วันพฤหัสบดี, กันยายน 30, 2564

Tatiya

 
มุ่งหมายกล่าว ดูก่อนพราหมณ์ เปรียบเหมือนฟองไข่ ๘ ฟอง
๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง ฟองไข่เหล่านั้น แม่ไก่กกดีแล้ว อบดีแล้ว
ฟักดีแล้ว บรรดาลูกไก่เหล่านั้น ลูกไก่ตัวใดทำลายกะเปาะฟอง
ด้วยเล็บเท้าหรือด้วยจะงอยปากออกมาได้โดยสวัสดีก่อนกว่าเขา
ลูกไก่ตัวนั้นควรเรียกว่ากระไร จะเรียกว่าพี่หรือน้อง.
ว. ท่านพระโคดม ควรเรียกว่าพี่ เพราะมันแก่กว่าเขา.
พ. ดูก่อนพราหมณ์ ฉันนั้นเหมือนกันแล บรรดาหมู่สัตว์
ผู้ตกอยู่ในอำนาจอวิชชา เกิดในฟอง อันกะเปาะฟองหุ้มห่อแล้ว
เราผู้เดียวเท่านั้นได้ทำลายกะเปาะฟอง คือ อวิชชา แล้วได้ตรัสรู้
อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก เราแลเป็นผู้เจริญที่สุด ประเสริฐ
ที่สุดของโลก เพราะเราปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ดำรงสติ
มั่นไม่ฟั่นเฟือน กายสงบไม่กระสับกระส่าย จิตดำรงมั่นเป็น
เอกัคคตา เรานั้นแล สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก
มีวิจาร มีปีติ และสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เราบรรลุทุติยฌานมีความ
ผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มี
วิจาร เพราะวิตก วิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เรามี
อุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะ
ปีติสิ้นไป บรรลุตติยอาทิผิด อักขระฌานที่พระอริยทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้
ฌานนี้ เป็นผู้มีสติอยู่เป็นสุข เราบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่
มีสุข. เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขา
เป็นต้นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์
ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อนควรแก่การงาน ตั้งมั่น
 
๓๗/๑๐๑/๓๓๕

วันพุธ, กันยายน 29, 2564

Thosa

 
แล้ว: เพราะฉะนั้น สัตว์เหล่านี้จึงเที่ยวขับร้องฟ้อนรำอยู่ในที่ทั้งหลาย
มีโรงดื่มสุราและสนามเป็นที่เล่นเป็นต้น. จึงไม่สามารถจะฟังธรรมได้.
อานนท์. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุบาสกทั้งหลายนั่น อาศัยอะไร
จึงไม่สามารถ ?
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสแก่พระอานนท์ว่า “ อานนท์ อุบาสก
เหล่านั้น อาศัยราคะ อาศัยโทสะ อาศัยโมหะ อาศัยตัณหา จึงไม่สามารถ:
ชื่อว่าไฟ เช่นกับด้วยไฟคือราคะไม่มี, ไฟใดไม่แสดงแม้ซึ่งเถ้า ย่อมไหม้
สัตว์ทั้งหลาย; แท้จริง แม้ไฟซึ่งยังกัลป์ให้พินาศ ที่อาศัยความปรากฏ
แห่งอาทิตย์ ๗ ดวงบังเกิดขึ้น ย่อมไหม้โลก ไม่ให้วัตถุไร ๆ เหลืออยู่เลย
ก็จริง, ถึงกระนั้น ไฟนั้นย่อมไหม้ในบางคราวเท่านั้น; ชื่อว่ากาลที่ไฟคือ
ราคะจะไม่ไหม้ ย่อมไม่มี: เพราะฉะนั้น ชื่อว่าไฟเสมอด้วยราคะก็ดี ชื่อว่า
ผู้จับเสมอด้วยโทสะก็ดี ชื่อว่าข่ายเสมอด้วยโมหะก็ดี ชื่อว่าแม่น้ำเสมอ
ด้วยตัณหาก็ดี ไม่มี” ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
๙. นตฺถิ ราคสโม อคฺคิ นตฺถิ โทสสโม คโห
นตฺถิ โมหสมํ ชาลํ นตฺถิ ตณฺหาสมา นที.
“ไฟเสมอด้วยราคะ ไม่มี, ผู้จับเสมอด้วยโทสะอาทิผิด อักขระ
ไม่มี, ข่ายเสมอด้วยโมหะ ไม่มี. แม่น้ำเสมอด้วย
ตัณหา ไม่มี.”
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ราคสโม ความว่า ชื่อว่าไฟเสมอด้วย
ราคะ ย่อมไม่มี ด้วยสามารถแห่งอันไม่แสดงอะไร ๆ เช่นควันเป็นต้น
ตั้งขึ้นเผาภายในนั่นเอง. บทว่า โทสสโม ความว่า ผู้จับทั้งหลาย มีผู้
 
๔๓/๒๘/๔๕

วันอังคาร, กันยายน 28, 2564

Kam

 
พึงทราบวินิจฉัยในตติยวาร:-
สามบทว่า อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ มีความว่า ทรงเปล่งอุทาน
มีประการดังกล่าวแล้วนี้ ซึ่งแสดงอานุภาพแห่งอริยมรรคที่เป็นเหตุ ทรงทราบ
เนื้อความกล่าวคือความเกิดและความดับแห่งกองทุกข์นั้น ด้วยอำนาจกิจ
และด้วยทำให้เป็นอารมณ์.
ความสังเขปในอุทานนั้นดังต่อไปนี้:- เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย
ปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น พราหมณ์นั้นย่อมกำจัด เสนา
มารด้วยโพธิปักขิยธรรมซึ่งเกิดแล้วเหล่านั้น หรือด้วยอริยมรรคเป็นเครื่อง
ปรากฏแห่งจตุสัจจธรรมาดำรงอยู่ ข้อว่า วิธูปยํ ติฏฺฐติ มารเสนํ ความ
ว่า ย่อมกำจัด คือผจญ ปราบเสนามาร มีประการดังกล่าวแล้ว โดยนัยเป็น
ต้นว่า กามอาทิผิด อักขระทั้งหลาย เป็นเสนาที่ ๑ ของท่านดังนี้ ดำรงอยู่.
ถามว่า กำจัดอย่างไร ?
ตอบว่า เหมือนพระอาทิตย์ส่องอากาศให้สว่างฉะนั้น.
อธิบายว่า พระอาทิตย์ขึ้นไปแล้ว เมื่อส่องอากาศให้สว่างด้วย
รัศมีของตนแล ชื่อว่ากำจัดมืดเสีย ข้อนี้ฉันใด. พราหมณ์แม้นั้นเมื่อตรัสรู้
สัจจะทั้งหลายด้วยธรรมเหล่านั้นหรือด้วยมรรคนั้นแล ชื่อว่ากำจัดเสนามารเสีย
ได้ ข้อนี้ก็ฉันนั้น เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบสันนิษฐานว่าใน ๓ อุทาน
นี้ อุทานที่ ๑ เกิดขึ้นด้วยอำนาจความพิจารณาปัจจยาการ อุทานที่ ๒ เกิดขึ้น
ด้วยอำนาจความพิจารณาพระนิพพาน อุทานที่ ๓ เกิดขึ้นด้วยอำนาจความ
พิจารณามรรค ด้วยประการฉะนี้.

