วันอาทิตย์, มกราคม 31, 2564

Sonthana

 
ตนเองอยู่ในวิหารนั้น. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุ
ทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนาอาทิผิด อักขระกันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลาย
กราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่ใน
บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน อาคันตุกะภิกษุนั้นก็ได้อาทิผิด ฉุดคร่าภิกษุนี้ออก
จากที่อยู่มาแล้วเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดัง
ต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระ-
นครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ในป่า. ในฤดูฝน
ฝนตกในป่านั้น ตลอด ๗ สัปดาห์. ครั้งนั้นมีลิงเล็กหน้าแดงตัวหนึ่ง
อยู่ในซอกเขาหินแห่งหนึ่งซึ่งไม่เปียกฝน วันหนึ่ง นั่งอยู่ในที่ที่ไม่
เปียก ณ ที่ประตูซอกเขา. ลำดับนั้น ลิงใหญ่หน้าดำตัวหนึ่ง เปียก
ฝน ถูกความหนาวเบียดเบียน เที่ยวมา เห็นลิงเล็กนั้นนั่งอยู่อย่างนั้น
จึงคิดว่า เราจักนำเจ้าลิงนี้ออกไปด้วยอุบาย แล้วจักอยู่ในที่นี้เสียเอง
จึงทำให้ท้องย้อยยานแสดงอาการอิ่มเหลือล้น ไปยืนอยู่ข้างหน้าลิงเล็ก
นั้น แล้วกล่าวคาถาที่หนึ่งว่า
ต้นมะเดื่อ ต้นไทร และต้นมะขวิดนี้
มีผลสุกแล้ว เชิญท่านออกมากินเถิด จะ
ยอมตายเพราะความหิวทำไม.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กปิตฺถนา ได้แก่ ผลไม้เลียบ.
บทว่า เอหิ นิกฺขมฺม ความว่า ต้นมะเดื่อเป็นต้นเหล่านี้ วิจิตร
 
๕๘/๔๙๕/๓๕๕

วันเสาร์, มกราคม 30, 2564

Chop

 
หรือพราหมณ์ผู้มีทิฏฐิย่อมแสดงว่าด้วยการบรรลุคุณวิเศษนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้
ดังนี้โดยประจักษ์ มิใช่ข้าพเจ้ากล่าวโดยเพียงความเชื่ออย่างเดียว ดังนี้.
ก็ ม อักษร ในพระบาลีว่า อิมินา มหํ เอตํ ชานามิ นี้ ท่านกล่าว
เพื่อทำบทสนธิ.
คำว่า อิทํ ภิกฺขเว ปฐมํ ฐานํ ความว่า บรรดาฐานะทั้ง ๔ ที่
ตรัสไว้ด้วยศัพท์ว่า ด้วยเหตุ ๔ อย่าง นี้เป็นฐานะที่ ๑ อธิบายว่า การ
ระลึกชาติได้เพียงแสนชาติดังนี้ เป็นเหตุที่ ๑. แม้ในวาทะทั้งอาทิผิด อาณัติกะ ข้างต้น
ก็นัยนี้แหละ.
ก็วาระนี้ ตรัสโดยระลึกได้แสนชาติอย่างเดียว. ๒ วาระนอกนี้
ตรัสโดยระลึกได้ ๑๐ ถึง ๔๐ สังวัฏฏกัป และวิวัฏฏกัป.
จริงอยู่ เดียรถีย์ผู้มีปัญญาน้อย ระลึกได้ ประมาณแสนชาติ ผู้มี
ปัญญาปานกลาง ระลึกได้ ๑๐ สังวัฏฏกัป และวิวัฏฏกัป ผู้มีปัญญา
หลักแหลม ระลึกได้ ๔๐ สังวัฏฏกัป และวิวัฏฏกัป ไม่เกินกว่านั้น.
ในวาระที่ ๔ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
สมณะหรือพราหมณ์บางคน ที่ชื่อว่า ตกฺกี เพราะช่างตรึก อีก
นัยหนึ่ง ชื่อว่า ตกฺกี เพราะว่า มีความตรึก คำว่า ตกฺกี นี้เป็นชื่อของ
คนช่างตรึกตรองแล้ว ยึดถือเป็นทิฏฐิ.
ที่ชื่อว่า วิมํสี เพราะประกอบด้วยปัญญาพิจารณา. ชื่อว่าการชั่งใจ
การชอบใจ การถูกใจด้วยปัญญาพิจารณา. เหมือนอย่างว่า บุรุษใช้ไม้
เท้าลองหยั่งน้ำดูแล้วจึงลง ฉันใด ผู้ที่ชั่งใจชอบอาทิผิด อักขระใจ ถูกใจแล้ว จึงลง
ความเห็น นั้น พึงทราบว่า ชื่อว่า วิมํสี เหมือนฉันนั้น.
บทว่า ตกฺกปริยาหตํ ความว่า กำหนดเอาด้วยความตรึก อธิบายว่า
 
๑๑/๙๐/๒๔๕

วันศุกร์, มกราคม 29, 2564

Kolita

 
มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปหาเราด้วยฤทธิ์ ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า โมค-
คัลลานะ ๆ ผู้เป็นพราหมณ์อย่าประมาทดุษณีภาพอันประเสริฐ เธอจง
รวมจิตตั้งไว้ในดุษณีภาพอันประเสริฐ จงกระทำอาทิผิด สระจิตให้เป็นธรรมเอกผุด
ขึ้นในดุษณีภาพอันประเสริฐ จงตั้งจิตมั่นไว้ในดุษณีภาพอันประเสริฐ
สมัยต่อมา เรานั้น เพราะระงับวิตกและวิจารเสียได้ จึงเข้าทุติยฌาน เป็น
ความผ่องใสแห่งใจในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร
มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ก็บุคคลเมื่อจะกล่าวโดยชอบ หมายถึงบุคคล
ใด พึงกล่าวว่าสาวกผู้อันพระศาสดาทรงอนุเคราะห์ ได้บรรลุความรู้
อันยิ่งใหญ่แล้ว บุคคลเมื่อจะกล่าวโดยชอบ พึงกล่าวหมายถึงเรานั้นว่า
สาวกผู้อันพระศาสดาทรงอนุเคราะห์ ได้บรรลุความรู้อาทิผิด ยิ่งใหญ่แล้ว
ดังนี้.
จบโกลิตอาทิผิด อักขระสูตรที่ ๑

