
ของพระกัสสปผู้มีพระภาคเจ้าอันตรธานไป เหมือนใคร ๆ พึงเปิดของที่ปิดไว้
ออกฉะนั้น ทรงตรัสบอกทางสวรรค์และนิพพานให้แก่เรา ผู้ดำเนินไปสู่ทาง
ชั่วและทางผิด เหมือนใคร ๆ พึงบอกทางให้แก่คนหลงทางฉะนั้น ทรงส่อง
แสงสว่าง คือเทศนา อันเป็นเครื่องกำจัดความมืด คือโมหะอันปกปิดรูป
คือพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นนั้น แก่เรา ผู้จมอยู่ในความมืด คือ
โมหะ ซึ่งไม่เห็นรูป คือพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เหมือนใคร ๆ
พึงส่องประทีปน้ำมันในที่มืดให้ฉะนั้น ได้ทรงประกาศพระธรรมแก่เรา โดย
อเนกปริยาย เพราะทรงประกาศ ด้วยบรรยายทั้งหลายเหล่านี้.
[เวรัญชพราหมณ์แสดงตนถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง]
เวรัญชพราหมณ์ ครั้นชมเชยพระธรรมเทศนาอย่างนั้นแล้ว มีจิต
เลื่อมใสในพระรัตนตรัย เพราะพระธรรมเทศนานี้ เมื่อจะทำอาการอันผู้มี
ความเลื่อมใสพึงกระทำ จึงได้กราบทูลว่า เอสาหํ ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอสาหํ ตัดเป็น เอโส อหํ แปลว่า
ข้าพเจ้านี้.
หลายบทว่า ภวนฺตํ โคตมํ สรณํ คจฺฉามิ ความว่า ข้าพเจ้า
ขอถึงพระโคดมผู้เจริญว่าเป็นที่พึ่ง คือข้าพเจ้าขอถึง ขอคบ ขอซ่องอาทิผิด อักขระเสพ ได้แก่
ขอเข้าไปนั่งใกล้พระโคดมผู้เจริญ ด้วยความประสงค์นี้ว่า พระโคดมผู้เจริญ
ทรงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้า คือทรงเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ทรงเป็นผู้ป้องกัน
ความทุกข์ และทรงทำประโยชน์เกื้อกูล (แก่ข้าพเจ้า) ข้าพเจ้าย่อมทราบ
คือย่อมรู้สึก ดังกราบทูลมาแล้วนั่นแล.
จริงอยู่ คติ (ความถึง) เป็นความหมายแห่งธาตุเหล่าใด แม้ พุทธิ
(ความรู้) ก็เป็นความหมายแห่งธาตุเหล่านั้น เพราะฉะนั้น บทว่า คจฺฉามิ
๑/๙/๓๑๓

ก็ไม่ต้องมีการขอโอกาส. แต่ทว่ากล่าวเจาะจงกำหนดว่า ผู้โน้น ๆ มิใช่
สมณะ มิใช่อุบาสก ดังนี้ ลงจากธรรมาสน์แล้วควรแสดงอาบัติก่อนจึง
ไป. อนึ่ง พึงทราบอาทิผิด อักขระใจความแห่งคำที่ท่านกล่าวไว้ในที่นั้น ๆ ว่า อโนกาสํ
กาเรตฺวา อย่างนี้ว่า โอกาสํ อกาเรตฺวา แปลว่า ไม่ให้กระทำโอกาส.
จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่าโอกาส ไม่สมควรบางโอกาส ที่โจทก็ให้ทำโอกาสแล้ว
ยังต้องอาบัติจะไม่มี หามิได้. แต่โจทก์ไม่ให้จำเลยทำโอกาสจึงต้องอาบัติ
ฉะนี้แล. คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
บรรดาสมุฏฐานเป็นต้น สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐาน ๓ คือ เกิดขึ้น
ทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา
สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็น
ทุกขเวทนา ฉะนี้แล.
ปฐมทุฏฐโทสสิกขาบทวรรณนา จบ
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๙
เรื่องพระเมตติยะและพระภุมมชกะ
[๕๖๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เวฬุวันอาทิผิด อักขระวิหาร อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนคร
ราชคฤห์ ครั้งนั้นพระเมตติยะและพระภุมมชกะกำลังลงจากภูเขาคิชฌกูฏ
ได้แลเห็นแพะผู้กับแพะเมียกำลังสมจรกัน ครั้นแล้วได้พูดอย่างนี้ว่า
อาวุโส ผิฉะนั้น พวกเราจะสมมติแพะผู้นี้เป็นพระทัพพมัลลบุตร สมมติ
๓/๕๖๔/๕๑๗

และรังดุมนั้น ก็แสดงรูปต่าง ๆ มีรูปคล้ายเจดีย์ชื่ออัคฆิยะ รูปคทาและรูปไม้
พลองเป็นต้นไว้, เย็บยกเป็นรูปตาปูไว้ ; วิธีทำทั้งหมดไม่ควร จะทำผ้าลูกดุม
และห่วงลูกดุมไว้เพียง ๔ มุมเท่านั้นจึงควร.
[ วิธีซักและย้อมจีวร ]
ด้ายมุมและปมเทียว เป็นของที่รู้ได้ยากในเมื่อย้อมจีวรแล้วสมควรอยู่.
