วันศุกร์, ตุลาคม 31, 2568

Wimutti

 
ทำปาริสุทธิอาทิผิด สระศีล ๔ ให้ถึงพร้อม สมาทานธุตธรรม (ธรรมอันกำจัดกิเลส)
เป็นไปตามกำลัง เป็นผู้ได้กถาวัตถุ ๑๐ เป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่ เข้าไปตั้ง
สติไว้ มีสัมปชัญญะ เจริญโพธิปักขิยธรรมตลอดคืนยังรุ่ง ในไม่ช้าทำวิปัสสนา
ให้ตัดขาดอกุศลทั้งหมด ด้วยการบรรลุอริยมรรค และยังกุศลธรรมทั้งปวง
ให้เจริญถึงความบริบูรณ์ด้วยภาวนา. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ดูก่อนเมฆิยะ ข้อที่ภิกษุผู้เป็นกัลยาณมิตร หวังต่อสหายดี เพื่อนดี จักเป็น
ผู้มีศีล จักเป็นผู้สำรวมในปาฏิโมกข์ จักเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร
จักเป็นผู้เห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย จักสมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย
ข้อที่ภิกษุผู้เป็นกัลยาณมิตร ฯลฯ เพื่อนดี เป็นผู้มีถ้อยคำขัดเกลากิเลส ถ้อยคำ
เปิดใจอย่างสบาย จักเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว ฯลฯ เพื่อ
นิพพาน คือ
๑. อปฺปิจฺฉกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความปรารถนาน้อย
๒. สนฺตุฏฐิกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้สันโดษ
๓. ปวิเวกกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้สงัด
๔. อสํสคฺคอาทิผิด สระกถา ถ้อยคำชักนำไม่ให้ระคนด้วยหมู่
๕. วิริยารมฺภอาทิผิด สระกถา ถ้อยคำชักนำให้ปรารภความเพียร
๖. สีลกถา ถ้อยคำชักนำให้ตั้งอยู่ในศีล
๗. สมาธิกถา ถ้อยคำชักนำให้ทำใจให้สงบ
๘. ปญฺญากถา ถ้อยคำชักนำให้เกิดปัญญา
๙. วิมุตฺติอาทิผิด สระกถา ถ้อยคำชักนำให้ทำใจให้พ้นจากกิเลส
๑๐. วิมุตติญาณทสฺสนกถา ถ้อยคำชักนำให้เกิดความรู้ความเห็น
ในการพ้นจากกิเลส.
 
๔๕/๑๙๕/๑๒๔

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 30, 2568

Phai

 
๓. โลกสูตร

[๔๐๒] สาวัตถีนิทาน.
พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วได้ทูลพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า ธรรมเท่าไรหนอแลเมื่อเกิดขึ้นแก่โลก ย่อมเกิด
ขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สำราญ.
[๔๐๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร ธรรม ๓ อย่าง
เมื่อเกิดขึ้นแก่โลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อ
ความอยู่ไม่สำราญ ธรรม ๓ อย่างเป็นไฉน.
๑. ดูก่อนมหาบพิตร ธรรมคือโลภะความโลภ เมื่อเกิดขึ้นแก่โลก
ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สำราญ.
๒. ดูก่อนมหาบพิตร ธรรมคือโทสะความโกรธ เมื่อเกิดขึ้นแก่โลก
ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สำราญ.
๓. ดูก่อนมหาบพิตร ธรรมคือโมหะความหลง เมื่อเกิดขึ้นแก่โลก
ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สำราญ.
ดูก่อนมหาบพิตร ธรรม ๓ อย่างนี้แล เมื่อเกิดขึ้นแก่โลก ย่อมเกิด
ขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สำราญ.
[๔๐๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์คำ
ร้อยแก้วนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาคำร้อยกรองต่อไปอีกว่า
โลภะ โทสะ และโมหะ อันบังเกิด
แก่ตนย่อมทำลายบุรุษ ผู้มีใจบาป ดุจ
ขุยไผ่ทำลายต้นไผ่อาทิผิด อักขระ ฉะนั้น.