๑. ขุ. สุ. ๒๕/ข้อ ๓๕๕.
 
๖/๓/๑๔

วันจันทร์, กันยายน 27, 2564

Raeng Kla

 
ลำดับนั้น พราหมณ์คิดว่า สมณะนี้กล่าวว่า แม้เราก็ไถก็หว่าน แต่
เราไม่เห็นเครื่องไถมีแอกและไถเป็นต้นที่ใหญ่ ๆ ของสมณะนี้ สมณะนี้กล่าว
เท็จหรือหนอตรวจดูพระผู้มีพระภาคเจ้าตั้งแต่พื้นพระบาทจนถึงปลายพระเกศา
เพราะตนสำเร็จวิชาดูลักษณะ จึงรู้ว่าสมณะนั้นสมบูรณ์ด้วยลักษณะประเสริฐ
๓๒ ประการ เหตุได้สั่งสมบุญญาธิการไว้ เกิดมานะอย่างแรงกล้าอาทิผิด อาณัติกะ ว่า ข้อที่
สมณะเห็นปานนี้พูดมุสามิใช่ฐานะที่จะเป็นได้ จึงละวาทะว่าสมณะในพระผู้มี
พระภาคเจ้า เมื่อจะเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยโคตร จึงกล่าวว่า น โข ปน
มยํ ปสฺสาม โภโต โคตมสฺส เป็นต้น. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะ
ทรงแสดงพุทธานุภาพ เพราะเหตุที่ขึ้นชื่อว่าการกล่าวด้วยเป็นผู้เทียบด้วยธรรม
มีในก่อน เป็นอานุภาพของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จึงตรัสคำมีอาทิว่า สทฺธา
พีชํ ดังนี้.
ถามว่า ก็ในข้อนี้ ความเป็นผู้มีส่วนเสมอด้วยธรรมมีในก่อน คือ
อะไร พระผู้มีพระภาคเจ้าถูกพราหมณ์ถามถึงเครื่องไถมีแอกและไถเป็นต้น
มิใช่หรือ แต่พระองค์ตรัสว่า สทฺธา พีชํ เป็นต้น เพราะพืชที่ไม่ถูกถาม
เทียบกันได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้น แม้ถ้อยคำก็ต่อกัน ไม่ได้ ธรรมดาว่าถ้อยคำ
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ต่อกันไม่ได้ จะมีไม่ได้เลย. พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
จะตรัสด้วยความที่ธรรมมีในก่อนเทียบกันไม่ได้ ก็หาไม่. ก็ในข้อนี้ พึงทราบ
อนุสนธิอย่างนี้ว่า จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าถูกพราหมณ์ถามถึงการไถ โดย
เครื่องไถมีแอกและไถเป็นต้น. ด้วยความอนุเคราะห์พราหมณ์นั้น พระองค์
ประสงค์ให้พราหมณ์ทราบเรื่องการไถพร้อมทั้งมูล พร้อมทั้งอุปการะ พร้อม
ทั้งสัมภาระที่เหลือ พร้อมทั้งผล มิให้ลดน้อยลง ด้วยพระดำริว่า ข้อนี้เขา
มิได้ถาม เมื่อจะทรงแสดงจำเดิมแต่ต้นมา จึงตรัสคำมีอาทิว่า สทฺธา พีชํ
ดังนี้. พืชในเรื่องนั้น เป็นมูลของการไถ เพราะเมื่อพืชมีก็ควรทำ เมื่อพืช
 
๒๕/๖๗๖/๒๕๕

วันอาทิตย์, กันยายน 26, 2564

Kiatkan

 
[๗๒๕] สีลัพพตปรามาสสัญโญชน์ เป็นไฉน ?
ความเห็นว่า ความบริสุทธิ์ย่อมได้ด้วยศีล ด้วยพรต ด้วยศีลพรต
ของสมณพราหมณ์ในภายนอกแต่ศาสนานี้ ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ
ป่าชัฏคือทิฏฐิ กันดารคือทิฏฐิ ความเห็นเป็นข้าศึกต่อสัมมาทิฏฐิ ความผันแปร
แห่งทิฏฐิ สัญโญชน์คือทิฏฐิ ความยึดถือ ความยึดมั่น ความตั้งมั่น ความถือผิด
ทางชั่ว ทางผิด ภาวะที่ผิด ลัทธิเป็นบ่อเกิดแห่งความพินาศ การถือโดย
วิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้อันใด นี้เรียกว่า สีลัพพตปรามาสสัญโญชน์.
[๗๒๖] ภวราคสัญโญชน์ เป็นไฉน ?
ความพอใจในภพ ความกำหนัดในภพ ความเพลิดเพลินในภพ
ตัณหาในภพ สิเนหาในภพ ความเร่าร้อนในภพ ความสยบในภพ ความ
หมกมุ่นในภพ ในภพทั้งหลาย อันใด นี้เรียกว่า ภวราคสัญโญชน์.
[๗๒๗] อิสสาสัญโญชน์ เป็นไฉน ?
การริษยา กิริยาที่ริษยา ความริษยา การเกียดกันอาทิผิด อักขระ กิริยาที่เกียดกัน
ความเกียดกันในลาภสักการ การทำความเคารพ การนับถือ การไหว้ การบูชา
ของคนอื่น อันใด นี้เรียกว่า อิสสาสัญโญชน์.
[๗๒๘] มัจฉริยสัญโญชน์ เป็นไฉน ?
ความตระหนี่ ๕ คือ ตระหนี่อาวาส ตระหนี่ตระกูล ตระหนี่ลาภ
ตระหนี่วรรณะ ตระหนี่ธรรม, การตระหนี่ กิริยาที่ตระหนี่ ความตระหนี่
ความหวงแหน ความเหนียวแน่น ความไม่เอื้อเฟื้อ ความไม่เผื่อแผ่ แห่งจิต
มีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด นี้เรียกว่า มัจฉริยสัญโญชน์.
[๗๒๙] อวิชชาสัญโญชน์ เป็นไฉน ?
ความไม่รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ
ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ความไม่รู้ในส่วนอดีต ความไม่รู้ในส่วน
 
๗๖/๗๒๗/๔๒๐

วันเสาร์, กันยายน 25, 2564

Dai

 
กำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดย
อเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่
เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบท
แก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความ
รับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อ-
ยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะ
อันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อ
ถือตามพระวินัย ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง
อย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๔๔. ๕. อนึ่ง ภิกษุใดให้จีวรแก่ภิกษุเองแล้ว โกรธ น้อยใจ
ชิงเอามาก็ดี ให้ชิงเอามาก็ดี เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ
สิกขาบทวิภังค์
[ ๑๕๐] บทว่า อนึ่ง...ใดอาทิผิด ความว่า ผู้ใด คือผู้เช่นใด มีการงาน
อย่างใด มีชาติอย่างใด มีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด มีปกติอย่างใด
มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็นเถระก็ตาม เป็นนวกะ
ก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อนึ่ง...ใด.
 
