วันอังคาร, พฤษภาคม 03, 2565

Sala Saluai

 
ก็ไม่มี อย่างความยินดีของบุคคลผู้มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง คือผู้มีจิตตั้งมั่น
พิจารณารูปธรรมและนามธรรมโดยชอบแท้ ด้วยอำนาจอนิจจลักษณะ
เป็นต้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า
ในกาลใด ๆ บุคคลพิจารณาเห็นการเกิดขึ้นและการ
ดับไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย ในกาลนั้นๆ เขาย่อมได้ปีติ
และปราโมช ปีติและปราโมชนั้น เป็นอมตะของผู้รู้แจ้ง.
ท่านกล่าว ๒ คาถา โดยนัยมีอาทิว่า กมฺมํ พหุกํ ดังนี้ ด้วย
อำนาจให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย ผู้มีการงานที่มายินดี ผู้อยากได้ปัจจัย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กมฺมํ พหุกํ น การเย ความว่า เป็นผู้มี
กรรมเป็นที่มายินดี ไม่พึงให้ทำการงาน คือไม่พึงอธิษฐานซึ่งการงานชื่อ
เป็นอันมาก แต่การซ่อมแซมสิ่งที่หักพังทำลาย พระศาสดาทรงอนุญาต
แล้วนั้นแล. บทว่า ปริวชฺเชยฺย ชนํ ความว่า พึงเว้นคนผู้ไม่เป็น
กัลยาณมิตร. บทว่า น อุยฺยเม ความว่า ไม่พึงทำความพยายามด้วย
อำนาจ เพื่อให้ปัจจัยเกิดขึ้นและเพื่อคุมคณะ.
บทว่า อนตฺตเนยฺยเมตํ ความว่า การอธิษฐานนวกรรมเป็นต้น
นี้ ไม่เป็นเหตุนำมาซึ่งประโยชน์แก่ตน. ในข้อนั้นท่านกล่าวไว้ดังนี้ว่า
กายย่อมลำบาก ย่อมฝืดเคือง ก็เมื่อขวนขวายนวกรรมเป็นต้น เที่ยว
ไปในที่นั้น ๆ เขาย่อมประสบยาก คือย่อมลำบาก ย่อมถึงความลำบาก
เพราะไม่ได้สุขทางกายเป็นต้น และชื่อว่า ได้รับทุกข์เพราะการลำบาก
กายนั้น. อธิบายว่า บุคคลนั้นย่อมไม่ได้ความสงบ คือไม่ได้ความ
ยึดมั่นทางจิต เพราะไม่มีการกระทำวัตถุให้สละสลวยอาทิผิด สระแก่การแนะนำตน.
ท่านกล่าว ๒ คาถา โดยนัยมีอาทิว่า โอฏฺฐปฺปหตมตฺเตน เป็นต้น
 
๕๓/๓๙๘/๓๗๕

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น