สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ ซึ่งเป็นอเสขะ
แทงตลอดอริยสัจจะแล้วตั้งอยู่ ก้าวล่วงตัณหาอย่างนี้แล้วตั้งอยู่ ดับไฟ
กิเลสแล้วตั้งอยู่ ตั้งอยู่ด้วยไม่ต้องไปรอบ ยึดถือเอายอดแล้วตั้งอยู่ ตั้งอยู่
ด้วยเป็นผู้ซ่องเสพวิมุตติ ดำรงอยู่ด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
อันบริสุทธิ์ ดำรงอยู่ด้วยความบริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ดำรงอยู่ในความเป็น
ผู้ไม่แข็งกระด้างด้วยตัณหาทิฏฐิมานะอันบริสุทธิ์ตั้งอยู่เพราะเป็นผู้หลุดพ้น
ตั้งอยู่เพราะเป็นผู้สันโดษ ตั้งอยู่ในส่วนสุดรอบแห่งขันธ์ ธาตุ อายตนะ
คติ อุปบัติ ปฏิสนธิ ภพ สงสาร วัฏฏะ ตั้งอยู่ในภพอันมีในที่สุด
ตั้งอยู่ในสรีระอันมีในที่สุด ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด สมจริงดังคาถา
ประพันธ์ว่า :-
พระขีณาสพนั้นมีภพนี้เป็นที่สุด มีสรีระนี้เป็นทีอาทิผิด อาณัติกะ
หลัง มิได้มีชาติ มรณะ สงสาร และภพใหม่.
เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า เหมือนบุคคลวิดน้ำในเรือแล้วไปถึงฝั่ง ฉะนั้น.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
เพราะเหตุนั้น สัตว์ผู้เกิดมา พึงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ
พึงเว้นขาดกามทั้งหลาย ครั้นเว้นขาดกามอาทิผิด อักขระเหล่านั้นแล้ว
พึงข้ามโอฆะได้ เหมือนบุคคลวิดน้ำในเรือแล้วไปถึงฝั่ง
ฉะนั้น ดังนี้.
จบ กามสุตตนิทเทส ที่ ๑
๖๕/๒๙/๓๒
เหลืองด้วยสำคัญว่าเป็นเนื้อกวาง เมื่อกาลผ่านไปแล้ว สำคัญว่ายังเป็นกาลอยู่
ห้ามภัตแล้วสำคัญว่าไม่ได้ห้ามภัต เมื่อของที่ยังมิได้รับประเคนตกไปในบาตร
ย่อมฉันด้วยสำคัญว่ารับประเคนแล้ว อย่างนี้ ชื่อว่า การทำการก้าวล่วงด้วย
ความสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร. ภิกษุเมื่อขบฉันเนื้อสุกรด้วยความสำคัญว่า
เป็นเนื้อหมี และฉันอาหารในเวลาด้วยสำคัญว่านอกเวลา ชื่อว่า กระทำการ
ก้าวล่วงด้วยความสำคัญในของที่ควรว่าไม่ควร.
อนึ่ง สิ่งบางอย่างไม่มีโทษภิกษุกระทำอาทิผิด สระด้วยความสำคัญว่ามีโทษและที่
มีโทษทำความสำคัญว่าไม่มีโทษ ชื่อว่า กระทำการก้าวล่วงด้วยความสำคัญใน
สิ่งที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ ด้วยความสำคัญในสิ่งที่มีโทษว่าไม่มีโทษ. ก็เพราะกุกกุจ
จะนี้ย่อมเกิดขึ้นเพราะการก้าวล้วงที่ทำแล้ว ความสำคัญว่ามีโทษในของที่ไม่มี
โทษอย่างนี้ว่า กรรมอันดีเรายังมิได้กระทำหนอ กุศลเรายังมิได้กระทำ เครื่อง
ป้องกันอาทิผิด อาณัติกะของคนกล้า ยังมิได้กระทำหนอ บาปเรากระทำแล้วหนอ ความหยาบ
ช้า เรากระทำแล้ว ความร้ายกาจเรากระทำแล้ว ดังนี้ เพราะฉะนั้น พระผู้
มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงอนุญาตวัตถุแม้อื่นแก่ภิกษุผู้มีกุกกุจจะนั้นจึงตรัสคำมี
อาทิว่า การรำคาญ ฯลฯ ซึ่งมีลักษณะเห็นปานนี้ อันใด ดังนี้. ในอธิการ
นี้ บทว่า กุกกุจจะ มีอรรถง่ายทั้งนั้น. อาการแห่งความรำคาญ ชื่อว่า
กุกฺกุจฺจายนา (กิริยาที่รำคาญ) ภาวะแห่งธรรมอันกุกกุจจะให้เป็นไปแล้ว
ชื่อว่า กุกฺกุจฺจายิตตฺตํ (ความรำคาญ).
ในคำว่า เจตโส วิปฺปฏิสาโร (ความเดือดร้อนใจ) นี้ ความว่า
การเผชิญหน้าต่อกรรมที่ทำแล้วและยังไม่ทำ หรือเผชิญหน้าต่อสิ่งที่มีโทษและ
ไม่มีโทษ ชื่อว่า วิปฏิสาร (ความเดือดร้อน) ก็เพราะความวิปฏิสารนั้น
ย่อมทำบาปอันทำแล้วให้เป็นกรรมที่ยังไม่กระทำ หรือย่อมไม่กระทำความดี
๗๖/๗๗๙/๔๖๔
กล่าวด้วยสามารถเรื่องราว แม้ของพระสิขีเป็นต้น, ก็เหมือนของพระวิปัสสี.