ภิกขุสังยุต

อรรถกถาโกลิตสูตรที่ ๑

ภิกขุสังยุต โกลิตสูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อาวุโส เป็นคำเรียกพระสาวก. จริงอยู่ พระผู้มีพระ-
ภาคผู้พุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อตรัสเรียกพระสาวก ย่อมตรัสเรียกว่า ภิกฺขเว
ฝ่ายพระสาวกทั้งหลายคิดกันว่า พวกเราอย่าเป็นเหมือนพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย ทีแรกกล่าวว่า อาวุโส ภายหลังกล่าวว่า ภิกฺขเว. ภิกษุ
สงฆ์ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสเรียก ย่อมตอบสนองพระดำรัสว่า ภนฺเต.
ภิกษุสงฆ์ที่พระสาวกทั้งหลายเรียก ย่อมตอบว่า อาวุโส.
 
๒๖/๖๘๗/๗๕๔

วันพฤหัสบดี, มกราคม 28, 2564

Manasikan

 
ทศพล. อนึ่ง พระเถระอาศัย องค์ของปธาน ๕ สัมมาสมาธิมีองค์ ๕
อินทรีย์ ๕ พละ ๕ นิสสรณียธาตุ ๕ วิมุตตายตนะ ๕ ปัญญาเครื่อง
สั่งสมวิมุตติ ๕ สาราณียธรรม ๖ อนุสสติกัมมัฏฐาน ๖ คารวะ ๖ นิส-
สรณียธาตุ ๖ สัตตวิหารธรรม ๖ อนุตตริยะ ๖ ปัญญาอันเป็นส่วนแห่งการ
ตรัสรู้ ๖ อภิญญา ๖ อสาธารณญาณ ๖ อปริหานิยธรรม ๗ อริย-
ทรัพย์ ๖ โพชฌงค์ ๗ สัปปุริสธรรม ๗ นิชชรวัตถุ (เรื่องของเทวดา)
๗ ปัญญา ๗ ทักขิไณยบุคคล ๗ ขีณาสวพละ ๗ ปัญญาปฏิลาภเหตุ
๘ สมมัตตธรรม ๘ การก้าวล่วงโลกธรรม ๘ อารัพภวัตถุ ๘ อักขณเทสนา
๘ มหาปุริสวิตก ๘ อภิภายตนะ ๘ วิโมกข์ ๘ ธรรมอันเป็นมูลของโยนิ-
โสมนสิการอาทิผิด อักขระ องค์แห่งความเพียรอันบริสุทธิ์ ๙ สัตตาวาสเทสนา ๙
อาฆาตปฏิวินัย ๙ ปัญญา ๙ นานัตตธรรม ๙ อนุปุพพวิหาร ๙
นาถกรณธรรม ๑๐ กสิณายตนะ ๑๐ กุศลกรรมบถ ๑๐ ตถาคตพละ
๑๐ สัมมัตตธรรม ๑๐ อริยวาสธรรม ๑๐ อเสขธรรม ๑๐ อานิสงส์
เมตตา ๑๑ ธรรมจักร มีอาการ ๑๒ ธุดงคคุณ ๑๓ พุทธญาณ ๑๔
ธรรมเครื่องอบรมวิมุตติ ๑๕ อานาปานสติ ๑๖ พุทธธรรม ๑๘ ปัจจ-
เวกขณญาณ ๑๙ ญาณวัตถุ ๔๔ กุศลธรรมเกิน ๕๐ ญาณวัตถุ ๗๗
สมาบัติ ๒๔ แสนโกฏิ สัญจาริตมหาวชิรญาณแล้ว เริ่มระลึกถึงคุณ
ของพระทศพล.
ก็ พระสารีบุตรนั่งในที่พักกลางวันนั้นนั่นแล้ว อาศัยธรรมอันเป็น
เชื้อสายข้ออื่นอีก ๑๖ ข้อซึ่งจักมาต่อไปโดยพระบาลีว่า อปรํ ปน ภนฺเต
เอตทานุตฺตริยํ จึงได้เริ่มระลึกถึงพระคุณของพระทศพล. พระสารีบุตรนั้น
ระลึกถึงพระคุณของพระทศพลอาทิผิด อักขระอย่างนี้ว่า พระศาสดาของเราทรงเป็นผู้ยอด
เยี่ยมในกุศลบัญญัติ ยอดเยี่ยมในอายตนบัญญัติ ยอดเยี่ยมในการก้าวลงสู่พระ
 
๑๕/๙๓/๒๑๑

วันพุธ, มกราคม 27, 2564

Kho

 
๑๐. กุมมาสปิณฑชาดก

ว่าด้วยอานิสงส์ถวายขนมกุมมาส

[๑๑๐๗] ได้ยินว่า การปรนนิบัติพระอโนมทัสสี-
ปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย มีผลหาน้อยไม่ เชิญ
ดูผลของการถวายก้อนขนมกุมมาสที่แห้งและ
มีรสจืดชืดเถิด โปรดดูผลแห่งการถวายก้อน
ขนมกุมมาสที่เป็นเหตุให้เรามีช้าง โค ม้า ทรัพย์
และข้าวเปลือกมากมาย ทั้งแผ่นดิน ทั้งสิ้น
และนางนารีเหล่านี้ ที่เปรียบด้วยนางอัปสร
เชิญดูผลของการถวายก้อนขนมกุมมาสเถิด.
[๑๑๐๘] ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ผู้ทรงทำความ
ยิ่งใหญ่ เพราะกุศลธรรม พระองค์ตรัสคาถา
ทรงเพลงเสมอ ๆ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพัฒนา
รัฐ หม่อมฉันขอทูลถามพระองค์ ขอพระองค์
มีพระราชหฤทัยประกอบด้วยปีติอย่างแรงกล้า
โปรดบอกหม่อมฉันเถิด.
 
