วันอาทิตย์, ตุลาคม 31, 2564

Liang

 
ที่เขาปูไว้ ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบันดาลด้วยอิทธาภิสังขาร
ให้ภิกษุเหล่านั้นเกรงกลัว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจนถึงที่ประทับ
ทีละรูปบ้าง สองรูปบ้าง ครั้นแล้วต่างก็ถวายบังคมแล้วนั่งลง ณ สถานที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นภิกษุเหล่านั้นนั่งลงเรียบร้อยแล้ว พระผู้มี-
พระภาคเจ้าจึงได้ตรัสพระพุทธวจนะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อเลวทรามของ
การเลี้ยงอาทิผิด อาณัติกะชีพทั้งหลาย ก็คือการแสวงหาบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายย่อมได้
รับคำแช่งด่าในโลกว่า เป็นผู้มีมือถือบาตรเที่ยวแสวงหาบิณฑบาต
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็กุลบุตรทั้งหลายเป็นผู้เป็นไปในอำนาจแห่งเหตุ
อาศัยอำนาจแห่งเหตุ จึงเข้าถึงความเป็นผู้แสวงหาบิณฑบาตนี้แล ไม่ใช่
เป็นคนหนีราชทัณฑ์ ไม่ใช่เป็นคนขอให้โจรปล่อยตัวไปบวช ไม่ใช่เป็น
คนมีหนี้ ไม่ใช่เป็นคนมีภัย ไม่ใช่เป็นคนมีอาชีพแร้นแค้น ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ก็อีกอย่างหนึ่ง กุลบุตรนี้บวชแล้ว โดยที่คิดเช่นนี้ว่า เราทั้งหลายเป็น
ผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงำ
แล้ว ชื่อว่าเป็นผู้มีทุกข์ครอบงำแล้ว มีทุกข์ประจำแล้ว ไฉนหนอ?
การทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้จะพึงปรากฏ แต่ว่ากุลบุตรนั้น
เป็นผู้มากด้วยอภิชฌา มีราคะกล้าในกามทั้งหลาย มีจิตพยาบาท
มีความดำริแห่งใจอันโทสะประทุษร้ายแล้ว มีสติหลงลืม ไม่มีสัมปชัญญะ
มีใจไม่เป็นสมาธิ มีจิตหมุนไปผิด ไม่สำรวมอินทรีย์.ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวบุคคลผู้เสื่อมแล้วจากโภคะแห่งคฤหัสถ์ด้วย ไม่ทำประโยชน์
คือ ความเป็นสมณะให้บริบูรณ์ด้วย ว่ามีอุปมาเหมือนกับดุ้นฟืนใน
ที่เผาศพ ซึ่งไฟติดทั้งสองข้าง ตรงกลางก็เปื้อนคูถ จะใช้เป็นฟืนในบ้าน
ก็ไม่ได้ จะใช้เป็นฟืนในป่าก็ไม่ได้ ฉะนั้น.
[๑๖๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อกุศลวิตก ๓ อย่างนี้ คือ กามวิตก ๑
พยาบาทวิตก ๑ วิหิงสาวิตก ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลมีจิต
 
๒๗/๑๖๘/๒๐๙

วันเสาร์, ตุลาคม 30, 2564

Phrom Phriang

 
คือ ชาติ ฯลฯ นั้นเป็นปัจจัยแห่งสังขาร คือ อวิชชา รวมความว่า ปัจจัย
ธรรมมีอวิชชาเป็นต้น เป็นตัวเหตุเหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า ปัจจัย
๑๒ คือ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒
ในข้อนั้น มีวจนัตถะดังต่อไปนี้ ชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาท เพราะ
อาศัย คือ มุ่งหน้าต่อกันและกัน ไม่ปฏิเสธความพร้อมเพรียงอาทิผิด อักขระของเหตุ ให้
ปัจจัยที่เกื้อกูลกันเกิดขึ้น. อีกอย่างหนึ่ง การอาศัยปัจจัยอันควรเป็นปัจจัย
ซึ่งต้องอาศัยกันเป็นไปจึงเกิดสัมพันธ์กันโดยไม่เว้นปัจจัยนั้น ชื่อว่า ปฏิจจ-
สมุปบาท. ก็ในคำว่าปฏิจจสมุปบาทนี้ ได้แก่ เหตุที่ประกอบด้วยความ
สามารถในการให้เกิดผล อันจะรู้ได้ด้วยคำอันมีการเกิดขึ้นพร้อมเป็นเหตุ
ใกล้ ไม่พึงทราบเพียงแต่อาศัยกันเกิดขึ้น.
อีกอย่างหนึ่ง ปัจจัยชื่อว่า ปฏิจจะ เพราะเป็นที่ควรอาศัยเฉพาะ
ของบัณฑิต. ชื่อว่า สมุปบาท เพราะให้เกิดขึ้นโดยชอบ หรือด้วยตนเอง.
ปฏิจจะนั้นด้วยสมุปบาทนั้นด้วย ชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาท พึงทราบความ
ในเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ ด้วยประการดังกล่าวมานี้.
บทว่า อนุโลมํ ได้แก่ ปัจจยาการมีอวิชชาเป็นต้น ที่ท่านกล่าวไว้
โดยนัยมีอาทิว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิด
มีสังขาร. ท่านเรียกว่า อนุโลม เพราะกระทำกิจที่ตนควรกระทำ. อีกอย่าง
หนึ่ง ชื่อว่า อนุโลม เพราะท่านกล่าวตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด หรือเพราะ
อนุโลมตามความเป็นไป. ซึ่งอนุโลมนั้น. บทว่า สาธุกํ มนสากาสิ
ได้แก่ กระทำไว้ในใจโดยเคารพ. อธิบายว่า ปัจจัยธรรมใด ๆ เป็นปัจจัย
แก่ปัจจยุปปันนธรรมใดอาทิผิด สระ โดยความเป็นปัจจัยมีเหตุปัจจัยเป็นต้น โดย
ประการใด ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำธรรมทั้งหมดนั้นไว้ในพระ-
 
