วันศุกร์, พฤษภาคม 31, 2567

Lae

 
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุไร ถ้อยคำปรารภศรัทธาจึงเป็นถ้อยคำ
ดีแก่ผู้มีศรัทธา ? เพราะผู้มีศรัทธา เมื่อพูดเรื่องศรัทธาย่อมไม่ขัดข้อง ไม่
โกรธ ไม่พยาบาท ไม่กระด้าง ไม่แสดงความโกรธเคืองและอาทิผิด อักขระความขัดใจให้
ปรากฏ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะผู้มีศรัทธานั้นย่อมเห็นศรัทธาสัมปทาในตน
และย่อมได้ปีติปราโมทย์ที่มีศรัทธาสัมปทานั้นเป็นเหตุ ฉะนั้น ถ้อยคำปรารภ
ศรัทธาจึงเป็นถ้อยคำดีแก่ผู้มีศรัทธา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุไร ถ้อยคำปรารภศีลจึงเป็นถ้อยคำดี
แก่ผู้มีศีล ? เพราะผู้มีศีล เมื่อพูดเรื่องศีล ย่อมไม่ขัดข้อง ไม่โกรธ ไม่
พยาบาท ไม่กระด้าง ไม่แสดงความโกรธเคืองและอาทิผิด สระความขัดใจให้ปรากฏ ข้อนั้น
เพราะเหตุไร เพราะผู้มีศีลนั้นย่อมเห็นศีลสัมปทาในตน และย่อมได้ปีติ
ปราโมทย์ที่มีศีลสัมปทานนั้นเป็นเหตุ ฉะนั้น ถ้อยคำปรารภศีลจึงเป็นถ้อยคำดี
แก่ผู้มีศีล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุไร ถ้อยคำปรารภพาหุสัจจะจึงเป็น
ถ้อยคำดีแก่ผู้ได้สดับมาก ? เพราะผู้ได้สดับมาก เมื่อพูดเรื่องพาหุสัจจะ ย่อม
ไม่ขัดข้อง ไม่โกรธ ไม่พยาบาท ไม่กระด้าง ไม่แสดงความโกรธเคืองและ
ความขัดใจให้ปรากฏ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะผู้ได้สดับมากย่อมเห็นสุต-
สัมปทาในตน และย่อมได้ปีติปราโมทย์ที่มีสุตสัมปทานั้นเป็นเหตุ ฉะนั้น
ถ้อยคำปรารภพาหุสัจจะจึงเป็นถ้อยคำดีแก่ผู้ได้สดับมาก.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุไร ถ้อยคำปรารภจาคะจึงเป็นถ้อยคำดี
แก่ผู้มีจาคะ ? เพราะผู้มีจาคะ เมื่อพูดเรื่องจาคะ ย่อมไม่ขัดข้อง ไม่โกรธ
ไม่พยาบาท ไม่กระด้าง ไม่แสดงความโกรธเคืองและความขัดใจให้ปรากฏ
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะผู้มีจาคะนั้นย่อมเห็นจาคสัมปทาในตน และย่อม
 
๓๖/๑๕๗/๓๓๑

วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 30, 2567

Yakyuea

 
เมื่อไม่รู้ก็เข้าถึงวินิบาต จากครรภ์
เข้าถึงครรภ์ จากที่มืดเข้าถึงที่มืด ภิกษุผู้เช่น
นั้นแล ละไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความทุกข์
ก็บุคคลใดผู้มีการงานเศร้าหมองเห็นปานนี้
ตลอดกาลนาน พึงเป็นผู้เต็มแล้วด้วยบาป
เหมือนหลุมคูถที่เต็มอยู่นานปี พึงเป็นหลุม
เต็มด้วยคูถ ฉะนั้น.
บุคคลนั้นเป็นผู้มีกิเลสเครื่องยียวน
หมดจดได้โดยยาก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงรู้จักบุคคลผู้อาศัยเรือน ผู้มี
ความปรารถนาลามก ผู้มีความดำริลามก
ผู้มีอาจาระและโคจรลามกเห็นปานนี้.
เธอทั้งปวงพึงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน
เว้นบุคคลนั้นเสีย จงกำจัดอาทิผิด อักขระบุคคลผู้เป็นเพียง
ดังแกลบ จงคร่าบุคคลผู้เป็นเพียงดัง
หยากเยื่ออาทิผิด อักขระออกเสีย แต่นั้นจงขับบุคคลลีบผู้
ไม่ใช่สมณะ แต่มีความสำคัญว่าเป็นสมณะ
ไปเสีย.
ครั้นกำจัดบุคคลผู้มีความปรารถนา
ลามก มีอาจาระและโคจรลามกออกไปแล้ว
 
๔๗/๓๒๑/๒๑๑

วันพุธ, พฤษภาคม 29, 2567

Satsanatham

 
และเราจับสลากแล้ว ถวายข้าวสุกที่
หุงด้วยน้ำนม แก่พระเถระทั้งหลาย ผู้แสวงหา
คุณใหญ่ ผู้เป็นสาวกของพระผู้แกล้วกล้ากว่า
นรชนพระองค์นั้นแหละ
ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นพงศ์พันธ์
ของพรหม มีพระยศใหญ่ ประเสริฐกว่านัก-
ปราชญ์ พระนามว่า กัสสปะ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
พระองค์ทรงยังศาสนธรรมให้รุ่งโรจน์ ข่มขี่
เดียรถีย์ผู้หลอกลวงเสีย ทรงแนะนำเวไนยสัตว์
แล้ว เสด็จปรินิพพานพร้อมทั้งพระสาวก
ครั้นเมื่อพระโลกนาถเจ้าพร้อมทั้งพระ-
สาวกปรินิพพานแล้ว ครั้นเมื่อศาสนอาทิผิด อักขระธรรม กำลัง
จะสิ้นสูญอันตรธาน ทวยเทพและมนุษย์พากัน
สลดใจ สยายผม มีหน้าเศร้า คร่ำครวญว่า
ดวงตาคือธรรมจักดับแล้ว เราจักไม่ได้
เห็นท่านที่มีวัตรดีงามทั้งหลาย เราจักไม่ได้ฟัง
พระสัทธรรม น่าสังเวช เราเป็นคนมีบุญน้อย
ครั้งนั้น พื้นปฐพีทั้งหมดนี้ ทั้งใหญ่ทั้ง
หนาได้ไหวสะเทือน สาครสมุทรพูดได้ แม่น้ำ
ร้องอย่างน่าสงสาร
 
