วันพุธ, กรกฎาคม 30, 2568

Weluwan

 
ก็ไม่ต้องมีการขอโอกาส. แต่ทว่ากล่าวเจาะจงกำหนดว่า ผู้โน้น ๆ มิใช่
สมณะ มิใช่อุบาสก ดังนี้ ลงจากธรรมาสน์แล้วควรแสดงอาบัติก่อนจึง
ไป. อนึ่ง พึงทราบอาทิผิด อักขระใจความแห่งคำที่ท่านกล่าวไว้ในที่นั้น ๆ ว่า อโนกาสํ
กาเรตฺวา อย่างนี้ว่า โอกาสํ อกาเรตฺวา แปลว่า ไม่ให้กระทำโอกาส.
จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่าโอกาส ไม่สมควรบางโอกาส ที่โจทก็ให้ทำโอกาสแล้ว
ยังต้องอาบัติจะไม่มี หามิได้. แต่โจทก์ไม่ให้จำเลยทำโอกาสจึงต้องอาบัติ
ฉะนี้แล. คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
บรรดาสมุฏฐานเป็นต้น สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐาน ๓ คือ เกิดขึ้น
ทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา
สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็น
ทุกขเวทนา ฉะนี้แล.
ปฐมทุฏฐโทสสิกขาบทวรรณนา จบ
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๙
เรื่องพระเมตติยะและพระภุมมชกะ
[๕๖๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เวฬุวันอาทิผิด อักขระวิหาร อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนคร
ราชคฤห์ ครั้งนั้นพระเมตติยะและพระภุมมชกะกำลังลงจากภูเขาคิชฌกูฏ
ได้แลเห็นแพะผู้กับแพะเมียกำลังสมจรกัน ครั้นแล้วได้พูดอย่างนี้ว่า
อาวุโส ผิฉะนั้น พวกเราจะสมมติแพะผู้นี้เป็นพระทัพพมัลลบุตร สมมติ
 
๓/๕๖๔/๕๑๗

ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก