อย่างหนึ่ง ในบรรดาพระพุทธเจ้าเป็นต้น . บทว่า จิตฺตํ สมาธิยติ ความว่า
จิตรับอารมณ์โดยชอบ ย่อมตั้งมั่นดี. บทว่า ปฏิสํหรามิ ได้แก่ เราจะ
คุมจิต จากฐานะอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส อธิบายว่า เราจะทำจิตนั้น
ให้มุ่งตรงต่อมูลกัมมัฏฐาน. บทว่า โส ปฏิสํหรติ เจว ความว่า เธอ
ส่งจิตมุ่งตรงต่อมูลกัมมัฏฐาน. บทว่า น จ วิตกฺเกติ น จ วิจาเรติ
ความว่า ไม่ตรึกถึงกิเลส ไม่ตรองถึงกิเลส. บทว่า อวิตกฺโกมฺหิ อวิจาโร
ความว่า เราไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร โดยวิตกวิจารในกิเลส. บทว่า อชฺฌตฺตํ
สติมา สุขมสฺมิ ความว่า เธอย่อมรู้ชัดว่า เรามีสติ และมีความสุขดังนี้
ด้วยสติที่ดำเนินไปในภายในอารมณ์.
บทว่า เอวํ โข อานนฺท ปณิธาย ภาวนา โหติ ความว่า
อานนท์ ภาวนามีก็เพราะตั้งจิตไว้อย่างนั้น. ก็ภาวนาของภิกษุนี้ ผู้ถือเอา
กัมมัฏฐานไปเพื่อบรรลุพระอรหัต เมื่อความเร่าร้อนในกายเป็นต้น เกิดขึ้นแล้ว
พักกัมมัฏฐานนั้นไว้ ยังจิตให้เลื่อมใส ด้วยการระลึกในพระพุทธคุณเป็นต้น
ทำให้เป็นที่ตั้งแห่งการงาน ดำเนินไปแล้ว เหมือนการเดินไปของคนอาทิผิด อักขระ แบก อ้อย
หนักมาก ไปยังโรงหีบอ้อย ในเวลาเหนื่อยแล้วและเหนื่อยแล้ว วางลงบน
แผ่นดิน เคี้ยวกินท่อนอ้อยแล้ว ก็แบกไปอีกฉะนั้น. เพราะฉะนั้น พระองค์
จึงตรัสว่า ภาวนามีเพราะตั้งใจไว้. พึงทราบการเสวยสุขในผลสมาบัติของ
ภิกษุนี้ ผู้บำเพ็ญกัมมัฏฐานถึงที่สุดแล้ว ได้บรรลุพระอรหัต เหมือนคนนั้น
นำอ้อยหนักนั้นไปยังโรงหีบอ้อย บีบอ้อยเสร็จแล้ว ดื่มรสฉะนั้น.
บทว่า พหิทฺธา ความว่า ละมูลกัมมัฏฐานไปในอารมณ์อื่นภายนอก
บทว่า อปฺปณิธาย แปลว่า มิได้ตั้งจิตไว้. ในบทว่า อถ ปจฺฉา ปุเร
อสงฺขิตฺตํ วิมุตฺตํ อปฺปณิหิตนฺติ ปชานาติ นี้ พึงทราบความหมาย
ด้วยอำนาจกัมมัฏฐานบ้าง ด้วยอำนาจสรีระบ้าง ด้วยอำนาจเทศนาบ้าง.
จิตรับอารมณ์โดยชอบ ย่อมตั้งมั่นดี. บทว่า ปฏิสํหรามิ ได้แก่ เราจะ
คุมจิต จากฐานะอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส อธิบายว่า เราจะทำจิตนั้น
ให้มุ่งตรงต่อมูลกัมมัฏฐาน. บทว่า โส ปฏิสํหรติ เจว ความว่า เธอ
ส่งจิตมุ่งตรงต่อมูลกัมมัฏฐาน. บทว่า น จ วิตกฺเกติ น จ วิจาเรติ
ความว่า ไม่ตรึกถึงกิเลส ไม่ตรองถึงกิเลส. บทว่า อวิตกฺโกมฺหิ อวิจาโร
ความว่า เราไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร โดยวิตกวิจารในกิเลส. บทว่า อชฺฌตฺตํ
สติมา สุขมสฺมิ ความว่า เธอย่อมรู้ชัดว่า เรามีสติ และมีความสุขดังนี้
ด้วยสติที่ดำเนินไปในภายในอารมณ์.
บทว่า เอวํ โข อานนฺท ปณิธาย ภาวนา โหติ ความว่า
อานนท์ ภาวนามีก็เพราะตั้งจิตไว้อย่างนั้น. ก็ภาวนาของภิกษุนี้ ผู้ถือเอา
กัมมัฏฐานไปเพื่อบรรลุพระอรหัต เมื่อความเร่าร้อนในกายเป็นต้น เกิดขึ้นแล้ว
พักกัมมัฏฐานนั้นไว้ ยังจิตให้เลื่อมใส ด้วยการระลึกในพระพุทธคุณเป็นต้น
ทำให้เป็นที่ตั้งแห่งการงาน ดำเนินไปแล้ว เหมือนการเดินไปของ
หนักมาก ไปยังโรงหีบอ้อย ในเวลาเหนื่อยแล้วและเหนื่อยแล้ว วางลงบน
แผ่นดิน เคี้ยวกินท่อนอ้อยแล้ว ก็แบกไปอีกฉะนั้น. เพราะฉะนั้น พระองค์
จึงตรัสว่า ภาวนามีเพราะตั้งใจไว้. พึงทราบการเสวยสุขในผลสมาบัติของ
ภิกษุนี้ ผู้บำเพ็ญกัมมัฏฐานถึงที่สุดแล้ว ได้บรรลุพระอรหัต เหมือนคนนั้น
นำอ้อยหนักนั้นไปยังโรงหีบอ้อย บีบอ้อยเสร็จแล้ว ดื่มรสฉะนั้น.
บทว่า พหิทฺธา ความว่า ละมูลกัมมัฏฐานไปในอารมณ์อื่นภายนอก
บทว่า อปฺปณิธาย แปลว่า มิได้ตั้งจิตไว้. ในบทว่า อถ ปจฺฉา ปุเร
อสงฺขิตฺตํ วิมุตฺตํ อปฺปณิหิตนฺติ ปชานาติ นี้ พึงทราบความหมาย
ด้วยอำนาจกัมมัฏฐานบ้าง ด้วยอำนาจสรีระบ้าง ด้วยอำนาจเทศนาบ้าง.
๓๐/๗๒๓/๔๐๘
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น