๗๒/๑๒๔/๒๕๘

วันอังคาร, พฤษภาคม 28, 2567

Fang

 
พระพุทธเจ้าชื่อว่า ผู้ข่มมารอันผู้อื่นไม่พึงข่มได้ เพราะอดกลั้น เพราะนำไป
ซึ่งพระโพธิสัมภารและพระมหากรุณาธิคุณทั้งสิ้น อันผู้อื่นข่มไม่ได้ อนึ่ง
เพราะอดกลั้น เพราะครอบงำมารทั้งหลาย ๕ อันผู้อื่นข่มไม่ได้ เพราะยาก
เพื่อจะอดกลั้น เพื่อจะครอบงำ เพราะอดกลั้น เพราะนำไปซึ่งพุทธกิจอันผู้
อื่นข่มไม่ได้ อันได้แก่การพร่ำสอนด้วยทิฏฐธรรมิกประโยชน์ สัมปรายยิก-
ประโยชน์และปรมัตถประโยชน์ แก่เหล่าเวไนยสัตว์ ตามสมควร ด้วยการตรัสรู้
แจ้งมีอาสยะ (อัธยาศัย) อนุสยา (กิเลสอันนอนเนืองอยู่ในสันดาน) จริยา-
ธิมุตติ (ความพอใจในความประพฤติ) เป็นต้น หรือเพราะประกาศสาธุการ
ในพุทธกิจนั้น เฉพาะคนอื่นเว้นพระโพธิสัตว์ไม่สามารถ เพื่ออดกลั้น เพื่อ
นำไปได้.
บทว่า นํ ในบทว่า สมุทาจรนฺติ นํ เป็นเพียงนิบาตหรือมี
ความเท่ากับ นํ ตถาคตํ. พระมุนีชื่อ ตโมนุทะ เพราะบรรเทา คือ ซัด
ไปซึ่งอันธการ คือ โมหะ กล่าวคือความมืดในสันดานของตนและผู้อื่น. พระ
มุนีชื่อว่า ปารคตะ เพราะถึงฝั่ง คือ นิพพาน. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปารคตะ
เพราะถึงฝั่ง คือ ที่สุดแห่งสังสารทุกข์ทั้งสิ้น อันเป็นอภินิหารใหญ่ซึ่งเป็นไป
แล้วโดยนัยมีอาทิว่า มุตฺโต โมเจสฺสามิ เราพ้นแล้วจักให้สัตว์พ้นบ้างดังนี้
หรือแห่งคุณ คือ พระสัพพัญญูทั้งหลาย. พระมุนีนั้นผู้บรรเทาความมืด ผู้ถึง
ฝั่งอาทิผิด อาณัติกะ. อธิบายว่า พระพุทธเจ้าผู้ถึงคุณอันควรถึงจากการถึงฝั่งนั้นนั่นเอง คือ ถึง
คุณทั้งปวงมีศีลเป็นต้นและมีทศพลญาณเป็นต้น อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง
หลายพึงถึง. บทว่า วสิมํ ความว่า พระมุนีชื่อว่า วสิมา เพราะมีความ
เป็นผู้ชำนาญ มีอาวัชชนะเป็นต้นอย่างยิ่ง อันเนื่องด้วยความหวังในฌานเป็น
ต้นและความเป็นผู้ชำนาญทางจิตอันไม่ทั่วไปแก่ผู้อื่น ได้แก่ฤทธิ์อันเป็นอริยะ.
พระมุนีนั้นผู้มีความชำนาญ. อธิบายว่า ผู้มีอำนาจ. พระมุนีชื่อว่า อนาสวะ
 
๔๕/๒๑๖/๒๗๗

วันจันทร์, พฤษภาคม 27, 2567

Nanthawan

 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศาสดาทรงทำเรื่องนั้นเป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิด
เรื่องแล้ว ทรงแสดงธรรมแก่มหาชนที่ประชุมกัน เทศนานั้น ก็ได้เกิด
ประโยชน์แก่มหาชนแล.
จบอรรถกถาภิกขาทายกวิมาน
๗. ยวปาลกวิมาน
ว่าด้วยยวปาลกวิมาน
พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้ถามเทพบุตรองค์หนึ่งว่า
[๗๑] วิมานแก้วมณีของท่านนี้ ฯ ล ฯ และ
วรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
เทพบุตรนั้น ถูกพระโมคคัลลานเถระถามแล้ว
ดีใจ ก็พยากรณ์ปัญหาของธรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า
ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์ ข้าพเจ้าเป็นคน
เฝ้านาข้าวเหนียว ได้เห็นภิกษุผู้ปราศจากกิเลสดุจธุลี
ผ่องใส ไม่ขุ่นมัว มีความเลื่อมใส จึงได้แบ่งขนม
สดถวายท่านด้วยมือของตน ครั้นแล้วจึงบันเทิงอยู่
ในสวนนันทวันอาทิผิด อักขระ เพราะบุญนั้น ข้าพเจ้าจึงมีวรรณะ
เช่นนี้ ฯ ล ฯ และวรรณะของข้าพเจ้าจึงสว่างไสว
ไปทุกทิศ.
จบยวปาลกวิมาน
 