๕๙/๑๑๐๗/๔๑๗

วันอังคาร, มกราคม 26, 2564

Phutthachao

 
ครั้นแล้วสหัมบดีพรหมทำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง คุกเข่าข้างขวาลงที่พื้นดิน
ประคองอัญชลีตรงมาทางเรา กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อที่
พระองค์ทรงตกลงพระหฤทัยนั้นถูกแล้ว ข้าแต่พระสุคตเจ้า ข้อที่พระองค์
ทรงตกลงพระหฤทัยนั้นชอบแล้ว พระอรหันตสัมมาสัมพุทธะแม้เหล่าใดที่มีมา
แล้วในอดีตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เหล่านั้น ก็ได้ทรงสักการะเคารพ
พึ่งพิงพระธรรมอยู่เหมือนกัน พระอรหันตสัมมาสัมพุทธะแม้เหล่าใดที่จักมีใน
อนาคตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เหล่านั้น ก็จักทรงสักการะเคารพพึ่งพิง
พระธรรมนั่นแลอยู่ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธะในกาลบัดนี้
ก็ขอจงทรงสักการะเคารพพึ่งพิงพระธรรมนั้นอยู่เถิด สหัมบดีพรหมอาทิผิด อักขระได้กล่าว
คำนี้แล้ว จึงกล่าวคำประพันธ์นี้ อีกว่า
พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใดที่ล่วงไป
แล้วก็ดี พระพุทธเจ้าอาทิผิด อาณัติกะเหล่าใดที่ยังไม่มาถึง
ก็ดี พระสัมพุทธอาทิผิด เจ้าพระองค์ใดผู้ยังความ
โศกของชนเป็นอันมากให้เสื่อมหายใน
ปัจจุบันนี้ก็ดี พระพุทธเจ้าอาทิผิด สระทั้งปวงนั้นเป็น
ผู้ทรงเคารพพระสัทธรรมแล้ว ทรงเคารพ
พระสัทธรรมอยู่ และจักทรงเคารพพระ-
สัทธรรม นี่เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย.
เพราะเหตุนั้นแล ผู้รักตน จำนง
ความเป็นใหญ่ ระลึกถึงคำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึงเคารพพระสัท-
ธรรมเถิด.
 
๓๕/๒๑/๕๓

วันจันทร์, มกราคม 25, 2564

Chakkrawan

 
ก็ได้บันลือกันอึงมี่. ธงผ้าที่ยกขึ้นไว้ตั้งแสนธง ได้โบกสะบัดพริ้ว. พวกทวยเทพ
ตั้งต้นกุมมัฏฐกเทวดา ได้ให้สาธุการเป็นไป จนกระทั่งถึงเหล่าเทพพรหม
กายิกา.
เมื่อพระราชา ทอดพระเนตรเห็นปาฏิหาริย์นี้ มีพระวรกายอันปีติ
ถูกต้องหาระหว่างมิได้ ประทับยืนประคองอัญชลีอยู่นั่นแล, ต้นมหาโพธิ์ก็ได้
ประดิษฐานอยู่ในกระถางทอง ด้วยจำนวนรากตั้งร้อย. รากใหญ่ ๑๐ ราก
ได้หยั่งลงจดพื้นกระถางทอง. รากที่เหลือ ๙๐ รากก็เจริญงอกงามขึ้นโดยลำดับ
หยั่งลงแช่อยู่ในเปือกตมที่ผสมด้วยของหอม. เมื่อต้นมหาโพธิ์ สักว่าประดิษฐาน
อยู่ในกระถางทองอย่างนั้นแล้ว มหาปฐพีก็หวั่นไหว. เหล่าเภรีของทวยเทพ
บันลือลั่นไปในอากาศ. ความโกลาหลเป็นอันเดียวกัน ตั้งแต่พื้นปฐพีจนถึง
พรหมโลกได้กึกก้องเป็นอันเดียวกัน เพราะความโน้มเอนไปมาแห่งเหล่า
บรรพต เพราะเสียงสาธุการแห่งทวยเทพ เพราะการทำเสียงหิง ๆ แห่งเหล่า
ยักษ์ เพราะการกล่าวชมเชยแห่งพวกอสูร เพราะการปรบมือแห่งพวกพรหม
เพราะความคำรามแห่งหมู่เมฆ เพราะความร้อนแห่งหมู่สัตว์สี่เท้า เพราะความ
ขันกู่แห่งเหล่าปักษี (และ) เพราะความว่องไวเฉพาะตน ๆ แห่งพนักงาน
ตาลาวจรดนตรีทั้งปวง. ฉัพพรรณรังสีพวยพุ่งออกมาจากแต่ละผลในกิ่งทั้ง ๕
แล้วก็พุ่งขึ้นไปจนถึงพรหมโลกเหมือนทำจักรวาลอาทิผิด อักขระทั้งสิ้น ให้ติดเนื่องกันดุจ
กลอนเรือนแก้ว ฉะนั้น.
[กิ่งต้นมหาโพธิ์ลอยขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้า ๗ วัน]
ก็แล จำเดิมแต่ขณะนั้นไป ต้นมหาโพธิ์ก็เข้าไปสู่กลีบเมฆซึ่งเต็มไป
ด้วยหิมะ แล้วดำรงอยู่สิ้น ๗ วัน. ใคร ๆ ก็ไม่เห็นต้นมหาโพธิ์. พระราชา
เสด็จลงจากรัตนบิฐแล้ว ทรงรับสั่งให้ทำการบูชามหาโพธิ์สิ้น ๗ วัน . ในวัน
 