จะใส่จีวรลงในน้ำต่างๆ มีน้ำส้มผะอูมแป้งและน้ำข้าวเป็นต้น ไม่ควร. แต่ใน
เวลาทำจีวร จะใส่ลงเพื่อซักเหงื่อมือและสนิมเข็มเป็นต้น และในเวลาที่จีวร
สกปรกจะใส่ลงเพื่อซักให้สะอาด ก็ควร จะใส่ของหอม ครั่งหรือน้ำมันลงใน
น้ำย้อมไม่ควร. อันภิกษุย้อมจีวรไม่ควรเอาสังข์หรือแก้วมณีหรือวัตถุอย่างใด
อย่างหนึ่งทุบจีวร ไม่ควรคุกเข่าทั้งสองลงที่พื้นดินแล้วเอามือทั้งสองจับจีวร
ขัดถูแม้ที่รางย้อม แต่จะวางอาทิผิด อักขระจีวรไว้ที่รางย้อมหรือบนแผ่นกระดาน แล้วให้จับ
ชายทั้งสองรวมกันไว้ เอามือทุบ สมควรอยู่. แม้การทุบนั้น ก็ไม่ควรเอา
กำปั้นทุบ. แต่พระเถระในปางก่อนทั้งหลายไม่ได้วางอาทิผิด อาณัติกะจีวรไว้ แม้ที่รางย้อมเลย
คือรูปหนึ่งเอามือจับจีวรยืน อีกรูปหนึ่ง วางจีวรไว้บนมือ แล้วจึงเอามือ
ทุบ ไม่ควรทุบเส้นด้ายที่หูจีวร. ในเวลาย้อมเสร็จแล้ว ควรตัดทิ้งเสีย.
ส่วนด้ายที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !
เราอนุญาตเส้นด้ายที่หูจีวร ดังนี้นั้น ควรทำให้เป็นบ่วงผูกไว้ที่อนุวาต เพื่อ
คล้องจีวรไว้ในเวลาย้อม. แม้ที่ลูกดุมจะมีลวดลายหรือขอดปมไว้ เพื่อทำให้
สวยงาม ไม่ควร ต้องทำลายเสียก่อนจึงควรใช้สอย.
[ บริขารที่ควรใช้และไม่ควรใช้ ]
ที่บาตรหรือถลกบาตร จะเอาเหล็กจารเขียนลวดลาย หรือจะเขียนไว้
ทั้งภายในภายนอกก็ตาม, ลวดลายนั้น ไม่ควร จะยกบาตรขึ้นกลึงให้เกลี้ยง
๒/๑๗๕/๘๖

ตัดเท้าบ้าง ตัดทั้งมือทั้งเท้าบ้าง ตัดหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดทั้งหูทั้งจมูกบ้าง
ลงกรรมกรณ์วิธีหม้อเคี่ยวน้ำส้มบ้าง ลงกรรมกรณ์วิธีขอดสังข์ บ้างลงกรรมกรณ์
วิธีปากราหูบ้าง ลงกรรมกรณ์วิธีมาลัยไฟบ้าง ลงกรรมกรณ์วิธีคบมือบ้าง
ลงกรรมกรณ์วิธีริ้วส่ายบ้าง ลงกรรมกรณ์วิธีนุ่งเปลือกไม้บ้าง ลงกรรมกรณ์
วิธียืนกวางบ้าง ลงกรรมกรณ์วิธีเหยื่อเกี่ยวเบ็ดบ้าง ลงกรรมกรณ์วิธีเหรียญ-
กษาปณ์บ้าง ลงกรรมกรณ์วิธีแปรงแสบบ้าง ลงกรรมกรณ์วิธีกางเกวียนบ้าง
ลงกรรมกรณ์วิธีตั่งฟางบ้าง ราดด้วยน้ำมันกำลังเดือดบ้างให้สุนัขกัดบ้างให้นอน
หงายบนหลาวทั้งเป็นบ้าง ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง บุคคลนั้นจึงมีความปริวิตก
อย่างนี้ว่า เจ้านายจับโจรผู้ประพฤติชั่วช้ามาลงกรรมกรณ์ต่าง ๆ คือ โบยด้วย
แส้บ้าง ฯลฯ ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง เพราะเหตุแห่งกรรมอันลามกเห็นปานใด
ถ้าเราพึงจะทำกรรมอันลามกเห็นปานนั้นบ้าง เจ้านายจะพึงจับเราไปลงกรรม
กรณ์ต่าง ๆ เห็นปานนั้น คือ โบยด้วยแส้บ้าง ฯลฯ ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง
เขากลัวต่อภัยคืออาญา ไม่กล้าฉกชิงอาทิผิด อักขระทรัพย์ของผู้อื่น นี้เรียกว่าทัณฑภัย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทุคติภัยเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล
บางคนในโลกนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า วิบากของกายทุจริต ในภายหน้า
ชั่วร้าย วิบากของวจีทุจริตในภายหน้า ชั่วร้าย วิบากของมโนทุจริตในภายหน้า
ชั่วร้าย ก็เราแล พึงประพฤติทุจริตด้วยกาย พึงประพฤติทุจริตด้วยวาจา พึง
ประพฤติทุจริตด้วยใจ ข้อนั้นจะมีอะไรเล่า เมื่อกายแตกตายไป เราจะพึง
เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เขากลัวต่อทุคติภัย ย่อมละกายทุจริต
บำเพ็ญกายสุจริต ย่อมละวจีทุจริต บำเพ็ญวจีสุจริต ย่อมละมโนทุจริต
บำเพ็ญมโนสุจริต ย่อมบริหารตนอาทิผิด อักขระให้หมดจดได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า
ทุคติภัย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัย ๔ ประการนี้แล.