๔๘/๗๑/๕๖๓

วันอาทิตย์, พฤษภาคม 26, 2567

Phro

 
อยู่อย่างนี้ ย่อมเป็นอันท่านปฏิเสธการอยู่ด้วยความประมาทของชนผู้ได้ขณะ
แล้ว ทำขณะให้เป็นโมฆะ เพราะการไม่ยังกุศลนั้นอันประกอบด้วยขณะให้
เกิดขึ้น อรรถนี้ท่านอธิบายไว้ด้วยสมยศัพท์ กล่าวคือ ขณะ.
ก็ธรรมดาว่า การเป็นของกุศลจิตนี้ นั้นเป็นของน้อยยิ่งนัก ก็การที่
กุศลจิตนั้นเป็นของน้อยยิ่งนักนั้น พึงทราบด้วยสามารถแห่งอรรถกถาพระสูตร
นี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า ความเร็วของดวงจันทร์และดวง-
อาทิตย์อาทิผิด อักขระ เร็วกว่าความเร็วของบุรุษ เทวดาผู้ไปข้างหน้าของพระจันทร์และ
พระอาทิตย์ เรียกว่าพระจันทร์และพระอาทิตย์ อายุสังขารทั้งหลายย่อมสิ้นไป
เร็วกว่านั้น. จริงอยู่ สูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกาลเล็กน้อยของรูป-
ชีวิตินทรีย์ก่อน รูปที่เกิดขึ้นเฉพาะแล้วยังตั้งอยู่เพียงใด จิต ๑๖ ดวงเกิดขึ้น
แล้วดับเพียงนั้น แม้การอุปมาด้วยข้อที่จิตเหล่านั้นเป็นของเล็กน้อยโดยกาล
ย่อมไม่มีด้วยประการฉะนี้ ด้วยเหตุนั้นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เป็นไปรวดเร็ว แม้การเปรียบก็กระทำไม่ได้ง่ายดังนี้.
บรรดาสมยศัพท์เหล่านั้น สมยศัพท์กล่าวคือ กาลย่อมแสดงถึงความเล็กน้อย
ยิ่งของกาลที่เป็นไปในกุศลจิตด้วยประการฉะนี้ ว่าด้วยฐานะที่ทรงแสดงอยู่
อย่างนี้ เป็นโอวาทที่ทรงประทานไว้ว่า จิตนี้แทงตลอดได้ยากเหมือนการ
ร้อยแก้วมุกดาโดยแสงสว่างแห่งฟ้าแลบ เพราะความที่จิตมีเวลาเป็น
ไปน้อยยิ่ง เพราะอาทิผิด สระฉะนั้น พวกเธอพึงทำความอุตสาหะให้มาก และความเอื้อเฟื้อ
ให้มาก ในการแทงตลอดจิตนี้ ดังนี้. เนื้อความนี้แสดงสมยศัพท์คือกาล.
ส่วนสมยศัพท์ กล่าวคือการประชุม ย่อมแสดงความเกิดขึ้นพร้อมกัน
แห่งธรรมแม้มิใช่น้อย จริงอยู่ กองแห่งธรรมมีผัสสะเป็นต้น ท่านกล่าวว่า
การประชุม ดังนี้ อนึ่ง จิตเมื่อเกิดขึ้นย่อมเกิดในกองแห่งธรรมนั้นพร้อม
 
๗๕/๑๖/๒๒๓

วันเสาร์, พฤษภาคม 25, 2567

Thunlanantha

 
ปาราชิกสิกขาบทที่ ๓
เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา
[๑๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุณี
ถุลลนันทาประพฤติตามพระอริฏฐะผู้เผ่าพรานแร้งที่ถูกสงฆ์พร้อมเพรียงกันยก
เสียแล้ว บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย . . . ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า
ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงได้ประพฤติตามพระอริฏฐะผู้เผ่าพรานแร้ง ซึ่งถูกสงฆ์
ผู้พร้อมเพรียงกันยกเสียแล้วเล่า... แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า ภิกษุณีถุลลนันทาอาทิผิด อักขระประพฤติตามอริฏฐภิกษุผู้เผ่าพรานแร้ง ซึ่งถูก
สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันยกเสียแล้ว จริงหรือ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฉน
ภิกษุณีถุลลนันทา จึงได้ประพฤติตามอริฏฐภิกษุผู้เผ่าพรานแร้ง ซึ่งถูกสงฆ์
ผู้พร้อมเพรียงกันยกเสียแล้วเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความ
เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส. . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลาย จงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง
อย่างนี้ว่า ดังนี้ :-
 
๕/๑๘/๒๒

วันศุกร์, พฤษภาคม 24, 2567

Tham

 
ว่า อตีตํ อาหริ แปลว่า ทรงนำอดีตนิทานมาว่าดังนี้เท่านั้น. แม้เมื่อ
กล่าวคำมีประมาณเท่านี้ ก็พึงประกอบเหตุการณ์นี้ทั้งหมด คือ การทูลอาราธนา
การเปรียบเทียบเหมือนนำพระจันทร์ออกจากกลุ่มเมฆ และความที่เหตุถูก
ระหว่างภพปกปิดไว้ โดยนัยดังกล่าวไว้ในหนหลังนั่นแหละ แล้วพึงทราบไว้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้ามคธครองราชสมบัติอยู่ในพระนครราชคฤห์
แคว้นมคธ ในสมัยข้าวกล้าของชนชาวมคธ พวกเนื้อทั้งหลายมีอันตรายมาก
เนื้อเหล่านั้น จึงเข้าไปยังเนินเขา. เนื้อภูเขาที่อยู่ในป่าตัวหนึ่ง ทำความสนิท
สนมกับลูกเนื้อตัวเมียชาวบ้านตัวหนึ่ง ในเวลาที่พวกเนื้อเหล่านั้น ลงจากเชิงเขา
กลับมายังชายแดนบ้านอีก ได้ลงมากับเนื้อเหล่านั้นนั่นแหละ. เพราะมีจิต
ปฏิพัทธ์ในลูกเนื้อตัวเมียนั้น. ลำดับนั้น ลูกเนื้อตัวเมียนั้นจึงกล่าวกะเนื้อ
ภูเขานั้นว่า ข้าแต่เจ้า ท่านแลเป็นเนื้อภูเขาที่เขลา ก็ธรรมดาชายแดน
ของบ้าน น่าระแวง มีภัยเฉพาะหน้า ท่านอย่าลงมากับพวกเราเลย. เนื้อภูเขา
นั้น ไม่กลับเพราะมีจิตปฏิพัทธ์ต่อลูกเนื้อตัวเมียนั้น ได้มากับลูกเนื้อตัวเมียนั้น
นั่นแหละ. ชนชาวมคธรู้ว่า บัดนี้ เป็นเวลาที่พวกเนื้อลงจากเนินเขา จึงยืน
ในซุ้มอันมิดชิดใกล้หนทาง ในหนทางที่เนื้อทั้งสองแม้นั้นเดินมา มีพราน
คนหนึ่งยืนอยู่ในซุ้มอันมิดชิด. ลูกเนื้อตัวเมียได้กลิ่นมนุษย์ จึงคิดว่า จักมี
พรานคนหนึ่งยืนอยู่ จึงทำเนื้อเขลาตัวนั้น ให้อยู่ข้างหน้า ส่วนตนเองอยู่ข้าง
หลัง. นายพรานได้ทำอาทิผิด สระเนื้อตัวนั้นให้ล้มลงตรงนั้นนั่นเอง ด้วยการยิงด้วยลูกศร
ครั้งเดียวเท่านั้น. ลูกเนื้อตัวเมียรู้ว่าเนื้อนั้นถูกยิง จึงโดดหนีไปโดยการไป
ด้วยกำลังเร็วปานลม. นายพรานออกจากซุ้มชำแหละเนื้อก่อไฟ ปิ้งเนื้ออร่อย
บนถ่านไฟอันปราศจากเปลว เคี้ยวกินแล้วดื่มน้ำ หาบเนื้อที่เหลือไปด้วย
ไม้คานมีหยาดเลือดไหล ได้ไปยังเรือน ให้พวกเด็ก ๆ ยินดีแล้ว.
 