๓/๑๕๐/๑๐๗๐

วันศุกร์, กันยายน 24, 2564

Nung

 
[๔๔๓] ท่านรัฐปาละ ก็ความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้เป็นไฉน. ท่าน
รัฐปาละ คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนมีอาพาธ มีทุกข์ เป็นไข้หนัก. เขาคิด
เห็นดังนี้ว่า เดี๋ยวนี้เราเป็นคนมีอาพาธ มีทุกข์ เป็นไข้หนัก ก็การที่เราจะได้
โภคสมบัติที่ยังไม่ได้ หรือการที่เราจะทำโภคสมบัติที่ได้แล้วให้เจริญ ไม่ใช่ทำ
ได้ง่าย อย่ากระนั้นเลย เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งอาทิผิด อักขระห่มผ้ากาสายะ ออกจาก
เรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด. เขาประกอบด้วยความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้นั้น
จึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต นี้
เรียกว่าความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้. ส่วนท่านรัฐปาละ เดี๋ยวนี้เป็นผู้ไม่อาพาธ
ไม่มีทุกข์ ประกอบด้วยไฟธาตุที่ย่อยอาหารสม่ำเสมอดี ไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก
ไม่มีความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้นั้นเลย. ท่านรัฐปาละรู้เห็นหรือได้ฟังอะไร
จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเสียเล่า.
[๔๔๔] ท่านรัฐปาละ ก็ความเสื่อมจากโภคสมบัติเป็นไฉน. ท่าน
รัฐปาละ คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก โภค
สมบัติเหล่านั้นของเขาถึงความสิ้นไปโดยลำดับ. เขาคิดเห็นดังนี้ว่า เมื่อก่อน
เราเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก โภคสมบัติเหล่านั้นของเราถึงความ
สิ้นไปโดยลำดับแล้ว ก็การที่เราจะได้โภคสมบัติที่ยังไม่ได้ หรือการที่เราจะ
ทำโภคสมบัติที่ได้แล้วให้เจริญ ไม่ใช่ทำได้ง่าย อย่ากระนั้นเลย เราพึงปลงผม
และหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด ดังนี้. เขา
ประกอบด้วยความเสื่อมจากโภคสมบัตินั้น จึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้า
กาสายะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ท่านรัฐปาละผู้เจริญ นี้เรียกว่าความ
เสื่อมจากโภคสมบัติ. ส่วนท่านรัฐปาละเป็นบุตรของตระกูลเลิศในถุลลโกฏฐิต
นิคมนี้ ไม่มีความเสื่อมจากโภคสมบัตินั้น. ท่านรัฐปาละรู้เห็นหรือได้ฟังอะไร
จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเสียเล่า.
 
๒๑/๔๔๓/๓๗

วันพฤหัสบดี, กันยายน 23, 2564

Wongkot

 
นัยว่าพราหมณ์เหล่านั้น ครั้นได้คชสารแล้วก็ขึ้นคชสารนั้นเข้าไป
ทางประตูใหญ่พากันดื่มถวายพระพร ณ ท่ามกลางพระนคร. อนึ่ง เมื่อมหา-
ชนพูดกันว่า พราหมณ์ผู้เจริญท่านขี่ช้างของเรามาจากไหน พราหมณ์ทั้ง
หลายบอกว่า พระเวสสันดรมหาราช พระราชทานแก่พวกเรา พวกท่าน
เป็นใคร แล้วโบกมือไล่ พากันเดินทางต่อไป.
ลำดับนั้นมหาชนมีพวกอำมาตย์เป็นต้น พากันมาประชุมที่ประตู
พระราชวังกล่าวโทษว่า พระราชาควรพระราชทานทรัพย์ ข้าวเปลือก นา
ไร่สวน หรือทาสหญิงชายและนางกำนัลแก่พวกพราหมณ์. พระเวสสันดร
มหาราช พระราชทานมงคลหัตถีอันเป็นช้างพระที่นั่งนี้ไปได้อย่างไร. บัดนี้
พวกเราจักไม่ให้ราชสมบัติต้องพินาศไปอย่างนี้ จึงกราบทูลความนั้นแด่
พระเจ้ากรุงสญชัยมหาราช พระเจ้ากรุงสญชัยมหาราชทรงเห็นด้วยตามคำ
แนะนำ รับจะทำตาม แล้วก็พากันกลับไป. แต่พวกพราหมณ์ยังได้กราบทูล
ว่า :-
พระองค์อย่าฆ่าพระเวสสันดรนั้น ด้วย
ท่อนไม้ หรือศัสตราเลยพระเวสสันดรนั้นไม่
ควรแก่เครื่องพันธนาการเลย แต่ขอพระองค์
จงขับไล่พระเวสสันดรออกจากแว่นแคว้นไป
อยู่ ณ เขาวงกตอาทิผิด สระเถิด พระเจ้าข้า.
 
๗๔/๙/๑๗๘

วันพุธ, กันยายน 22, 2564

Attamaphap

 
[๘๔๖] เขาจะเข้าถึงนรกชนิดร้ายกาจ. เหล่า
สัตว์ที่ยังไม่ปราศจากราคะ ในกามทั้งหลาย
ติดแล้วในกายของตน ยังละไม่ได้ ซึ่งที่ที่ไม่
สะอาด ของผู้สะอาดทั้งหลาย ที่เต็มอาทิผิด ไปด้วย
มูตรและคูถ.
[๘๔๗] สัตว์ทั้งหลายเลอะอุจจาระ เปื้อนเลือด
เลอะไขออกมา เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายถูกต้อง
สิ่งใด ๆ ด้วยกายอยู่ในขณะใด ในขณะนั้น
เอง ก็สัมผัสผองทุกข์ล้วน ๆ ที่ไม่มีความ
แช่มชื่นเลย.
[๘๔๘] อาตมภาพเห็นแล้ว จึงได้ทูลถวายพระ
พร, ไม่ได้ฟังจากผู้อื่น ทูลถวายพระพร แต่
อาตมภาพอาทิผิด อักขระระลึกถึงขันธ์ ที่เคยอยู่อาศัยมาเป็น
จำนวนมาก.
จบ ทรีมุขชาดกที่ ๓
 
๕๙/๘๔๘/๒๖

วันอังคาร, กันยายน 21, 2564

Saen

 
แห่งละ ๒ พันรูปเป็นนิตยกาล. พระภิกษุรูปใด ปรารถนาของสิ่งใด
จะเป็นข้าวน้ำอาทิผิด สระหรือเภสัช ของนั้นก็สำเร็จแก่พระภิกษุรูปนั้นสมปรารถนา.