จบปฐมภยสูตรที่ ๓
๓๕/๑๒๑/๓๑๙

ภุมมเทพจึงน้อมข้าวและน้ำอันเป็นทิพย์อย่างยิ่งเข้าไปให้นางเปรตนั้น
กลายเป็นคูถและมูตร หนอง และอาทิผิด สระโลหิต ผ้าสาฎกที่ให้ไป พอนางนุ่งห่ม
ก็กลายเป็นแผ่นเหล็กลุกโชนอาทิผิด อักขระ นางเสวยทุกข์อย่างมหันต์ ทิ้งผ้านั้น
คร่ำครวญเที่ยวไป.
ก็สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งออกพรรษาแล้ว เดินไปเพื่อจะเฝ้า
พระศาสดา ดำเนินไปถึงดงไฟไหม้ พร้อมกับที่เกวียนหมู่ใหญ่.
ในราตรี พวกหมู่เกวียนเดินทางไป เวลากลางวันเห็นประเทศ
แห่งหนึ่งสมบูรณ์ด้วยร่มเงาอันสนิทและน้ำในป่า จึงปลดเกวียน
แล้วพักอยู่ครู่หนึ่ง. ฝ่ายภิกษุหลีกไปหน่อยหนึ่ง เพราะใคร่ต่อ
ความวิเวก ปูสังฆาฏิลงที่โคนไม้อันปิดบังด้วยพงป่า มีร่มเงาสนิท
ต้นหนึ่งแล้วนอน มีร่างกายอ่อนเพลียเพราะเหน็จเหนื่อยในการ
เดินทางตอนกลางคืน จึงหลับไป. หมู่เกวียนครั้นพักแล้วก็เดินทาง
ต่อไป ภิกษุนั้นยังไม่ตื่น ครั้นเวลาเย็น เธอลุกขึ้นไม่เห็นพวกเกวียน
เหล่านั้น จึงเดินผิดทางไปสายหนึ่ง ถึงที่อยู่ของเทวดานั้นโดยลำดับ.
ลำดับนั้น เทพบุตรนั้นเห็นอาทิผิด ภิกษุนั้นแล้ว แปลงเป็นรูปคนเข้าไปหา
กระทำปฏิสันถาร นิมนต์ให้เข้าไปยังวิมานของตน ถวายเภสัช
มียาทาเท้าเป็นต้น แล้วเข้าไปนั่งใกล้. ก็สมัยนั้น นางเปรตมา
กล่าวว่า นาย ท่านจงให้ข้าว น้ำ และผ้าสาฎกแก่ฉันเถิด. เทพบุตร
นั้นได้ให้ของเหล่านั้นแก่นางเปรตนั้น ก็ของเหล่านั้น พอนางเปรต
รับ ก็กลายเป็นคูถ มูตร หนอง เลือด และแผ่นเหล็ก อันลุกโชน
๔๙/๙๔/๘๗

นีวรณธรรมทั้งหลาย ที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่
นีวรณธรรม ที่เกิดหลัง ๆ ด้วยอำนาจของอนันตรปัจจัย.
นีวรณธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ ด้วยอำนาจของอนันตร-
ปัจจัย.
พึงถามถึงมูล. (วาระที่ ๓)
นีวรณธรรมทั้งหลายที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรมทั้งหลาย
ที่เกิดหลัง ๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย ด้วยอำนาจของอนันตรปัจจัย.
๔. ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม
ที่ไม่ใช่นีวรณธรรม ด้วยอำนาจของอาทิผิด อักขระอนันตรปัจจัย
คือ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรม ที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรมที่เกิดหลัง ๆ ด้วยอำนาจของอนันตรปัจจัย.
เนวสัญญานาสัญญายตนะ ของบุคคลผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัยแก่
ผลสมาบัติ ด้วยอำนาจของอนันตรปัจจัย.
พึงถามถึงมูล. (วาระที่ ๕)
ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรม ที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่นีวรณ-
ธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลัง ๆ ด้วยอำนาจของอนันตรปัจจัย.
อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรมทั้งหลาย ด้วยอำนาจของอนันตร-
ปัจจัย.
พึงถามถึงมูล. (วาระที่ ๖)
ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรม ที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่นีวรณ-
ธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลัง ๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย ด้วยอำนาจของ
อนันตรปัจจัย.
๘๘/๕๙๗/๖๖๖
ที่ชื่อว่า บุรุษบุคคล ได้แก่ มนุษย์ผู้ชาย ไม่ใช่ยักษ์ผู้ชาย ไม่ใช่
เปรตผู้ชาย ไม่ใช่สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ เป็นผู้รู้ความ สามารถเพื่อจะยินดียิ่งนัก.
ที่ชื่อว่า ของเคี้ยว คือ ยกเว้นโภชนะ ๕ อย่าง กับน้ำและไม้สีฟัน
นอกนั้นชื่อว่าของเคี้ยว.
ที่ชื่อว่า ของฉัน ได้แก่โภชนะทั้งห้า คือ ข้าวสุก ๑ ขนมสด ๑
ขนมอาทิผิด อักขระแห้ง ๑ ปลา ๑ เนื้อ ๑.
ภิกษุณีรับประเคนด้วยตั้งใจว่า จักเคี้ยว จักฉัน ต้องอาบัติถุลลัจจัย
กลืนกิน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุก ๆ คำกลืน.
[๕๔] บทว่า ภิกษุณีแม้นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเทียบเคียง
ภิกษุณีรูปก่อน ๆ.
บทว่า มีอันให้ต้องอาบัติขณะแรกทำ คือ ต้องอาบัติพร้อมกับ
การล่วงวัตถุ โดยไม่ต้องสวดสมนุภาส.
ที่ชื่อว่า นิสสารณียะ ได้แก่ ถูกขับออกจากหมู่สงฆ์.