๕๕/๑๓/๒๔๗

วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 23, 2567

Winyan

 
ตอบว่า ที่ว่าไม่ถูก หาควรไม่ เพราะความที่เหตุยังผลทั่วไปให้สำเร็จ
ได้ตั้งอยู่แล้ว ชื่อว่า ความพร้อมเพรียง หาใช่เหตุสักว่าการประชุมแห่ง
เหตุมิใช่น้อยไม่. ก็ผลทั่วไป ชื่อว่าการเห็นของบุคคลผู้ตาบอดทั้งหลายหา
มีไม่. เพราะเหตุไร เพราะแม้เมื่อคนตาบอดตั้งร้อยมีอยู่ ผลโดยทั่วไปก็ไม่มี
ก็ผลอันทั่วไปนั้น ของจักขุเป็นต้นมี เพราะความที่ธรรมมีจักษุวิญญาณเหล่านั้น
มีอยู่.
อีกอย่างหนึ่ง ความไม่มีเหตุทั้งหลายในความไม่พร้อมเพรียงเป็นเหตุ
ในความพร้อมเพรียงสำเร็จได้ ข้อนี้พึงทราบว่า เพราะความไม่มีผลในความ
ไม่พร้อมเพรียง แต่มีผลในความพร้อมเพรียง เพราะว่า เมื่อจักษุเป็นต้น
บกพร่อง จักษุวิญญาณอาทิผิด อักขระก็มีไม่ได้ และเมื่อจักขุเป็นต้นไม่บกพร่อง จักขุวิญญาณ
จึงสำเร็จประจักษ์แก่สัตวโลก นี้เป็นการแสดงอรรถด้วยสมยศัพท์ คือความ
พร้อมเพรียงก่อน.
ส่วนขณะที่ ๙ เว้นอขณะทั้ง ๘ ท่านเรียกว่า ขณะเพราะอรรถว่าเป็น
โอกาส กล่าวคือจักร ๔ มีการอยู่ในประเทศอันสมควรเป็นต้น ขณะนั้น เว้น
ความพร้อมเพรียงแห่งขณะ คือ ความเป็นมนุษย์ การเสด็จอุบัติขึ้นแห่ง
พระพุทธเจ้า การฟังพระสัทธรรม และมีสัมมาทิฏฐิเป็นต้นเสียก็มีไม่ได้ และ
ความเป็นมนุษย์เป็นต้น เป็นภาวะที่ได้โดยยาก โดยการอุปมาด้วยเต่าตาบอด
เป็นต้น กุศลอันเป็นอุปการะแก่โลกุตรธรรมทั้งหลาย อันประกอบด้วยขณะ
อันแสนจะได้ยากแท้ เพราะความที่ขณะเป็นของหาได้โดยยาก ดังพรรณนา
มาฉะนี้.
บรรดาสมยศัพท์ตามที่กล่าวแล้ว สมยศัพท์กล่าวคือขณะย่อมส่องถึง
ความเป็นของได้โดยยาก เพราะเป็นการเกิดขึ้นแห่งกุศล ว่าโดยฐานะที่แสดง
 
๗๕/๑๖/๒๒๒

วันพุธ, พฤษภาคม 22, 2567

Maengpong

 
สองบทว่า ตีหิ สตฺตาเหน คือ ๓ ข้าง ๆ ละสัปดาหะหนึ่ง.
สองบทว่า ชนํ อุสฺสาเรตฺวา คือ ให้ไล่คนออกไปเสีย.

เรื่องพระเจ้าจัณฑปัชโชต
สามบทว่า เชคุจฺฉํ เม สปฺปิ มีความว่า ได้ยินว่า พระราชานี้
มีกำเนิดแห่งแมงป่องอาทิผิด อักขระ, เนยใสเป็นยาและเป็นของปฏิกูลของแมงป่องอาทิผิด อักขระทั้งหลาย
เพราะกำจัดพิษแมงป่องอาทิผิด อักขระเสีย; เพราะฉะนั้น ท้าวเธอจึงรับสั่งอย่างนั้น.
สองบทว่า อุทฺเทกํ ทสฺสุติ คือ จักให้อาเจียน.
สองบทว่า ปญฺญาสโยชนิกา โหติ มีความว่า ช้างพังชื่อภัททวติกา
เป็นพาหนะสามารถเดินทางได้ ๕๐ โยชน์.
แต่พระราชานั้นจะมีแต่ช้างพังอย่างเดียวเท่านั้นหามิได้, ถึงช้างพลาย
ชื่อว่านาฬาคิรี ย่อมเดินทางได้ ๑๐๐ โยชน์. ม้า ๒ ตัว คือเวลุกัณณะตัวหนึ่ง
มุญชเกสะตัวหนึ่ง ย่อมเดินทางได้ ๑๒๐ โยชน์. ทาสชื่อกากะ ย่อมเดินทาง
ได้ ๖๐ โยชน์.
ได้ยินว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่บังเกิดขึ้น วันหนึ่งเมื่อกุลบุตร ผู้
หนึ่งนั่งเพื่อจะบริโภค พระปัจเจกพุทธเจ้ายืนอยู่ที่ประตูแล้วได้ไปเสีย. บุรุษ
คนหนึ่ง บอกแก่กุลบุตรนั้นว่า พระปัจเจกพระพุทธเจ้ามาแล้วไปเสียแล้ว.
กุลบุตรนั้นได้ฟังจึงบอกว่า ท่านจงไป, จงนำบาตรมาโดยเร็ว ดังนี้ ให้นำ
บาตรมาแล้ว ให้ภัตที่เตรียมไว้สำหรับตนทั้งหมดส่งไป.
บุรุษนอกนี้ นำบาตรนั้นส่งไปถึงมือของพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วได้
กระทำความปรารถนาว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ด้วยประกอบความขวนขวายทาง
กาย ที่ข้าพเจ้ากระทำแก่ท่านนี้ ข้าพเจ้าเกิดในที่ไร ๆ ขอจงเป็นผู้พร้อมมูล
 