แต่บาลีย่อไป. พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายตรัส ๒๑ ภาณวาร ด้วย
สามารถพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ด้วยประการฉะนี้ เทวดาชั้นอวิหา อตัปปา
สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา ก็กล่าวเหมือนอย่างนั้น. แม้ทั้งหมดก็เป็น ๒๖๐๐
ภาณวาร. พระสูตรอื่นในพุทธวจนะอันเป็นไตรปิฎก ไม่มีจำนวน ๒๖๐๐
ภาณวาร. พึงทราบว่า พระสูตรนี้ชื่อว่าสุตตันตราชสูตร. พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อจะทรงกำหนดแม้อนุสนธิทั้งสองต่อจากนี้ จึงตรัสว่า อิติโข ภิกฺขเว ดังนี้
เป็นอาทิ. บททั้งหมดนั้นมีใจความง่ายอยู่แล้ว.
จบอรรถกถามหาปทานสูตรในทีฆนิกาย ชื่ออาทิผิด สุมังคลวิลาสินีด้วย
ประการฉะนี้.
จบสูตรที่ ๑
๑๓/๕๖/๑๖๔
ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๗ เป็นพระวินัยธรได้ คือรู้อาบัติ ๑
รู้สิ่งมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑ เป็นผู้มีสุตะมาก ทรงจำสุตะอาทิผิด
สั่งสมสุตะ ธรรมเหล่านั้นใดไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะ
ในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์
บริบูรณ์สิ้นเชิง ธรรมเห็นปานนั้น เธอสดับมาก ทรงไว้ สั่งสมด้วยวาจา
เพ่งด้วยใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ ๑ สำหรับฌาน ๔ ฝ่ายกุศลเจตสิกเป็น
เครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน เธอเป็นผู้ได้ตามความปรารถนาได้ไม่ยาก ได้ไม่
ลำบาก ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ ไม่มีอาสวะเพราะสิ้นอาสวะ
ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันนี้แหละ เข้าถึงอยู่ ๑
ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๗ เป็นพระวินัยธรได้ คือรู้อาบัติ ๑
รู้สิ่งมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑ จำปาติโมกข์ทั้งสองได้โดย
พิสดาร จำแนกดี สวดคล่องแคล่ว วินิจฉัยถูกต้อง โดยสูตร โดยอนุ-
พยัญชนะ ๑ สำหรับฌาน ๔ ฝ่ายกุศลเจตสิก เป็นเครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน
เธอเป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ๑ ทำให้แจ้งซึ่ง
เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ไม่มีอาสวะเพราะสิ้นอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตน
เอง ในปัจจุบันนี้แหละเข้าถึงอยู่ ๑
ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๗ เป็นพระวินัยธรได้ คือรู้อาบัติ ๑
รู้สิ่งมิใช่อาทิผิด อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบา ๑ รู้อาบัติหนัก ๑ ระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก
คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง
หกชาติบ้าง เจ็ดชาติบ้าง แปดชาติบ้าง เก้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติ
๑๐/๙๙๓/๕๐๖
“ ข่าวว่า พระศาสดาจักปรินิพพาน, พวกเราจักทำ อย่างไรกันเล่า ?”
พระศาสดาอาทิผิด อักขระรับสั่งให้หาตัว
พระศาสดารับสั่งให้เรียกเธอมาแล้ว ตรัสถามว่า “ ข่าวว่า เธอทำ
อย่างนั้น จริงหรือ ?”
พระธรรมารามะ. จริง พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เพราะเหตุอะไร ?.
พระธรรมารามะ. ข่าวว่า พระองค์จักปรินิพพานโดยกาลล่วงไป
๔อาทิผิด เดือน, ส่วนข้าพระองค์ เป็นผู้มีราคะไม่ไปปราศ, เมื่อพระองค์ยังทรง
พระชนม์อยู่นี้แหละ, ข้าพระองค์จักพยายามบรรลุพระอรหัต เพราะเหตุ
นั้น ข้าพระองค์จึงนึก คิด ระลึก ถึงธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้วอยู่.
พระศาสดาทรงอนุโมทนาด้วย
พระศาสดาประทานสาธุการแก่เธอว่า “ ดีละ ๆ” แล้วตรัสว่า
“ ภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุผู้มีความรักใคร่ในเราแม้รูปอื่น พึงเป็นเช่นภิกษุ
ธรรมารามะนี้แหละ, แท้จริง ภิกษุทั้งหลาย เมื่อทำการบูชาด้วยระเบียบ
และของหอมเป็นต้น หาชื่อว่าทำการบูชาแก่เราไม่, ผู้ปฏิบัติธรรมสมควร
แก่ธรรมเท่านั้น จึงชื่อว่าบูชาเรา,” ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
๔. ธมฺมาราโม ธมฺมรโตอาทิผิด สระ ธมฺมํ อนุวิจินฺตยํ
ธมฺมํ อนุสฺสรํ ภิกฺขุ สทฺธมฺมา น ปริหายติ.
“ ภิกษุมีธรรมเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในธรรม
ใคร่ครวญอยู่ซึ่งธรรม ระลึกถึงธรรมอยู่ ย่อมไม่เสื่อม
จากพระสัทธรรม.”