เศรษฐีไม่เคยทูลถามปัญหา
ในท่านทั้งสองนั้น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ไม่เคยทูลถาม
ปัญหาต่อพระศาสดา จนวันเดียว. ได้ยินว่า ท่านคิดว่า “ พระ-
ตถาคตเจ้า เป็นพระพุทธเจ้า ผู้ละเอียดอ่อน เป็นกษัตริย์ผู้ละเอียดอ่อน
เมื่อทรงแสดงธรรมแก่เรา ด้วยทรงพระดำริว่า คฤหบดีมีอุปการะ
แก่เรามาก ดังนี้ จะทรงลำบาก ” แล้วไม่ทูลถามปัญหาด้วยความรัก
ในพระศาสดาเป็นอย่างยิ่ง. ฝ่ายพระศาสดา พอท่านเศรษฐีนั่งแล้ว
ทรงพระพุทธดำริว่า “ เศรษฐีผู้นี้ รักษาเราในที่ไม่ควรรักษา, เหตุว่า
เราได้ตัดศีรษะของเราอันประดับประดาแล้ว ควักดวงตาของเราออกแล้ว
ชำแหละเนื้อหัวใจของเราแล้ว สละลูกเมียผู้เป็นที่รักเสมอด้วยชีวิตของ
เราแล้ว บำเพ็ญบารมีอยู่ ๔ อสงไขยกับแสนอาทิผิด อักขระกัลป์ ก็บำเพ็ญแล้วเพื่อ
แสดงธรรมแก่ผู้อื่นเท่านั้น เศรษฐีนี่รักษาเราในที่ไม่ควรรักษา,” (ครั้น
ทรงพุทธดำริ) ฉะนี้แล้ว ก็ตรัสพระธรรมเทศนากัณฑ์หนึ่งเสมอ.

ชาวสาวัตถีไปฟังธรรม
ครั้งนั้น ในกรุงสาวัตถี มีคนอยู่ ๗ โกฏิ๑. ในคนหมู่นั้น คน
ได้ฟังธรรมกถาของพระศาสดาแล้ว เกิดเป็นอริยสาวกประมาณ ๕ โกฏิ

๑. ในกรุงสาวัตถีไม่ปรากฏว่าใหญ่โตถึงกับจุคนได้ตั้ง ๗๐ ล้าน เพราะฉะนั้นน่าจะเป็นอเนกสังขยากระมัง ?
 
๔๐/๑๑/๑๑

วันจันทร์, กันยายน 20, 2564

Thipangkon

 
พระนามทีปังกรอาทิผิด อาณัติกะ ทรงนำมาซึ่งมรรคอันประเสริฐเก่า ๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทั้งหลาย พระองค์ก่อน ๆ ทรงดำเนินมาแล้ว. ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงถูก
เรียกว่า วราหโร ผู้นำมาซึ่งมรรคอันประเสริฐ.
อนึ่ง พระพุทธเจ้า ชื่อว่า วโร ผู้ประเสริฐ เพราะทรงได้พระ-
สัพพัญญุตญาณ. ชื่อว่า วรัญญู ผู้รู้ธรรมอันประเสริฐ เพราะทรงทำให้แจ้ง
พระนิพพาน ชื่อว่า วรโท ผู้ประทานธรรมอันประเสริฐ เพราะประทาน
วิมุตติอาทิผิด อักขระสุขแก่สัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่า วราโห ผู้นำมาซึ่งมรรคอันประเสริฐ
เพราะทรงนำมาซึ่งปฏิปทาสูงสุด ชื่อว่า อนุตตโร ยอดเยี่ยม เพราะไม่มี
คุณอะไร ๆ ที่ยิ่งกว่าโลกุตรคุณเหล่านั้น.
มีนัยอื่นอีกว่า ชื่อว่า วโร เพราะทรงบริบูรณ์ด้วยอธิษฐานธรรม
คือ อุปสมะ ความสงบระงับ. ชื่อว่า วรัญญู เพราะทรงบริบูรณ์ด้วย
อธิษฐานธรรม คือปัญญาความรอบรู้. ชื่อว่า วรโท เพราะทรงบริบูรณ์
ด้วยอธิษฐานธรรมคือจาคะ ความสละ ชื่อว่า วราหโร เพราะทรงบริบูรณ์
ด้วยอธิษฐานธรรมคือสัจจะ ความจริงใจ. ทรงนำมาซึ่งมรรคอันประเสริฐ.
อนึ่ง ชื่อว่า วโร เพราะทรงอาศัยบุญ ชื่อว่า วรัญญู ก็เพราะทรงอาศัย
บุญ ชื่อว่า วรโท เพราะทรงมอบอุบายแห่งบุญนั้น แก่ผู้ต้องการเป็นพระ-
พุทธเจ้า. ชื่อว่า วราโห เพราะทรงนำมาซึ่งอุบายแห่งบุญนั้น แก่ผู้ต้องการ
เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า. ชื่อว่า อนุตฺตโร เพราะไม่มีผู้เสมอเหมือนในธรรม
นั้น ๆ หรือเพราะเป็นผู้ไม่มีอาจารย์ แต่กลับเป็นอาจารย์ของคนอื่น ๆ ด้วย
พระองค์เอง ได้ทรงแสดงธรรมอันประเสริฐ เพราะทรงแสดงธรรมอันประ-
เสริฐ ที่ประกอบด้วยคุณมีธรรมที่ตรัสดีแล้วเป็นต้น เพื่อผลนั้น แก่ผู้ต้องการ
เป็นสาวก. คำที่เหลือ มีนัยที่กล่าวมาแล้วทั้งนั้นแล.
 
๓๙/๗/๒๖๖

วันอาทิตย์, กันยายน 19, 2564

Nirattisai

 
พระนามว่า ภควา เพราะหมายความว่า ทรงคายภคธรรม
พระนามว่า ภควา เพราะหมายความว่า ทรงคายภาคธรรม.
พระชินเจ้าทรงพระนามว่า ภควา
เพราะหมายความว่า ทรงมีภาคธรรม ๑
ทรงอบรมพุทธกรธรรม ๑ ทรงเสพภาค-
ธรรม ๑ ทรงเสพภคธรรม ๑ ทรงมีคน
ภักดี ๑ ทรงคายภคธรรม ๑ ทรงคายภาคธรรม ๑.
ในความหมายเหล่านั้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้