๗/๑๗๓/๓๒๕

วันอังคาร, พฤษภาคม 21, 2567

Chan

 
ทั้งหลาย เพราะกระทำแสงสว่าง และมีความเยือกเย็น เพราะให้รู้ได้ว่า วันนี้
เป็นกฤติกาฤกษ์ วันนี้เป็นโรหิณีนักษัตร เพราะประกอบด้วยพระจันทร์อาทิผิด อาณัติกะ. ท่าน
กล่าวพระอาทิตย์ว่า มีความร้อนเป็นประมุข เพราะเป็นเลิศของสิ่งที่ร้อนทั้งหลาย.
อนึ่ง ท่านกล่าวว่า พระสงฆ์แลเป็นประมุขของผู้หวังบุญบูชาอยู่โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งหมายถึงพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขในสมัยนั้น เพราะเป็นผู้เลิศ
แห่งทักขิไณยบุคคลทั้งหลาย. เพราะเหตุนั้น ท่านแสดงว่า พระสงฆ์เป็นทาง
เจริญแห่งบุญ ดังนี้.
ท่านกล่าวคาถาพยากรณ์อื่น ๆ ว่า ที่พึ่งนั้นใด. ความของคาถานั้น
ดังต่อไปนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีจักษุด้วยจักษุ ๕ เพราะเราทั้งหลาย
ได้มาถึงสรณะนั้น ๆ ในวันที่ ๘ แต่วันนี้ ฉะนั้น จึงฝึกตนแล้ว ด้วยการฝึก
ที่ไม่มีการฝึกอื่นยิ่งกว่า ในศาสนาของพระองค์ น่าอัศจรรย์นัก อานุภาพแห่ง
สรณะของพระองค์. ต่อแต่นั้น ได้ชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยคาถาอีก
๒ คาถา เมื่อขอไหว้เป็นครั้งที่สามจึงกล่าวว่า ภิกษุ ๓๐๐ รูปเหล่านั้น เป็น
ต้นแล.
 
๒๑/๖๑๒/๓๐๓

วันจันทร์, พฤษภาคม 20, 2567

Chedi

 
สิกขาบทวิภังค์
[๓๐๕] บทว่า อนึ่ง. . .ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด. . .
บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ. . .
นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า งานช่วยเหลือสำหรับคฤหัสถ์ คือ ต้มยาคูก็ดี หุงข้าว
ก็ดี ทำของเคี้ยวก็ดี หรือซักผ้าสาฎกก็ดี ผ้าโพกก็ดี ของชาวบ้าน ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์.

อนาปัตติวาร
[๓๐๖] ต้มยาคูถวายสงฆ์ ๑ หุงข้าวถวายสงฆ์ ๑ ในการบูชาเจดีย์อาทิผิด อาณัติกะ
ต้มยาคูก็ดี หุงข้าวก็ดี ทำของเคี้ยวก็ดี ซักผ้าสาฎกก็ดี ผ้าโพกก็ดี ให้แก่
ไวยาวัจกรของตน ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ

อรรถกถาจิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๔
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๔ พึงทราบดังนี้ :-
ในบทว่า ยาคู วา เป็นต้น พึงทราบว่า เป็นทุกกฏ โดยนับประโยค
ในทุก ๆ ประโยค ตั้งต้นแต่การบดข้าวสารเป็นต้น . ในข้าวต้มและข้าวสวย
พึงทราบว่า เป็นปาจิตตีย์มากตัว โดยการนับภาชนะ. ในของควรเคี้ยวเป็นต้น
เป็นปาจิตตีย์มากตัว โดยการนับชนิดของ.
 
๕/๓๐๖/๓๒๘

วันอาทิตย์, พฤษภาคม 19, 2567

Sangkha

 
สังฆเภทักขันธกวรรณนา
วินิจฉัยในสังฆอาทิผิด อักขระเภทักขันธกะ พึงทราบดังนี้:-
สองบทว่า อภิญฺญาตา อภิญฺญาตา มีความว่า อมาตย์ ๑๐ คน
มีกาฬุทายีอมาตย์เป็นต้น พร้อมด้วยพวกบริวารและชนเป็นอันมากเหล่าอื่น
ชื่อศากยกุมารผู้ปรากฏแล้ว ๆ.
บทว่า อมฺหากํ คือในเราทั้งหลาย. อีกอย่างหนึ่ง มีคำอธิบายว่า
จากสกุลของเราทั้งหลาย.
สองบทว่า ฆราวาสตฺถํ อนุสิสฺสามิ มีความว่า กิจอันใดเธอพึง
ทำในฆราวาส พี่จักให้ทราบกิจนั้น.
บทว่า อติเนตพฺพํ คือ พึงไขน้ำเข้า.
บทว่า นินฺเนตพฺพํ มีความว่า น้ำจะเป็นของเสมอกันในที่ทั้งปวง
โดยประการใด พึงให้โดยประการนั้น.
บทว่า นิทฺทาเปตพฺพํ คือ พึงดายหญ้า.
สองบทว่า ภุสิกา อุทฺธราเปตพฺพา มีความว่า ธัญชาติที่ปน
กับฟางละเอียด พึงคัดออกแม้จากฟาง.
บทว่า โอผุนาเปตพฺพํ มีความว่า พึงยังลมให้ถือเอา (พึงให้ลม
พัด) เพื่อฝัดโปรยหญ้าและฟางละเอียดออก.
ข้อว่า เตนหิ ตฺวญฺเญว ฆราวาสตฺเถน อุปชานาหิ มีความ
ว่า ท่านนั่นแลพึงทราบเพื่อการครองเรือน.
ในคำว่า อหํ ตยา ยถาสุขํ ปพฺพชาหิ นี้ พึงทราบเนื้อความ
ดังนี้ :-
 