๔๓/๓๕/๓๕๘
นั้นในจักษุเป็นต้นนั้น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า จกฺขุํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ
เอตฺเถสา ตณฺหา ปหียมานา ปหียติ - จักษุเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก
ตัณหานี้ เมื่อละย่อมละได้ในจักษุนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวว่า เพราะกำหนดรู้วัตถุที่ตัณหาเกิด
ตัณหาจึงดับไปในวัตถุที่ตัณหาเกิดด้วยดับไปโดยไม่ให้เกิด เพราะไม่เกิด
อีกต่อไปในวัตถุที่กำหนดรู้. อนึ่ง ในบทนี้ ท่านกล่าวว่า ตัณหาย่อม
ละได้ด้วยเป็นปฏิปักษ์ต่อความเกิด ย่อมดับไปด้วยเป็นปฏิปักษ์ต่อความ
ตั้งอยู่ ดังนั้น.
จบ อรรถกถานิโรธสัจนิทเทส
มัคคสัจนิทเทส
[๘๕]ในจตุรอริยสัจนั้น ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
เป็นไฉน อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แล คือ สัมมาทิฏฐิ... สัมมาสมาธิ.
ในอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน ความรู้ในทุกข์
ความรู้ในทุกขสมุทัยอาทิผิด อักขระ ความรู้ในทุกขนิโรธ ความรู้ในทุกขนิโรธคา-
มินีปฏิปทา นี้ท่านกล่าวว่า สัมมาทิฏฐิ.
ในอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน ความดำริ
ในความออกจากกาม ความดำริในความไม่พยาบาท ความดำริในความ
ไม่เบียดเบียน นี้ท่านกล่าวว่า สัมมาสังกัปปะ.
๖๘/๘๕/๔๕๗
ได้ไปสู่ภพดาวดึงส์ ในภพหลังครั้งนี้ เกิดใน
สกุลแห่งเศรษฐีใหญ่ ดิฉันได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
ได้ฟังสัทธรรมอันประกอบด้วยสัจจะ๑
บวชแล้ว ค้นคว้าอรรถธรรมทั้งปวง ยัง
อาสวะทั้งปวงให้สิ้นไปแล้ว ได้บรรลุพระอรหัต
โดยกาลไม่นานเลย
ข้าแต่พระมุนี หม่อมฉันอาทิผิด อักขระเป็นผู้มีความ
ชำนาญในฤทธิ์อาทิผิด ในทิพโสตธาตุ และในเจโต-
ปริยญาณ รู้ปุพเพนิวาสญาณและทิพยจักษุอันหมด
จดพิเศษ มีอาสวะทั้งปวงสิ้นไปแล้ว บัดนี้ภพ
ใหม่มิได้มีอีก
หม่อมฉันมีญาณอันปราศจากมลทิน
บริสุทธิ์ ในอรรถะ ธรรมะ นิรุตติ และปฏิภาณ
เพราะอำนาจพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด
หม่อมฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอน
ภพขึ้นได้ทั้งหมดสิ้นแล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกดัง
ช้างพังตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่
การที่หม่อมฉันได้มาในสำนักของพระ-
พุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เป็นการมาดีแล้วหนอ
วิชชา ๓ หม่อมฉันบรรลุแล้วโดยลำดับ คำสอน
ของพระพุทธเจ้าหม่อมฉันได้ทำเสร็จแล้ว
๑. สจฺจูปสํหิตํ.
๗๒/๑๘๐/๖๙๘
เป็นผู้มืดมนธ์ไปด้วยโมหะ ให้เวลาผ่านไป เมื่อมารดาบิดา ถึง
แก่กรรมลง ให้สิ่งที่ปรารถนาแก่ นักรำ นักร้อง เป็นต้น ผลาญ
ทรัพย์ให้วอดวายไป ไม่นานเท่าไรนัก ก็สิ้นเนื้อประดาตัว (เที่ยว)
ขอยืม (เงิน) เลี้ยงชีวิต ยืมหนี้ไม่ได้อีก ถูกพวกเจ้าหนี้ ทวงถาม
ก็ต้องให้ที่นาที่สวนและเรือนเป็นต้น ของตนแก่พวกเจ้าหนี้เหล่านั้น
ถือกระเบื้อง เที่ยวขอทานกิน พักอยู่ที่ศาลาคนอนาถา ในพระนคร
นั้นนั่นแล.
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พวกโจร มาประชุมกัน กล่าวกะเขา
อย่างนี้ว่า นายผู้เจริญ ท่านจะมีประโยชน์อะไรด้วยการเป็นอยู่
ลำบากอย่างนี้ ท่านยังเป็นหนุ่ม มีเรี่ยวแรงกำลังก็สมบูรณ์ เหตุไฉน
ท่านจึงอยู่เหมือนมีมือเท้าพิกล มาเถิด มาร่วมกับพวกเรา (เที่ยว)
ปล้นทรัพย์พวกชาวบ้านแล้ว เป็นอยู่สบายดี. ชายคนนั้น พูดว่า
เราไม่รู้วิธีทำโจรกรรม. พวกโจรตอบว่า พวกเราจะสอนให้เธอ
ขอให้เธอจงเชื่อคำของพวกเราอย่างเดียว. ชายนั้นรับคำแล้ว
ได้ไปกับพวกโจรเหล่านั้น. ลำดับนั้น พวกโจรเหล่านั้น ใช้ให้เขาถือ
ค้อนใหญ่ ตัดช่องย่องขึ้นเรือน ให้เขายืนตรงที่ปากช่องแล้วสอนว่า
ถ้าคนอื่นมาในที่นี้ เจ้าจงเอาไม้ค้อนอาทิผิด อักขระนี้ทุบผู้นั้นทีเดียวให้ตายเลย.
เขาเป็นคนบอดเขลา ไม่รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์
ได้ยืนอยู่แต่ในที่นั้น มองดูทางมาของคนเหล่าอื่นอย่างเดียว. ฝ่าย
พวกโจร เข้าไปยังเรือนแล้ว ถือเอาสิ่งของที่ควรถือเอาไปด้วย
พอพวกคนในเรือนรู้ตัวเท่านั้น ก็พากันหนีไปคนละทิศ คนละทาง.