๑. ทรงมีภาคธรรม
พระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ภควา เพราะหมายความว่า ทรง
มีภาคธรรม เป็นอย่างไร ? คือ กองธรรม ได้แก่ ส่วนแห่งคุณมีศีลเป็นต้น
ที่วิเศษยิ่ง ไม่สาธารณ์แก่บุคคลอื่นมีอยู่ คือ หาได้เฉพาะแก่พระตถาคตเจ้า
จริงอย่างนั้น พระตถาคตเจ้านั้น ทรงมี คือ ทรงได้ภาคแห่งคุณ ได้แก่ส่วน
แห่งคุณ อันเป็นนิรัติศัยอาทิผิด อักขระ (ไม่มีส่วนแห่งคุณอื่นที่ยิ่งกว่า) ไม่จำกัดประเภท
ไม่มีที่สุด ไม่สาธารณ์แก่บุคคลอื่น มีอาทิอย่างนี้ คือ ศีล สมาธิ
ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ หิริ โอตตัปปะ ศรัทธา วิริยะ สติ
สัมปชัญญะ สีลวิสุทธิ จิตวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิ สมถะ วิปัสสนา กุศลมูล ๓
สุจริต ๓ สัมมาวิตก ๓ อนวัชชสัญญา ๓ ธาตุ ๓ สติปัฎฐาน ๔
สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท อาทิผิด อริยมรรค อาทิผิด อริยผล ๔ ปฏิอาทิผิด อักขระสัมภิทา
ญาณกำหนดรู้กำเนิด ๔ อริยวงศ์ ๔ เวสารัชชญาณ ๔ องค์ของภิกษุผู้
บำเพ็ญเพียร ๕ สัมมาสมาธิมีองค์ ๕ สัมมาสมาธิมีญาณ ๕ อินทรีย์ ๕
พละ ๕ นิสสารณียธาตุ ๕ วิมุตตายตนญาณ (ญาณเป็นบ่อเกิดแห่งวิมุตติ) ๕
 
๔๕/๑๗๙/๑๑

วันเสาร์, กันยายน 18, 2564

Utsaha

 
ประทานบาตรในมือของนันทกุมารแล้ว ตรัสมงคลแล้ว ไม่รับบาตรจาก
มือของนันทกุมารนั้น เสด็จเข้าไปยังพระวิหาร ทรงให้นันทกุมารผู้ถือ
บาตรตามมายังวิหาร ผู้ไม่มีใจปรารถนาจะบวช ให้บวชแล้ว ทรง
ทราบว่า เธอถูกความไม่ยินดีเข้าบีบคั้น เพราะเหตุที่เธอบวชด้วยอาการ
อย่างนั้นนั่นแหละ จึงทรงบรรเทาความไม่ยินดียิ่งนั้นของเธอเสียด้วย
อุบาย. เธอพิจารณาแล้วโดยแยบคาย เริ่มบำเพ็ญวิปัสสนา มิช้ามินานก็
ได้บรรลุพระอรหัต. พอวันรุ่งขึ้น พระเถระจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค-
เจ้า กราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ข้าพระองค์พ้น
จากข้อประกันที่จะรับนางอัปสร ๕๐๐ นางผู้มีเท้าที่มีสีแดงคล้ายเท้านกพิราบ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอบอกคืนข้อประกันนั้นกะพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสว่า ดูก่อนนันทะ ในกาลที่เธอไม่
ยึดมั่น มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายได้ เราก็คุ้มครองรับรองว่า จะ
บอกคืนข้อประกันนั้น. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า พระ-
นันทะมีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลายได้อย่างวิเศษ เมื่อจะทรง
ประกาศคุณข้อนั้น จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นันทะเป็นผู้เลิศแห่ง
พวกภิกษุผู้เป็นสาวกของเรา ผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย
ดังนี้แล้ว ทรงตั้งพระนันทะนั้นไว้ในตำแหน่งนั้น โดยความเป็นผู้มีทวาร
อันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย. ก็พระเถระคิดว่า เราอาศัยความไม่
สำรวมอินทรีย์ จึงถึงซึ่งอาการอันแปลกๆ นี้ เราจักข่มอาการอันแปลกๆ
นั้นให้ได้เป็นอย่างดี ดังนี้แล้วเกิดความอุตสาหะอาทิผิด อักขระ มีความละอายและความ
เกรงกลัวต่อบาปเป็นกำลัง และได้บรรลุถึงบารมีอันสูงสุดในการสำรวม
อินทรีย์ เพราะความที่ท่านได้สั่งสมบำเพ็ญมาในการสำรวมอินทรีย์นั้น.
 
๗๑/๑๕/๑๔

วันศุกร์, กันยายน 17, 2564

Hai

 
๗. ปฐมสมุททสูตร

ว่าด้วยบุรุษวักน้ำสองสามหยาดขึ้นจากมหาสมุทร

[๓๒๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย. . . แล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บุรุษวักน้ำสองสามหยาดขึ้นจากมหาสมุทร เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อ
นั้นเป็นไฉน น้ำสองสามหยาดที่บุรุษวักขึ้นแล้วกับน้ำในมหาสมุทร ไหน
จะมากกว่ากัน ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น้ำใน
มหาสมุทรนี้แหละมากกว่า น้ำสองสามหยาดที่บุรุษวักขึ้นแล้วมีประมาณ
น้อย น้ำสองสามหยาดที่บุรุษวักขึ้นแล้ว เมื่อเทียบกันเข้ากับน้ำใน
มหาสมุทรไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐ เสี้ยวที่ ๑,๐๐๐ เสี้ยวที่ ๑๐๐,๐๐๐ แม้
ฉันใด.
[๓๒๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ ล ฯ การ
ได้ธรรมจักษุให้อาทิผิด อาณัติกะสำเร็จประโยชน์ใหญ่อย่างนี้.
จบปฐมสมุททสูตรที่ ๗

๘. ทุติยสมุททสูตร

ว่าด้วยน้ำในมหาสมุทร

[๓๒๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ครั้งนั้นแล้ว พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย . . . แล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
 
๒๖/๓๒๔/๔๐๑

วันพฤหัสบดี, กันยายน 16, 2564

Kharuehabadi

 
ความทะยานอยากในกามทั้งหลาย ดูก่อนคฤหบดี มุนีเป็นผู้ว่างจาก
กามทั้งหลาย อย่างนี้แล.
[๒๐] ดูก่อนคฤหบดี ก็มุนีเป็นผู้มุ่งถึงกาลข้างหน้าอย่างไร
ดูก่อนคฤหบดี มุนีบางคนในโลกนี้ มีความปรารถนาอย่างนี้ว่า ในกาล
ข้างหน้า ขอเราพึงเป็นผู้มีรูปอย่างนี้ มีเวทนาอย่างนี้ มีสัญญาอย่างนี้
มีสังขารอย่างนี้ มีวิญญาณอย่างนี้ ดูก่อนคฤหบดี มุนีเป็นผู้มุ่งถึงกาล
ข้างหน้า อย่างนี้แล.
[๒๑] ดูก่อนคฤหบดีอาทิผิด อักขระ ก็มุนีเป็นผู้ไม่มุ่งถึงกาลข้างหน้าอย่างไร
ดูก่อนคฤหบดี ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ ไม่มีความปรารถนาอย่างนี้
ว่า ในกาลข้างหน้า ขอเราพึงเป็นผู้มีรูปอย่างนี้ มีเวทนาอย่างนี้ มีสัญญา
อย่างนี้ มีสังขารอย่างนี้ มีวิญญาณอย่างนี้ ดูก่อนคฤหบดี มุนีเป็นผู้ไม่มุ่ง
ถึงกาลข้างหน้า อย่างนี้แล.
[๒๒] ดูก่อนคฤหบดี ก็มุนีเป็นผู้ทำถ้อยคำแก่งแย่งกับชนอื่น
อย่างไร ดูก่อนคฤหบดี มุนีบางคนในโลกนี้ ย่อมเป็นผู้ทำถ้อยคำเห็น
ปานนี้ว่า ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ เรารู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ ไฉนท่าน
จักรู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ได้ ท่านเป็นผู้ปฏิบัติผิด เราเป็นผู้ปฏิบัติชอบ
คำที่ควรกล่าวก่อน ท่านกล่าวทีหลัง คำที่ควรกล่าวทีหลัง ท่านกล่าวก่อน
คำของเรามีประโยชน์ คำของท่านไม่มีประโยชน์ ข้อที่ท่านเคย
ประพฤติมาผิดเสียแล้ว เรายกวาทะแก่ท่านแล้ว ท่านจงประพฤติเพื่อ
ปลดเปลื้องวาทะเสีย ท่านเป็นผู้อันเราข่มได้แล้ว หรือจงปลดเปลื้อง
เสียเอง ถ้าท่านสามารถ ดูก่อนคฤหบดี มุนีเป็นผู้ทำถ้อยคำแก่งแย่งกับ
ชนอื่น อย่างนี้แล.
 