๙/๔๑๓/๓๒๖

วันเสาร์, พฤษภาคม 18, 2567

Amit

 
บุคคลไม่ควรเปิดเผยข้อความลับเลย ควรรักษา
ข้อความลับนั้นไว้ ดุจบุคคลรักษาขุมทรัพย์ ฉะนั้น
ข้อความลับอันบุคคลผู้รู้แจ้งไม่ทำให้ปรากฏนั่นแลดี.
บัณฑิตไม่ควรบอกความลับแก่สตรี และแก่คน
ไม่ใช่มิตร กับอย่าบอกความในใจแก่บุคคลที่อามิส
ลากไป และแก่คนไม่ใช่มิตร.
ผู้มีปรีชาย่อมอดทนต่อคำด่าคำบริภาษ และการ
ประหารแห่งบุคคลผู้รู้ข้อความลับซึ่งผู้อื่นไม่รู้ เพราะ
กลัวแต่แพร่ความลับที่คิดไว้ ประหนึ่งคนเป็นทาส
อดทนต่อคำด่าเป็นต้นแห่งนาย ฉะนั้น ชนทั้งหลาย
รู้ความลับที่ปรึกษากันของบุคคลผู้หนึ่งเพียงใด ความ
หวาดสะดุ้งของบุคคลนั้น ย่อมเกิดขึ้นเพียงนั้น เพราะ
เหตุนั้น ผู้ฉลาดไม่ควรสละความลับ.
บุคคลกล่าวความลับในเวลากลางวัน พึงหา
โอกาสที่เงียบ เมื่อจะพูดความลับในเวลาค่ำคืน อย่า
ปล่อยเสียงให้เกินเขต เพราะว่าคนแอบฟังความ ย่อม
จะได้ยินความลับที่ปรึกษากัน เพราะฉะนั้น ความลับ
ที่ปรึกษากันจะถึงความแพร่งพรายทันที.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ถิยา แปลว่า แก่สตรี. บทว่า อมิตฺ-
ตสฺส จ ความว่า ไม่ควรบอกแก่ศัตรู. บทว่า สํหีโร ความว่า ก็บุคคล
ใดถูกอามิสอาทิผิด อักขระอย่างใดอย่างหนึ่งลากไป คือถึงการพูดชักชวนและสงเคราะห์ ไม่พึง
บอกความลับแก่บุคคลแม้นั้น. บทว่า หทยตฺเถ โน ความว่า ก็บุคคลใด
 
๖๓/๖๘๖/๔๒๔

วันศุกร์, พฤษภาคม 17, 2567

Nayok

 
รุ่งเรืองควรบูชา ดังกองไฟ เราได้เห็นพระนายกอาทิผิด อักขระของโลก
ทรงรุ่งโรจน์ดุจดวงไฟ เหมือนสายฟ้าในอากาศ เช่นกับ
พญารัง มีดอกบานสะพรั่ง เพราะอาศัยการได้เห็น
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐ เป็นมหาวีระ ทรงทำที่
สุดทุกข์ เป็นมุนีนี้ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ครั้นเรา
ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นเทวดาล่วงเทวดาแล้ว
ได้ตรวจดูลักษณะว่าเป็นพระพุทธเจ้าหรือมิใช่ มิฉะนั้น
เราจะดูพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีจักษุ เราได้เห็นจักรมีกำ
พันหนึ่งที่พื้นฝ่าพระบาท ครั้นได้เห็นพระลักษณะของ
พระองค์แล้ว จึงถึงความตกลงในพระตถาคต.
ในกาลนั้น เราจับไม้กวาดกวาดที่นั่นแล้ว ได้นำเอา
ดอกไม้ ๘ ดอกมาบูชาพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ครั้น
บูชาพระพุทธเจ้าผู้ข้ามโอฆะไม่มีอาสวะนั้นแล้ว ทำ
หนังเสือดาวเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง นมัสการพระนายกของ
โลก พระสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีอาสวะ ทรงอยู่ด้วย
พระญาณใด เราจักประกาศพระญาณนั้น ท่านทั้งหลาย
จงฟังคำเรากล่าว พระสยัมภูผู้มีความเจริญมากที่สุด ทรง
ถอนสัตวโลกนี้แล้ว สัตว์เหล่านั้นอาศัยการได้เห็น
พระองค์ ย่อมข้ามกระแสน้ำคือความสงสัยได้ พระองค์
เป็นพระศาสดา เป็นยอด เป็นธงชัย เป็นหลัก เป็น
ร่มเงา เป็นที่พึ่ง เป็นประทีปส่องทาง เป็นพระ-
พุทธเจ้าของสัตว์ทั้งหลาย น้ำในสมุทรอาจประมาณด้วย
 
๕๓/๓๙๖/๒๕๑

วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 16, 2567

Haeng

 
๗. อิสสรสูตร

[๒๑๑] เทวดาทูลถามว่า
อะไรหนอเป็นใหญ่ในโลก อะไร
หนอเป็นสูงสุดแห่งอาทิผิด อักขระภัณฑะทั้งหลาย อะไร
หนอเป็นดังสนิมศัสตราในโลก อะไรหนอ
เป็นเสนียดในโลก ใครหนอนำของไปอยู่
ย่อมถูกห้าม แต่ใครนำไปกลับเป็นที่รัก
ใครหนอมาหาบ่อย ๆ บัณฑิตย่อมยินดี
ต้อนรับ.
[๒๑๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
อำนาจเป็นใหญ่ในโลก หญิงเป็น
สูงสุดแห่งภัณฑะทั้งหลาย ความโกรธเป็น
ดังสนิมศัสตราในโลก พวกโจรเป็นเสนียด
ในโลก โจรนำของไปอยู่ย่อมถูกห้าม แต่
สมณะนำไปกลับเป็นที่รัก สมณะมาหา
บ่อย ๆ บัณฑิตย่อมยินดีต้อนรับ.
 