บทว่า สังฆาทิเสส ความว่า สงฆ์เท่านั้นให้มานัต. . .แม้เพราะ
เหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่า สังฆาทิเสส.
รับประเคนน้ำและไม้ชำระฟัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
บทภาชนีย์
[๕๕] ฝ่ายหนึ่งมีความพอใจ รับประเคนด้วยตั้งใจว่า จักเคี้ยวจักฉัน
ต้องอาบัติทุกกฏ กลืนกิน ต้องอาบัติถุลลัจจัยทุก ๆ คำกลืน รับประเคนน้ำ
และไม้ชำระฟัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
๕/๕๓/๗๕
๒. ปริสาสูตร
ว่าด้วยบริษัท ๓ จำพวก
[๕๗๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บริษัท ๓ นี้ บริษัท ๓ คืออะไร คือ
(อุกฺกาจิตวินีตา ปริสา) บริษัทที่รับการฝึกอธิบายให้กระจ่างแจ้ง
โดยไม่ได้สอบถาม ๑ (ปฏิปุจฺฉาวินีตา ปริสา) บริษัทที่รับการฝึกโดย
สอบถาม ๑ (ยาวตชฺฌาวินีตา ปริสา) บริษัทที่รับการฝึกโดยผู้ฝึกเพียง
แนะให้รู้จักเพ่งพิจารณาเอง ๑ นี้แล ภิกษุทั้งหลาย บริษัท ๓ จำพวก.
จบปริสาสูตรที่ ๒
อรรถกถาปริสาสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในปริสาสูตรที่ ๒ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อุกฺกาจิตวินีตา ได้แก่ บริษัทที่แนะนำโดยไม่ได้สอบถาม
คือ บริษัทที่ฝึกได้ยาก. บทว่า ปฏิปุจฺฉาวินีตา ได้แก่บริษัทที่แนะนำโดย
สอบถาม คือ บริษัทที่ฝึกได้ง่าย. บทว่า ยาวตา จ วินีตา ได้แก่
บริษัทที่แนะนำด้วยข้อแนะนำพอประมาณ อธิบายว่า ได้แก่ บริษัทที่ถูก
แนะนำ โดยรู้ประมาณ. ก็ความของพระบาลีที่ว่า ยาวตชฺฌา ก็เท่ากับ
ยาว อชฺฌาสยาอาทิผิด อักขระ (แปลว่า เพียงพอแก่อัธยาศัย) อธิบายว่า บริษัทที่ได้
รับการฝึกโดยรู้อัธยาศัย.
จบอรรถกถาปริสาสูตรที่ ๒
๓๔/๕๗๔/๕๗๓
ไซร้ ประชาชนนอกนี้ ก็จะประพฤติไม่
เป็นธรรมด้วย ถ้าพระราชาไม่ตั้งอยู่ใน
ธรรม รัฐทั้งปวงก็ยากเข็ญ.
เมื่ออาทิผิด ฝูงโคข้ามฟากอยู่ ถ้าโคโจกตัว
นำฝูงไปตรง โคนอกนั้นก็ไปตรงตามกัน
ในหมู่มนุษย์ก็เหมือนกัน ถ้าท่านผู้ได้รับ
สมมติให้เป็นใหญ่ ประพฤติเป็นธรรมไซร้
ประชาชนนอกนี้ ย่อมประพฤติเป็นธรรม
ด้วย ถ้าพระราชาเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม รัฐ
ทั้งปวงก็อยู่เป็นสุข.
จบธัมมิกสูตรที่ ๑๐
จบปัตตกัมมวรรคที่ ๒
อรรถกถาธัมมิกสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในธัมมิกสูตรที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อธมฺมิกา โหนฺติ ความว่า พระราชาทั้งหลายประพฤติ
ไม่เป็นธรรมโดยไม่เก็บส่วย ๑๐ ส่วน และไม่ลงโทษ ตามสมควรแก่ความผิด
ซึ่งพระราชาเก่าก่อนทรงตั้งไว้แล้ว เก็บส่วยเกินพิกัด และลงโทษเกินกำหนด
๓๕/๗๐/๒๒๓

มาสกที่เขาทำด้วยครั่งก็ดี ด้วยยางก็ดี ดุนให้เกิดรูปขึ้น ชื่อว่า
มาสกยาง.
ก็ด้วยบทว่า เย โวหารํ คจฺฉนฺติ นี้ ท่านสงเคราะห์เอามาสก
ทั้งหมดที่ใช้เป็นมาตราซื้อขายในชนบท ในเวลาซื้อขายกัน โดยที่สุดทำ
ด้วยกระดูกบ้าง ทำด้วยหนังบ้าง ทำด้วยเมล็ดผลไม้บ้าง ดุนให้เป็นรูปบ้าง
มิได้ดุนให้เป็นรูปบ้าง. วัตถุทั้ง ๔ อย่าง คือ เงิน ทอง ทั้งหมดนี้อย่างนี้
(และ) มาสกทอง มาสกเงิน มีประเภทดังกล่าวแล้วแม้ทั้งหมด จัดเป็น
วัตถุแห่งนิสสัคคีย์, วัตถุนี้ คือ มุกดา มณี ไพฑูรย์ สังข์ ศิลา ประพาฬ
ทับทิม บุษราคัมอาทิผิด อักขระ ธัญชาติ ๗ ชนิด ทาสหญิง ทาสชาย นาไร่ สวนดอกไม้
สวนผลไม้เป็นต้น จัดเป็นวัตถุแห่งทุกกฏ. วัตถุนี้ คือ ด้าย ผาลไถ ผืนผ้า
ฝ้ายอปรัณชาติมีอเนกประการ และเภสัช มีเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง
น้ำอ้อยงบเป็นต้น จัดเป็นกัปปิยวัตถุ.