๑/๙/๑๕๗

วันอาทิตย์, มกราคม 24, 2564

Khatha

 
มีอาการทราม บางพวกสอนให้รู้ได้ง่าย บางพวกสอนให้รู้ได้ยาก บางพวกมี
ปรกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่ ฉันนั้น เหมือนกัน ครั้นแล้วได้
ตรัสคาถาอาทิผิด อักขระตอบท้าวสหัมบดีพรหมว่า ดังนี้:-
เราเปิดประตูอมตะแก่ท่านแล้ว สัตว์
เหล่าใดจะฟัง จงปล่อยศรัทธามาเถิด ดูก่อน
พรหม เพราะเรามีความสำคัญในความลำ-
บาก จึงอาทิผิด สระไม่แสดงธรรมที่เราคล่องแคล่ว
ประณีต ในหมู่มนุษย์.
ครั้นท้าวสหัมบดีพรหมทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทาน
โอกาสเพื่อจะแสดงธรรมแล้ว จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าทำประทักษิณ
แล้ว อันตรธานไปในที่นั้นแล.
พรหมยาจนกถา จบ

อรรถกถาพรหมยาจนกถา
ครั้งนั้นแล พอล่วงเจ็ดวัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกจากสมาธินั้น
เสร็จกิจทั้งปวงมีประการดังกล่าวแล้วนั้นแล ออกจากโคนต้นไม้เกต เสด็จเข้า
ไปยังต้นอชปาลนิโครธแม้อีก.
สองบทว่า ปริวิตกฺโก อุทปาทิ มีความว่า ความรำพึงแห่งใจนี้
ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงประพฤติอาทิผิด อักขระกันมาเป็นอาจิณเกิดขึ้นแด่พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าผู้พอประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธนั้นเท่านั้น.
 
๖/๙/๓๓

วันเสาร์, มกราคม 23, 2564

Thiao

 
พระบัญญัติ
๙๑. ๖. อนึ่ง ภิกษุณี อยู่คลุกคลีกับคหบดีก็ดี กับบุตร
คหบดีก็ดี ภิกษุณีนั้นอันภิกษุณีทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า แม่เจ้า
อย่าได้อยู่คลุกคลีกับคหบดีหรือบุตรคหบดี แม่เจ้าขอจงแยกออก
สงฆ์ย่อมสรรเสริญความแยกออกอย่างเดียวแก่พี่น้องหญิง แลภิกษุณี
นั้น อันภิกษุณีทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ ยังยกย่องอยู่อย่างนี้เทียวอาทิผิด อาณัติกะ
ภิกษุณีนั้นอันภิกษุณีทั้งหลาย พึงสวดสมนุภาสกว่าจะครบ ๓ จบ
เพื่อให้สละการกระทำนั้น หากเธอถูกสวดสมนุกาสกว่าจะครบ ๓ จบ
อยู่ สละการกระทำนั้นได้ การสละได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี หาก
ไม่สละ เป็นปาจิตตีย์ .
เรื่องภิกษุณีจัณฑกาลี จบ

สิกขาบทวิภงค์
[๒๗๗] บทว่า อนึ่ง. . . ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด. . .
บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้
ขอ. . . นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า คลุกคลี คือ คลุกคลีด้วยการคลุกคลีทางกายและทางวาจา
อันไม่สมควร.
ที่ชื่อว่า คหบดี ได้แก่ บุรุษผู้ครองเรือนคนใดคนหนึ่ง.
ที่ชื่อว่า บุตรคหบดี ได้แก่ บุตรหรือพี่น้องชายคนใดคนหนึ่ง.
[๒๗๘] บทว่า ภิกษุณีนั้น ได้แก่ ภิกษุณีรูปที่คลุกคลี.
บทว่า อันภิกษุณีทั้งหลาย ได้แก่ ภิกษุณีพวกอื่น.
 
๕/๒๗๖/๓๐๓

วันศุกร์, มกราคม 22, 2564

Champho

 
แล้ว เมื่อภิกษุทำปาณาติบาตอยู่ในสัตว์ทั้งหลาย ในฐานะเช่นนี้ ก็ไม่มีโทษ
ดังนี้ เมื่อจำเพาะอาทิผิด เอาพระเถระนี้เป็นทิฏฐานุคติ อย่าได้สำเหนียกกรรมที่จะพึง
เบียดเบียน คือ ทรมานหมู่สัตว์ เหมือนอย่างพระเถระทำแล้วนั้นเลย.

[ ปรับอาบัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้สร้างกุฎีด้วยดินล้วน ]
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงตำหนิพระธนิยะอย่างนั้นแล้ว จึงทรง
ห้ามการทำกุฎีเช่นนั้นต่อไปว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! อันภิกษุไม่ควรทำกุฎีสำเร็จ
ด้วยดินล้วน ก็แล ครั้นทรงห้ามแล้ว จึงทรงปรับอาบัติไว้ เพราะการทำกุฎี
สำเร็จด้วยดินล้วนว่า ภิกษุใด พึงทำ ภิกษุนั้นต้องอาบัติทุกกฏ. เพราะเหตุ
นั้น ภิกษุแม้รูปใด เมื่อยังไม่ถึงความเบียดเบียนหมู่สัตว์ เพราะกิจมีการขุดดิน
เป็นต้น ทำกุฎีเช่นนั้น ภิกษุแม้รูปนั้น ย่อมต้องทุกกฏ. แต่ภิกษุผู้ถึงความ
เบียดเบียนหมู่สัตว์ เพราะกิจมีการขุดดินเป็นต้น ย่อมต้องอาบัติที่ท่านปรับ
ไว้ตามวัตถุที่ตนล่วงละเมิดทีเดียว. พระธนิยะเถระ ชื่อว่า ไม่เป็นอาบัติ เพราะ
เป็นต้นบัญญัติในสิกขาบทนี้. ภิกษุที่เหลือ ผู้ล่วงละเมิดสิกขาบททำก็ดี ได้
กุฎีที่ผู้อื่นทำแล้วอยู่ในกุฎีนั้นก็ดี เป็นทุกกฏแท้แล. ส่วนกุฎีที่สร้างผสมด้วย
ทัพสัมภาระ จะเป็นของผสมด้วยอาการใด ๆ ก็ตาม ย่อมควร. กุฎีที่สำเร็จ
ด้วยดินล้วนนั่นแล ไม่ควร. ถึงแม้กุฎีนั้น ที่ก่อด้วยอิฐ โดยอาการเช่นกับ
โรงพักที่สร้างด้วยอิฐ ก็ควร.

[ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับสั่งให้ทำลายกุฎีเป็นอกัปปิยะ ]
หลายบทว่า เอวมฺภนฺเตติ โข ฯ เป ฯ ตํ กุฏีกํ ภินฺทึสุ ความว่า
ภิกษุเหล่านั้น รับพระพุทธาณัติแล้ว ก็เอาไม้และหินทำลายกุฎีนั้นให้กระจัด
กระจายแล้ว.
 
๒/๑๗๕/๘๓

วันพฤหัสบดี, มกราคม 21, 2564

Attha

 
พรรณนามูลปัณณาสก์
ภาคที่ ๒
พรรณนาสีหนาทวรรค

อรรถอาทิผิด อักขระกถาจุลลสีหนาทสูตร
จุลลสีหนาทสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
ก็เพราะจุลลสีหนาทสูตรนั้น มีการสรุปถึงความอุบัติของเรื่อง เพราะ
ฉะนั้น ข้าพเจ้าแสดงการสรุปนั้นแล้ว จักทำการพรรณนาบทโดยไม่ตามลำดับ
แห่งจุลลสีหนาทสูตรนั้น. ก็เรื่องนี้ได้ยกขึ้นกล่าวในความอุบัติของเรื่องอะไร.
ในเรื่องที่เดียรถีย์คร่ำครวญ เพราะลาภสักการะเป็นปัจจัย. ได้ยินว่า ลาภ-
สักการะใหญ่ได้บังเกิดขึ้นแล้วแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า โดยนัยที่กล่าวแล้วในธัม-
มทายาทสูตร.
ก็โลกสันนิวาสนี้มีประมาณ ๔ ดำรงอยู่แล้วโดย ๔ อย่าง ด้วยอำนาจ
แห่งบุคคลเหล่านี้คือ บุคคลผู้มีประมาณในรูป เลื่อมใสในรูป มีประมาณใน
เสียง เลื่อมใสในเสียง มีประมาณในความเศร้าหมอง เลื่อมใสในความเศร้า-
หมอง มีประมาณในธรรม เลื่อมอาทิผิด อักขระใสในธรรม. ข้อกระทำให้ต่างกันของบุคคล
เหล่านั้นดังนี้. ก็บุคคลผู้มีประมาณในรูป เลื่อมใสในรูปเป็นไฉน บุคคลบาง
คนในโลกนี้เห็นความเจริญขึ้น หรือเห็นความเจริญเต็มที่ เห็นความบริบูรณ์
หรือเห็นทรวดทรง ถือประมาณในรูปนั้นแล้ว ยังความเลื่อมใสให้เกิดขึ้น
บาลี. จูฬสีหนาทสุตฺตํ
 
๑๘/๑๕๘/๑๐

วันพุธ, มกราคม 20, 2564

Thi

 
ฉันใด ดูก่อนอานนท์ ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ไม่ใส่ใจแผ่นดินนี้ ซึ่งจะ
มีชั้นเชิง มีแม่น้ำลำธาร มีที่เต็มด้วยตอหนาม มีภูเขาและพื้นที่ไม่สม่ำเสมอ
ทั้งหมด ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะสัญญาว่าแผ่นดิน จิตของเธอย่อมแล่นไป
เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ในสัญญาว่าแผ่นดิน เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า
ในสัญญาว่าแผ่นดินนี้ ไม่มีความกระวนกระวายชนิดที่อาศัยสัญญาว่ามนุษย์
และชนิดที่อาศัยสัญญาว่าป่า มีอยู่ก็แค่เพียงความกระวนกระวาย คือภาวะ
เดียวเฉพาะสัญญาว่าแผ่นดินเท่านั้น เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากสัญญา
ว่ามนุษย์ สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าป่า และรู้ชัดว่า มีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียว
เฉพาะสัญญาว่าแผ่นดินเท่านั้น ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึงพิจารณาเห็นความว่าง
นั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่อาทิผิด อาณัติกะเหลืออยู่ในสัญญานั้นอันยัง
มีอยู่ว่ามี ดูก่อนอานนท์ แม้อย่างนี้ ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่างตามความ
เป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น .
[๓๓๖] ดูก่อนอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจสัญญาว่าป่า
ไม่ใส่ใจสัญญาว่าแผ่นดิน ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะอากาสานัญจายตนสัญญา
จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ในอากาสานัญจายตน-
สัญญา เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า ในอากาสานัญจายตนสัญญานี้ ไม่มีความ
กระวนกระวายชนิดที่อาศัยสัญญาว่าป่าและชนิดที่อาศัยสัญญาว่าแผ่นดิน มีอยู่
ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย คือภาวะเดียวเฉพาะอากาสานัญจายตนสัญญา
เท่านั้น เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าป่า สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่า
แผ่นดิน และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะอากาสานัญจายตนสัญญา
เท่านั้น ด้วยอาการนี้แหละ. เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ใน
สัญญานั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้นอันยังมีอยู่ว่ามี ดูก่อนอานนท์
 