๒๗/๒๑/๓๐

วันพุธ, กันยายน 15, 2564

Chue

 
เรื่องพระเจ้าทิสัมบดี

ท่านผู้เจริญ เคยมีพระราชาพระนามว่า ทิสัมบดีมาแล้ว . พระเจ้า
ทิสัมบดีได้ทรงมีพราหมณ์ที่ปรึกษาชื่ออาทิผิด สระโควินท์. พระเจ้าทิสัมบดี ทรงมีพระราช
บุตรพระนามว่า เรณุกุมาร. สำหรับโควินทพราหมณ์ได้มีบุตรชื่อ โชติบาล
มาณพ. ด้วยประการฉะนี้ จึงได้มีเพื่อน ๘ คน คือเรณุราชบุตร ๑ โชติบาล
มาณพ ๑ และกษัตริย์ อื่นอีก ๖ องค์. ครั้งนั้นแล โดยกาลล่วงไปแห่งวัน
และคืน โควินทพราหมณ์ได้ทำกาละแล้ว. ครั้นโควินทพราหมณ์ตายแล้ว
พระเจ้าทิสัมบดี ก็ทรงคร่ำครวญว่า โอ้หนอ ในสมัยใด เรามอบหมายงาน
ทุกอย่างในโควินทพราหมณ์อิ่มเอิบสะพรั่งพร้อมไปด้วยกามคุณทั้ง ๕ ให้เขา
บำเรออยู่ ก็ในสมัยนั้นแลโควินทพราหมณ์ ตายไปเสียแล้ว. เมื่อพระเจ้า
ทิสัมบดีตรัสอย่างนี้แล้ว เรณุราชบุตรก็กราบทูลคำนี้ กับพระเจ้าทิสัมบดีว่า
ข้าแต่เทวะ ขอพระองค์อย่าทรงคร่ำครวญในเพราะโควินทพราหมณ์ตายเลย
ลูกชายของโควินทพราหมณ์ชื่อโชติบาลยังมีอยู่ ฉลาดกว่าบิดาเสียด้วย และ
สามารถมองเห็นอรรถกว่าเสียด้วย. บิดาของเขาพร่ำสอนข้อความแม้เหล่าใด
ข้อความแม้เหล่านั้นเขาก็พร่ำสอนแก่โชติบาลมาณพทั้งนั้น . อย่างนั้นหรือ
พ่อกุมาร พระเจ้าทิสัมบดีตรัสถาม. อย่างนั้น เทวะ พระกุมารกราบทูล.
ครั้งนั้นแล พระเจ้าทิสัมบดีจึงทรงเรียกบุรุษคนใดคนหนึ่งมาสั่งว่า นี่บุรุษ เธอ
มานี่ เธอจงไปหาโชติบาลมาณพ แล้วจงกล่าวกะโชติบาลมาณพอย่างนี้ว่า ขอ
ความเจริญจงมีแก่โชติบาลมาณพผู้เจริญ พระเจ้าทิสัมบดีรับสั่งเรียกโชติบาล
มาณพผู้เจริญ พระเจ้าทิสัมบดีทรงใคร่จะทอดพระเนตรโชติบาลมาณพผู้เจริญ.
บุรุษนั้นรับ สนองพระราชโองการของพระเจ้าทิสัมบดีแล้ว ก็เข้าไปหาโชติบาล
มาณพ ครั้นเข้าไปแล้วก็ได้กล่าวคำนี้กะโชติบาลมาณพว่า ขอความเจริญจงมี
แก่ท่านโชติบาลมาณพ พระเจ้าทิสัมบดีสั่งให้เรียกท่านโชติบาลมาณพ พระเจ้า
 
๑๔/๒๑๙/๑๔

วันอังคาร, กันยายน 14, 2564

Borikhan

 
อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๙
เรื่องภิกษุณีจัณฑกาลี
[๒๑๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุณี
ทั้งหลายหาบริขารอาทิผิด อักขระของตนไม่พบ ต่างก็ถามภิกษุณีจัณฑกาลีดังนี้ว่า แม่เจ้า
ท่านเห็นบริขารของพวกดิฉันบ้างไหม.
ภิกษุณีจัณฑกาลีเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ข้าพเจ้าคนเดียวเป็น
โจรแน่ละ ข้าพเจ้าคนเดียวเป็นคนไม่ละอายแน่ละ เพราะแม่เจ้าพวกที่หา
บริขารของตนไม่พบ ต่างก็มากล่าวอย่างนี้กะข้าพเจ้าว่า แม่เจ้า ท่านเห็น
บริขารของพวกดิฉันบ้างไหม แม่เจ้าทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้าถือเอาบริขารของ
พวกท่านไป ข้าพเจ้าก็มิใช่สมณะ ย่อมเคลื่อนจากพรหมจรรย์ ต้องตกนรก
แม้แม่เจ้าที่กล่าวอย่างนั้นกะข้าพเจ้าด้วยคำไม่จริง ก็ขอให้ไม่เป็น
ขอให้ไม่ใช่สมณะ ต้องเคลื่อนจากพรหมจรรย์ ต้องตกนรก.
บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย. . . ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพน-
ทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าจัณฑกาลีจึงได้แช่งตนและคนอื่นด้วยนรกบ้าง ด้วย
พรหมจรรย์บ้างเล่า. . .

ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า ภิกษุณีจัณฑกาลีแช่งตนและคนอื่น ด้วยนรกบ้าง ด้วยพรหมจรรย์บ้าง
จริงหรือ.
 