บรรดานิสสัคคิยวัตถุและทุกกฏวัตถุนั้น ภิกษุจะรับนิสสัคคิยวัตถุ
เพื่อประโยชน์ตนเอง หรือเพื่อประโยชน์แก่สงฆ์ คณะบุคคลและเจดีย์
เป็นต้น ย่อมไม่ควร, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับเพื่อประโยชน์
แก่ตนเอง. เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้รับเพื่อประโยชน์แก่สิ่งที่เหลือ เป็น
ทุกกฏอย่างเดียว แก่ภิกษุผู้รับทุกกฏวัตถุ เพื่อประโยชน์ทุกอย่าง, ไม่เป็น
อาบัติในกัปปิยวัตถุ. เป็นปาจิตตีย์ด้วยอำนาจที่มาในรัตนสิกขาบทข้างหน้า
แก่ภิกษุผู้รับวัตถุมีเงินเป็นต้นแม้ทั้งหมด ด้วยหน้าที่แห่งภัณฑาคาริก
เพื่อต้องการจะเก็บไว้.
๓/๑๐๘/๙๔๖

ชีวิตินทริยมูล
ชีวิตินทริยมูละ โสมนัสสินทริยมูลี:-
[๑๑๓๙] ชีวิตินทรีย์กำลังเกิดแก่บุคคลอาทิผิด สระใดในภูมิใด, โสมนัส-
สินทรีย์ก็จักเกิดแก่บุคคลนั้นในภูมินั้น ใช่ไหม ?
ในอุปปาทขณะแห่งปัจฉิมจิตก็ดี ปัจฉิมจิตที่ป็นอุเปกขาสัมปยุต
จักเกิดในลำดับอาทิผิด อักขระแห่งจิตใด ในอุปปาทขณะแห่งจิตนั้นก็ดี บุคคลที่กำลัง
เกิดอยู่ในอสัญญสัตตภูมิก็ดี ชีวิตินทรีย์กำลังเกิดแก่บุคคลเหล่านั้น
ในภูมินั้น แต่โสมนัสสินทรีย์ไม่ใช่จักเกิดแก่บุคคลเหล่านั้นในภูมินั้น,
บุคคลนอกจากนี้ที่กำลังเกิดอยู่ในจตุโวการภูมิ ในปัญจโวการภูมิก็ดี ใน
อุปปาทขณะแห่งจิตในปวัตติกาลก็ดี ชีวิตินทรีย์กำลังเกิด และโสมนัส-
สินทรีย์ก็จักเกิดแก่บุคคลเหล่านั้นในภูมินั้น.
ก็หรือว่า โสมนัสสินทรีย์จักเกิดแก่บุคคลใดในภูมิใด, ชีวิติน-
ทรีย์ก็กำลังเกิดแก่บุคคลนั้นในภูมินั้น ใช่ไหม ?
บุคคลที่กำลังตายในจตุโวการภูมิปัญจโวการภูมิก็ดี ในภังคขณะ
แห่งจิตในปวัตติกาลก็ดี โสมนัสสินทรีย์จักเกิดแก่บุคคลเหล่านั้นในภูมิ
นั้น แต่ชีวิตินทรีย์ไม่ใช่กำลังเกิดแก่บุคคลเหล่านั้นในภูมินั้น, บุคคล
ที่กำลังเกิดอยู่ในจตุโวการภูมิ ในปัญจโวการภูมิก็ดี ในอุปปาทขณะแห่ง
จิตในปวัตติกาลก็ดี โสมนัสสินทรีย์จักเกิด และชีวิตินทรีย์ก็กำลังเกิด
แก่บุคคลเหล่านั้นในภูมินั้น.
จบ ชีวิตินทริยมูละ โสมนัสสินทริยมูลี
๘๔/๑๑๓๙/๘๓๑
พระสุตตันตปิฎก
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาตอาทิผิด สระ
เล่มที่ ๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต
ปฐมปัณณาสก์
ธนวรรคที่ ๑
๑. อัปปิยสูตร
[๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นได้ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการ
๓๗/๑/๑
หอม เขายกย่องกฤษณาว่าเป็นเลิศ บรรดาไม้ที่มีแก่นหอม เขายกย่องแก่น-
จันทน์แดงว่าเป็นเลิศ บรรดาไม้ที่มีดอกหอม เขายกย่องดอกมะลิว่าเป็นเลิศ
ฉันใด โอวาทของท่านพระโคดม ก็ฉันนั้น เหมือนกันแล บัณฑิตกล่าวได้ว่า
เป็นเลิศในบรรดาธรรมของครูอย่างที่อาทิผิด นับว่าเยี่ยม แจ่มแจ้งจริง ๆ พระ-
เจ้าข้า แจ่มแจ้งจริง ๆ พระเจ้าข้า ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมโดย
ปริยายเป็นอเนก เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ หรือเปิดของที่ปิด หรือบอก
ทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มีตาดีจักเห็นรูปทั้ง
หลายได้ ฉะนั้นข้าพระองค์นี้ขอถึงพระโคดมผู้เจริญ พระธรรม และพระ
ภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมจงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก
ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.
จบ คณกโมคคัลลานอาทิผิด อักขระสูตรที่ ๗
๒๒/๑๐๔/๑๕๐

อรรถกถาสุทธัฏฐกสูตรที่ ๔
สุทธัฏฐกสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ปสฺสามิ สุทฺธํ เราเห็นบุคคลผู้
บริสุทธิ์ดังนี้.
พระสูตรอาทิผิด อักขระนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร ?
