นำข้าวสารเป็นต้น
ไปให้ แม้ผู้ที่เดินทางกันดารก็นำไปให้ บุรุษคนหนึ่ง ได้ให้แม่โคนม
พร้อมด้วยลูกโค เพื่อประโยชน์ที่อาจารย์ทิศาปาโมกข์จะได้ดื่มน้ำนมอาทิผิด
ณ ที่ใกล้บรรณศาลาของอาจารย์ มีเหี้ยตัวหนึ่งอยู่กับลูกอ่อนสองตัว
แม้ราชสีห์และเสือโคร่ง ก็มาสู่ที่บำรุงอาจารย์นั้น นกกระทาตัวหนึ่ง
ได้มาอยู่ ณ ที่นั้นเป็นประจำ นกกระทาตัวนั้นได้ยินเสียงอาจารย์กำลัง
บอกมนต์แก่มาณพทั้งหลาย จึงเรียนเวทย์ได้ทั้งสาม มาณพทั้งหลาย
ก็ได้คุ้นเคยกับนกกระทานั้น
ต่อมา เมื่อมาณพทั้งหลายยังไม่ทันสำเร็จการศึกษา อาจารย์ได้
ทำกาละเสียแล้ว พวกมาณพช่วยกันเผาศพอาจารย์แล้ว ก่อพระสถูป
ด้วยทราย เอาดอกไม้ต่าง ๆ มาบูชาแล้ว ร้องไห้คร่ำครวญอยู่. ลำดับนั้น
นกกระทาถามมาณพเหล่านั้นว่า พวกท่านร้องไห้ทำไม พวกมาณพ
กล่าวว่า พวกเรายังไม่สำเร็จการศึกษา อาจารย์ก็มาตายเสีย ฉะนั้น
พวกเราจึงร้องไห้ นกกระทากล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นพวกท่านอย่าเสียใจเลย
เราจะบอกศิลปะแก่พวกท่าน มาณพทั้งหลายถามว่า ท่านรู้ได้อย่างไร
นกกระทาอาทิผิด สระตอบว่า เมื่ออาจารย์กำลังบอกแก่พวกท่าน เราได้ฟังแล้ว
ได้ทำไตรเพทให้คล่องแคล่ว มาณพทั้งหลายกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่าน
จงให้พวกเรารู้ความที่ตนเป็นผู้คล่องแคล่วเถิด นกกระทากล่าวว่า ถ้า
เช่นนั้น พวกท่านคอยฟัง แล้วได้สวดไตรเพทที่มาณพเหล่านั้นฟั่นเฝือ
 
๕๙/๑๓๑๘/๗๔๖