วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 30, 2568

Duai

 
ภิกษุรูปใดเป็นภัณฑาคาริก (ผู้รักษาเรือนคลัง) เวลาจวนรุ่งสางนั่นอาทิผิด อักขระเอง
ได้รวบรวมบาตรและจีวรของภิกษุทั้งหลายลงไปไว้ยังปราสาทชั้นล่าง ไม่ได้
ปิดประตู ทั้งไม่ได้ บอกแม้แก่ภิกษุเหล่านั้น ไปเที่ยวภิกขาจารในที่ไกลเสีย,
ถ้าพวกโจรลักเอาบาตรและจีวรเหล่านั้นไปไซร้, ย่อมเป็นสินใช้แก่อาทิผิด สระเธอแท้.
ส่วนภิกษุภัณฑาคาริกรูปใด ถูกพวกภิกษุกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ !
ท่านยกบาตรและจีวรลงมาเถิด บัดนี้ ได้เวลาจับสลาก จึงถามว่า พวกท่าน
ประชุมพร้อมกันแล้วหรือ ?
เมื่อท่านเหล่านั้นเรียนว่า ประชุมพร้อมแล้ว ขอรับ ! จึงได้ขนเอา
บาตรและจีวรออกมาวางไว้ แล้วกั้นประตูภัณฑาคาร (เรือนคลัง) แล้วสั่งว่า
พวกท่านถือเอาบาตรและจีวร แล้วพึงปิดประตูภายใต้ปราสาทเสียก่อนจึงไป
ดังนี้แล้วไป; ก็ในพวกภิกษุเหล่านั้น ภิกษุรูปหนึ่งมีชาติเฉื่อยชา เมื่อภิกษุ
ทั้งหลายไปกันแล้ว ภายหลังจึงเช็ดตาลุกขึ้นเดินไปยังที่มีน้ำ หรือที่ล้างหน้า.
ขณะนั้นพวกโจรพบเห็นเข้า จึงลักเอาบาตรและจีวรของเธอนั้นไป, เป็นอัน
พวกโจรลักไปด้วยดี, ไม่เป็นสินใช้แก่ภิกษุภัณฑาคาริก. แม้ถ้าภิกษุบางรูป
ไม่ได้แจ้งแก่ภิกษุภัณฑาคาริกเลย ก็เก็บจีวรของตนไว้ในภัณฑาคาร, แม้เมื่อ
บริขารนั้นสูญหายไป ก็ไม่เป็นสินใช้แก่ภิกษุภัณฑาคาริก. แต่ถ้าภิกษุภัณฑา-
คาริก เห็นบริขารนั้นแล้ว คิดว่า เก็บไว้ในที่ไม่ควร จึงเอาไปเก็บไว้,
เมื่อบริขารนั้นสูญหายไป เป็นสินใช้แก่ภิกษุภัณฑาคาริกรูปนั้น. ถ้าภิกษุ
ภัณฑาคาริก อันภิกษุผู้เก็บไว้กล่าวว่า ผมเก็บบริขารชื่อนี้ไว้แล้ว ขอรับ !
โปรดช่วยดูให้ด้วยอาทิผิด อักขระ รับว่า ได้ หรือรู้ว่าเก็บไว้ไม่ดี จึงเก็บไว้ในที่อื่นเสีย,
เมื่อบริขารนั้นสูญหายไป เป็นสินใช้ แก่ภิกษุภัณฑาคาริกนั้นเหมือนกัน.
แต่เมื่อเธอห้ามอยู่ว่า ข้าพเจ้าไม่รับรู้ ไม่เป็นสินใช้. ฝ่ายภิกษุใด เมื่อภิกษุ
 
๒/๑๗๕/๑๘๙

วันเสาร์, พฤศจิกายน 29, 2568

Laeo

 
ดุษณีเสีย วัจฉโคตรปริพาชกได้ทูลถามอีกว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
ก็อัตตาไม่มีหรือ แม้ครั้งที่สอง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ทรงดุษณีเสีย
เหมือนกัน ครั้นแล้ว วัจฉโคตรปริพาชกก็ได้ลุกขึ้นจากที่นั่งหลีกไป.
[๘๐๒] ครั้งนั้น เมื่อวัจฉโคตรปริพาชกหลีกไปแล้วไม่นาน
ท่านพระอานนท์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
เพราะเหตุอะไรหนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าอันวัจฉโคตรปริพาชกทูลถาม
ปัญหาแล้ว จึงไม่ทรงพยากรณ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์
เราอันวัจฉโคตรปริพาชกถามว่า อัตตามีอยู่หรือ ถ้าจะพึงพยากรณ์ว่า
อัตตามีอยู่ไซร้ คำพยากรณ์นั้นก็จักไปร่วมกับลัทธิของพวกสมณพราหมณ์
ผู้เป็นสัสสตทิฏฐิ ดูก่อนอานนท์ เราอันวัจฉโคตรปริพาชกถามว่า อัตตา
ไม่มีหรือ ถ้าจะพึงพยากรณ์ว่า อัตตาไม่มีไซร้ คำพยากรณ์นั้นก็จักไปร่วม
กับลัทธิของพวกสมณพราหมณ์ผู้เป็นอุจเฉททิฏฐิ ดูก่อนอานนท์ เราอัน
วัจฉโคตรปริพาชกถามว่า อัตตามีอยู่หรือ ถ้าจะพึงพยากรณ์ว่า อัตตามี
อยู่ไซร้ คำพยากรณ์ของเรานั้น จักอนุโลมเพื่อความบังเกิดขึ้นแห่งญาณว่า
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาบ้างหรือหนอ.
อา. หามิได้ พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนอานนท์ ถ้าหากเราอันวัจฉโคตรปริพาชกถามว่า อัตตา
ไม่มีหรือ จะพึงพยากรณ์ว่า อัตตาไม่มีไซร้ คำพยากรณ์นั้นคงจักเป็นไป
เพื่อความหลงงมงายแก่วัจฉโคตรปริพาชกผู้งมงายอยู่แล้วอาทิผิด อักขระว่า เมื่อก่อนอัตตา
ของเราได้มีแล้วแน่นอน บัดนี้ อัตตานั้นไม่มี ดังนี้.
จบ อานันทสูตรที่ ๑๐
 
