วันอังคาร, ธันวาคม 03, 2567

Wai Nai

 
สภาวธรรมที่ชื่อว่า สมถะ เพราะสงบความฟุ้งซ่านในกิจอื่น ๆ
ที่ชื่อว่า ปัคคาหะ เพราะประคองจิตให้เป็นไปในอกุศล. ชื่อว่า อวิกเขปะ
เพราะไม่ซัดส่ายไป. ในอกุศลจิตนี้ ไม่ถือเอาธรรมเหล่านี้คือ ศรัทธา สติ
ปัญญา และธรรม ๖ คู่ เพราะเหตุไร ? เพราะขึ้นชื่อว่า ความเลื่อมใสใน
จิตที่ไม่มีศรัทธาหามีได้ไม่ ฉะนั้น เบื้องต้นนี้จึงไม่ถือเอาศรัทธา. ถามว่า
ก็คนมีทิฏฐิทั้งหลายไม่เชื่อศาสดาของตน ๆ หรือ ? ตอบว่า เชื่อ. แต่การ
เชื่อนั้นไม่ชื่อว่าเป็นศรัทธา คำเชื่อนี้เป็นเพียงการรับคำเท่านั้น ว่าโดยอรรถ
ความเชื่อนั้นย่อมเป็นความเชื่อที่ปราศจากความใคร่ครวญบ้าง เป็นทิฏฐิบ้าง.
อนึ่ง สติย่อมไม่มีในอกุศลจิตเพราะไม่เป็นที่ตั้งแห่งสติ เพราะฉะนั้น
พระองค์จึงไม่ถือเอา. ถามว่า บุคคลผู้มีทิฏฐิทั้งหลายย่อมไม่ระลึกถึงการงาน
อันตนกระทำบ้างหรือ ? ตอบว่า ย่อมระลึก แต่การระลึกนั้นไม่ชื่อว่าเป็นสติ
เพราะอาการระลึกนั้น เป็นความประพฤติของอกุศลจิตอย่างเดียว ฉะนั้น จึงไม่
ทรงถือเอาสติ. ถามว่า เมื่อความเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุไร ในพระสูตร
จึงตรัสว่า มิจฉาสติ เป็นความระลึกเล่า ? ตอบว่า เพื่อจะทรงยังมิจฉัตตะ
แห่งมิจฉามรรคให้บริบูรณ์ เพราะอกุศลขันธ์ทั้งหลายเป็นสภาวะเว้นจากสติ
และเป็นปฏิปักษ์ต่อสติ จึงทรงทำเทศนามิจฉาสติไว้อาทิผิด ในพระสูตรนั้นโดยปริยาย
แต่มิจฉาสตินั้นว่าโดยนิปปริยายย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น จึงไม่ทรงถือเอา.
อนึ่ง ปัญญา ย่อมไม่มีในจิตของอันธพาลนั้น เพราะฉะนั้น จึงไม่
ทรงถือเอา. ถามว่า ความรู้ (ปญฺา) เป็นเครื่องหลอกลวงของบุคคลผู้เป็น
มิจฉาทิฏฐิ ไม่มีหรือ ? ตอบว่า มีอยู่ แต่ความรู้เป็นเครื่องหลอกลวงนั้นไม่
ชื่อว่า ปัญญา ความรู้นั้นชื่อว่าเป็นมายา ว่าโดยใจความ มายานั้นก็คือตัณหา
นั่นเอง. ก็เพราะจิตนี้เป็นจิตกระวนกระวาย หนัก หยาบ แข็ง กระด้าง
 
๗๖/๒๗๗/๘

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น