๒๔/๒๑๑/๓๑๐

วันพุธ, พฤษภาคม 15, 2567

Kamnot

 
ท่านแสดงถึงอาพาธนั้นมีกรรมเป็นสมุฏฐาน จึงห้ามความที่กรรมเกิดจาก
ฤดูเปลี่ยนแปรเป็นต้นอันรู้สึกเจ็บปวด. บทว่า ทุกฺขํ ได้แก่ ทุกข์อัน
ปุถุชนไม่สามารถจะทานได้. บทว่า ติปฺปํ แปลว่า แรงกล้า หรือหนัก
เพราะครอบงำเป็นไป. บทว่า ขรํ แปลว่า กล้าแข็ง. บทว่า กฏุกํ
แปลว่า ไม่สำราญ. บทว่า อธิวาเสนฺโต แปลว่า ยับยั้ง คือ อดกลั้น
อดทน เป็นอย่างสูง. บทว่า สโต สมฺปชาโน ได้แก่ มีสติ มีสัมปชัญญะ
ด้วยอำนาจสติและสัมปชัญญะ อันเป็นตัวกำหนดอาทิผิด สระเวทนา. ท่านกล่าวคำ
อธิบายนี้ไว้ว่า ธรรมดาว่าเวทนานี้ ชื่อว่าไม่เที่ยง เพราะอรรถว่ามีแล้ว
กลับไม่มี ชื่อว่า ปฏิจจสมุปปันนะ เพราะอาศัยปัจจัยมีอารมณ์ที่ไม่น่า
ปรารถนาเป็นต้นเกิดขึ้น ชื่อว่า มีความสิ้น มีความเสื่อม มีคลายกำหนัด
มีดับเป็นธรรมดา เพราะมีการเกิดขึ้นแล้วแตกไปโดยส่วนเดียวเป็นสภาวะ
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า สโต มีสติ เพราะเป็นผู้กระทำสติโดยกำหนด
เวทนาว่าเป็นอนิจจตาความไม่เที่ยง และชื่อว่าเป็นผู้มีสัมปชัญญะ เพราะ
แทงตลอดสภาวะที่ไม่แปรผัน. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เป็นผู้มีสติ เพราะมี
สติปรากฏด้วยดีในกาย เวทนา จิต และธรรม ในที่ทุกแห่ง โดยถึงความ
เป็นผู้ไพบูลย์ด้วยสติ ชื่อว่า เป็นผู้มีสัมปชัญญะ เพราะเป็นผู้กำหนด
สังขาร โดยถึงความเป็นผู้ไพบูลย์ด้วยปัญญา โดยประการนั้น. บทว่า
อวิหญฺญมาโน ความว่า ไม่เดือดร้อนเหมือนอันธปุถุชน โดยนัยดังตรัส
ไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ อันทุกขธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง
ถูกต้องแล้ว ย่อมเศร้าโศก ย่อมลำบาก ย่อมร่ำไร คร่ำครวญ ตีอก ถึง
ความงมงาย ดังนี้ ไม่ให้ทุกข์ทางใจเกิดขึ้น เพราะถอนขึ้นได้ด้วยมรรค
นั่นเอง นั่งอดกลั้นทุกข์ในร่างกายซึ่งเกิดแต่วิบากแห่งกรรมอย่างเดียว
 
๔๔/๖๖/๒๗๙

วันอังคาร, พฤษภาคม 14, 2567

Ton

 
พึงทราบคาถาว่า วิสชฺช คนฺถานิ มุนีสละแล้วซึ่งกิเลสเครื่องร้อย-
รัดทั้งหลายในโลกนี้ ดังนี้เป็นต้นต่อไป. ในบทเหล่านั้น บทว่า อนุคฺคโห
คือเว้นจากความถือมั่น. ชื่อ อนุคฺคโห เพราะไม่มีการถือมั่น หรือเพราะ
ไม่ถือมั่น. บทว่า คนฺเถ โวสฺสชฺชิตฺวา วา วางกิเลสเครื่องร้อยรัด
ทั้งหลาย คือสละกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหลายมีอภิชฌาเป็นต้น. บทว่า
วิสชฺช สละแล้ว คือละโดยไม่ยึดมั่นอีก. บทว่า คถิเต รัด คือผูกแน่น.
บทว่า คนฺถิเต พัน คือพันไว้เหมือนจับด้าย. บทว่า พนฺเธ เหนี่ยวรั้ง
คือรั้งไว้อย่างดี. บทว่า วิพนฺเธ เกาะเกี่ยว คือเกาะเกี่ยวหลายอย่าง.
บทว่า ปลิพุทฺเธ พัวพัน คือผูกติดกันโดยรอบ. บทว่า พนฺธเน ผูก
ไว้ คือผูกไว้ด้วยกิเลส. บทว่า โผฏยิตฺวา คือ คลายแล้ว. บทว่า สชฺชํ
วิสชฺชํ กโรนฺติ ทำการปลดปล่อย คือทำให้เป็นของใช้ไม่ได้. บทว่า
วิโกปนฺติ คือ ทำให้แหลกไปเป็นชิ้น ๆ. มีอะไรที่จะกล่าวยิ่งกว่านั้นอีก
มีดังต่อไปนี้.
นรชนเห็นปานนั้นพึงทราบคาถาว่า ปุพฺพาสเว มุนีละอาสวะอันมี
ก่อน ดังนี้เป็นต้นต่อไป.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺพาสเว ได้แก่ กิเลสอันเกิดขึ้นปรารภ
รูปในอดีตเป็นต้น. บทว่า นเว ไม่ทำอาสวะใหม่ ได้แก่ กิเลสอันเกิดขึ้น
ปรารภรูปในปัจจุบันเป็นต้น. บทว่า น ฉนฺทคู ไม่เป็นผู้ดำเนินไปด้วย
ความพอใจ คือไม่ไปด้วยอำนาจฉันทาคติเป็นต้น. บทว่า อนตฺตครหี ไม่
เป็นผู้ติเตียนตนอาทิผิด อักขระ คือไม่ติเตียนตนด้วยการกระทำและไม่กระทำ อย่างนี้แล
ชื่อว่าไม่ติเตียนตน. พึงทราบคาถาต่อไปว่า ส สพฺพธมฺเมสุ มุนีนั้น
กำจัดเสนาในธรรมทั้งปวง.