๒๙/๘๐๒/๓๑๙

วันศุกร์, พฤศจิกายน 28, 2568

Ha

 
[๒๕๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความตระหนี่ ๕ ประการนี้ ๕ ประการ
เป็นไฉน ? คือ ความตระหนี่ที่อยู่ ๑ ความตระหนี่สกุล (อุปัฏฐาก) ๑
ความตระหนี่ลาภ ๑ ความตระหนี่วรรณะ ๑ ความตระหนี่ธรรม ๑ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ความตระหนี่ ๕ ประการนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดา
ความตระหนี่ ๕ ประการนี้ ความตระหนี่ที่น่าเกลียดยิ่ง คือ ความตระหนี่ธรรม.
[๒๕๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอยู่ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อละ
เพื่อตัดขาดความตระหนี่ ๕ ประการ ความตระหนี่ ๕ ประการเป็นไฉน ?
คือ ภิกษุอยู่ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อละ เพื่อตัดขาดความตระหนี่ที่อยู่ ๑
เพื่อละ เพื่อตัดขาดความตระหนี่สกุล ๑ เพื่อละ เพื่อตัดขาดความตระหนี่
ลาภ ๑ เพื่อละ เพื่อตัดขาดความตระหนี่วรรณะ ๑ เพื่อละ เพื่อตัดขาด
ความตระหนี่ธรรม ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอยู่ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อ
เพื่อละ เพื่อตัดขาดความตระหนี่ ๕ ประการนี้แล.
[๒๕๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๕ ประการ ไม่ควร
เพื่อบรรลุปฐมฌาน ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน ? คือความตระหนี่ที่อยู่ ๑
ความตระหนี่สกุล ๑ ความตระหนี่ลาภ ๑ ความตระหนี่วรรณะ ๑ ความ
ตระหนี่ธรรม ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๕ ประการนี้แล ไม่
ควรบรรลุปฐมฌาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละธรรม ๕ ประการ ควรเพื่อ
บรรลุปฐมฌาน ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน ? คือ ความตระหนี่ที่อยู่ ๑
ความตระหนี่สกุล ๑ ความตระหนี่ลาภ ๑ ความตระหนี่วรรณะ ๑ ความ
ตระหนี่ธรรม ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละธรรม อาทิผิด ประการนี้แล ควร
บรรลุปฐมฌาน.
[๒๕๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๕ ประการ ไม่ควร
เพื่อบรรลุทุติยฌาน. . . ตติยฌาน. . . จตุตถฌาน. . . ไม่ควรเพื่อทำให้
 
๓๖/๒๕๖/๕๐๕

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 27, 2568

Nara

 
ว่า ผู้มีใจข้องแล้ว ในอารมณ์อันถึงพร้อมแล้ว หรืออันยังไม่ถึงพร้อม
แล้ว.
พระผู้มีพระภาคตรัสคำอธิบายนี้ไว้ว่า ; นายมาลาการเข้าไปสู่สวน
ดอกไม้ คิดว่า “จักเก็บดอกไม้ทั้งหลาย” แล้วไม่เก็บเอาดอกไม้จาก
ในสวนนั้น ปรารถนากออื่น ๆ ชื่อว่าส่งใจไปในสวนดอกไม้ทั้งสิ้น หรือ
คิดว่า “เราจักเก็บดอกไม้จากกออาทิผิด สระนี้” แล้วไม่เก็บเอาดอกไม้จากกอนั้น
ย่อมส่งใจไปในที่อื่น เลือกอยู่ซึ่งกอไม้นั้นนั่นเอง ชื่อว่าย่อมถึงความ
ประมาทฉันใด; นระบางคน ก็ฉันนั้นเหมือนกัน หยั่งลงสู่ท่ามกลาง
กามคุณ ๕ เช่นกันกับสวนดอกไม้ ได้รูปอันชอบใจแล้ว ปรารถนา
กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นที่ชอบใจอย่างใดอย่างหนึ่ง. หรือได้
บรรดาอารมณ์มีเสียงเป็นต้นเหล่านั้นอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ยังปรารถนา
อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ( ต่อไป ). หรือได้รูปนั้นแหละ แล้วยัง
ปรารถนาอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ชื่อว่าย่อมยินดีอารมณ์นั้นนั่นแล,
หรือได้บรรดาอารมณ์มีเสียงเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วปรารถนา
อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง (ชื่อว่าย่อมยินดีอารมณ์อันตนได้แล้วนั้น).
ในสวิญญาณกทรัพย์และอวิญญาณกทรัพย์ มีโค กระบือ ทาสี ทาส
นา สวน บ้าน นิคมและชนบทเป็นต้น ก็นัยนั้นนั่นแล. ในบริเวณ
วิหารและปัจจัยมีบาตรและจีวรเป็นต้น แม้ของบรรพชิต ก็นัยนั้นเหมือน
กัน; (มัจจุย่อมพา) นระอาทิผิด อักขระผู้มีใจข้องในกามคุณอันถึงพร้อมแล้ว หรือ
อันยังไม่ถึงพร้อมแล้ว ซึ่งกำลังเลือกเก็บดอกไม้ กล่าวคือกามคุณ ๕
อยู่อย่างนั้น ด้วยประการฉะนี้ (ไป).
 
๔๑/๑๔/๔๑

วันพุธ, พฤศจิกายน 26, 2568

Saritatchethana

 
ในกัปที่ ๘๗อาทิผิด แต่กัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่า
สริตัจเฉทนะอาทิผิด สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพละมาก.
ในกัปที่ ๘๖ แต่กัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่า
อัคคินิพพาปนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพละมาก.
ในกัปที่ ๘๕ แต่กัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่า
วาตสมะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพละมาก.
ในกัปที่ ๘๔ แต่กัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช
มีนามว่าคติปัจเฉทนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มี
พละมาก.
ในกัปที่ ๘๓ แต่กัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่า
รัตนปัชชละ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพละมาก.
ในกัปที่ ๘๒ แต่กัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่า
ปทวิกกมนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพละมาก.
ในกัปที่ ๘๑ เเต่กัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช
มีนามว่าวิโลกนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพละมาก.
ในกัปที่ ๘๐ แต่กัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่า
คิริสาระ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพละมาก.
คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ
อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า
เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
 
๗๑/๑๒๗/๔๒๘

วันอังคาร, พฤศจิกายน 25, 2568

Mae Nam

 
บทว่า อสงฺกมนียาโย ได้แก่ เขียงเท้าที่ตั้งไว้เป็นอันดีบนพื้นไม่
คลอน เคลื่อนที่ไม่ได้.