๒๓/๓๓๖/๓

วันอังคาร, มกราคม 19, 2564

Sawitthaka

 
พูดเปรยกระทบชื่อทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่ชื่ออวกัณณกะ .. .ไม่ใช่ชื่อชวกัณณกะ ...ไม่ใช่
ชื่อธนิฏฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อสวิฏฐกะอาทิผิด อักขระ .. .ไม่ใช่ชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น
ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่ชื่อพุทธรักขิต . . .ไม่ใช่ชื่อธัมมรักขิต ...ไม่ใช่
ชื่อสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโคตรทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่โกสิยโคตร . . .ไม่ใช่ภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น
ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่โคตมโคตร . . .ไม่ใช่โมคคัลลานโคตร . . .ไม่ใช่
กัจจายนโคตร . . .ไม่ใช่วาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ
คำพูด.
พูดเปรยกระทบการงานทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . . พวกเราไม่ใช่ช่างไม้ . .. ไม่ใช่คนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้อง
อาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . . พวกเราไม่ใช่คนทำงานไถนา . . .ไม่ใช่คนทำงานค้าขาย .. .ไม่ใช่
คนทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.
 
๔/๒๔๒/๕๔

วันจันทร์, มกราคม 18, 2564

Nueng

 
เลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย
ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่
ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบท
แก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความ
รับว่าดีแห่งสงฆ์ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อ
ยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะ
อันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อ
ถือตามพระวินัย ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง
อย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๕. ๑. ปล่อยสุกกะเป็นไปด้วยความจงใจ เป็นสังฆาทิเสส
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องพระเสยยสกะ จบ
เรื่องภิกษุหลายรูป
[๓๐๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายฉันโภชนะอันประณีตแล้ว
จำวัดปล่อยสติไม่มีสัมปชัญญะ เมื่อเธอจำวัดปล่อยสติไม่มีสัมปชัญญะ อสุจิ
 
๓/๓๐๒/๕

วันอาทิตย์, มกราคม 17, 2564

Khem Khat

 
ภิกษุผู้สั่ง ภิกษุผู้รับของฝาก การชักชวนกันไปลัก
การนัดหมาย การทำนิมิต.

ภุมมัฏฐวิภาค
[๙๑] ที่ชื่อว่า ทรัพย์อยู่ในแผ่นดิน ได้แก่ทรัพย์ที่ฝังกลบไว้ใน
แผ่นดิน.
ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักทรัพย์อยู่ในแผ่นดิน เที่ยวแสวงหาเพื่อนก็ตาม
แสวงหาจอบหรือตะกร้าก็ตาม เดินไปก็ตาม ต้องอาบัติทุกกฏ ตัดไม้หรือ
เถาวัลย์ ซึ่งเกิดอยู่ในที่นั้น ต้องอาบัติทุกกฏ ขุดก็ตาม คุ้ยก็ตาม โกยขึ้นก็ตาม
ซึ่งดินร่วนต้องอาบัติทุกกฏ จับต้องหม้อ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำหม้อให้ไหว
ต้องอาบัติถุลลัจจัย ทำหม้อให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก.
ภิกษุมีไถยจิต หย่อนภาชนะของตนลงไป ถูกต้องทรัพย์ควรแก่ค่า
๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติ
ถุลลัจจัย กระทำให้ทรัพย์อยู่ในภาชนะของตนก็ตาม ตัดขาดด้วยกำมือก็ตาม
ต้องอาบัติปาราชิก.
ภิกษุมีไถยจิต จับต้องทรัพย์ที่เขาร้อยด้ายก็ดี สังวาลก็ดี สร้อยคอก็ดี
เข็มขัดอาทิผิด อาณัติกะก็ดี ผ้าสาฎกก็ดี ผ้าโพกก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหวต้องอาบัติ
ถุลลัจจัย จับที่สุดยกขึ้น ต้องอาบัติถุลลัจจัย ดึงครูดออกไป ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ให้พ้นปากหม้อ โดยที่สุดแม้ชั่วเส้นผม ต้องอาบัติปาราชิก.
ภิกษุมีไถยจิต ดื่มเนยใสก็ดี น้ำมันก็ดี น้ำผึ้งก็ดี น้ำอ้อยก็ดี ควร
แก่ค่า ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก ด้วยประโยคอันเดียว ต้องอาบัติ
ปาราชิก ทำลายเสียก็ดี ทำให้หกล้นก็ดี เผาเสียก็ดี ทำให้บริโภคไม่ได้ก็ดี
ในที่นั้นเอง ต้องอาบัติทุกกฏ.
 
๒/๙๑/๑๖

วันเสาร์, มกราคม 16, 2564

Athipati

 
คือ ขันธ์ ๓, อโทสะ, อโมหะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑
ที่เป็นนเหตุธรรม และอโลภะ ฯลฯ ขันธ์ ๒, อโทสะ, อโมหะ และจิตตสมุฏ-
ฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ และอโลภะ.
พึงผูกจักรนัย.
ขันธ์ ๓, โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุธรรม
และโลภะอาทิผิด อักขระ ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ.
ในปฏิสนธิขณะ อโทสะ, อโมหะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัย
หทยวัตถุ และอโลภะ ฯลฯ.