๔๔/๓๘/๕๙

วันศุกร์, ตุลาคม 29, 2564

Pho Chai

 
ดูก่อนพราหมณ์ กามคุณ ๕ ประการนี้ เรียกว่าโลกในวินัย
ของพระอริยเจ้า กามคุณ ๕ ประการเป็นไฉน คือ รูปที่จะพึงรู้แจ้ง
ด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก ยั่วยวน
ชวนให้กำหนัด เสียงที่จะพึงรู้แจ้งด้วยหู ฯลฯ กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้ง
ด้วยจมูก ฯลฯ รสที่จะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น ฯลฯ โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้ง
ด้วยกาย อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจอาทิผิด สระ เป็นที่รัก ยั่วยวน
ชวนให้กำหนัด ดูก่อนพราหมณ์ กามคุณ ๕ ประการนี้แล เรียกว่า
โลกในวินัยของพระอริยเจ้า.
ดูก่อนพราหมณ์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัด
จากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่
วิเวกอยู่ ภิกษุนี้เรียกว่า ได้ถึงที่สุดแห่งโลกแล้ว และอยู่ในที่สุด
แห่งโลก คนเหล่าอื่นกล่าวภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า แม้ภิกษุนี้ก็ยังนับเนื่อง
อยู่ในโลก ยังสลัดตนไม่พ้นไปจากโลก ดูก่อนพราหมณ์ เป็นความ
จริง แม้เราก็กล่าวอย่างนี้ว่า แม้ภิกษุนี้ก็ยังนับเนื่องอยู่ในโลก
ยังสลัดตนไม่พ้นไปจากโลก.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุ บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติย-
ณาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ ภิกษุนี้เรียกว่า ได้ถึงที่สุดแห่ง
โลก และอยู่ในที่สุดแห่งโลก แต่ชนเหล่าอื่นกล่าวภิกษุนั้นอย่างนี้
ว่า แม้ภิกษุนี้ก็ยังนับเนื่องอยู่ในโลก ยังสลัดตนไม่พ้นอาทิผิด อาณัติกะไปจากโลก
ดูก่อนพราหมณ์ เป็นความจริง แม้เราก็กล่าวอย่างนี้ว่า แม้ภิกษุ
นี้ก็ยังนับเนื่องอาทิผิด อาณัติกะอยู่ในโลก ยังสลัดตนไม่พ้นไปจากโลก.
 
๓๗/๒๔๒/๘๕๙

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 28, 2564

Wanitcha

 
แก่พราหมณ์ชื่อชูชก ทำมหาอาทิผิด ปฐพีให้ไหวแล้ว. ในบทว่า ปฏิคฺคาหกโต
วิสุชฺฌติ นี้ ควรกล่าวถึงชาวประมง ผู้อยู่ที่ประตูปากแม่อาทิผิด อักขระน้ำกัลยาณี. ได้ยินว่า
ชาวประมงนั้น ได้ถวายบิณฑบาตสามครั้งแก่พระทีฆสุมนเถระ นอนบนอาทิผิด อักขระเตียง
มรณะกล่าวว่า บิณฑบาตที่ได้ถวายแก่พระเป็นเจ้าทีฆสุมนเถระยกเราขึ้นได้.
ในบทว่า เนว ทายกโต นี้ ควรกล่าวถึงนายพรานผู้อยู่บ้านวัฒมานะ ได้ยินว่า
นายพรานนั้นเมื่อทำบุญอุทิศเพื่อคนที่ตายแล้ว จึงได้ให้แก่ปฏิคาหกผู้ทุศีล
คนเดียวสามครั้ง. ในครั้งที่สาม อมนุษย์ (ผู้ตายไปเกิดเป็นเปรต) ร้องว่า
ปฏิคคาหกทุศีลปล้นเราดังนี้. ทักษิณาถึงผู้ตายนั้นในเวลาที่ทักษิณาอันเขา
ถวายแก่ภิกษุผู้มีศีลรูปหนึ่งแล้ว. ในบทว่า ทายกโต เจว ปฏิคฺคา-
หกโต จ วิสุชฺฌติ นี้ บัณฑิตควรกล่าวอสทิสทานแล.
จบอรรถกถาทักขิณาสูตรที่ ๘
๙. วณิชชอาทิผิด สระสูตร
ว่าด้วยการค้าขาย
[๗๙] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ฯลฯ
ได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้การค้าขาย
อย่างเดียวกัน พ่อค้าบางคนประกอบแล้วขาดทุน ...บางคนประกอบแล้วได้
กำไรไม่เท่าที่ประสงค์ ...บางคนประกอบแล้วได้กำไรตามที่ประสงค์ ...
บางคนประกอบแล้วได้กำไรยิ่งกว่าที่ประสงค์
พ. ตรัสตอบว่า ดูก่อนสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้เข้าไปหา
สมณะก็ดี พราหมณ์ก็ดี ปวารณาสมณะหรือพราหมณ์นั้นให้บอกขอปัจจัยได้
 
๓๕/๗๙/๒๓๘

วันพุธ, ตุลาคม 27, 2564

Chuea

 
กัน มีผู้โจทก์คนเดียว. ภิกษุมีจำนวนมากด้วยกัน การโจทภิกษุมากรูป
ด้วยกัน ด้วยวัตถุมากหลาย, การโจทนี้ มีวัตถุต่างกัน มีผู้โจทก์ต่างกัน.
ถามว่า ก็ใครย่อมได้เพื่อจะโจท ใครย่อมไม่ได้ ?
ตอบว่า ภิกษุบางรูปเชื่อคำของโจทก์ที่เพลา ย่อมไม่ได้เพื่อจะโจท
ก่อน.
ที่ชื่อว่า โจทก์เพลา คือเมื่อพวกภิกษุมากด้วยกัน นั่งประชุม
สนทนากัน ภิกษุรูปหนึ่งพูดถึงวัตถุปาราชิก ปรารภถึงภิกษุรูปหนึ่งไม่
เจาะจงตัว. ภิกษุอื่นได้ยินคำของภิกษุนั้น จึงไปบอกแก่ภิกษุเจ้าตัวนอก
นี้. ภิกษุรูปนั้น จึงไปหาเธอ กล่าวว่า ได้ยินว่า ท่านพูดอย่างนี้ ๆ ถึง
ผมหรือ ? เธอจึงตอบว่า ผมไม่รู้รูปการณ์จะเป็นอย่างนี้, แต่ในขณะที่
พูด มีถ้อยคำที่ผมพูดไม่เจาะจง, หากผมรู้ว่าคำพูดนี้ จะเกิดทุกข์แก่ท่าน,
ผมจะไม่พึงพูดถ้อยคำแม้เท่านี้เลย. นี้ชื่อว่า โจทก์เพลา. โจทก์บางรูป
ถือเอาคำพูดสนทนานั้นของเธอ ไม่ได้เพื่อจะโจทภิกษุนั้น. แต่พระมหา-
ปทุมเถระไม่เชื่ออาทิผิด อาณัติกะถ้อยคำนี้ กล่าวว่า ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมได้เพื่อ
จะโจทภิกษุ หรือภิกษุณี และภิกษุณีผู้มีศีลสมบูรณ์ ย่อมได้เพื่อจะโจท
เฉพาะภิกษุณีเท่านั้น ดังนี้. ฝ่ายพระมหาสุมเถระกล่าวว่า สหธรรมิกทั้ง ๕
ย่อมได้ ดังนี้. ฝ่ายพระโคทัตตเถระกล่าวว่า ใคร ๆ จะไม่ได้เพื่อจะโจท
หามิได้ แล้วอ้างสูตรนี้ว่า ฟังคำของภิกษุแล้วจึงโจท, ฟังคำของภิกษุณี
แล้วจึงโจท, ฯลฯ ฟังคำของพวกสาวกเดียรถีย์แล้วจึงโจท. ในวาทะ
ของพระเถระทั้ง ๓ รูป พึงปรับตามปฏิญญาของจำเลยเท่านั้น.
ก็ธรรมดาการโจทนี้ เมื่อภิกษุแม้ส่งทูตก็ดี หนังสือก็ดี ข่าวสาสน์
ก็ดี ไปโจท ยังไม่ถึงที่สุดก่อน. แต่เมื่อบุคคลยืนอยู่ในที่ใกล้ ๆ โจท
 