ว่าด้วยยาน
สองบทว่า องฺคชาตํ ฉุปนฺติ ได้แก่ ถูกองคชาตด้วยองคชาตนั่น
เอง.
สองบทว่า โอคาเหตฺวา มาเรนฺติ ได้แก่ ยึดไว้แน่นให้ตายภายใน
น้ำ.
บทว่า อิตฺถียุตฺเตน ได้แก่ เทียมด้วยโคตัวเมีย.
บทว่า ปุริสนฺตเรน ได้แก่ มีบุรุษเป็นสารถี.
บทว่า ปุริสยุตฺเตน ได้แก่อาทิผิด อาณัติกะ เทียมด้วยโคผู้.
บทว่า อิตฺถนฺตเรน ได้แก่ มีสตรีเป็นสารถี.
บทว่า คงฺคามหิยาย ได้แก่ การกีฬาในแม่น้ำคงคาและแม่น้ำอาทิผิด สระมหี.
วินิจฉัยในข้อว่า ปุริสยุตฺตํ หตฺถวฏฺฏกํ นี้ พึงทราบดังนี้:-
ยานที่เทียมด้วยโคผู้ จะมีสตรีเป็นสารถี หรือมีบุรุษเป็นสารถีก็ตาม
ควร. ส่วนยานที่ลากไปด้วยมือ สตรีลาก หรือบุรุษลากก็ตาม, ควรเหมือน
กัน.
บทว่า ยานุคฺฆาเตน มีความว่า กายทั้งปวง ของภิกษุนั้นย่อม
สั่นคลอน เพราะความเหวี่ยงไปแห่งยาน ความไม่สำราญ ย่อมเสียดแทงเพราะ
ปัจจัยนั้น.
บทว่า สิวิกํ ได้แก่ คานหามมีตั่งนั่ง.
บทว่า ปาฏงฺกึ ได้แก่ เปลผ้าที่เขาผูกติดกับไม้คาน.
 
๗/๒๔/๕๐

วันจันทร์, พฤศจิกายน 24, 2568

Samutthan

 
สามบทว่า อนฺตมโส กุสคฺเคนาปิ ปิวติ มีความว่า ภิกษุดื่มสุรา
หรือเมรัยนั่นตั้งแต่เชื้อ แม้ด้วยปลายหญ้าคา เป็นปาจิตตีย์. แต่เมื่อดื่มแม้มาก
ด้วยประโยคเดียว เป็นอาบัติเพียงตัวเดียว. เมื่อดื่มขาดเป็นระยะ ๆ เป็นอาบัติ
มากตัวโดยนับประโยค.
คำว่า อมชฺชญฺจ โหต มชฺชวณฺณํ มชฺชคนฺธํ มชฺชรสํ มี
ความว่า เป็นยาดองน้ำเกลือก็ดี มีสีแดงจัดก็ดี.
บทว่า สูปสํปาเก มีความว่า ชนทั้งหลายใส่น้ำเมาลงนิดหน่อย
เพื่ออบกลิ่นแล้วต้มแกง, เป็นอนาบัติ ในเพราะแกงใส่น้ำเมาเล็กน้อยนั้น.
แม้ในต้มเนื้อก็นัยนี้เหมือนกัน . ก็ชนทั้งหลายย่อมเจียวน้ำมันกับน้ำเมา แม้
เพื่อเป็นยาระงับลม, ไม่เป็นอาบัติในน้ำมัน แม้นั้นที่ไม่ได้เจือน้ำเมาจนเกินไป
เท่านั้น. ในน้ำมันที่เจือน้ำเมาจัดไป จนมีสีมีกลิ่น และรสแห่งน้ำเมาปรากฏ
เป็นอาบัติแท้.
สองบทว่า อมชฺชํ อริฏฺฐํ มีความว่า ในยาดองชื่ออริฏฐะซึ่งไม่ใช่
น้ำเมา ไม่เป็นอาบัติ. ได้ยินว่า ชนทั้งหลายทำยาดองชื่ออริฏฐะ ด้วยรสแห่ง
มะขามป้อมเป็นต้นนั่นแหละ. ยาดองนั้นมี สี กลิ่น และรสคล้ายน้ำเมา
แต่ไม่เมา. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอายาดองชื่ออริฏฐะนั้น จึงตรัสคำนี้
แต่ยาดองอริฏฐะที่เขาปรุงด้วยเครื่องปรุงจัดเป็นน้ำเมา ไม่ควรตั้งแต่เชื้อ. บท
ที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐานอาทิผิด อักขระดุจเอฬกโลมสิกขาบท เป็นกิริยา โนสัญญา-
วิโมกข์ อจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ แล. ก็ใน
สมุฏฐานเป็นต้นนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นอจิตตกะ. เพราะไม่รู้วัตถุ. พึง
ทราบว่า เป็นโลกวัชชะ เพราะจะพึงดื่มด้วยอกุศลจิตเท่านั้น ดังนี้แล.
สุราปานสิกขาบทที่ ๑ จบ
 