๒. อารัมมณปัจจัย
[๒] ๑. เหตุธรรม อาศัยเหตุธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณ-
ปัจจัย
ทิ้งรูปภูมิเสีย พึงกระทำเป็น ๙ วาระ ในอรูปภูมิเท่านั้น.

๓. อธิปติปัจจัย
เพราะอธิปติอาทิผิด ปัจจัย ปฏิสนธิไม่มี พึงกระทำให้บริบูรณ์.
ฯลฯ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปที่เป็นอุปาทารูป อาศัย
มหาภูตรูปทั้งหลาย.
นี้เป็นข้อที่ต่างกัน.
 
๘๘/๒/๔

วันศุกร์, มกราคม 15, 2564

Cho

 
บุคคลนั้นเป็นผู้ควรแก่การบูชาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพราะเป็น
มุนีผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ฉะนั้นท่านจึงกล่าวอย่างนี้.
บทว่า สลฺลํ เป็นบทเดิม.
บทว่า สตฺต สลฺลานิ เป็นบทกำหนดจำนวน.
บทว่า ราคสลฺลํ ความว่า ชื่อว่า ลูกศรคือราคะ เพราะอรรถว่า
ชื่อว่าลูกศร เพราะให้เกิดความบีบคั้น เพราะเจาะอาทิผิด เข้าไปภายใน เพราะ
ถอนออกได้ยาก. คือชื่อว่าราคะ เพราะอรรถว่า ยินดี. แม้ในลูกศรคือ
โทสะเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า อพฺพุฬฺหสลฺโล เป็นบทเดิม.
บทว่า อพฺพุหิตสลฺโล ได้แก่ นำลูกศรออกแล้ว.
บทว่า อุทฺธฏสลฺโล ได้แก่ ฉุดลูกศรขึ้น.
บทว่า สมุทฺธริตสลฺโล ท่านกล่าวด้วยสามารถอุปสรรค.
บทว่า อุปฺปาฏิตสลฺโล ได้แก่ ถอนลูกศรขึ้น.
บทว่า สมุปฺปาฏิตสลฺโล ท่านกล่าวด้วยสามารถอุปสรรค.
บทว่า สกฺกจฺจการี ความว่า เป็นผู้ทำโดยเคารพ ด้วยสามารถ
ทำโดยเคารพบุคคลหรือไทยธรรม ด้วยการเจริญกุศลธรรมมีทานเป็นต้น.
เป็นผู้ทำติดต่อ ด้วยการทำติดต่อกันไปด้วยสภาวะติดต่อ. เป็นผู้ทำไม่หยุด
ด้วยการทำโดยไม่หยุดยั้ง. กิ้งก่าไปได้หน่อยหนึ่งแล้วหยุดอยู่หน่อยหนึ่ง
ไม่ไปติดต่อกัน อุปมานี้ฉันใด บุคคลใดในวันหนึ่งให้ทานก็ดี ทำการ
บูชาก็ดี ฟังธรรมก็ดี แม้ทำสมณธรรมก็ดี ทำไม่นาน ไม่ยังการทำนั้นให้
เป็นไปติดต่อ อุปมัยนี้ก็ฉันนั้นนั่นแล. บุคคลนั้น เรียกว่าเป็นผู้ทำไม่ติด
 
๖๕/๖๙/๔๐๗

วันพฤหัสบดี, มกราคม 14, 2564

Katsapa

 
ธรรมาสน์จับพัดงา. ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะถามภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย เราทั้งหลายจะสังคายนาปิฎกไหนก่อน ? ภิกษุ
ทั้งหลายกล่าวว่า สังคายนาสุตตันตปิฎกก่อน พระมหากัสสปะอาทิผิด อักขระถามว่า
ในสุตตันตปิฎกมีสังคีติ ๔ ประการ (คือ ทีฆสังคีติ การสังคายนาทีฆนิกาย
มัชฌิมสังคีติ การสังคายนามัชฌิมนิกาย สังยุตตสังคีติ การสังคายนา-
สังยุตตนิกาย อังคุตตรสังคีติ การสังคายนาอังคุตตรนิกาย ส่วนขุททก-
นิกาย มีวินัยปิฎกรวมอยู่ด้วย จึงไม่นับในที่นี้ ) ในสังคีติเหล่านั้น เรา
ทั้งหลายจะสังคายนาสังคีติไหนก่อน ? ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า สังคายนา
ทีฆสังคีติก่อน. พระมหากัสสปะถามว่า ในทีฆสังคีติ มีสูตร ๓๔ สูตร
มีวรรค ๓ วรรค ในวรรคเหล่านั้น เราทั้งหลายจะสังคายนาวรรคไหน
ก่อน ? ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า สังคายนาสีลขันธวรรคก่อน. พระมหา-
กัสสปะถามว่า ในสีลขันธวรรค มีสูตร ๑๓ สูตร ในสูตรเหล่านั้น เรา
ทั้งหลายจะสังคายนาสูตรไหนก่อน ? ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ขึ้นชื่อว่าพรหมชาลสูตรประดับด้วยศีล ๓ ประเภท เป็นสูตรกำจัดโทษ
มีการหลอกลวง และการพูดประจบประแจงซึ่งเป็นมิจฉาชีพหลายอย่าง
เป็นต้น เป็นสูตรปลดเปลื้องข่ายคือ ทิฏฐิ ๖๒ ทำหมื่นโลกธาตุให้ไหว
เราทั้งหลายจงสังคายนาพรหมชาลสูตรนั้นก่อน.
ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะได้กล่าวถามคำนี้กะท่านพระ
อานนท์ว่า ดูก่อนอาวุโสอานนท์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพรหมชาลสูตร
ที่ไหน ? พระอานนท์ตอบว่า ตรัส ณ พระตำหนักในพระราชอุทยาน
อัมพลัฏฐิกา ระหว่างกรุงราชคฤห์และเมืองนาลันทา. พระมหากัสสปะ
ถามว่า ทรงปรารภใคร ? พระอานนท์ตอบว่า ทรงปรารภสุปปิยปริ-
 