๓/๕๖๓/๔๙๙

วันอังคาร, ตุลาคม 26, 2564

Patsati

 
อรรถกถาอัฏฐานบาลี
อรรถกถาวรรคที่ ๑
ในอัฏฐานบาลี พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อฏฺฐานํ ได้แก่ การปฏิเสธเหตุ. บทว่า อนวกาโส ได้แก่
การปฏิเสธปัจจัย. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปฏิเสธเหตุเท่านั้น แม้ด้วย
เหตุและปัจจัยทั้งสอง. จริงอยู่ เหตุ ตรัสเรียกว่า ฐานะ เป็นเหตุที่ตั้ง
แห่งผลของตน และว่าโอกาส ( ช่องทาง ) เพราะมีความเป็นไปเนื่องด้วย
ผลนั้น. บทว่า ยํ แปลว่า เพราะเหตุใด. บทว่า ทิฏฺฐิสมฺปนฺโน
ได้แก่ พระอริยสาวก คือพระโสดาบันผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาในมรรค.
จริงอยู่ พระโสดาบันนั้นมีชื่อมาก เช่นชื่อว่า ทิฏฺฐิสมฺปนฺโน ผู้ถึงพร้อม
ด้วยทิฏฐิก็มี ทสฺสนสมฺปนฺโน ผู้ถึงพร้อมด้วยทัสสนะก็มี อาคโต
อิมํ สทฺธมฺมํ ผู้มาถึงพระสัทธรรมนี้ก็มี ปสฺสติอาทิผิด สระ อิมํ สทฺธมฺมํ ผู้เห็น
พระสัทธรรมอยู่ก็มี เสกฺเขนอาทิผิด สระ ญาเณน สมนฺนาคโต ผู้ประกอบด้วย
ญาณของพระเสกขะก็มี เสกฺขาย วิชฺชาย สมนฺนาคโตอาทิผิด อักขระ ผู้ประกอบ
ด้วยวิชชาของพระเสกขะก็มี ธมฺมโสตสมาปนฺโน ผู้ถึงพร้อมด้วยกระแส
ธรรมก็มี อริโย นิพฺเพธิกปญฺโญ ผู้มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสอัน
ประเสริฐก็มี อมตทฺวารํ อาหจฺจ ติฏฺฐติ ผู้ตั้งอยู่ใกล้ประตูพระนิพพานอาทิผิด สระ
ก็มี.
บทว่า กญฺจิ สงฺขารํ ความว่า บรรดาสังขารที่เป็นไปในภูมิ ๔
เฉพาะสังขารไร ๆ เพียงสังขารหนึ่ง. บทว่า นิจฺจโต อุปคจฺเฉยฺย

๑. อธิบายบาลีข้อ ๑๕๓-๑๖๒.
 
๓๓/๑๖๒/๑๔๘

วันจันทร์, ตุลาคม 25, 2564

Yan

 
อรรถกถาอุโภตาปสาทิกถา
บทว่า ปณฺฑิโต ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยคุณเครื่องเป็นบัณฑิต.
บทว่า พฺยตฺโต ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยคุณเครื่องเป็นผู้ฉลาด.
บทว่า เมธาวี ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยปัญญาอันเกิดขึ้นฉับพลัน๑.
บทว่า อปฺปรชกฺขชาติโก มีความว่า จัดว่าเป็นผู้มีชาติแห่งคน
ไม่มีกิเลส คือ เป็นคนหมดจด เพราะข่มกิเลสไว้ด้วยสมาบัติ.
บทว่า. อาชานิสฺสติ ได้แก่ จักกำหนดได้ คือ จักแทงตลอด.
หลายบทว่า ภควโตปิ โข ญาณํ อุทปาทิ มีความว่าพระ-
สัพพัญญุตญานอาทิผิด สระได้เกิดขึ้นว่า อาฬารดาบส กาลามโคตรนั้น ทำกาลกิริยาแล้ว
ไปเกิดในอากิญจัญญายตนภพ ในเวลา ๗ วัน ตั้งแต่วันนี้ไป.
บทว่า มหาชานิโย มีอรรถวิเคราะห์ว่า ความเสื่อมใหญ่ชื่อว่ามีแก่
เธอ เพราะเป็นผู้เสื่อมเสียจากมรรคผลที่จะพึงบรรลุ ในภายใน ๗ วัน เพราะ
ฉะนั้น เธอจึงชื่อผู้มีความเสื่อมใหญ่. อนึ่งชื่อผู้มีความเสื่อมใหญ่ เพราะเกิด
ในอักขณะ๒.
บทว่า อกโทสกาลกโต มีความว่า ได้ทำกาลกิริยาเสียเมื่อวันวาน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นว่า แม้อุทกดาบสนั้น ก็เกิดแล้วในเนวสัญญานา
สัญญายตนภพ.

๑. ฐานศัพท์ลงในอรรถว่า ขณ ต่อ พลัน ทันทีทันใด เช่นในคำว่า ฐานโส อุปกปฺปติ. อนึ่ง คำนี้ก็มีอาทิผิด สระคำไขไว้ในแก้อรรถ บทว่า วีมํสาย หน้า ๒๓๔ ข้างหน้า.
๒. สมัยมิใช่คราวมีพระพุทธเจ้า.
 