๔/๕๗๘/๖๓๖

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 23, 2568

Kha

 
รัตนสิกขาบทที่ ๒
ในสิกขาบทที่ ๒ มีวินิจฉัยดังนี้:-
[ว่าด้วยสถานที่ และของตกที่ควรเก็บไม่ควรเก็บ]
บทว่า วิสฺสริตฺวา แปลว่า ได้ลืมไว้. ๕ เหรียญกษาปณ์ จาก
๑๐๐ เหรียญ ชื่อว่า ปุณณปัตตะ (ร้อยละ ๕).
คำว่า กฺยาหํ กริสฺสามิ แปลว่า เราจักกระทำอย่างไร
คำว่า อาภรณํ โอมุญฺจิตฺวา คือ ได้เปลื้องเครื่องประดับชื่อ
มหาลดามีค่าอาทิผิด อักขระ ๙ โกฏิออกไว้.
บทว่า อนฺเตวาสี แปลว่า สาวใช้.
๒ ชั่วขว้างก้อนดินตกแห่งวัดที่อยู่ ชื่อว่า อุปจาร ในคำว่า อปริกฺ-
ขิตสฺส อุปจาโร นี้. แต่ในมหาปัจจรีกล่าวว่า สำหรับที่อยู่พัก ชั่วเหวี่ยง
กระด้งตก หรือชั่วเหวี่ยงสากตก (ชื่อว่า อุปจาร).
ในคำว่า อุคฺคณฺหาติ อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส นี้ มีวินิจฉัยว่า
ภิกษุรับเองก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทองและเงิน เพื่อประโยชน์แก่ตน เป็นนิสสัคคิย-
ปาจิตตีย์ รับเองก็ดี ให้รับเองก็ดี เพื่อประโยชน์แก่สงฆ์ คณะ บุคคล
เจดีย์ และนวกรรม เป็นทุกกฏ. ภิกษุรับเองก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งรัตนะมีมุกดา
เป็นต้นที่เหลือ เพื่อประโยชน์แก่ตนหรือแก่สงฆ์เป็นต้น เป็นทุกกฏ. สิ่งที่
เป็นกัปปิยวัตถุก็ดี เป็นอกัปปิยวัตถุก็ดี อันเป็นของคฤหัสถ์ ชั้นที่สุดแม้ใบ
ตาลเป็นเครื่องประดับหูเป็นของมารดา เมื่อภิกษุรับเก็บโดยมุ่งวัตรแห่งภัณฑา-
คาริกเป็นใหญ่ เป็นปาจิตตีย์เหมือนกัน. แต่ถ้าของ ๆ มารดาบิดาเป็นกัปปิย-
ภัณฑ์อันควรที่ภิกษุจะเก็บไว้ได้แน่นอน พึงรับเก็บไว้เพื่อประโยชน์ตน. แต่
 
๔/๗๔๓/๘๑๖

วันเสาร์, พฤศจิกายน 22, 2568

Chueng

 
ภิกษุผู้มีพรรษาหย่อน ๑๐ ไม่พึงให้กุลบุตรบวช, ภิกษุใดพึงให้บวช,
ภิกษุนั้นต้องทุกกฏ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ! อย่างไร
กันน๊ะ เธอยังเป็นผู้ที่คนอื่นควรโอวาทควรพร่ำสอน จักสำคัญเพื่อจะ
โอวาท เพื่อจะพร่ำสอนผู้อื่น จึงคิดว่า พระศาสดาทรงอาศัยบริษัท
ของเราได้ทรงประทานการตำหนิแก่เรา, บัดนี้ เรานั้นจักยังพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าให้เปล่งพระสุรเสียงดุจพรหม ด้วยพระพักตร์อันบริบูรณ์ด้วย
อาการทุกอย่าง มีสิริดังพระจันทร์เพ็ญนั้นนั่นแล แล้วจักให้ประทาน
สาธุการ เพราะอาศัยบริษัทนั่นแหละ เป็นกุลบุตรผู้มีหทัยงามเดินทาง
ล่วงไปได้ ๑๐๐ กว่าโยชน์ ได้แนะนำบริษัท เป็นผู้อันภิกษุประมาณ
๕๐๐ รูปแวดล้อมแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าอีก. เพราะเหตุนั้น
พระธรรมสังคีติกาจารย์จึงอาทิผิด สระกล่าวว่า สปริโส เยน ภควา เตนูปสงฺกมิ
เป็นต้น. จริงอยู่ ใคร ๆ ไม่อาจจะให้พระพุทธเจ้าทั้งหลายโปรดปราน
ได้โดยประการอื่นนอกจากวัตรสมบัติ.
ข้อว่า ภควโต อวิทูเร นิสินฺโน มีความว่า ภิกษุนั้นเป็นผู้
หมดความระแวง เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยวัตรสมบัติ จึงนั่งในที่ไม่ไกล
พระผู้มีพระภาคเจ้า ดุจสีหะนั่งอยู่ใกล้ถ้ำแห่งภูเขาทองฉะนั้น.
บทว่า เอตทโวจ คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ เพื่อยก
เรื่องราวขึ้น.
ข้อว่า มนาปานิ เต ภิกฺขุ ปํสุกูลานิ ความว่า ดูก่อนภิกษุ !
ผ้าบังสุกุลเหล่านี้เป็นที่ชอบใจของเธอหรือ ? คือ เธอถือตามความชอบใจ
ตามความพอใจของตนหรือ ?
 
๓/๙๖/๙๑๔

วันศุกร์, พฤศจิกายน 21, 2568

Praphruet

 
ความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ก็ยังมี ข้าพเจ้าจักประอาทิผิด อักขระพฤติพรหมจรรย์ในสำนัก
สมณีเหล่านั้น ดังนี้เล่า. . . แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.

ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า ภิกษุณีจัณฑกาลี โกรธ ขัดใจ แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าขอบอก
คืนพระพุทธเจ้า. . . ข้าพเจ้าขอบอกคืนสิกขา ภิกษุณีชื่อว่าสมณี จะมีเฉพาะ
สมณีเหล่าศากยธิดาเหล่านี้เมื่อไร แม้สมณีเหล่าอื่นที่มีความละอาย มีความ
รังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขาก็ยังมี ข้าพเจ้าจักไปประพฤติพรหมจรรย์ในสำนัก
สมณีเหล่านั้น ดังนี้ จริงหรือ.
ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฉน
ภิกษุณีจัณฑกาลีจึงโกรธ ขัดใจ กล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าขอบอกคืนพระ-
พุทธเจ้า. . . ข้าพเจ้าขอบอกคืนสิกขา ภิกษุณีที่ชื่อว่าสมณี จะมีเฉพาะสมณี
เหล่าศากยธิดาเหล่านี้เมื่อไร แม้สมณีเหล่าอื่นที่มีความละอาย มีความรังเกียจ
ผู้ใคร่ต่อสิกขาก็ยังมี ข้าพเจ้าจักไปประอาทิผิด อักขระพฤติพรหมจรรย์ในสำนักสมณีเหล่านั้น
ดังนี้เล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยัง
ไม่เลื่อมใส . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลาย จงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง
อย่างนี้ ว่าดังนี้ :-
 