๔๙/๘๖/๗
ที่นับเนื่องในอเสกขธรรม. บทว่า สีลกฺขนฺเธน แปลว่า ด้วยกองศีล.
ในบทว่า วิมุตฺติกฺขนฺเธนอาทิผิด นี้ เว้นศีลเป็นต้นเสีย ผลธรรมที่เหลือทั้ง ๓
ชื่อว่าวิมุตติ. วิมุตติญาณทัสสนะ ชื่อว่าปัจจเวกขณญาณ ปัจจอาทิผิด อักขระเวกขณ-
ญาณนั้น เป็นโลกียะอย่างเดียว.
จบอรรถกถาอังคสูตรที่ ๒
๓. สังโยชนสูตร
ว่าด้วยสังโยชน์ ๑๐ ประการ
[๑๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอาทิผิด สังโยชน์ ๑๐ ประการนี้ ๑๐ ประการ
เป็นไฉน คือ สังโยชน์เป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ ประการ สังโยชน์เป็น
ไปในส่วนเบื้องบน ๕ ประการ สังโยชน์เป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ ประการ
เป็นไฉน คือ สักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพตปรามาส ๑ กามฉันทะ ๑
พยาบาท ๑ สังโยชน์เป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ ประการนี้. สังโยชน์เป็น
ไปในส่วนเบื้องบน ๕ ประการเป็นไฉน คือ รูปราคะ ๑ อรูปราคะ ๑
มานะ ๑ อุทธัจจะ ๑ อวิชชา ๑ สังโยชน์เป็นไปในส่วนเบื้องบน
๕ ประการนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังโยชน์ ๑๐ ประการนี้แล.
จบสังโยชนสูตรที่ ๓
อรรถกถาสังโยชนสูตรที่ ๓
สังโยชนสูตรที่ ๓ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า โอรมฺภาคิยานิ แปลว่า เป็นส่วนเบื้องต่ำ. บทว่า อุทฺธมฺภา-
คิยานิ แปลว่า เป็นส่วนเบื้องบน. ในสูตรนี้ ท่านกล่าววัฏฏะอย่างเดียว.
จบอรรถกถาสังโยชนสูตรที่ ๓
๓๘/๑๓/๒๗
กระทำกิจเกี่ยวกับการตายของบิดามารดา เมื่อกระทำการตรวจตราใน
ข้อที่ลี้ลับ จึงรำพึงว่า ทรัพย์ที่บิดามารดารวบรวมไว้ยังปรากฏอยู่
แต่บิดามารดาไม่ปรากฏ จึงมีความสลดใจ เหงื่อไหลออกจากร่างกาย
เขาอยู่ครองเรือนเป็นเวลานาน ได้ให้ทานมากมายละกามทั้งหลาย ละ
หมู่ญาติผู้มีหน้านองด้วยน้ำตา เข้าป่าหิมพานต์สร้างบรรณศาลาอยู่
ในที่อันน่ารื่นรมย์ เที่ยวแสวงหารากไม้และผลไม้ในป่าเลี้ยงชีพ ไม่
นานเท่าไรก็ทำอภิญญาและสมาบัติให้เกิดขึ้น เล่นฌานอยู่มาช้านาน
จึงคิดได้ว่า เราไปยังถิ่นอาทิผิด สระมนุษย์จักได้เสพรสเค็มและรสเปรี้ยว เมื่อ
เป็นเช่นนั้น ร่างกายของเรา จักแข็งแรง และจักได้อาทิผิด สระเป็นการพักผ่อน
ของเราไปด้วย ทั้งชนเหล่าใดจักให้ภิกษาหรือจักกระทำการอภิวาท
เป็นต้นแก่ผู้มีศีลเช่นกับเรา ชนเหล่านั้นจักได้ไปเกิดบนสวรรค์
ครั้นคิดแล้วจึงออกจากป่าหิมพานต์ เที่ยวจาริกไปโดยลำดับจนถึงเมือง
พาราณสี ในเวลาใกล้ค่ำ จึงเที่ยวเลือกหาที่พักอาศัย แลเห็นพระ-
ราชอุทยานจึงคิดว่า ที่นี้สมควรแก่การหลีกเร้น เราจักพักอยู่ในที่นี้
ครั้นคิดแล้วจึงเข้าไปยังพระราชอุทยาน นั่งอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่งทำ
เวลาราตรีให้หมดไปด้วยความสุขในฌาน วันรุ่งขึ้นเวลาเช้า ชำระ
สรีระกายแล้ว จัดแจงผูกชฎาห่มหนังเสือและนุ่งผ้าเปลือกไม้ ถือ
ภาชนะสำหรับภิกขาจาร สำรวมอินทรีย์สงบระงับ สมบูรณ์ด้วย
อิริยาบถ ทอดจักษุดูไปชั่วแอก มีรูปสิริของตนสมบูรณ์ด้วยอาการ
ทั้งปวง อาจดึงเอาสายตาของชาวโลกให้แลอาทิผิด สระดู เดินเข้าพระนคร
๕๘/๓๕๔/๔
ปาริสัชชา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อภิภูภิกษุรับพระพุทธดำรัสของพระผู้มีพระ
ภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขีแล้ว แสดงธรรมีกถาแก่พรหม
พรหมบริษัท และพรหมชั้นปาริสัชชาแล้ว เมื่อพระเถระแสดงธรรมอยู่
พรหมทั้งหลาย ยกโทษว่า นาน ๆ พวกเราจักได้เห็นพระบรมศาสดาเสด็จมา
ยังพรหมโลก แต่ภิกษุนี้กีดกันพระศาสดา เตรียมจะแสดงธรรมกถาเสียเอง.