๖/๒๔/๕๗

วันอาทิตย์, ตุลาคม 24, 2564

Yom

 
ข้าพเจ้าด้วย ข้าแต่ท่านผู้เป็นพรหม เธอได้บอก
ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้ามีความสุขแล้ว ก็ที่อันปูลาดด้วย
ใบเถาย่างทรายของท่านนี้กระจุยกระจายแล้ว เพราะ
ข้าพเจ้าและชฎิลนั้น เราทั้งสองเหน็ดเหนื่อยแล้ว ก็
รื่นรมย์กันในน้ำแล้วเข้าสู่กุฎีอันมุงบังด้วยใบไม้บ่อยๆ
ข้าแต่ท่านพ่อ วันนี้มนต์ทั้งหลายย่อมไม่แจ่มแจ้งแก่
ข้าพเจ้าเลย การบูชาไฟข้าพเจ้าไม่ชอบใจเลย แม้การ
บูชายัญ ในที่นั้นข้าพเจ้าก็ไม่ชอบใจ ตราบใดที่
ข้าพเจ้ายังมิได้พบเห็นชฎิล ผู้ประพฤติพรหมจรรย์
ข้าพเจ้าจะไม่บริโภคมูลผลาหารของท่านพ่อเลย ข้าแต่
ท่านพ่อ แม้ท่านพ่อย่อมรู้เป็นแน่แท้ว่าชฎิลผู้ประพฤติ
พรหมจรรย์อยู่ทิศใด ขอท่านพ่อจงพาข้าพเจ้าไปให้
ถึงทิศนั้นโดยเร็วเถิด ข้าพเจ้าอย่าได้ตายเสียในอาศรม
ของท่านเลย ข้าแต่ท่านพ่อ ข้าพเจ้าได้ฟังถึงป่าไม้
อันวิจิตรมีดอกบาน กึกก้องไปด้วยเสียงนกร้อง มี
ฝูงนกอาศัยอยู่ ขอท่านพ่อช่วยพาข้าพเจ้าไปให้ถึงป่า
ไม้นั้นโดยเร็วเถิด ข้าพเจ้าจะต้องละชีวิตเสียก่อนใน
อาศรมของท่านพ่อเป็นแน่.
[๑๙] เราไม่ควรให้เจ้าผู้ยังเป็นเด็กเช่นนี้ ถึง
ความกระสันในป่าเป็นโชติรสนี้ ที่หมู่คนธรรพ์และ
เทพอัปสรส้องเสพเป็นที่อยู่อาศัยแห่งฤๅษีทั้งหลาย ใน
กาลก่อน พวกมิตรย่อมอาทิผิด อักขระมีบ้าง ไม่มีบ้าง ชนทั้งหลาย
 
๖๒/๑๙/๘

วันเสาร์, ตุลาคม 23, 2564

Thukkhato

 
อรรถกถาทัฏฐัพพสูตรที่ ๕

พึงทราบวินิจฉัยในทัฏฐัพพสูตรที่ ๕ ดังต่อไปนี้.
บทว่า ทุกฺขโตอาทิผิด อักขระ ทฏฺฐพฺพา ความว่า พึงเห็นโดยความเป็นทุกข์
ด้วยอำนาจความเปลี่ยนแปลง. บทว่า สลฺลโต ความว่า ส่วนทุกข์พึง
เห็นว่าเป็นลูกศรด้วยอรรถว่าเป็นเครื่องแทง. บทว่า อนิจฺจโต ความว่า
พึงเห็นอทุกขมสุขโดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยอาการมีแล้วก็ไม่มี. บทว่า
อทฺท คือ ได้เห็นแล้ว. บทว่า สนฺตํ คือ มีอยู่เป็นสภาพอาทิผิด อักขระ.
จบ อรรถกถาทัฏฐัพพสูตรที่ ๕

๖. สัลลัตถสูตร

ว่าด้วยเวทนาเปรียบด้วยลูกศร

[๓๖๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว ย่อมเสวย
สุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง อริยสาวกผู้ได้สดับ
แล้ว ก็ย่อมเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในชน ๒ จำพวกนั้น อะไรเป็นความพิเศษ เป็น
ความแปลก เป็นเครื่องทำให้ต่างกัน ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชน
ผู้ไม่ได้สดับ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรม
ทั้งหลายของพวกข้าพระองค์มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นรากฐาน ฯลฯ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ อัน
ทุกขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมเศร้าโศก ร่ำไร รำพัน ทุบอกคร่ำครวญ
ย่อมถึงความงมงาย เขาย่อมเสวยเวทนา ๒ อย่าง คือเวทนาทางกายและ
เวทนาทางใจ.
 
๒๙/๓๖๙/๑๐

วันศุกร์, ตุลาคม 22, 2564

Yatha

 
สมบูรณ์ด้วยสัมมาสมาธิ เมื่อยถาภูตญาณทัสสนะมีอยู่ นิพพิทาวิราคะชื่อ
ว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยยถาอาทิผิด อักขระภูตญาณทัสสนะ เมื่อ
นิพพิทาวิราคะมีอยู่ วิมุตติญาณทัสสนะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่
บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยนิพพิทาวิราคะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือน
ต้นไม้มีกิ่งและใบสมบูรณ์ แม้กะเทาะของต้นไม้นั้นย่อมบริบูรณ์ แม้
เปลือก แม้กระพี้ แม้แก่นของต้นไม้นั้น ย่อมบริบูรณ์ ฉันใด ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย อวิปปฏิสารมีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคลผู้มีศีล ผู้สมบูรณ์
ด้วยศีล เมื่ออวิปปฏิสารมีอยู่ ปราโมทย์ชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่
บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยอวิปปฏิสาร ฯลฯ เมื่อนิพพิทาวิราคะมีอยู่ วิมุตติญาณ-
ทัสสนะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยนิพพิทาวิราคะ
ฉันนั้นเหมือนกันแล.
จบสีลสูตรที่ ๓
อรรถกถาสีลสูตรที่ ๓
สีลสูตรที่ ๓ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า หตูปนิโส แปลว่า นิพพิทาและวิราคะ มีเหตุถูกกำจัดเสีย
แล้ว.
จบอรรถกถาสีลสูตรที่ ๓
๔. อุปนิสาสูตร
ว่าด้วยอวิปปฏิสารอันบุคคลผู้ทุศีลขจัดเสียแล้ว
[๔] ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตร เรียกภิกษุทั้งหลายมากล่าว
ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อวิปปฏิสารมีเหตุอันบุคคลผู้ทุศีลผู้มีอาทิผิด ศีลวิบัติขจัดเสีย

๑. อรรถกถาสูตรที่ ๔ แก้รวมอยู่ท้ายพระสูตรที่ ๕.
 
๓๘/๔/๘

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 21, 2564

Photthappha

 
รูปสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่.
[๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนเสียงสตรีเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เสียงสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่.
[๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นกลิ่นอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนกลิ่นสตรีเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
กลิ่นสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่.
[๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรสอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนรสสตรีเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
รสสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่.
[๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นโผฏฐัพพะอาทิผิด อักขระอื่นแม้
อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนโผฏฐัพพะอาทิผิด อักขระสตรีเลย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โผฏฐัพพะอาทิผิด อักขระสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่.
[๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรูปอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนรูปบุรุษเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
รูปบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่.
[๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนเสียงบุรุษเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เสียงบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่.
 