๕/๖๑/๘๓

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 20, 2568

Chetawan

 
[แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องพระอุทายี]
สองบทว่า อรญฺเ วิหรติ ความว่า ไม่ใช่อยู่ในป่าแผนกหนึ่ง
ต่างหาก คือ อยู่ที่สุดแดนข้างหนึ่งแห่งพระวิหารเชตวันอาทิผิด อักขระนั่นเอง.
สองบทว่า มชฺเฌ คพฺโภ ความว่า ก็ที่ตรงกลางวิหารของท่าน
พระอุทายีนั้น มีห้อง.
บทว่า สมนฺตาปริยาคาโร ความว่า ก็โดยรอบห้องนั้น มีระเบียง
โรงกลมเป็นเครื่องล้อม. ได้ยินว่า ห้องนั้น ท่านพระอุทายีสร้างให้เป็น
ห้อง ๔ เหลี่ยมจตุรัสที่ตรงกลาง โดยมีโรงกลมเป็นระเบียงล้อมในภาย
นอก อย่างที่คนทั้งหลายอาจเพื่อจะเดินเวียนรอบภายในได้ทีเดียว.
บทว่า สุปฺปญฺญฺตตํ แปลว่า จัดตั้งไว้เรียบร้อย. อธิบายว่า เตียง
ดังนั้น จัดวางไว้โดยประการใด ๆ และในโอกาสใด ๆ จึงจะก่อให้เกิด
ความเลื่อมใส ให้ชาวโลกยินดี, ท่านได้จัดตั้งไว้โดยประการนั้น ๆ ใน
โอกาสนั้น ๆ. แท้จริง ท่านพระอุทายีนั้น จะกระทำกิจแม้สักอย่างหนึ่ง
โดยยกข้อวัตรขึ้นเป็นประธานก็หามิได้.
ข้อว่า เอกจฺเจ วาตปาเน ความว่า เปิดหน้าต่างทั้งหลายที่เมื่อ
ปิดแล้วมีความมืด ปิดหน้าต่างทั้งหลายที่เมื่อเปิดแล้วมีแสงสว่าง.
ข้อว่า อวํ วตฺเต สา พฺราหฺมณีอาทิผิด สระ ตํ พฺราหฺมณํ เอตทโวจ
ความว่า เมื่อพราหมณ์นั้นกล่าวสรรเสริญอย่างนี้ นางพราหมณีนั้นเข้าใจ
ว่า พราหมณ์นี้เลื่อมใสแล้ว ชะรอยอยากจะบวช เมื่อจะเปิดเผยอาการ
ที่น่าบัดสีนั้นของตน แม้ควรปกปิดไว้ มีความมุ่งหมายจะตัดรอนศรัทธา
 
๓/๓๙๖/๑๕๖

วันพุธ, พฤศจิกายน 19, 2568

Bannakan

 
ทูตด่วน แก่ข้าราชการภายในว่า จงประดับช้างมงคล จัดบัลลังก์บนช้างนั้น
ยกเศวตฉัตร ทำถนนพระนครให้สวยงาม ประดับประดาอย่างดี ด้วยธงปฏาก
อันงดงาม ต้นกล้วย หม้อน้ำที่เต็ม ของหอม ธูป และดอกไม้เป็นต้น จง
ทำบูชาเห็นปานนี้ ในสถานที่ครอบครองของตน ๆ ดังนี้ ส่วนพระองค์ทรง
ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง อันกองกำลังพร้อมกับดนตรีทุกชนิดแวด-
ล้อม ทรงพระราชดำริว่า เราจะส่งบรรณาการไปดังนี้ เสด็จไปจนสุดพระราช
อาณาเขตของพระองค์แล้ว ได้พระราชทานพระราชสาส์นสำคัญแก่อำมาตย์
แล้วตรัสว่า ดูก่อนพ่อ พระเจ้าปุกกุสาติพระสหายของเรา เมื่อจะทรงรับ
บรรณาการนี้ อย่ารับในท่ามกลางตำหนักนางสนมกำนัล จงเสด็จขึ้นพระ
ปราสาทแล้วทรงรับเถิด. ครั้นพระราชทานพระราชสาส์นนี้แล้ว ทรงพระราช
ดำริว่า พระศาสดาเสด็จไปสู่ปัจจันตประเทศ ทรงนมัสการด้วยพระเบญจางค-
ประดิษฐ์แล้วเสด็จกลับ. ส่วนข้าราชการภายในทั้งหลาย ตกแต่งทางโดย
ทำนองนั้นเทียว นำไปซึ่งพระราชบรรณาการ.
ฝ่ายพระเจ้าปุกกุสาติ ทรงตกแต่งทางโดยทำนองนั้น ตั้งแต่รัชสีมา
ของพระองค์ ทรงให้ประดับประดาพระนคร ได้ทรงกระทำการต้อนรับพระ-
ราชบรรณาการ. พระราชบรรณาการเมื่อถึงพระนครตักกศิลา ได้ถึงในวัน
อุโบสถ. ฝ่ายอำมาตย์ผู้รับพระราชบรรณาการอาทิผิด สระไปทูลบอกพระราชสาส์นที่กล่าว
แด่อาทิผิด อักขระพระราชา. พระราชาทรงสดับพระราชสาส์นนั้นแล้ว ทรงพิจารณากิจ
ควรทำแก่อำมาตย์ทั้งหลายผู้มาพร้อมกับพระราชบรรณาการ ทรงถือพระราช
บรรณาการ เสด็จขึ้นสู่พระปราสาทแล้วตรัสว่า ใคร ๆ อย่าเข้ามาในที่นี้
ทรงให้ทำการรักษาที่พระทวาร ทรงเปิดพระสีหบัญชร ทรงวางพระราช
บรรณาการ บนที่พระบรรทมสูง ส่วนพระองค์ประทับนั่งบนอาสนะต่ำ ทรง
ทำลายรอยประทับ ทรงเปลื้องเครื่องห่อหุ้ม เมื่อทรงเปิดโดยลำดับจำเดิมแต่
 