มีเรื่องเล่าว่า ในอดีตกาลครั้งศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนาม
ว่ากัสสปะอาทิผิด อักขระ กุฎุมพีคนหนึ่ง ชาวกรุงพาราณสีได้ไปยังปัจจันตชนบทพร้อมด้วย
เกวียน ๕๐๐ เล่มเพื่อหาสินค้า ณ ที่นั้น กุฎุมพีได้ทำความสนิทสนมกับพราน
ป่าให้ของใช้แก่เขาแล้วถามว่า สหาย ท่านเคยเห็นแก่นจันทน์บ้างไหม เมื่อ
พรานป่าตอบว่าเคยเห็น จึงเข้าไปป่าไม้จันทน์กับเขาทันทีบรรทุกแก่นจันทน์
แดงจนเต็มเกวียนทุกเล่มแล้วกล่าวกะพรานป่านั้นว่า สหาย เมื่อใดท่านมากรุง
พราณสี เมื่อนั้นท่านพึงเอาแก่นจันทน์แดงมาด้วย แล้วก็กลับไปกรุงพาราณสี.
ครั้นต่อมาพรานป่านั้นก็เอาแก่นจันทน์ไปเรือนกุฎุมพีนั้น กุฎุมพีเห็นพรานป่า
จึงต้อนรับเป็นอย่างดี ตอนเย็นให้บดแก่นจันทน์ใส่สมุกอาทิผิด อักขระจนเต็มแล้วกล่าวว่า
สหายจงไปอาบน้ำแล้วกลับมาเถิด แล้วส่งเขาไปท่าน้ำกับคนของตน. ตอนนั้น
ที่กรุงพาราณสีกำลังมีมหรสพ. ชาวกรุงพาราณสีตอนเช้าตรู่ถวายทาน ตอน
เย็นนุ่งผ้าเนื้อดีถือดอกไม้และของหอมเป็นต้น ไปไหว้พระมหาเจดีย์ของพระผู้มี-
พระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ พรานป่านั้น เห็นคนทั้งหลายเหล่านั้นจึงถาม
ว่า เขาไปไหนกัน พรานป่าได้ฟังว่าเขาไปวิหารเพื่อไหว้พระเจดีย์จึงได้ไป
ด้วยตนเอง ณ ที่นั้นพรานป่าเห็นผู้คนทำการบูชาพระเจดีย์โดยวิธีต่าง ๆ ด้วย
๔๗/๔๑๑/๗๒๔

บทว่า สพฺพา มีความว่า ความสงสัยในปัจจยาการที่ท่านกล่าวไว้
โดยนัยเป็นต้นว่า เมื่อเขาถามว่า ใครเล่าหนอ ? ย่อมถูกต้องพระเจ้าข้า พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ปัญหาไม่สมควรแก้๑ ดังนี้ และโดยนัยเป็นต้นว่า
เมื่อเขาถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญก็ชราและมรณะเป็นอย่างไรหนอ. ก็แล
ชราและมรณะนี้จะมีแก่ใคร ?. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ปัญหาไม่สมควร
แก้. ดังนี้ ๒ และความสงสัย ๑๖ อย่างเป็นต้นว่า ในอดีตกาลเราได้มีแล้ว
หรือหนอ ? ซึ่งมาแล้วเพราะยังไม่ได้ตรัสรู้ปัจจยาการนั่นเอง (เหล่านี้) ทั้งหมด
ย่อมสิ้นไป คือย่อมปราศจากไป ย่อมดับไป. เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุที่
มาทราบธรรมพร้อมทั้งเหตุ. มีอธิบายว่า เพราะทราบ คือทราบชัด ตรัสรู้
ธรรมคือกองทุกข์ทั้งมวล มีสังขารเป็นต้นพร้อมทั้งเหตุ ด้วยเหตุมีอวิชชา
เป็นต้น.
พึงทราบวินิจฉัยในทุติยวาร:-
สามบทว่า อิมํ อุทานํ อุทาเนสิอาทิผิด สระ มีความว่า ทรงเปล่งอุทาน
มีประการดังกล่าวแล้วนี้ ซึ่งแสดงอานุภาพแห่งความตรัสรู้ ความสิ้นปัจจัย
กล่าวคือนิพพานซึ่งปรากฏแล้วอย่างนี้ว่า อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา
สงฺขารนิโรโธ ในเนื้อความที่ทรงทราบแล้วนั้น.
ความสังเขปในอุทานนั้นดังนี้ต่อไปนี้:-
เพราะได้รู้ คือได้ทราบชัดได้ตรัสรู้นิพพานกล่าวคือความสิ้นปัจจัย
ทั้งหลาย เมื่อใดธรรมทั้งหลายมีประการดังกล่าวแล้วปรากฏแก่พราหมณ์นั้น
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยทุกอย่างที่จะพึงเกิดขึ้นเพราะไม่รู้นิพพาน
ย่อมสิ้นไป.
๑. สํ. นิ. ๑๖ /ข้อ ๓๓ ๒. สํ. นิ. ๑๖/ข้อ ๑๒๙.