พระศาสดาทรงทราบว่า พวกพรหมเหล่านั้นไม่พอใจ จึงได้ตรัส
กะอภิภูภิกษุดังนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ พรหม พรหมบริษัท และพรหมชั้น
ปาริสัชชาพากันโทษเธอ ถ้าอย่างนั้น เธอจงทำให้พรหมเหล่านั้นสลดใจ เกิน
ประมาณเถิด พราหมณ์. พระเถระรับพระพุทธดำรัสแล้ว ทำการแผลงฤทธิ์
หลายอย่างหลายประการ เมื่อจะยังโลกธาตุพันหนึ่งให้ทราบชัดด้วยเสียง จึง
ได้กล่าว ๒ คาถาว่า อารมฺภถ นิกฺขมถ แปลว่า จงเริ่มเถิด จงเพียร
พยายามเถิด ท่านทั้งหลายดังนี้เป็นต้น.
ถามว่า ก็พระเถระทำอย่างไร จึงให้โลกธาตุตั้งพันหนึ่งทราบชัดได้.
ตอบว่า พระเถระเจ้าเข้านีลกสิณก่อนแล้ว แผ่ความมืดมนอันธการ
ไปทั่วทิศทั้งปวง แต่นั้น เมื่อสัตว์ทั้งหลายเกิดความคำนึงขึ้นว่า นี้เป็นความมืด
มนอันธการอะไร จึงแสดงแสงสว่าง. เมื่อพวกเขาคิดว่า นี้แสงสว่างอะไร จึง
แสดงตนให้เห็น เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายในพันจักรวาลจึงได้พากันยืนประคอง
อัญชลี นมัสการพระเถระอยู่ทีเดียว. พระเถระอธิษฐานว่า ขอมหาชน จงได้ยิน
เสียงของเราผู้แสดงธรรมอยู่ดังนี้แล้ว ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ไว้ เทวดาและมนุษย์
ทั้งหลายทั้งปวงได้ยินเสียงของพระเถระ เสมือนนั่งแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลาง
บริษัทที่พรั่งพร้อมแล้ว แม้ข้อความ (ที่แสดง) ก็ปรากฏอาทิผิด อักขระชัดแก่เทวดาและมนุษย์
เหล่านั้น.
๓๔/๕๒๐/๔๓๕
ธรรมบทนั้น จะทำประโยชน์ให้สำเร็จแก่โลกทั้งปวง
ได้" ดังนี้ อาราธนาโดยเคารพแล้ว จึงขอนมัสการ
พระบาทแห่งพระสัมพุทธเจ้าผู้ทรงสิริ ทรงแลเห็นอาทิผิด
ที่สุดโลกได้ มีพระฤทธิ์รุ่งโรจน์ ทรงยังประทีป คือ
พระสัทธรรมให้รุ่งโรจน์ ในเมื่ออาทิผิด โลกอันมืด คือโมหะ
ใหญ่ปกคลุมแล้ว, บูชาพระสัทธรรมแห่งพระสัม-
พุทธเจ้าพระองค์นั้นและทำอัญชลีแด่พระสงฆ์แห่ง
พระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล้ว จักกล่าวอรรถกถา
อันพรรณนาอรรถแห่งพระธรรมบทนั้น ด้วยภาษาอื่น
โดยอรรถไม่ให้เหลือเลย ละภาษานั้นและลำดับคำ
อันถึงพิสดารเกินเสีย ยกขึ้นสู่ภาษาอันเป็นแบบที่
ไพเราะอาทิผิด สระ๑ อธิบายบทพยัญชนะแห่งคาถาทั้งหลาย
ที่ท่านยังมิได้อธิบายไว้แล้วในอรรถกถานั้นให้สิ้นเชิง
นำมาซึ่งปีติปราโมทย์แห่งใจ อิงอาศัยอรรถและธรรม
แก่นักปราชญ์ทั้งหลาย.
๑. มโนรมํ เป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ
๔๐/๑๑/๗
ส. พระอรหันต์เมื่อเสื่อมจากอรหัตผล ถูกอะไร
กลุ้มรุมจึงเสื่อม ?
ป. ถูกราคะกลุ้มรุมจึงเสื่อม.
ส. การกลุ้มรุมเกิดขึ้น เพราะอาศัยอะไร ?
ป. เกิดขึ้น เพราะอาศัยอนุสัย.
ส. พระอรหันต์ยังมีอนุสัย หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. พระอรหันต์ยังมีอนุสัย หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ยังมีกามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย
มานานุสัย ทิฏฐานุสัยอาทิผิด สระ วิจิกิจฉานุสัย ภวรา-
คานุสัย อวิชชานุสัย หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ป. พระอรหันต์ถูกโทสะกลุ้มรุมจึงเสื่อม ฯ ล ฯ ถูก
โมหะกลุ้มรุมจึงเสื่อม.
ส. ความกลุ้มรุมเกิดขึ้นเพราะอาศัยอะไร ?
ป. เกิดขึ้น เพราะอาศัยอนุสัย.