๓๒/๖/๒

วันพุธ, ตุลาคม 20, 2564

Phai Nai

 
๙. ปฐมหัตถปาทปัพพสูตร
ว่าด้วยข้อมือข้อเท้าเปรียบเทียบกับอายตนะ
[๓๐๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อมือทั้ง ๒ มีอยู่ การจับและ
การวางก็ปรากฏ เมื่อเท้าทั้ง ๒ มีอยู่ การก้าวไปและถอยกลับก็ปรากฏ
เมื่อข้อทั้งหลายมีอยู่ การคู้เข้าและเหยียดออกก็ปรากฏ เมื่อท้องมีอยู่
ความหิวและความระหายก็ปรากฏ ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อจักษุมีอยู่
สุขและทุกข์อันเป็นภายอาทิผิด อักขระในย่อมเกิดขึ้น เพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เมื่อใจมีอยู่ สุขและทุกข์อันเป็นภายในย่อมเกิดขึ้น เพราะมโนสัมผัส
เป็นปัจจัย ฉันนั้นเหมือนกัน.
[๓๐๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อมือทั้ง ๒ ไม่มี การจับและ
การวางก็ไม่ปรากฏ เมื่อเท้าทั้ง ๒ ไม่มี การก้าวไปและถอยกลับก็ไม่ปรากฏ
เมื่อข้อทั้งหลายไม่มี การคู้เข้าและเหยียดออกก็ไม่ปรากฏ เมื่อท้องไม่มี
ความหิวและความระหายก็ไม่ปรากฏ ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อ
จักษุไม่มี สุขและทุกข์อันเป็นภายในย่อมไม่เกิดขึ้น เพราะจักษุสัมผัสเป็น
ปัจจัย ฯลฯ เมื่อใจไม่มี สุขและทุกข์อันเป็นภายในย่อมไม่เกิดขึ้น เพราะ
มโนสัมผัสเป็นปัจจัย ฉันนั้นเหมือนกัน.
จบ ปฐมหัตถปาทปัพพสูตรที่ ๙

อรรถกถาปฐมหัตถปาทปัพพสูตรที่ ๙
ในปฐมหัตถปาทปัพพสูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า หตฺเถสุ ภิกฺขเว สติ ความว่า เมื่อมือมีอยู่.
จบ อรรถกถาปฐมหัตถปาทปัพพสูตรที่ ๙
 
๒๘/๓๐๕/๓๖๓

วันอังคาร, ตุลาคม 19, 2564

Samma

 
โชติปาลบรรพชาอุปสมบท

[๔๑๓] ดูก่อนอานนท์ ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อและโชติปาลมาณพ
ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปผู้เป็นพระอรหันตสัมมา
สัมพุทธเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป
ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ฆฏิการะ
ช่างหม้อได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้โชติปาลมาณพเป็นสหายที่รัก
ของข้าพระพุทธเจ้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้โชติปาลมาณพนี้บวชเถิด
ดังนี้. โชติปาลมาณพได้บรรพชาอุปสมบทแล้วในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
พระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า. ครั้นเมื่อโชติปาลมาณพ
อุปสมบทแล้วไม่นาน ประมาณกึ่งเดือน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า
กัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาอาทิผิด อักขระสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ในเวภฬิคนิคมตามควร
แก่พระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จหลีกจาริกไปทางพระนครพาราณสี เสด็จจาริก
ไปโดยลำดับ ถึงพระนครพาราณสีแล้ว.
[๔๑๔] ดูก่อนอานนท์ ได้ยินว่า ในคราวนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ ป่า
อิสิปตนมิคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี. ครั้งนั้น พระเจ้ากาสีทรงพระนาม
ว่ากิกิได้ทรงสดับว่า ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปผู้เป็น
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จถึงพระนครพาราณสี ประทับอยู่ ณ ป่า
อิสิปตนมิคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี. ครั้งนั้น พระเจ้ากิกิกาสิราชรับสั่ง
ให้เทียบราชยานที่ดี ๆ แล้วทรงราชยานอย่างดีเสด็จออกจากพระนครพาราณสี
ด้วยราชยานอย่างดี ด้วยราชานุภาพอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่ากัสสปผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จไปโดยเท่าที่ยาน
 
๒๑/๔๑๓/๗

วันจันทร์, ตุลาคม 18, 2564

Lim

 
ที่ชื่อว่า ไม่รู้ คือ ไม่รู้ด้วยใจ.
ที่ชื่อว่า เห็น คือ เห็นด้วยตา.
ที่ชื่อว่า ได้ยิน คือ ได้ยินด้วยหู
ที่ชื่อว่า ทราบ คือ ได้สูดดมด้วยจมูก ได้ลิ้มอาทิผิด อักขระด้วยลิ้น ได้สัมผัสด้วยกาย.
ที่ชื่อว่า รู้ คือ รู้ด้วยใจ.
อาการของการกล่าวเท็จทั้ง ๆ ที่รู้
ไม่เห็น - ว่าเห็น
[๑๗๖] ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ด้วยอาการ ๓
อย่าง คือ ๑ เบื้องต้น เธอรู้ว่าจักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าวก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓
ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ด้วยอาการ ๔ อย่าง คือ
๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้น
กล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จ ว่าข้าพเจ้าเห็น ด้วยอาการ ๕ อย่าง คือ
๑ เบื้องต้น เธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้น
กล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความ-
ถูกใจ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ด้วยอาการ ๖ อย่าง คือ
๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้น
กล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ
๖ อำพรางความชอบใจ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
 
