โภชนะ มีศรัทธาและปรารภความเพียรอยู่ ผู้นั้นแล
มารย่อมรังควานไม่ได้ เปรียบเหมือนภูเขาหินลมอาทิผิด
รังควานอาทิผิด ไม่ได้ ฉะนั้น.
๗. ผู้ใดมีกิเลสดุจน้ำฝาดยังไม่ออก ปราศ-
จากทมะและสัจจะ จะนุ่งห่มผ้ากาสาวะ. ผู้นั้นย่อม
ไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใดพึงเป็นผู้มีกิเลส
ดุจน้ำฝาดอันคายแล้ว ตั้งมั่นดีในศีลทั้งหลายประกอบ
ด้วยทมะและสัจจะ ผู้นั้นแล ย่อมควรนุ่งห่มผ้า
กาสาวะ
๘. ชนเหล่าใด มีปกติรู้ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ
ว่าเป็นสาระ และเห็นในสิ่งอันเป็นสาระว่า ไม่เป็น
สาระ ชนเหล่านั้น มีความดำริ ผิดอาทิผิด เป็นโคจร ย่อม
ไม่ประสบสิ่งอันเป็นสาระ ชนเหล่าใดรู้สิ่งอันเป็น
สาระ โดยความเป็นสาระ และสิ่งที่ไม่เป็นสาระ
โดยความไม่เห็นสาระ ชนเหล่านั้น ไม่ความดำริ
ชอบเป็นโคจร ย่อมประสบสิ่งเป็นสาระ.
๙. ฝนย่อมรั่วรดเรือนที่มุงไม่ดีได้ฉันใด ราคะ
ย่อมเสียดแทงจิตที่ไม่ได้อบรมแล้วได้ฉันนั้น. ฝน
ย่อมรั่วรดเรือนที่มุงดีแล้วไม่ได้ฉันใด ราคะก็ย่อม
เสียดแทงจิตที่อบรมดีแล้วไม่ได้ฉันนั้น.
๑๐. ผู้ทำบาปเป็นปกติ ย่อมเศร้าโศกในโลกนี้
ละไปแล้วย่อมเศร้าโศก ย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง
มารย่อมรังควานไม่ได้ เปรียบเหมือนภูเขาหิน
๗. ผู้ใดมีกิเลสดุจน้ำฝาดยังไม่ออก ปราศ-
จากทมะและสัจจะ จะนุ่งห่มผ้ากาสาวะ. ผู้นั้นย่อม
ไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใดพึงเป็นผู้มีกิเลส
ดุจน้ำฝาดอันคายแล้ว ตั้งมั่นดีในศีลทั้งหลายประกอบ
ด้วยทมะและสัจจะ ผู้นั้นแล ย่อมควรนุ่งห่มผ้า
กาสาวะ
๘. ชนเหล่าใด มีปกติรู้ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ
ว่าเป็นสาระ และเห็นในสิ่งอันเป็นสาระว่า ไม่เป็น
สาระ ชนเหล่านั้น มีความ
ไม่ประสบสิ่งอันเป็นสาระ ชนเหล่าใดรู้สิ่งอันเป็น
สาระ โดยความเป็นสาระ และสิ่งที่ไม่เป็นสาระ
โดยความไม่เห็นสาระ ชนเหล่านั้น ไม่ความดำริ
ชอบเป็นโคจร ย่อมประสบสิ่งเป็นสาระ.
๙. ฝนย่อมรั่วรดเรือนที่มุงไม่ดีได้ฉันใด ราคะ
ย่อมเสียดแทงจิตที่ไม่ได้อบรมแล้วได้ฉันนั้น. ฝน
ย่อมรั่วรดเรือนที่มุงดีแล้วไม่ได้ฉันใด ราคะก็ย่อม
เสียดแทงจิตที่อบรมดีแล้วไม่ได้ฉันนั้น.
๑๐. ผู้ทำบาปเป็นปกติ ย่อมเศร้าโศกในโลกนี้
ละไปแล้วย่อมเศร้าโศก ย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง
๔๐/๑๑/๓
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น