ส. พระอรหันต์ยังมีอนุสัย หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. พระอรหันต์ยังมีอนุสัย หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
๘๐/๒๕๒/๒๖๗
ย่อมมีแก่พวกเขาด้วยประการฉะนี้. บทว่า และก็เมื่อเป็นเช่นนั้น คือเมื่อ
ความปรารถนาอย่างนั้นแม้มีอยู่. บทว่า มีริษยาและความตระหนี่เป็น
เครื่องประกอบเข้าไว้ คือ ความริษยามีความสิ้นไปแห่งสมบัติของอื่นเป็น
ลักษณะ และความตระหนี่อันมีความทนไม่ได้ต่อความที่สมบัติของตนเป็นของ
ทั่วไปกับพวกคนเหล่าอื่นเป็นลักษณะ. ชื่อว่า ผู้มีความริษยาและความตระหนี่
เป็นเครื่องประกอบเข้าไว้ เพราะความริษยาและความตระหนี่เป็นเครื่อง
ประกอบเข้าไว้ของพวกเขา. นี้เป็นความย่อในที่นี้ . ส่วนความอาทิผิด อักขระริษยาและความ
ตระหนี่อย่างพิสดาร ได้กล่าวไว้เสร็จแล้วในอภิธรรม.
สำหรับในเรื่องความตระหนี่นี้ เพราะความตระหนี่ที่อยู่ สัตว์ไม่ว่า
เป็นยักษ์หรือเป็นเปรตต่างก็เที่ยวใช้ศีรษะทูนขยะของที่อยู่นั้นเอง เพราะความ
ตระหนี่ตระกูล เมื่อบุคคลเห็นผู้ที่กำลังทำทานเป็นต้นแก่ผู้อื่นในตระกูลนั้น
ก็คิดว่า ตระกูลของเรานี้แตกแล้วหนอ ถึงกับกระอักเลือดบ้าง ถ่ายท้องบ้าง
ไส้ขาดเป็นท่อนน้อยใหญ่ทะลักออกมาบ้าง. เพราะความตระหนี่ลาภ ผู้เกิด
ตระหนี่ในลาภของสงฆ์หรือของหมู่ บริโภคเหมือนบริโภคของส่วนบุคคล
เกิดเป็นยักษ์บ้าง เปรตบ้าง งูเหลือมขนาดใหญ่บ้าง. ก็เพราะความตระหนี่
วรรณแห่งสรีระและวรรณแห่งคุณ และเพราะความตระหนี่การศึกษาเล่าเรียน
บุคคลจะกล่าวชมแต่คุณของตัวเองเท่านั้น หากล่าวชมคุณของคนเหล่าอื่นไม่
กล่าวอยู่แต่โทษนั้นๆ ว่า คนนี้ มีดีอะไร และจะไม่ให้การศึกษาเล่าเรียนอะไรๆ
แก่ใคร ๆ พูดแต่โทษว่า คนนี้ขี้เหร่ และบ้าบอ. อีกอย่างหนึ่ง ด้วยความ
ตระหนี่ที่อยู่ เขาย่อมไหม้ในเรือนโลหะ. ด้วยความตระหนี่ตระกูล เขาย่อม
เป็นผู้มีลาภน้อย. ด้วยความตระหนี่ลาภ เขาย่อมเกิดในคูถนรก. ด้วยความ
ตระหนี่วรรณ เมื่อเกิดในภพ จะไม่มีวรรณ. ด้วยความตระหนี่ธรรม เขา
ย่อมเกิดในนรกขี้เถ้า.
๑๔/๒๗๒/๑๗๔
๒. เรื่องพระเถระผู้เจริญมรีจิกัมมัฏฐาน [๓๔]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุรูปใด
รูปหนึ่ง ผู้เจริญมรีจิกัมมัฏฐาน๑ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า “ เผณูปมํ”
เป็นต้น.
พระเถระเจริญมรีจิกัมมัฏฐาน
ดังได้สดับมา พระเถระนั้น เรียนกัมมัฏฐานในสำนักพระศาสดา
แล้วคิดว่า “ เราจักทำสมณธรรม ” ดังนี้แล้ว เข้าไปสู่ป่า พากเพียร
พยายามแล้ว ก็ไม่อาจบรรลุพระอรหัตได้ จึงกลับมายังสำนักพระศาสดา
ด้วยตั้งใจว่า “ จักทูลอาราธนาให้ตรัสบอกพระกัมมัฏฐานให้วิเศษ, ”
เห็นพยับแดดในระหว่างทาง เจริญมรีจิอาทิผิด กัมมัฏฐานว่า “ พยับแดดนี้
ตั้งขึ้นแล้วในฤดูร้อน ย่อมปรากฏแก่บุคคลทั้งหลายผู้ยืนอยู่ ณ ที่ไกล
ดุจมีรูปร่าง, แต่ไม่ปรากฏเลย แก่บุคคลผู้มาสู่ที่ใกล้ฉันใด; แม้อัตภาพนี้
ก็มีรูปเหมือนอย่างนั้น เพราะอรรถว่า เกิดขึ้นและเสื่อมไป” เดินมาแล้ว
เมื่อยล้าในหนทาง อาบน้ำในแม่อาทิผิด อักขระน้ำอจิรวดี นั่งที่ร่ม (ไม้) ริมฝั่ง
แม่น้ำมีกระแสอันเชี่ยวแห่งหนึ่ง เห็นฟองน้ำใหญ่ ตั้งขึ้นด้วยกำลังแห่ง
น้ำกระทบกันแล้วแตกไป ได้ถือเอาเป็นอารมณ์ว่า “ แม้อัตภาพนี้ ก็มี
รูปร่างอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะอรรถว่า เกิดขึ้นแล้วก็แตกไป.”
๑. กัมมัฏฐานมีอันพิจารณาพยับแดดเป็นอารมณ์.