๔/๑๗๖/๕

วันอาทิตย์, ตุลาคม 17, 2564

Khwang

 
[๔] อาศรมของอิสิสิงคดาบสนั้น ปรากฏด้วย
ธง คือ ต้นกล้วย แวดล้อมด้วยต้นสมอ เป็นที่น่า
รื่นรมย์ นั่นคือแสงไฟ นั่นคือควันเห็นปรากฏอยู่
อิสิสิงคดาบสผู้มีฤทธิ์มากเห็นจะไม่ทำให้ไฟเสื่อม.
[๕] อิสิสิงคดาบสเห็นพระราชธิดา ผู้สวมใส่
กุณฑลแก้วมณีเสด็จมาอยู่ กลัวแล้ว เข้าไปสู่อาศรม
ที่มุงด้วยใบไม้ ส่วนพระราชธิดาแสดงอวัยวะอันซ่อน
เร้น และอวัยวะที่ปรากฏ เล่นลูกข่างอยู่ที่ประตูอาศรม
ของดาบสนั้น ฝ่ายดาบสผู้อยู่ในบรรณศาลา เห็น
พระนางกำลังเล่นลูกข่างอยู่ จึงออกจากอาศรมแล้ว
ได้กล่าวคำนี้ว่า
[๖] ดูก่อนท่านผู้เจริญ ต้นไม้ของท่านที่มีผล
เป็นไปอย่างนี้ มีชื่อว่าอะไร แม้อาทิผิด อาณัติกะท่านขว้างไปไกลก็
กลับมา มิได้ละท่านไป.
[๗] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ต้นไม้ที่มีผลเป็นไป
อย่างนี้นั้น มีอยู่มากที่เขาคันธมาทน์ ที่ใกล้อาศรม
ของข้าพเจ้า ผลไม้นั้นแม้ข้าพเจ้าขว้างอาทิผิด ไปไกลก็กลับ
มา ไม่ละข้าพเจ้าไปเลย.
[๘] เชิญท่านผู้เจริญจงเข้ามาสู่อาศรมนี้ จงบริ-
โภค จงรับน้ำมันและภักษา เราจักให้ นี้อาสนะ
เชิญท่านนั่งบนอาสนะนี้ เชิญบริโภคเหง้ามันและ
ผลไม้แต่ที่นี้เถิด.
 
๖๒/๗/๒

วันเสาร์, ตุลาคม 16, 2564

Asangkhata

 
มหาวรรค
ปุคคลกถา
อนุโลมปัญจกะ
ปุคฺคโล อุปลพฺภติ สจฺฉิกฏฺฐปรมฏฺเฐน สกวาที ถามว่า
ท่านหยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถะ คือ อรรถอันเป็นจริง และปร-
มัตถะ คือ อรรถอย่างยิ่ง หรือ ?
อามนฺตา ( ปรวาที ตอบว่า ) ใช่. ปรวาทีหมายเอาอุปาทา-
บัญญัติ ซึ่งเป็นสมมติสัจจะตามลัทธิที่ท่านได้ตั้งไว้ ส่วนสกวาที มุ่ง
เอาปรมัตถสัจจะ จึงได้ซักเพื่อพิสูจน์ความเป็นปรมัตถ์ต่อไป.
สกวาทีซักว่า สภาวธรรมใดมีอรรถอันเป็นจริง มีอรรถอย่าง
ยิ่งมีอยู่ ท่านหยั่งเห็นบุคคลนั้นได้ด้วยอรรถอันเป็นจริงและอรรถอย่าง
ยิ่งนั้น หรือ ? คำว่า สภาวธรรมใด มีอรรถอันเป็นจริงมีอรรถอย่าง
ยิ่ง นั้น ได้แก่ สภาวธรรม ๕๗ ประเภท คือขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒
ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ และพระนิพพาน หรือสังขตธรรม และ
อสังขตอาทิผิด สระธรรมเป็นต้น ธรรมเหล่านี้บัณฑิตไม่พึงถือเอาโดยสมมติสัจจะ.
ปรวาที ปฏิเสธว่า ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น.
สกวาที จึงกล่าวว่า ท่านจงรู้นิคคหะ คือการผิดพลาด หากว่า
ท่านหยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถะและปรมัตถะไซร้ ด้วยเหตุนั้นแหละ
 
๘๐/๑/๒๒

วันศุกร์, ตุลาคม 15, 2564

Sam

 
ภิกษุใดแลกำจัดความโกรธที่บังเกิด
ขึ้นแล้ว เหมือนหมองูกำจัดพิษงูที่ซ่านไป
แล้วด้วยโอสถฉะนั้น ดังนี้.
เรื่องเดียวกันนี้เอง ถึงการสงเคราะห์ (ปรากฏว่ามีอยู่) ในที่มา
อาทิผิด แห่ง คือ ในวินัย ในธรรมบท (และ) ในสุตตนิบาต ด้วยประการฉะนี้
ก็ด้วยคำเพียงเท่านี้ มาติกานั้นใด ท่านตั้งไว้แล้วว่า
คาถานี้ ใครกล่าว ? กล่าวที่ไหน ?
กล่าวเมื่อใด ? กล่าวเพราะเหตุไร ? ข้าพเจ้า
จักประกาศวิธีนี้ แล้วอธิบายความแห่งคำนั้น
มาติกานั้น เป็นอันข้าพเจ้าประกาศแล้วทั้งโดยย่อทั้งโดยพิสดาร ยกเว้นการ
อธิบายความ (เท่านั้น ) ก็ในคาถาที่หนึ่งนี้ มีอรรถาธิบายดังต่อไป :-
บทว่า โย ได้แก่ ภิกษุใด คือเช่นไร คือบวชจากขัตติยสกุลก็ตาม
บวชจากพราหมณสกุลก็ตาม จะเป็นผู้บวชใหม่ก็ตาม จะเป็นพระมัชฌิมะก็ตาม
จะเป็นพระเถระก็ตาม.
บทว่า อุปฺปติตํ ได้แก่ ที่ตกไปแล้ว ที่ไปแล้ว ที่เป็นไปแล้ว
เบื้องบน ๆ มีคำอธิบายว่าที่บังเกิดขึ้นแล้ว.
ธรรมดาว่า ความโกรธที่บังเกิดขึ้นนี้ มีหลายประเภท คือ
วัตตมานะ ๑ ภุตวาปคตะ ๑ โอกาสกตะ ๑ ภูมิลัทธะ ๑.
บรรดาความโกรธทั้ง ๔ ประเภทนั้น ความพร้อมเพรียงแห่งการ
บังเกิดขึ้นเป็นต้น ที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งแม้ทั้งหมด ชื่อว่า วัตตมานุปปันนะ
 
๔๖/๒๙๔/๑๒

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 14, 2564

Ubat

 
ภิกษุเหล่านั้นได้กล่าวทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้า
พระองค์ ในเวลาหลังอาหารกลับจากบิณฑบาตแล้ว ได้นั่งประชุมกันในโรงกลม
ใกล้ไม้กุ่มน้ำ แล้วเกิดสนทนาธรรมกันขึ้นเกี่ยวด้วยบุพเพนิวาสว่า. บุพเพนิวาส
แม้เพราะเหตุนี้ บุพเพนิวาสแม้เพราะเหตุนี้ ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
เรื่องนี้แลที่พวกข้าพระองค์พูดค้างไว้ พอดีพระองค์เสด็จมาถึง.
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอปรารถนา
หรือไม่ที่จะฟังธรรมีกถา ซึ่งเกี่ยวด้วยบุพเพนิวาส ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เป็นการสมควรแล้วที่พระผู้มีพระภาคจะพึงทรงกระทำ
ธรรมีกถาซึ่งเกี่ยวด้วยบุพเพนิวาส ข้าแต่พระสุคต เป็นการสมควรแล้วที่พระ
ผู้มีพระภาคจะพึงทรงกระทำธรรมีกถาซึ่งเกี่ยวด้วยบุพเพนิวาส ภิกษุทั้งหลายได้
ฟังพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว จักได้ทรงจำไว้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้นพวกเธอจงฟังจงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว-
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพุทธพจน์นี้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลายนับแต่นี้ไป ๙๑ กัป ที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธ
เจ้า พระนามว่าวิปัสสีได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก นับแต่นี้ไป ๓๑ กัป ที่พระผู้มี
พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขีอาทิผิด สระ ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลกใน
กัปที่ ๓๑ นั่นเอง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า เวสสภู
ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในภัททกัปนี้แหละ พระผู้มีพระ
ภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก
ในภัททกัปนี้แหละ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า
โกนาคมนะ ได้เสด็จอุบัติอาทิผิด อักขระขึ้นในโลก ในภัททกัปนี้แหละ พระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในภัทท
กัปนี้แหละ เราผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้อุบัติขึ้นแล้วในโลก.
 