๑๑/๙๐/๘๘

วันพุธ, มกราคม 13, 2564

Sauen

 
นักรบอาชีพคนใดอุตสาหะพยายามในสงครามอาทิผิด อักขระ คนอื่นฆ่าผู้นั้นซึ่งกำลัง
อุตสาหะพยายามให้ถึงความตาย ผู้นั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็น
สหายของเทวดาเหล่าสรชิต ดังนี้ไซร้อาทิผิด อักขระ ความเห็นของผู้นั้นเป็นความเห็นผิด
ดูก่อนนายบ้าน ก็เราย่อมกล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ นรก
หรือกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานของบุคคลผู้มีความเห็นผิด
[๕๙๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว นายบ้านนักรบ
อาชีพร้องไห้สะอื้นอาทิผิด สระ น้ำตาไหล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนนายบ้าน
เราได้ห้ามท่านแล้วมิใช่หรือว่า อย่าเลยนายบ้าน ของดข้อนี้เสียเถิด อย่า
ถามเราถึงข้อนี้เลย เขาทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ได้
ร้องไห้ถึงข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ กะข้าพระองค์หรอก แต่ว่า
ข้าพระองค์ถูกนักรบอาชีพทั้งอาจารย์และปาจารย์ก่อน ๆ ล่อลวงให้หลงสิ้น
กาลนานว่านักรบอาชีพคนใดอุตสาหะพยายามในสงครามอาทิผิด อักขระ คนอื่นฆ่าผู้นั้น
ซึ่งกำลังอุตสาหะพยายามให้ถึงความตาย นักรบอาชีพคนนั้นเมื่อตายไป
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าสรชิต ดังนี้ ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศ
ธรรมโดยอเนกปริยาย ดุจหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางให้แก่
คนหลงทาง หรือส่องไฟในที่มืดด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักได้เห็นรูป ฉะนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า กับทั้งพระ-
ธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงจำ
ข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะจนตลอดชีวิต ตั้งแต่
วันนี้เป็นต้นไป.
จบ โยธาชีวสูตรที่ ๓
 
๒๙/๕๙๔/๑๘๕

วันอังคาร, มกราคม 12, 2564

Atta

 
ผู้ใดกล่าวว่า เวทนาเป็นอัตตา คำของผู้นั้นไม่ควร เวทนาย่อม
ปรากฏแม้ความเกิด แม้ความเสื่อม ก็สิ่งใดแล ปรากฏแม้ความเกิด แม้ความ
เสื่อม สิ่งนั้นต้องกล่าวได้อย่างนี้ว่า อัตตาของเราเกิดขึ้นและเสื่อมไป เพราะ
ฉะนั้น คำของผู้ที่กล่าวว่าเวทนาเป็นอัตตา นั้น จึงไม่ควร ด้วยประการฉะนี้
จักษุจึงเป็นอนัตตา รูปจึงเป็นอนัตตาจักษุวิญญาณจึงเป็นอนัตตา จักษุสัมผัส
จึงเป็นอนัตตา เวทนาจึงเป็นอนัตตา.
ผู้ใดกล่าวว่า ตัณหาเป็นอัตตา คำของผู้นั้นไม่ควร ตัณหาย่อมปรากฏ
แม้ความเกิด แม้ความเสื่อม ก็สิ่งใดแล ปรากฏแม้ความเกิด แม้ความเสื่อม
สิ่งนั้น ต้องกล่าวได้อย่างนี้ว่า อัตตาของเราเกิดขึ้นและเสื่อมไป เพราะฉะนั้น
คำของผู้ที่กล่าวว่า ตัณหาเป็นอัตตานั้น จึงไม่ควร ด้วยประการฉะนี้ จักษุ
จึงเป็นอนัตตา รูปจึงเป็นอนัตตา จักษุวิญญาณจึงเป็นอนัตตา จักษุสัมผัสจึง
เป็นอนัตตา เวทนาจึงเป็นอนัตตา ตัณหาจึงเป็นอนัตตา.
ว่าด้วยอนัตตา
[๘๑๙] ผู้ใดกล่าวว่า โสตเป็นอัตตา...
ผู้ใดกล่าวว่า ฆานะเป็นอัตตาอาทิผิด อักขระ...
ผู้ใดกล่าวว่า ชิวหาเป็นอัตตา...
ผู้ใดกล่าวว่า กายเป็นอัตตา...
ผู้ใดกล่าวว่า มโนเป็นอัตตา คำของผู้นั้นไม่ควร มโนย่อมปรากฏแม้
ความเกิด แม้ความเสื่อม ก็สิ่งใดแล ปรากฏแม้ความเกิด แม้ความเสื่อม
สิ่งนั้น ต้องกล่าวได้อย่างนี้ว่า อัตตาของเราเกิดขึ้นและเสื่อมไป เพราะฉะนั้น
คำของผู้ที่กล่าวว่า มโนเป็นอัตตานั้น จึงไม่ควร ด้วยประการฉะนี้ มโนจึง
เป็นอนัตตา.
 
๒๓/๘๑๙/๔๙๐

คลังบทความของบล็อก