๔๑/๑๔/๘
ฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ทำความรู้สึกตัว
ในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง บางทีพวก
เธอจะมีความดำริว่า พวกเราเป็นผู้ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ มีกายสมา
จาร วจีสมาจาร มโนสมาจาร อาชีวะบริสุทธิ์แล้ว เป็นผู้มีทวารอันคุ้มครอง
แล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในโภชนะ ประกอบเนือง ๆ ในความเป็น
ผู้ตื่น และประกอบด้วยสติสัมปชัญญะแล้ว ด้วยกิจเพียงเท่านี้ พอละ พวกเรา
ทำเสร็จแล้ว สามัญญัตถะพวกเราถึงแล้วโดยลำดับ กิจอะไร ๆ ที่ควรทำให้
ยิ่งขึ้นไปมิได้มี พวกเธอถึงความยินดีด้วยกิจเพียงเท่านั้น เราขอบอกแก่อาทิผิด สระเธอ
ทั้งหลาย ขอเตือนแก่เธอทั้งหลาย เมื่อกิจที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปยังมีอยู่ สามัญ-
ญัตถะที่พวกเธอปรารถนาอย่าได้เสื่อมไปเสียเลย.
[๔๖๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็กิจที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปอย่างไร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเสพเสนาสนะอันสงัด คือ
ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง เธอกลับจาก
บิณฑบาตในกาลภายหลังภัตแล้ว นั่งขัดสมาธิตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะ
หน้า เธอละความเพ่งเล็งในโลกแล้ว มีใจปราศจากความเพ่งเล็งอยู่ ย่อมชำระ
จิตให้บริสุทธิ์จากความเพ่งเล็งได้ ละความประทุษร้ายคือพยาบาทแล้ว
ไม่คิดพยาบาท มีความกรุณาหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ย่อมชำระจิต
ให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้ายคือพยาบาทได้ ละถีนมิทธะได้แล้ว เป็น
ผู้ปราศจากถีนมิทธะ มีความสำคัญหมายอยู่ที่แสงสว่าง มีสติสัมปชัญญะ
อยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะได้ ละอุทธัจจกุกกุจจะได้แล้ว เป็นผู้
ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบ ณ ภายในอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะ
ได้ ละวิจิกิจฉาได้แล้ว เป็นผู้ข้ามวิจิกิจฉา ไม่มีความคลางแคลงในกุศล-
ธรรมทั้งหลายอยู่ ย่อมชำระจิตอาทิผิด ให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉาได้.
๑๙/๔๖๙/๒๑๐
บทว่า สุกกะ อธิบายว่า สุกกะมี ๑๐ อย่าง คือ สุกกะสีเขียว ๑
สุกกะสีเหลือง ๑อาทิผิด สุกกะสีแดง ๑ สุกะสีขาว ๑ สุกกะสีเหมือนเปรียง ๑
สุกกะสีเหมือนน้ำท่า ๑ สุกกะสีเหมือนน้ำมัน ๑ สุกกะสีเหมือนนมสด ๑
สุกกะสีเหมือนนมส้ม ๑ สุกกะสีเหมือนเนยใส ๑
การกระทำอสุจิให้เคลื่อนจากฐานตรัสเรียกว่า การปล่อย ชื่อว่า
การปล่อย.
บทว่า เว้นไว้แต่ฝัน คือว่า ยกเว้นความฝัน.
บทว่า สังฆาทิเสส ความว่า สงฆ์เท่านั้นให้ปริวาสเพื่ออาบัตินั้น
ได้ ชักเข้าหาอาบัติเดิมได้ ให้มานัตได้ เรียกเข้าหมู่ได้ ไม่ใช่คณะมาก
รูปด้วยกัน ไม่ใช่บุคคลรูปเดียว เพราะฉะนั้น จึงตรัสเรียกว่า สังฆา-
ทิเสส คำว่า สังฆาทิเสส เป็นการขนานนาม คือเป็นชื่อของหมวด
อาบัตินั้นแล แม้เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่า สังฆาทิเสส.
บทภาชนีย์
(อุบาย ๔)
[๓๐๔] ภิกษุปล่อยสุกกะในรูปภายใน ๑ ปล่อยสุกกะในรูปภาย
นอก ๑ ปล่อยสุกกะในรูปทั้งที่เป็นภายในทั้งที่เป็นภายนอก ๑ ปล่อยเมื่อ
ยังสะเอวให้ไหวในอากาศ ๑
(กาล ๕)
ปล่อยเมื่อเวลาเกิดความกำหนัด ๑ ปล่อยเมื่อเวลาปวดอุจจาระ ๑อาทิผิด
ปล่อยเมื่อเวลาปวดปัสสาวะ ๑ ปล่อยเมื่อเวลาต้องลม ๑ ปล่อยเมื่อเวลา
ถูกบุ้งขน ๑
๓/๓๐๔/๗
บทว่า สุณาถ เป็นบทอาขยาต. นอกนี้เป็นบทนาม. และบทว่า
สีหานํว ในเวลาเชื่อมความใช้เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ก็และการเชื่อมความในบทว่า
สีหานํว นี้ ถึงท่านจะไม่ได้กล่าวไว้โดยสรุปก็จริง แต่โดยอรรถ ย่อมชื่อว่า
เป็นอันท่านกล่าวไว้แล้วทีเดียว. เพราะเหมือนอย่าง เมื่อพูดว่า โอฏฺฐสฺเสว
มุขํ เอตสฺส ดังนี้ ก็เท่ากับพูดความนี้ว่า หน้าของเขาเหมือนหน้าอูฐ ฉันใด
แม้ในข้อนี้ก็ฉันนั้น เมื่อพูดว่า สีหานํว ก็เท่ากับพูดความนี้ว่า เหมือนการ
บันลือของสีหะ ฉะนั้น. ถ้าจะต่อศัพท์ว่า มุขะ เข้าในบทว่า โอฏฺฐสฺเสว
ได้ไซร้ แม้ในบทว่า สีหานํว นี้ ก็ต่อบทว่า นทนฺตานํ เข้าได้ (เหมือนกัน)
เพราะฉะนั้น บทว่า สีหานํ ว จึงเป็นบทตัวอย่างที่นำมาแสดงให้เห็น.