๖/๓/๑๓

เป็นต้น ตั้งหกแสนคนเสียแล้วได้ทรงตั้งนิตยภัตไว้สำหรับภิกษุหกแสนรูป
ในภายในพระราชนิเวศน์ เพราะความเลื่อมใสที่เป็นไปในพระนิโครธเถระ๑
นั่นเอง, ฝ่ายพระนิโครธเถระ ก็ให้พระราชา พร้อมทั้งบริษัทดำรงอยู่ใน
ไตรสรณคมน์ และเบญจศีล ทำให้เป็นผู้มีความเลื่อมอาทิผิด อักขระใสไม่ไหวหวั่น ด้วยความ
เลื่อมอาทิผิด อักขระใสอย่างปุถุชน แล้วให้ดำรงมั่นอยู่ในพระพุทธศาสนา
[พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างวัด และเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ แห่ง]
พระราชา ทรงรับสั่งให้นายช่างสร้างมหาวิหาร ชื่อว่าอโศการาม
แล้วก็ทรงตั้งภัตไว้เพื่อถวายภิกษุหกแสนรูปอีก และทรงรับสั่งให้สร้างพระ
วิหาร ๘๔,๐๐๐ หลัง ซึ่งประดับด้วยพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ ไว้ในพระนคร
๘๔,๐๐๐ แห่ง ทั่วชมพูทวีปทั้งสิ้น โดยความชอบธรรมนั่นเอง หาใช่อาทิผิด อาณัติกะโดย
ไม่ชอบธรรมไม่
ได้ยินว่า ในวันหนึ่ง พระราชาทรงถวายมหาทานที่อโศการาม
ประทับนั่งอยู่ในท่ามกลางพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งนับได้ประมาณหกแสนรูป ทรง
ปวารณาสงฆ์ ด้วยปัจจัย ๔ แล้วตรัสถามปัญหานี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ! ชื่อว่า
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว มีประมาณไร ? พระสงฆ์
ถวายพระพรว่า มหาบพิตร ! ชื่อว่าพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง
แล้วนั้น ว่าโดยองค์ มีองค์ ๙ ว่าโดยขันธ์ มี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์.
พระราชาทรงเลื่อมใสในพระธรรม แล้วทรงรับสั่งว่า เราจักบูชาพระธรรมขันธ์
แต่ละขันธ์ด้วยวิหารแต่ละหลัง ๆ ดังนี้ ในวันเดียวเท่านั้น ได้ทรงสละ
พระราชทรัพย์ถึง ๙๖ โกฏิ แล้วได้ทรงบังคับอาทิผิด อักขระพวกอำมาตย์ว่า ไปเถิดพนาย !
พวกท่านเมื่อให้สร้างวิหารในนครแต่ละนคร จงให้สร้างพระวิหาร ๘๔,๐๐๐
๑ พระนิโครธเถระ ก็คือนิโครธสามเณรนั่นเอง.
๑/๙/๘๗

นั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ ดังนี้เธอไม่ยอม
สละทิฏฐินั้น สงฆ์ทำอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฏฐิ
อันเป็นบาปแก่ภิกษุอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง คือ
ห้ามสมโภคกับสงฆ์ การทำอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละ
ทิฏฐิอันเป็นบาปแก่ภิกษุอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง
คือ ห้ามสมโภคกับสงฆ์ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึง
เป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด
ข้าพเจ้ากล่าวความอาทิผิด อักขระนี้แม้ครั้งที่สอง....
ข้าพเจ้ากล่าวความนี้แม้ครั้งที่สาม ท่านเจ้าข้า ขอ
สงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง
มีทิฏฐิอันเป็นบาปเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เรารู้ทั่วถึงธรรมที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสว่า
เป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่
ผู้เสพได้จริงไม่ ดังนี้ เธอไม่ยอมสละทิฏฐินั้น สงฆ์ทำ
อุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฏฐิอันเป็นบาปแก่ภิกษุ
อริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง คือ ห้ามสมโภคกับสงฆ์
การทำอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละอาทิผิด อักขระทิฏฐิอันเป็นบาปแก่
ภิกษุอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง คือ ห้ามสมโภคกับ
สงฆ์ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่
ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด
๘/๒๗๘/๑๖๘

แล่นเข้ามหาสมุทรยังไม่ทันถึงถิ่นที่ปรารถนา ก็อับปางในท่ามกลางสมุทร.
มหาชนพากันเป็นภักษาของปลาและเต่า ส่วนท่านพาหิยะเกาะกระดาน
แผ่นหนึ่ง กำลังข้ามอยู่ถูกกำลังคลื่นซัดไปทีละน้อย ๆ ในวันที่ ๗ ก็ถึง
ฝั่งใกล้ท่าสุปปารกะ. ท่านนอนที่ฝั่งสมุทร โดยรูปกายเหมือนตอนเกิด
เพราะผ้าพลัดตกไปในสมุทร บรรเทาความกระวนกระวายได้แต่เพียง
ลมหายใจ ลุกขึ้นเข้าไประหว่างพุ่มไม้ด้วยความละอาย ไม่เห็นอะไร ๆ
อย่างอื่นที่จะเป็นเครื่องปิดความละอาย จึงหักก้านไม้รัก เอาเปลือกพัน
(กาย) ทำเป็นเครื่องนุ่งห่มปกปิดไว้. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เจาะ
แผ่นกระดานเอาเปลือกไม้ร้อยทำเป็นเครื่องนุ่งห่มปกปิดไว้. ท่านปรากฏ
ว่า ทารุจีริยะ. เพราะทรงผ้าคากรองทำด้วยไม้ และว่า พาหิยะ ตามชื่อ
เดิมแม้โดยประการทั้งปวง ด้วยประการฉะนี้.