๕/๒๑๓/๒๔๕

วันจันทร์, กันยายน 13, 2564

Sattha

 
แก่ทิฏฐิ แก่ความปรารถนา แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ ด้วยอำนาจของ
อุปนิสสยปัจจัย.
๖. อัปปีติกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปีติกธรรม และ
อัปปีติกธรรม ด้วยอำนาจของอุปนิสสยปัจจัย
เป็น อุปนิสสยปัจจัย ทั้ง ๓ นัย คือ
บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาอาทิผิด อักขระที่เป็นอัปปีติกธรรม แล้วให้ทานด้วยจิต
ที่เป็นสัปปีติกธรรม ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิด ก่อมานะ ถือทิฏฐิ.
บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอัปปีติกธรรม ฯลฯ เสนาสนะ ปีติ แล้ว
ให้ทานด้วยจิตที่เป็นสัปปีติกธรรม ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิด ถือเอาของที่เขา
ไม่ได้ให้ ด้วยจิตที่เป็นสัปปีติกธรรม.
เหมือนวาระที่ ๒
บุคคลกระทำการฆ่าคนในนิคม. ศรัทธาที่เป็นอัปปีติกธรรม ฯลฯ
เสนาสนะ และปีติ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นสัปปีติกธรรม ฯลฯ แก่ปัญญา
แก่ราคะ แก่โมหะ แก่มานะ แก่ทิฏฐิ แก่ความปรารถนา แก่มรรค แก่
ผลสมาบัติ และแก่ปีติ ด้วยอำนาจของอุปนิสสยปัจจัย.
๗. สัปปีติกธรรม และอัปปีติกธรรม เป็นปัจจัยแก่
สัปปีติกธรรม ด้วยอำนาจของอุปนิสสยปัจจัย
เป็น อุปนิสสยปัจจัย ทั้ง ๓ นัย คือ
ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัปปีติกธรรม และปีติ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย
ที่เป็นสัปปีติกธรรม ด้วยอำนาจของอุปนิสสยปัจจัย.
พึงกระทำมูล (วาระที่ ๘)
 
๘๙/๖๘๗/๗๗๓

วันอาทิตย์, กันยายน 12, 2564

Pratthana

 
มารดาบิดาผู้ฉลาด เล็งเห็นฐานะ ๕
ประการจึงปรารถนาอาทิผิด อักขระบุตร ด้วยหวังว่าบุตร
ที่เราเลี้ยงมาแล้ว จักเลี้ยงตอบเรา จักทำ
กิจแทนเรา วงศ์สกุลจักดำรงอยู่ได้นาน
บุตรจักปกครองทรัพย์มรดก และเมื่อเรา
ตายไปแล้ว บุตรจักบำเพ็ญทักษิณาทานให้
มารดาบิดาผู้ฉลาดเล็งเห็นฐานะเหล่านี้ จึง
ปรารถนาบุตร ฉะนั้น บุตรผู้เป็นสัปบุรุษ
ผู้สงบ มีกตัญญูกตเวที เมื่อระลึกถึงบุรพ-
คุณของท่าน จึงเลี้ยงมารดาบิดา ทำกิจ
แทนท่าน เชื่อฟังโอวาท เลี้ยงสนอง
พระคุณท่าน สมดังที่ท่านเป็นบุรพการี
ดำรงวงศ์สกุล บุตรผู้มีศรัทธา สมบูรณ์
ด้วยศีล ย่อมเป็นที่สรรเสริญทั่วไป.
จบปุตตสูตรที่ ๙
อรรถกถาปุตตสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในปุตตสูตรที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ภโต วา โน ภวิสฺสติ ความว่า บุตรที่เราเลี้ยงมาแล้ว
ประคบประหงมมาแล้ว ด้วยให้ดื่มน้ำนมและยังมือและเท้าให้เจริญเติบโต
เป็นต้น ในเวลาเราแก่ เขาจักเลี้ยงเรา ด้วยการล้างมือและเท้า ให้อาบน้ำ
 
๓๖/๓๙/๘๙

วันเสาร์, กันยายน 11, 2564

Takkasila

 
ทำลายอินทรีย์ มองดูยักษิณีอันจำแลงรูปดุจรูปทิพย์เดินมา
ข้างหลังเลย เขาเป็นสัตว์ประเสริฐยิ่งล้น หนักแน่น สมบูรณ์
ด้วยญาณ เมื่อบุรุษเช่นนั้น ปกครองแว่นแคว้น รัฐสีมามณฑล
จักมีแต่สุขสันต์ พวกเราจงทำให้เขาเป็นพระราชาเถิด. ครั้งนั้น
พวกอำมาตย์และชาวเมืองทุกคน ร่วมกันเป็นเอกฉันท์ เข้าไปเฝ้า
พระโพธิสัตว์ กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ เชิญพระองค์ทรง
ครองราชสมบัตินี้เถิด พระเจ้าข้า. เชิญเสด็จเข้าสู่พระนครแล้ว
เชิญขึ้นประทับเหนือกองแก้ว อภิเศก กระทำให้เป็นพระราชา
แห่งตักกสิลาอาทิผิด อักขระนคร. ท้าวเธอทรงเว้นการลุอคติ ๔ มิให้ราชธรรม
๑๐ กำเริบ ครองราชสมบัติโดยธรรม ทรงบำเพ็ญบุญมีให้ทาน
เป็นต้น แล้วเสด็จไปตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนำเอาเรื่องในอดีตนี้มาสาธก ครั้นตรัสรู้
สัมโพธิญาณแล้ว ตรัสพระคาถานี้ความว่า
“ ผู้ปรารถนาทิศที่ยังไม่เคยไป พึงรักษา
จิตของตนไว้ เหมือนคนประคองไปซึ่งโถน้ำมัน
อันเต็มเปี่ยมเสมอขอบ มิได้มีส่วนพร่องเลย”
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมติตฺติกํ ความว่า เต็ม
เสมอขอบ ถึงลวดที่วงปากด้านใน.
บทว่า อนวเสกํ ความว่า การทำให้ใส่ลงไปอีกไม่ได้ คือ
หยดลงไปไม่ได้อีกเลย.
 