๒๓/๖๙๗/๓๕๖

วันอังคาร, พฤศจิกายน 18, 2568

San

 
เพื่อประโยชน์แก่พระนางประภาวดีแล้ว แสดงรูปต่าง ๆ คือ รูปเศวตฉัตร
สถานที่สำหรับดื่ม พระนางประภาวดี ทรงยืนจับผ้าเป็นต้นในใบตาลนั้น นาย
ช่างสานได้ถือเอาใบตาลนั้นและของอย่างอื่นอีก ที่พระโพธิสัตว์นั้น ทรงกระทำ
แล้ว นำไปยังราชตระกูล พระราชา ทอดพระเนตรเห็นตรัสถามว่า สิ่งของ
เหล่านั้นใครทำ นายช่างสาน กราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์ทำเองพระเจ้า
ข้า พระราชาตรัสว่า เราจำของที่เจ้าทำได้ดี จงบอกมาเถิดว่าของเหล่านั้นใคร
ทำกันแน่ นายช่างสานกราบทูลว่า ขอเดชะ ศิษย์ของข้าพระองค์กระทำพระ
เจ้าข้า พระราชาทรงรับสั่งว่า ผู้นั้นไม่สมควรเป็นศิษย์ เขาจงเป็นอาจารย์
ของเจ้าจึงเหมาะ เจ้าจงศึกษาศิลปะในสำนักของเขาและจำเดิมแต่วันนี้ไป ขอ
ให้เขาทำสิ่งของอย่างนี้ แก่พวกธิดาของเรา และเจ้าจงให้ทรัพย์พันหนึ่งนี้แก่
เขาด้วย ดังนี้แล้ว ทรงพระราชทานทรัพย์พันหนึ่งแล้วตรัสว่า เจ้าจงนำเอา
สิ่งของเครื่องประดับเหล่านั้น ไปให้พวกธิดาของเราด้วย.
แม้นายช่างสานอาทิผิด อักขระนั้น ก็ได้ถวายใบตาลที่พระโพธิสัตว์ ทรงกระทำเพื่อ
ประโยชน์แก่พระนางประภาวดีเฉพาะพระนางทีเดียว ชนอื่น ย่อมไม่เห็นรูป
ทั้งหลายในใบตาลนั้น ฝ่ายพระนางประภาวดี พอได้ทอดพระเนตรเห็น ก็ทรง.
ทราบว่า พระเจ้ากุสราชทรงกระทำ ก็ทรงกริ้วขว้างลงบนพื้นแล้วรับสั่งว่า
ใครอยากได้ ก็จงเอาไปเถิด ลำดับนั้น พวกพระภคินีที่เหลือ ก็ทรงหัวเราะ
เยาะพระนาง นายช่างสาน ถือเอาทรัพย์พันหนึ่ง ไปให้พระโพธิสัตว์แล้วบอก
เรื่องราวนั้นให้ทราบ พระโพธิสัตว์เจ้านั้น ยังทรงดำริว่า แม้ที่นี้ก็ไม่ใช่สถาน
ที่ที่เราควรจะอยู่ จึงมอบทรัพย์พันหนึ่งคืนให้นายช่างสานนั้นแล้ว เสด็จไปยัง
สำนักของนายช่างร้อยดอกไม้ของพระราชา แจ้งความประสงค์ขอเป็นศิษย์
ทรงร้อยพวงมาลาแปลก ๆ หลายอย่างหลายชนิด ได้กระทำทรงเทริดอันหนึ่ง
 
๖๒/๑๓๓/๒๓๒

วันจันทร์, พฤศจิกายน 17, 2568

Chiwon

 
จะให้ครอง ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสคำว่า ผู้ประสงค์
จะให้ภิกษุครอง.
สองบทว่า อญฺญาตกสฺส คหปติสฺส วา มีอรรถว่า อันคฤหบดี
ผู้มิใช่ญาติ ก็ดี. แท้จริง คำนี้ เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ลงในอรรถแห่งตติยา-
วิภัตติ. แต่ในบทภาชนะ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะไม่วิจารณ์พยัญชนะ
แสดงแต่อรรถอย่างเดียว จึงตรัสคำมีอาทิว่า อญฺญาตโก นาม ฯ เป ฯ
คหปติ นาม ดังนี้.
บทว่า จีวรเจตาปนํ แปลว่า มูลค่าแห่งจีวรอาทิผิด อักขระ, ก็เพราะมูลค่าแห่ง
จีวรนั้น ย่อมเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในบรรดาทรัพย์มีเงินเป็นต้น; ฉะนั้น
ในบทภาชนะ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า หิรญฺญํ วา เป็นต้น.
สองบทว่า อุปกฺขฏํ โหติ ได้แก่ เป็นทรัพย์ที่เขาตระเตรียมไว้ คือ
รวบรวมไว้แล้ว. ก็เพราะด้วยคำว่า หิรญฺญํ วา เป็นต้นนี้ ย่อมเป็นอัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความที่มูลค่าจีวรนั้น เป็นของอันคฤหบดีนั้น
ตระเตรียมไว้แล้ว; ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงไม่ทรงยกบทว่า
อุปกฺขฏํ นาม ขึ้นแล้วตรัสบทภาชนะแยกไว้ต่างหาก. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงหมายถึงทรัพย์ ที่เขาตระเตรียมไว้ จึงตรัสว่า อิมินา เป็นต้น.
เพราะเหตุนั้นแล ในบทภาชนะแห่งบทว่า อิมินา นั้น จึงตรัสว่า ปจฺจุ-
ปฏฺฐิเตน แปลว่า ด้วยทรัพย์ที่เขาจัดไว้เฉพาะ. จริงอยู่ มูลค่าแห่งจีวร
ที่คฤหบดี ตระเตรียมไว้ คือรวบรวมไว้แล้ว ชื่อว่า เป็นทรัพย์ที่เขาจัด
หาไว้เฉพาะ ฉะนี้แล.
คำว่า อจฺฉาเทสฺสามิ นี้ เป็นคำสำนวน. แต่ความหมาย ในคำว่า
อจฺฉาเทสฺสามิ นี้ ดังนี้ว่า ข้าพเจ้าจักถวายแก่ภิกษุ ผู้มีชื่อนี้. เพราะ-
 