ท่านถือกระเบื้องอันหนึ่ง เที่ยวขอก้อนข้าวที่ท่าสุปปารกะ โดย
ทำนองดังกล่าวแล้ว พวกมนุษย์เห็นเข้าจึงคิดว่า ถ้าชื่อว่าพระอรหันต์
ยังมีในโลกไซร้ ท่านพึงเป็นอย่างนี้ พระผู้เป็นเจ้าองค์นี้ จะถือเอาผ้า
ที่เขาให้ หรือไม่ถือเอาเพราะความมักน้อย ดังนี้ เมื่อจะทดลอง จึงน้อม
นำผ้าจากที่ต่าง ๆ เข้าไป. เขาคิดว่า ถ้าเราจักไม่มาโดยทำนองนี้ไซร้อาทิผิด อาณัติกะ
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเหล่านี้พึงไม่เลื่อมใสเรา ไฉนหนอ เราพึงห้ามผ้า
เหล่านี้เสีย อยู่โดยทำนองนี้แหละ เมื่อเป็นเช่นนี้ ลาภสักการะก็จักเกิด
ขึ้นแก่เรา. เขาคิดอย่างนี้แล้ว จึงตั้งอยู่ในฐานะเป็นผู้หลอกลวงไม่รับผ้า.
พวกมนุษย์คิดว่า น่าอัศจรรย์ พระผู้เป็นเจ้านี้มักน้อยแท้ จึงมีจิตเลื่อมใส
โดยประมาณยิ่ง กระทำสักการะและสัมมานะเป็นอันมาก. ฝ่ายท่านรับ-
ประทานอาหารแล้ว ได้ไปยังเทวสถานแห่งหนึ่งในที่ไม่ไกล. มหาชนก็
๔๔/๕๐/๑๓๐

กาเมสุมิจฉาจาร งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร พระราชาจับเขามาประหาร
จองจำ เนรเทศ หรือกระทำตามปัจจัย เพราะเหตุการงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร.
ภิ. มิได้เห็น หรือมิได้ฟังมาเลย พระเจ้าข้า.
พ. ดีละ ภิกษุทั้งหลาย แม้เราก็มิได้เห็นมิได้ฟังมาแล้วว่า คนผู้นี้
เป็นผู้ละกาเมสุมิจฉาจาร งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร พระราชาจับเขามาประหาร
จองจำ เนรเทศ หรือกระทำตามปัจจัย เพราะเหตุแห่งการงดเว้นจาก
กาเมสุมิจฉาจาร แต่ว่าบาปกรรมของเขานั่นแหละย่อมบอกให้ทราบว่า คนผู้นี้
ละเมิดประเพณีในหญิงหรือบุตรีของผู้อื่น พระราชาจับเขามาประหาร จองจำ
เนรเทศ หรือกระทำตามปัจจัย เพราะเหตุแห่งกาเมสุมิจฉาจาร ท่านทั้งหลาย
ได้เห็นหรือได้ฟังบาปกรรมเห็นปานนี้บ้างหรือไม่.
ภิ. พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ทั้งหลายได้เห็นมาแล้ว ได้ฟังมาแล้ว
และจักได้ฟังต่อไป.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายย่อมเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน
คือว่า ท่านทั้งหลายได้เห็นหรือได้ฟังมาแล้วบ้างหรือว่า คนผู้นี้เป็นผู้ละ
มุสาวาท งดเว้นจากมุสาวาท พระราชาจับเขามาประหาร จองจำ เนรเทศ
หรือกระทำตามปัจจัย เพราะเหตุแห่งการงดเว้นจากมุสาวาท.
ภิ. มิได้เห็น หรือมิได้ฟังมาเลย พระเจ้าข้า.
พ. ดีละ ภิกษุทั้งหลาย แม้เราก็มิได้เห็นมิได้ฟังมาแล้วว่า คนผู้นี้
เป็นผู้ละมุสาวาท งดเว้นจากมุสาวาท พระราชาจับเขามาประหาร จองจำ
เนรเทศ หรือกระทำตามปัจจัย เพราะเหตุแห่งการงดเว้นจากมุสาวาท แต่ว่า
บาปกรรมของเขานั่นแหละย่อมบอกให้ทราบว่า คนผู้นี้ทำลายประโยชน์ของ
คฤหบดี หรือบุตรคฤหบดีด้วยมุสาวาท พระราชาจับอาทิผิด อักขระเขามาประหาร จองจำ
๓๖/๑๗๘/๓๗๙

พระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ...ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึง
นุ่งผ้าอย่างคฤหัสถ์ คือ นุ่งห้อยชายเหมือนงวงช้าง นุ่งปล่อยชายคล้ายหางปลา
นุ่งปล่อยชายเป็นสี่แฉก นุ่งห้อยชายคล้ายก้านตาล นุ่งยกกลีบตั้งร้อย รูปใดนุ่ง
ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๑๗๐] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์ ชาวบ้าน
เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า . . . เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม . . .ภิกษุ
ทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า . . .ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์ รูปใดห่ม ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๑๗๑] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์นุ่งผ้าเหน็บชายกระเบน ชาวบ้าน
เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า...เหมือนคนหาบของหลวง . ..ภิกษุทั้งหลาย
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า . . .ตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงนุ่งผ้าเหน็บชายกระเบน รูปใดนุ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๑๗๒] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์หาบของสองข้าง ชาวบ้านเพ่งโทษ
ติเตียน โพนทะนาว่า. . .เหมือนคนหาบของหลวง. ..ภิกษุทั้งหลายกราบทูล
เรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงหาบของสองข้าง รูปใดหาบ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้คอน หาม เทิน แบก กระเดียด
หิ้ว.
เรื่องไม้อาทิผิด อาณัติกะชำระฟัน
[๑๗๓] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายไม่เคี้ยวไม้ชำระฟัน ปากมีกลิ่นเหม็น
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า. . .
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การไม่เคี้ยวไม้ชำระฟันมีโทษ ๕ ประการนี้ คือ
๙/๑๗๓/๖๒