๕๖/๙๖/๓๖๕

วันศุกร์, กันยายน 10, 2564

Phu Mi

 
หรือ หรือว่าในข้อนั้นเป็นอย่างไร ด้วยอำนาจการถือเอาตามอนุมัติ เพื่อ
จะให้รู้การตกลงโดยภาวะที่ทำตามที่กล่าวแล้วนั้น นำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
และทุกข์มาให้ จึงตอบว่า ในข้อนั้นไม่เป็นอย่างนั้น การสันนิษฐาน
อาการเช่นนั้นย่อมรู้ได้ว่าท่านให้แจ่มแจ้งแล้วด้วย เอวํ ศัพท์. ก็อาการที่
เป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูลเพื่อทุกข์แห่งธรรมเหล่านั้น เมื่อกำหนด
แน่นอนมีอวธารณะเป็นอรรถ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เอวํ ศัพท์
มาในอวธารณะ ในประโยคมีอาทิว่า เอวํ โน เอตฺถ โหติ ในข้อนี้
สำหรับข้าพระองค์เป็นอย่างนี้.
ท่านกล่าวถึง เอวํ ศัพท์เหล่านั้นอันบ่งถึงความแปลกกันแห่งอาการ
อย่างนั้น ว่ามีอรรถอุปมาเป็นต้น เพราะมีความเป็นไปโดยอรรถพิเศษ
มีอุปมาเป็นต้น. ก็ เอวํ ศัพท์ ในคำว่า เอวมฺภนฺเต นั้น มีการรับคำ
เป็นอรรถ เพราะภิกษุทั้งหลายผู้ประกอบในการใส่ใจด้วยดีซึ่งการฟังธรรม
กล่าวไว้ด้วยสามารถการรู้เฉพาะซึ่งภาวะที่ตนตั้งอยู่ในธรรมนั้น. เพราะ
เหตุนั้น ท่านจึงอธิบายไว้ว่า บทว่า เอวมฺภนฺเต ได้แก่ สาธุ ภนฺเต
สุฏฐุ ภนฺเต ดังนี้. ในที่นี้ เอวํ ศัพท์นี้นั้น พึงเห็นว่า ลงในอรรถว่า
อาการ นิทัศนะ และอวธารณะ.
ใน ๓ อย่างนั้น ด้วย เอวํ ศัพท์ มีอาการเป็นอรรถ พระเถระ
แสดงอรรถนี้ว่า ใครสามารถจะรู้พระดำรัสของพระผู้มีอาทิผิด พระภาคเจ้านั้นโดย
ประการทั้งปวง ซึ่งมีนัยต่าง ๆ อันละเอียดเกิดจากอัธยาศัยเป็นอเนก
สมบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะมีปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ลึกโดยธรรม อรรถ
เทศนา และปฏิเวธ อันมาปรากฏทางโสตวิญญาณโดยเหมาะสมแก่ภาษา
ของตน ๆ แห่งสรรพสัตว์ ก็ข้าพเจ้าแม้ทำความประสงค์เพื่อจะฟังให้เกิด
 
๔๔/๓๘/๑๓

วันพฤหัสบดี, กันยายน 09, 2564

Lamdap

 
ตติยสมันตปาสาทิกา อรรถกถาพระวินัยปิฎก
มหาขันธกวรรณนา มหาวรรค
อปโลกถา
พระมหาเถระทั้งหลาย ผู้รู้เนื้อความในขันธกะ ได้สังคายนาขันธกะ
อันใด เป็นลำดับแห่งการสังคายนาปาติโมกข์ทั้ง ๒. บัดนี้ถึงลำดับอาทิผิด อักขระสังวรรณนา
แห่งขันธกะนั้นแล้ว, เพราะฉะนั้น สังวรรณนานี้จึงเป็นแต่อธิบายความยังไม่
ชัดเจนแห่งขันธกะนั้น, เนื้อความเหล่าใด แห่งบทเหล่าใด ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ได้ประกาศแล้วในบทภาชนีย์ ถ้าว่าข้าพเจ้าจะต้องกล่าวซ้ำเนื้อความเหล่านั้น
แห่งบทเหล่านั้นอีกไซร้, เมื่อไรจักจบ. ส่วนเนื้อความเหล่าใดชัดเจนแล้ว จะมี
ประโยชน์อะไรด้วยการสังวรรณนาเนื้อความเหล่านั้น. ก็แลเนื้อความเหล่าใด
ยังไม่ชัดเจน ด้วยอธิบายและอนุสนธิ และด้วยพยัญชนะ เนื้อความเหล่านั้น
ไม่พรรณนาไว้ใคร ๆ ก็ไม่สามารถจะทราบได้. เพราะฉะนั้น จึงมีสังวรรณนา
นัยเนื้อความเหล่าอาทิผิด อักขระนั้น ดังนี้:-

อรรถกถาโพธิกถา
ในคำว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา อุรุเวลายํ วิหรติ นชฺชา
เนรญฺชราย ตีเร โพธิรุกฺขมูเล ปฐมาภิสมฺพุทฺโธ นี้.
ถึงจะไม่มีเหตุพิเศษเพราะตติยาวิภัตติ เหมือนในคำที่ว่า เตน สม-
เยน พุทฺโธ ภควา เวรญฺชยํ เป็นต้น ก็จริงแล, แต่โวหารนี้ ท่านยก
ขึ้นด้วยตติยาวิภัตติเหมือนกัน เพราะเพ่งวินัย เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาพึง
 
๖/๓/๗

วันพุธ, กันยายน 08, 2564

Sarammana

 
ในปฏิสนธิขณะ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
อาศัยหทยวัตถุ.
๖. สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม อาศัยอนา-
รัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะนเหตุปัจจัย
คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม อาศัยหทยวัตถุ.
จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย.
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
๗. สารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม และอนา-
รัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะนเหตุปัจจัย
คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ และจัก
ขายตนะ ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒.
ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ ฯลฯ
ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรม และหทยวัตถุ ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒.
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
๘. อนารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม และอนา-
รัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะนเหตุปัจจัย
คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณอาทิผิด อักขระธรรม ซึ่ง
เป็นอเหตุกะ และมหาภูตรูปทั้งหลาย.
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
 
๘๙/๑๒/๑๓

วันอังคาร, กันยายน 07, 2564

Nam Muk

 
ภิกษุนั้น ย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก กำหนดด้วยดี ซึ่งนิมิตนั้น
ภิกษุนั้น ครั้นเสพ เจริญ ทำให้มาก กำหนดด้วยดี ซึ่งนิมิตนั้นแล้ว ย่อม
น้อมจิตเข้าไปในกายภายนอก.

พิจารณาเห็นกายในกายภายนอก
[๔๓๓] ก็ภิกษุ พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกเนือง ๆ อยู่ เป็น
อย่างไร ?
ภิกษุในศาสนานี้ พิจารณาเห็นกายภายนอก แต่พื้นเท้าขึ้นไปในเบื้อง
บน แต่ปลายผมลงมาในเบื้องต่ำ มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยของไม่
สะอาดมีประการต่าง ๆ ว่า ในกายของเขาผู้นั้น มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ไส้ใหญ่
ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น
น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำอาทิผิด สระมูก ไขข้อ มูตร.
ภิกษุนั้น ย่อมเสพ เจริญทำให้มาก กำหนดด้วยดี ซึ่งนิมิตนั้น ภิกษุ
นั้น ครั้นเสพ เจริญ ทำให้มาก กำหนดด้วยดี ซึ่งนิมิตนั้นแล้ว ย่อมน้อม
จิตเข้าไปในกายทั้งภายในและภายนอก.

พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในและภายนอก
[๔๓๔] ก็ภิกษุ พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในและภายนอก
เนือง ๆ อยู่ เป็นอย่างไร ?
ภิกษุในศาสนานี้ พิจารณาเห็นกายทั้งภายในและภายนอก แต่พื้นเท้า
ขึ้นไปในเบื้องบน แต่ปลายผมลงมาในเบื้องต่ำ มีหนังหุ้มโดยรอบเต็มไปด้วย
 
๗๘/๔๓๓/๓