๓/๖๕/๘๓๒

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 16, 2568

Kam

 
อรรถกถาพราหมณสัจจสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในพราหมณสัจจสูตรที่ ๕ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า พฺราหฺมณสจฺจานิ แปลว่า สัจจะของพราหมณ์ทั้งหลาย.
บทว่า โส เตน น สมโณติ มญฺญติ ความว่า โดยสัจจะนั้น พระ-
ขีณาสพนั้น ย่อมไม่สำคัญด้วยตัณหา มานะ ทิฏฐิ ว่าเราเป็นสมณะ ดังนี้
แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน . บทว่า ยเทว ตตฺถ สจฺจํ ตทภิญฺญาย
ความว่า สัจจะใดเป็นความจริงแท้ ไม่แปรผันในการปฏิบัตินั้นว่า สัตว์ทั้งปวง
ไม่ควรฆ่า ดังนี้. ด้วยบทนี้ ทรงทำวจีสัจไว้ในภายใน แสดงนิพพานเป็น
ปรมัตถสัจ. บทว่า ตทภิญฺญาย ได้แก่ รู้สัจจะทั้งสองนั้น ด้วยปัญญาอัน
วิเศษยิ่ง. บทว่า อนุทยาย อนุกมฺปาย ปฏิปนฺโน โหติ ความว่า เป็นผู้
ปฏิบัติปฏิปทาเพื่อความเอ็นดู และเพื่อความอนุเคราะห์ อธิบายว่า เป็นผู้
บำเพ็ญเต็มที่. บทว่า สพฺเพ กามา ได้แก่ วัตถุกามอาทิผิด ทั้งหมด กิเลสกาม
ทั้งหมด. แม้ในปฏิปทาที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า อิติ วทํ พฺราหฺมโณ
สจฺจํ อาห ได้แก่ พราหมณ์ผู้เป็นขีณาสพ แม้กล่าวอยู่อย่างนี้ ก็ชื่อว่า
กล่าวจริงทั้งนั้น. บทว่า สพฺเพ ภวา ได้แก่ ภพ ๓ มีกามภพเป็นต้น.
ก็ในบทว่า นาหํ กวฺจินิ นี้ ตรัสสุญญตาความสูญไว้ ๔ เงื่อน
จริงอยู่ พระขีณาสพนี้ไม่เห็นตนในที่ไหน ๆ ว่าเราย่อมไม่มีในอะไร ๆ. บทว่า
กสฺสจิ กิญฺจนตสฺมึ ความว่าไม่เห็นตนของตน ที่พึงนำเข้าไปในความกังวล
สำหรับใครอื่น อธิบายว่าไม่เห็นว่าพี่ชายควรสำคัญนำเข้าไปในฐานะพี่ชายสหาย
ในฐานะสหายหรือบริขารในฐานะบริขาร ดังนี้ . ในบทว่า น จ มม กวฺจินิ นี้
เว้นมมศัพท์ไว้ก่อน มีความดังนี้ว่า พระขีณาสพไม่เห็นตนว่ามีกังวลอยู่ในสิ่ง
 
๓๕/๑๘๕/๔๕๑

วันเสาร์, พฤศจิกายน 15, 2568

Khao

 
กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ
ยึดมั่นการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เมื่อตายไป ย่อมเข้าอาทิผิด อักขระถึงสุคติโลกสวรรค์
เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี
มีผิวพรรณทราม ได้ดีตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์
ย่อมรู้ชัด ซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้.
[๑๑๔๖] ภิกษุเมื่อเจริญ กระทำให้มากซึ่งอิทธิบาท ๔ อย่างนี้ ย่อม
กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้เพราะอาสวะทั้ง
หลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่.
จบปุพพสูตรที่ ๑

ปาสาทกัมปนวรรควรรณนาที่ ๒

อรรถกถาปุพพสูตร

ปาสาทกัมปนวรรคที่ ๒ ปุพพสูตรที่ ๑. คำเป็นต้นว่า อติลีโน
(แปลว่า ไม่ย่อหย่อนเกินไป) จะแจ่มแจ้งข้างหน้า. ในสูตรนี้ ทรงแสดงอิทธิบาท
ซึ่งมีอภิญญา ๖ เป็นบาท.
จบอรรถกถาปุพพสูตรที่ ๑
 
๓๑/๑๑๔๕/๑๔๑

วันศุกร์, พฤศจิกายน 14, 2568

Witthawa

 
ปริญญา. โดยสลัดออกจากโทษคือความยินดี. บทว่า หุรา หุรํ ธาวติ
ภนฺติจิตฺโต ความว่า ชื่อว่ามีจิตไม่ตั้งมั่น เพราะยังละมิจฉาวิตกไม่ได้
จึงแล่นไป คือหมุนไป ๆ มา ๆ ด้วยอำนาจความยินดีเป็นต้นในอารมณ์
นั้น ๆ โดยนัยมีอาทิว่า บางคราวในรูปารมณ์ บางคราวในสัททารมณ์
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า หุรา หุรํ ธาวติ ภนฺตจิตฺโต ความว่า มีจิตหมุน
ไปด้วยอำนาจอวิชชาและตัณหาอันมีวิตกนั้นเป็นเหตุ เพราะยังกำหนด
วิตกไม่ได้ จึงแล่นไป คือท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ โดยจุติและปฏิสนธิ จาก
โลกนี้สู่โลกหน้า. บทว่า เอเต จ วิทฺวาอาทิผิด อักขระ มนโส วิตกฺเก ความว่า แต่
รู้ตามความเป็นจริงโดยความยินดีเป็นต้น ซึ่งมโนวิตกมีกามวิตกเป็นต้นมี
ประเภทตามที่กล่าวแล้วนั้น. บทว่า อาตาปิโย แปลว่า มีความเพียร.
บทว่า สํวรติ แปลว่า ย่อมปิด. บทว่า สติมา แปลว่า สมบูรณ์ด้วย
สติ. บทว่า อนุคฺคเต ได้แก่ ไม่เกิดขึ้นโดยอำนาจการได้ด้วยยาก. ท่าน
กล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า รู้มโนวิตกมีกามวิตกเป็นต้นมีประการดังกล่าวแล้ว
นั้น ว่าเป็นความฟุ้งซ่านแห่งใจ เพราะเป็นเหตุทำจิตให้ฟุ้งซ่าน คือ
รู้โดยชอบทีเดียวด้วยมรรคปัญญาอันประกอบด้วยวิปัสสนาญาณ ชื่อว่าผู้มี
ความเพียร มีสติ เพราะมีสัมมาวายามะและสัมมาสติ ซึ่งมีมรรคปัญญานั้น
เป็นสหาย ปิดมโนวิตกเหล่านั้นที่ควรจะเกิดต่อไป ไม่ให้เกิดคือไม่ให้
ผุดขึ้นเลยในขณะมรรค ด้วยอริยมรรคภาวนา คือปิดกั้นด้วยญาณสังวร
ได้แก่ตัดความปรากฏ (ของวิตกเหล่านั้น) ก็พระอริยสาวกผู้เป็นอย่างนั้น
ชื่อว่าพุทธะ เพราะรู้สัจจะทั้ง ๔ ละขาด คือตัดขาดกามวิตกเป็นต้น
เหล่านั้นโดยไม่เหลือ คือไม่มีส่วนเหลือ เหตุบรรลุพระอรหัต. แม้ในบท
 
๔๔/๘๙/๔๑๒

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 13, 2568

Phong Sai

 
๖. ทานสูตร
ว่าด้วยให้ทานที่ให้แล้วมีผลมาก
[๒๐๔] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ
มาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าสัตว์ทั้งหลายพึงรู้ผลแห่งการจำแนกทาน
เหมือนอย่างเรารู้ไซร้ สัตว์ทั้งหลายยังไม่ให้แล้ว ก็จะไม่พึงบริโภค อนึ่ง
ความตระหนี่อันเป็นมลทิน จะไม่พึงครอบงำจิตของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้น
ไม่พึงแบ่งคำข้าวคำหลังจากคำข้าวนั้นแล้วก็จะไม่พึงบริโภค ถ้าปฏิคาหกของ
สัตว์เหล่านั้นพึงมี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่เพราะสัตว์ทั้งหลายไม่รู้ผลแห่งการ
จำแนกทานเหมือนอย่างเรารู้ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายไม่ให้แล้วจึงบริโภค อนึ่ง
ความตระหนี่อันเป็นมลทินจึงยังครอบงำจิตของสัตว์เหล่านั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ถ้าว่าสัตว์ทั้งหลาย พึงรู้ผลแห่งการ
จำแนกทาน เหมือนอย่างที่ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ตรัสแล้วโดย
วิธีที่ผลนั้นเป็นผลใหญ่ไซร้ สัตว์ทั้งหลาย
พึงกำจัดความตระหนี่ อันเป็นมลทินเสีย
แล้ว มีใจผ่องใสอาทิผิด อักขระ พึงให้ทานที่อาทิผิด อาณัติกะให้แล้ว มี
ผลมาก ในพระอริยบุคคลทั้งหลายตาม
กาลอันควร อนึ่ง ทายกเป็นอันมาก ครั้น
 
๔๕/๒๐๔/๑๖๘

วันพุธ, พฤศจิกายน 12, 2568

Nok Khum

 
๙. วัฏฏกโปตกจริยา
ว่าด้วยจริยาวัตรของลูกนกคุ่มอาทิผิด อาณัติกะ
[๒๙] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นลูกนกคุ่ม
ขนยังไม่งอก ยังอ่อนเป็นดังชิ้นเนื้อ อยู่ในรัง
ในมคธชนบท ในกาลนั้น มารดาเอาจะงอย
ปากคาบเหยื่อมาเลี้ยงเรา เราเป็นอยู่ด้วยผัสสะ
ของมารดา กำลังกายของเรายังไม่มี ในฤดู
ร้อนทุก ๆ ปี มีไฟป่าไหม้ลุกลามมา ไฟไหม้
ป่าเป็นทางดำลุกลามมาใกล้เรา ไฟไหม้ป่า
ลุกลามใหญ่หลวงเสียงสนั่นอื้ออึง ไฟไหม้
ลุกลามมาโดยลำดับ เข้ามาใกล้จวนจะถึงเรา
มารดาบิดาของเราสะดุ้งใจหวาดหวั่น เพราะ
กลัวไฟที่ไหม้มาโดยเร็ว จึงทิ้งเราไว้ในรังหนี
เอาตัวรอดไปได้ เราเหยียดเท้า กางปีกออก
รู้ว่า กำลังกายของเราไม่มี เรานั้นไปไม่ได้อยู่
ในรังนั้นเอง จึงคิดอย่างนี้ในกาลนั้นว่า เมื่อ
 
๗๔/๒๙/๔๗๓

วันอังคาร, พฤศจิกายน 11, 2568

Attha

 
[๘๓๔] ธรรมยังมีธรรมอื่นยิ่งกว่า เป็นไฉน ?
กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรมประเภทที่ยังมีอาสวะซึ่งเป็นกา-
มาวจร รูปาวจร อรูปาวจร คือ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมยังมีธรรมอื่นยิ่งกว่า.
ธรรมไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า เป็นไฉน ?
มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตระ และอสังขตธาตุ สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า.
[๘๓๕] ธรรมเกิดกับกิเลส เป็นไฉน ?
อกุศลมูล ๓ คือ โลภะ โทสะ โมหะ และกิเลสอันตั้งอยู่ฐานเดียว
กัน กับอกุศลมูลนั้น, เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ อันสัมปยุตด้วยอกุศล
มูลนั้น, กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันมีอกุศลมูลนั้นเป็นสมุฏฐาน
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเกิดกับกิเลส.
ธรรมไม่เกิดกับกิเลส เป็นไฉน ?
กุศลธรรมและอัพยากตธรรมที่เป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร
โลกุตระ คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เกิดกับกิเลส.
ปิฏฐิทุกะ จบ

อรรถอาทิผิด อักขระกถานิกเขปกัณฑ์
ว่าด้วยนิทเทสกามาวจรในปิฏฐิทุกะ
พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสกามาวจร ต่อไป.
บทว่า เหฏฺฐโต (เบื้องต่ำ) (บาลีข้อ ๘๒๘) ได้แก่ ส่วนข้างล่าง.
บทว่า อวีจินิรยํ (อเวจีนรก) มีความหมายว่า ที่ชื่อว่า อวีจิ
เพราะอรรถว่า ในนรกนี้ไม่มีช่องระหว่างระลอกแห่งเปลวไฟทั้งหลาย
 
๗๖/๘๓๕/๔๙๕