๑๓/๑/๒

วันพุธ, ตุลาคม 13, 2564

Saeng

 
ย่อมไม่รู้ว่า เราฉาบทาสรีระ แม้สรีระเล่าก็ไม่รู้ว่า เราถูกเนื้อฉาบทาไว้
แม้สิ่งนี้ ก็ไม่มีการคิด. เอ็นย่อมไม่รู้ว่า เราผูกกองกระดูกไว้ แม้กอง
กระดูกเล่า ก็ไม่รู้ว่า เราถูกตาข่ายแห่งเอ็นผูกไว้ แม้สิ่งนี้ ก็ไม่มีการ
คิด. กระดูกศีรษะ ย่อมไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ที่กระดูกคอ แม้กระดูกคอเล่า
ก็ไม่รู้ว่า กระดูกศีรษะตั้งอยู่ในเรา กระดูกคอ ก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ที่
กระดูกสันหลัง แม้กระดูกสันหลัง กระดูกสะเอว กระดูกขาอ่อน กระดูก
แข้ง กระดูกข้อเท้า ย่อมไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ที่กระดูกส้นเท้า แม้กระดูก
ส้นเท้าเล่า ก็ไม่รู้ว่า เรายกกระดูกข้อเท้าตั้งไว้ ฯลฯ กระดูกคอ ย่อม
ไม่รู้ว่า เรายกกระดูกศีรษะตั้งไว้ กระดูกทั้งหลายตั้งอยู่โดยที่สุดกันตาม
ลำดับ. จากนี้ไปในที่ต่อมิใช่น้อย เอ็นอะไร ๆ มิได้ผูกไว้. กองกระดูกนี้
ก็ไม่มีการคิดเป็นดังท่อนไม้ เป็นสภาวะอันชราเตือนแล้ว. เยื่อในกระดูก แม้นี้
ก็ไม่มีการคิด. ไต ฯลฯ มันสมอง ก็ไม่มีการคิด เป็นอัพยากตะ เป็นของ
ว่างเปล่า แข็งกระด้าง เป็นปฐวีธาตุ ดังนี้. ย่อมกระทำไว้ในใจว่า น้ำดี
เสลด ฯ ลฯ น้ำมูตร ไม่มีการคิด เป็นอัพยากตะ เป็นของว่างเปล่า เป็น
เครื่องเกาะกุม เป็นอาโปธาตุเอิบอาบซึมซาบไป. เมื่อพระโยคาวจรกำหนด
มหาภูตรูป ๒ เหล่านี้อยู่ เตโชธาตุอันมาก ย่อมปรากฏที่อุทร. วาโยธาตุ
อันมาก ย่อมปรากฏที่จมูก. เมื่ออาทิผิด อาณัติกะกำหนดมหาภูตรูป ๔ เหล่านั้นอยู่ อุปาทารูป
ย่อมปรากฏ. ชื่อว่ามหาภูตรูปย่อมกำหนดได้ด้วยอุปาทารูป อุปาทารูปก็กำหนด
ได้ด้วยมหาภูตรูป. เปรียบเหมือน ชื่อว่า แสงแดดกำหนดได้ด้วยเงา เงาก็
กำหนดได้ด้วยแสงอาทิผิด สระแดด ฉันใด มหาภูตรูป ก็ฉันนั้นนั่นแหละ กำหนดได้
ด้วยอุปาทารูป อุปาทารูปก็กำหนดได้ด้วยมหาภูตรูป. ครั้นเมื่อความเป็นอย่าง
นั้น เมื่อภิกษุนั้นกำหนดรูปขันธ์ว่า มหาภูตรูป ๔ อุปาทารูป ๒๓ เป็น
 
๗๘/๔๖๔/๙๘

วันอังคาร, ตุลาคม 12, 2564

Suam

 
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า. . .ครั้น แล้วรับ สั่งกะ
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเขียงเท้าสานด้วยใบไผ่ อันภิกษุไม่พึง
สวม รูปใดสวมอาทิผิด อักขระ ต้องอาบัติทุกกฏ.

พระพุทธบัญญัติห้ามสวมเขียงเท้าต่างชนิด
[๑๒] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระนครพาราณสี
ตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จพระพุทธดำเนินจาริกทางนครภัททิยะ เสด็จ
พระพุทธดำเนินจาริกโดยลำดับถึงพระนครภัททิยะ ทราบว่า พระองค์ประทับ
อยู่ในป่าชาติยาวัน เขตพระนครภัททิยะนั้น.
ก็โดยสมัยนั้นแล พวกภิกษุชาวพระนครภัททิยะ ตั้งหน้าพากเพียร
ตกแต่งเขียงเท้าหลากหลายอยู่ คือ ทำเองบ้าง สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสาน
ด้วยหญ้าทำเองบ้าง สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยหญ้ามุงกระต่าย ทำเอง
บ้าง สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยหญ้าปล้อง ทำเองบ้าง สั่งให้ทำบ้าง
ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยใบเป้ง ทำเองบ้าง สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยแฝก
ทำเองบ้าง สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าถักด้วยขนสัตว์ พวกเธอละเลยอุเทศ
ปริปุจฉา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญาเสีย บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย. . .ต่าง
ก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนเล่าพวกภิกษุชาวพระนครภัททิยะ จึง
ได้ตั้งอาทิผิด หน้าพากเพียรตกแต่งเขียงเท้าหลากหลายอยู่ คือ ได้ทำเองบ้าง ได้สั่งให้
ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยหญ้า ได้ทำเองบ้าง ได้สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียง
เท้าสานด้วยหญ้ามุงกระต่าย ได้ทำเองบ้าง ได้สั่งอาทิผิด สระให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสาน
ด้วยหญ้าปล้อง ได้ทำเองบ้าง ได้สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยใบเป้ง
ได้ทำอาทิผิด เองบ้าง ได้สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยแฝก ได้ทำเองบ้าง ได้สั่ง
 