๑. ม. สจฺจํ.
 
๖๖/๖๙๙/๒๗๕

วันจันทร์, พฤษภาคม 13, 2567

Bueang

 
ทรงทราบว่า ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่า ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่าง
หนึ่ง เมื่อไม่ทรงรู้ ไม่ทรงเห็น ก็ขอจงตรัสบอกตรง ๆ เถิดว่า เราไม่รู้ ไม่
เห็น ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ ขอจง
ทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ ถ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงทราบว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ ขอจงทรงพยากรณ์
แก่ข้าพระองค์เถิดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ไม่ทรงทราบว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ หรือว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไป
ไม่มีอยู่ เมื่อไม่ทรงรู้ ไม่ทรงเห็น ก็ขอจงตรัสบอกตรง ๆ เถิดว่า เราไม่รู้ เรา
ไม่เห็น ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี
ไม่มีอยู่ก็มี ขอจงทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไป
มีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตาย
ไปมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ ขอจงทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่า สัตว์
เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรง
ทราบว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี หรือว่าสัตว์เบื้องอาทิผิด อักขระหน้า
แต่ตายไปมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ เมื่อไม่ทรงรู้ ไม่ทรงเห็น ก็ขอจงตรัสบอก
ตรง ๆ เถิดว่า เราไม่รู้ เราไม่เห็น.
[๑๔๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมาลุงกยบุตร เราได้พูด
ไว้อย่างนี้กะเธอหรือว่า เธอจงมาประพฤติพรหมจรรย์ในเราเถิด เราจัก
พยากรณ์ทิฏฐิ ๑๐ แก่เธอ ฯ ล ฯ
ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
ก็หรือว่า ท่านได้พูดไว้กะเราอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้า
พระองค์จักประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
จักทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์ ฯ ล ฯ
 
๒๐/๑๔๙/๓๐๐

วันอาทิตย์, พฤษภาคม 12, 2567

Pao

 
๑๐๐. อรรถกถาพุทธุปัฏฐากเถราปทาน
อปทานของท่านพระพุทธุปัฏฐากเถระ มีคำเริ่มต้นว่า วิปสฺสิสฺส
ภควโต ดังนี้.
พระเถระแม้นี้ ได้บำเพ็ญกุศลสมภารในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
สั่งสมบุญทั้งหลายอันเป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพานในภพนั้น ๆ ในกาลแห่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี บังเกิดในตระกูลคนเป่าอาทิผิด สระสังข์ เจริญ
วัยแล้วได้เป็นผู้ฉลาดในศิลปะ คือในการเป่าสังข์ของตน. ท่านเป่าสังข์
ถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอดกาลเป็นนิตย์ แล้วบูชาด้วยเสียงสังข์นั่นเอง.
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ท่านได้
มีชื่อเสียงกึกก้องบันลือลั่นปรากฏไปทั่วทุกสถาน. ในพุทธุปบาทกาลนี้
บังเกิดในตระกูลที่ปรากฏแห่งหนึ่ง เจริญวัยแล้ว ปรากฏโดยชื่อว่า
มธุสสระ ดังนี้ เลื่อมใสในพระศาสดา บวชแล้วไม่นานนักก็ได้เป็นพระ-
อรหันต์. ภายหลังท่านปรากฏชื่อว่า มธุรัสสรเถระ ดังนี้.
วันหนึ่ง ท่านระลึกถึงบุพกรรมของตน เกิดโสมนัส เมื่อจะประกาศ
ปุพพจริตาปทาน จึงกล่าวคำมีอาทิว่า วิปสฺสิสฺส ภควโต ดังนี้. คำนั้น
ท่านได้กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. บทว่า อโหสึ สงฺขธมโก ความว่า
ชื่อว่า สังขะ เพราะขุดด้วยดีไป. อธิบายว่า เที่ยวไปในที่สุดแห่งน้ำใน
สมุทร. ชื่อว่า สังขธมกะ ผู้เป่าสังข์นั้นทำเสียงให้กึกก้อง อธิบายว่า
เรานั้นได้เป็นผู้เป่าสังข์นั้นเอง. คำที่เหลือในบททั้งปวง มีอรรถตื้น
ทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาพุทธุปัฏฐากเถราปทาน
จบอรรถกถาสุธาวรรคที่ ๑๐
 
๗๑/๑๐๒/๓๕๑

วันเสาร์, พฤษภาคม 11, 2567

Phrangphrom

 
ผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมอาทิผิด อาณัติกะด้วยอริยมรรค เจริญอริย-
มรรคอยู่ นี้แลคือ สัมมากัมมันตะที่เป็นอริยะเป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ
เป็นองค์มรรค.
ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉากัมมันตะ เพื่อบรรลุสัมมากัม
มันตะ ความพยายามของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ.
ภิกษุนั้นมีสติ ละมิจฉากัมมันตะได้ มีสติบรรลุสัมมากัมมันตะ
อยู่ สติของเธอนั้น เป็นสัมมาสติ.

ธรรมะที่ห้อมล้อมสัมมากัมมันตะ

ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวา-
ยามะ ๑ สัมมาสติ ๑ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตามสัมมากัมมันตะของ
ภิกษุนั้น.
[๒๗๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฏฐิ
ย่อมเป็นประธาน ก็สัมมาทิฏฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ ภิกษุรู้จัก มิจฉา-
อาชีวะว่าเป็นมิจฉาอาชีวะ รู้จักสัมมาอาชีวะว่าเป็นสัมมาอาชีวะ ความ
รู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฏฐิ.

มิจฉาอาชีวะ

[๒๗๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาอาชีวะเป็นไฉน ? ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย การโกง ๑ การล่อลวง ๑ การตลบตะแลง ๑ การทำ
อุบายโกง ๑ การเอาลาภต่อลาภ ๑ นี้คือ มิจฉาอาชีวะ.

สัมมาอาชีวะ ๒

[๒๗๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาอาชีวะเป็นไฉน ? ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสัมมาอาชีวะไว้เป็น ๒ อย่าง คือ สัมมาอาชีวะที่
 
๒๒/๒๗๓/๓๔๘