บทว่า นทนฺตานํอาทิผิด สระ แสดงถึงความเกี่ยวเนื่องกัน ของบทว่า สีหานํว
นั้น โดยเป็นตัวอย่างที่นำมาแสดงให้เห็น.
บทว่า ทาฐีนํ เป็นวิเสสนะของบทว่า สีหานํ. บทว่า คิริคพฺภเร
แสดงถึงที่ซึ่งราชสีห์นั้นเที่ยวไป. บทว่า สุณาถ เป็นคำเชิญชวนในการฟัง.
บทว่า ภาวิตตฺตานํ แสดงถึงมูลเค้าของสิ่งที่ควรฟัง. บทว่า คาถา ได้แก่
คำที่แสดงถึงเรื่องที่น่าฟัง. บทว่า อตฺถูปนายิกา เป็นวิเสสนะของบทว่า
คาถา. แท้จริงคำว่า สีหานํ นทนฺตานํ ทาฐีนํ ในคาถานี้มาแล้ว โดย
เป็นปุงลิงค์โดยแท้ แต่เปลี่ยนลิงค์เสียแล้ว พึงทราบความ แม้โดยเป็นอิตถีลิงค์
ว่า สีหีนํ เป็นต้น. อีกอย่าง โดยรูปเอกเสสสมาส ทั้งราชสีห์ และนางราชสีห์
ชื่อว่าสีหะ. ก็บรรดาบทเหล่านั้น โดยบทมีอาทิว่า สีหานํ นิทานคาถาทั้ง ๓
คาถาเหล่านี้ ใช้ได้ทั่วไปทั้งเถรคาถา และเถรีคาถา.
พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า สีหานํว นั้นต่อไป ชื่อว่า สีหะ เพราะ
อดทน และเพราะฆ่า. อธิบายว่า เปรียบเหมือนราชสีห์ ที่เป็นพญามฤค
ย่อมไม่มีอันตรายแม้จากสรภมฤค และช้างที่ตกมันแล้วเป็นต้น เพราะประกอบ
๕๐/๑๓๗/๙
เพราะกระทำเหตุอาทิผิด อักขระธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ทั้งหลาย
ที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม ย่อมเกิดขึ้น.
ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่
อธิปติธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย ด้วยอำนาจของอธิปติปัจจัย.
๓. ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็น
ปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็น
สเหตุกธรรม แต่ไม่ใช่เหตุธรรม ด้วยอำนาจของอธิปติปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือที่เป็น อารัมมณาธิปติ และ สหชาตาธิปติ
ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่
เพราะกระทำเหตุธรรมทั้งหลายให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เหตุ-
ธรรมทั้งหลาย และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้น.
ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่
อธิปติธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และเหตุธรรมทั้งหลาย ด้วยอำนาจของอธิปติปัจจัย.
๔. ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็น
ปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม ด้วยอำนาจของ
อธิปติปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือที่เป็น อารัมมณาธิปติ และ สหชาตาธิปติ
ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่
๘๘/๑๑๓/๑๓๖
โภชนะ มีศรัทธาและปรารภความเพียรอยู่ ผู้นั้นแล
มารย่อมรังควานไม่ได้ เปรียบเหมือนภูเขาหิน ลมอาทิผิด
รังควานอาทิผิด ไม่ได้ ฉะนั้น.
๗. ผู้ใดมีกิเลสดุจน้ำฝาดยังไม่ออก ปราศ-
จากทมะและสัจจะ จะนุ่งห่มผ้ากาสาวะ. ผู้นั้นย่อม
ไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใดพึงเป็นผู้มีกิเลส
ดุจน้ำฝาดอันคายแล้ว ตั้งมั่นดีในศีลทั้งหลายประกอบ
ด้วยทมะและสัจจะ ผู้นั้นแล ย่อมควรนุ่งห่มผ้า
กาสาวะ
๘. ชนเหล่าใด มีปกติรู้ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ
ว่าเป็นสาระ และเห็นในสิ่งอันเป็นสาระว่า ไม่เป็น
สาระ ชนเหล่านั้น มีความดำริผิดอาทิผิด เป็นโคจร ย่อม
ไม่ประสบสิ่งอันเป็นสาระ ชนเหล่าใดรู้สิ่งอันเป็น
สาระ โดยความเป็นสาระ และสิ่งที่ไม่เป็นสาระ
โดยความไม่เห็นสาระ ชนเหล่านั้น ไม่ความดำริ
ชอบเป็นโคจร ย่อมประสบสิ่งเป็นสาระ.
๙. ฝนย่อมรั่วรดเรือนที่มุงไม่ดีได้ฉันใด ราคะ
ย่อมเสียดแทงจิตที่ไม่ได้อบรมแล้วได้ฉันนั้น. ฝน
ย่อมรั่วรดเรือนที่มุงดีแล้วไม่ได้ฉันใด ราคะก็ย่อม
เสียดแทงจิตที่อบรมดีแล้วไม่ได้ฉันนั้น.
๑๐. ผู้ทำบาปเป็นปกติ ย่อมเศร้าโศกในโลกนี้
ละไปแล้วย่อมเศร้าโศก ย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง
๔๐/๑๑/๓