๗/๑๒/๒๒

วันจันทร์, ตุลาคม 11, 2564

Nimit

 
ท้าวสักกะจอมเทพ ทรงเรียกพวกเทพชั้นดาวดึงส์มาตรัสว่า เพื่อนทั้งหลาย
นิมิตอาทิผิด อักขระทั้งหลายย่อมปรากฏ แสงสว่างอันอุฬารเกิดขึ้นอย่างแจ่มจ้า รัศมีย่อม
ปรากฏขึ้นมาโดยประการใด พรหมก็จักปรากฏขึ้นโดยประการนั้น เพราะเกิด
แสงสว่างอย่างเจิดจ้า รัศมีก็ปรากฏขึ้นมานี้ เป็นบุพนิมิตแห่งการปรากฏของ
พรหม.
[๒๑๕] นิมิตทั้งหลาย ย่อมปรากฏโดยประการ
ใด พรหมก็จักปรากฏโดยประการนั้น
เพราะการที่โอภาสอันไพบูลย์มาก ปรากฏ
นี้เป็นบุพนิมิตของพรหม.
[๒๑๖] ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าข้า พวกเทพชั้นดาวดึงส์นั่งบนอาสนะ
ของตน ๆ แล้วพูดว่า พวกเราจักรู้แสงนั้น สิ่งใดจักเป็นวิบาก เราทำให้แจ้ง
สิ่งนั้น แล้วจึงจักไป. แม้มหาราชทั้ง ๔ พระองค์ ก็ประทับนั่งบนอาสนะ
ของตน ๆ แล้วก็ตรัสว่า พวกเราจักรู้แสงนั้น สิ่งใดจักเป็นวิบาก เราทำให้
แจ้งสิ่งนั้นแล้ว จึงจักไป. เมื่อฟังคำนี้แล้ว พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ทำใจ
ให้แน่วแน่ สงบอยู่ด้วยคิดว่า เราจักรู้แสงนั้น ผลจักเป็นอย่างไร เรา
ทำให้แจ้งผลนั้นแล้ว จึงจักไป. ตอนที่สนังกุมารพรหมจะปรากฏกายแก่พวก
เทพชั้นดาวดึงส์ ท่านจำแลงอัตภาพชนิดหยาบแล้ว จึงปรากฏ. ก็แหละ
ผิวพรรณโดยปกติของพรหม ไม่พึงปรากฏในสายตาของพวกเทพชั้นดาวดึงส์
ได้ ตอนที่สนังกุมารพรหมจะปรากฏกายแก่พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ท่าน
รุ่งเรืองยิ่งกว่าหมู่เทพเหล่าอื่นทั้งโดยรัศมี ทั้งโดยยศ. ตอนที่สนังกุมารพรหม
ปรากฏกายแก่พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ท่านรุ่งเรืองยิ่งกว่าหมู่เทพเหล่าอื่น
ทั้งโดยรัศมี ทั้งโดยยศ แม้ถ้าจะเปรียบก็เหมือนร่างทอง ย่อมรุ่งเรือง
ยิ่งกว่าร่างที่เป็นของมนุษย์ ฉะนั้นแล. ตอนที่สนังกุมารพรหมปรากฏกายแก่
 
๑๔/๒๑๔/๘

วันอาทิตย์, ตุลาคม 10, 2564

Mi Dai

 
ว่าด้วยเมตตาบารมีเป็นต้นที่เป็นปรมัตถ์
เมื่อพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าเอกราชผู้มิอาทิผิด สระได้เห็นแม้แก่ชีวิต
ของพระองค์ ทรงเจริญเมตตา ที่กล่าวไว้ในเอกราชชาดก อย่างนี้ว่า
ใคร ๆ ย่อมไม่ดุร้ายกับเรา แม้เราก็
ไม่กลัวใคร ๆ ในกาลนั้นเราได้กำลังเมตตา
อุปถัมภ์แล้ว ย่อมยินดีในป่าใหญ่ ดังนี้
ชื่อว่า ได้บำเพ็ญเมตตาบารมีเป็นปรมัตถบารมี.
ว่าด้วยอุเบกขาบารมีเป็นต้นที่เป็นปรมัตถ์
เมื่อพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นนักบวช ชื่อว่า โลมหังสะ ไม่ละ
ความเป็นอุเบกขาในพวกเด็กชาวบ้านผู้ยังความทุกข์และอาทิผิด อักขระความสุขให้เกิดขึ้น
ด้วยการถ่มน้ำลายรดเป็นต้น และด้วยการนำดอกไม้ของหอมมาให้เป็นต้น
ตามที่กล่าวไว้ในโลมหังสชาดก อย่างนี้ว่า
เรานอนในป่าช้า มีกระดูกศพเป็น
หมอนหนุน พวกเด็กชาวบ้านเข้าไปแสดง
รูปไม่น้อย ดังนี้
ชื่อว่า อุเบกขาบารมีเป็นปรมัตถบารมี. ความย่อในที่นี้มีเท่านี้ ส่วนเนื้อความ
พิสดารพึงถือในจริยาปิฎก.
พระโพธิสัตว์ ครั้นบำเพ็ญบารมีทั้งหลายอย่างนี้แล้ว ดำรงอยู่ใน
อัตภาพของพระเวสสันดร ได้สร้างบุญเป็นอันมากอันเป็นเหตุให้แผ่นดินใหญ่
ไหว ตามที่กล่าวไว้อย่างนี้ว่า
แผ่นดินนี้ ไม่มีจิต ไม่ทราบถึง
ความสุขและทุกข์ แม้กระนั้นก็ยังไหวถึง
๗ ครั้ง เพราะกำลังทานของเรา.
 
๗๕/๑/๑๔๒

วันเสาร์, ตุลาคม 09, 2564

Sanya

 
ฉันทังอทัตวาคมนสิกขาบทที่ ๑๐
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑๐ พึงทราบดังนี้:-
ข้อว่า วตฺถุํ วา อาโรจิตํ โหติ มีความว่า ทั้งโจทก์และจำเลยได้
แถลงถ้อยคำของตนแล้ว ภิกษุผู้สอบสวนสืบสวนก็ได้รับสมมติแล้วแม้ด้วย
อาการเพียงเท่านี้ วัตถุเป็นอันบอกแล้ว. คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้ มีการทอดธุระเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นทางกายวาจากับจิต
เป็นทั้งกิริยาทั้งอกิริยา สัญญาอาทิผิด สระวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจี-
กรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ดังนี้แล.
ฉันทังอทัตวาคมนสิกขาบทที่ ๑๐ จบ
 
๔/๗๒๒/๗๙๐