อรรถกถาโลกสูตร

ในโลกสูตรที่ ๓ คำทั้งหมดมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.
 
๒๔/๔๐๔/๕๑๓

วันพุธ, ตุลาคม 29, 2568

Tomon

 
แสดงแม่น้ำเวตรณีที่ตั้งขึ้นด้วยฤดูโดยกรรมปัจจัยก่อน นายนิรยบาลทั้งหลาย
ในนรกนั้นถือศัสตราวุธ มีดาบ มีด โตมรอาทิผิด อักขระ หอก และไม้ค้อนเป็นต้นอัน
ลุกโพลง ประหารแทงโบยตีสัตว์นรกทั้งหลาย สัตว์นรกเหล่านั้นทนต่อทุกข์นั้น
ไม่ได้ ก็ตกลงในเวตรณีนที.
เวตรณีนทีนั้นดาดาษไปด้วยเครือเลื้อยอันมีหนามประมาณเท่าหอก
มีเพลิงลุกโพลงข้างบน สัตว์นรกเหล่านั้นต้องอยู่ในเวตรณีนทีนั้นหลายพันปี
เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ในเพราะเถาวัลย์มีหนามแหลมมีคมอันคมกริบ มีเพลิง
ลุกโชติช่วง มีหลาวเหล็กลุกโพลงประมาณเท่าลำตาล ตั้งขึ้นภายใต้เถาวัลย์
เหล่านั้น สัตว์นรกทั้งหลายยังกาลให้ล่วงไปนานมาก พลาดจากเถาวัลย์ตกลง
ที่ปลายหลาว มีร่างกายถูกหลาวแทงไหม้อยู่ในหลาวนาน ดุจปลาที่เสียบไว้ใน
ไม้แหลมย่างไฟ หลาวทั้งหลายลุกเป็นไฟ สัตว์นรกทั้งหลายก็ลุกเป็นไฟ ก็
ภายใต้หลาวทั้งหลาย มีใบบัวเหล็กแหลมคมดุจมีดโกนลุกเป็นไฟอยู่หลังน้ำ
สัตว์นรกเหล่านั้นพลาดจากหลาวทั้งหลายตกลงในใบบัวเหล็ก เสวยทุกขเวทนา
นาน แต่นั้นสัตว์นรกเหล่านั้นก็ตกในน้ำแสบ แม้น้ำก็ลุกเป็นไฟ แม้สัตว์นรก
ทั้งหลายก็ลุกเป็นไฟ แม้ควันก็ตั้งขึ้น ก็พื้นแม่น้ำภายใต้น้ำดาดาษไปด้วยเครื่อง
ประหารอันคมกริบ สัตว์นรกเหล่านั้นจมลงในน้ำ ด้วยคิดว่าใต้น้ำจะเป็นเช่น
ไรหนอ ก็เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เพราะเครื่องประหารอันคมกริบ สัตว์นรก
เหล่านั้นไม่สามารถจะอดกลั้นทุกข์ใหญ่นั้น ก็ร่ำร้องน่ากลัวมาก กระแสน้ำ
บางครั้งก็ไหลลอยไปตามกระแส บางครั้งก็ทวนกระแส ลำดับนั้น นายนิรยบาล
ผู้อยู่ที่ฝั่ง ก็ซัดลูกศร มีด โตมร หอก แทงสัตว์นรกเหล่านั้นดุจปลา สัตว์นรก
เหล่านั้นถึงทุกขเวทนาก็ร้องกันลั่น ลำดับนั้น นายนิรยบาลก็เอาเบ็ดเหล็กที่ลุก
เป็นไฟเกี่ยวสัตว์นรกเหล่านั้นขึ้น คร่ามาให้นอนบนแผ่นดินเหล็กที่ลุกเป็นไฟ
โชติช่วง ยัดก้อนเหล็กที่ลุกแดงเข้าปาก.
 
๖๓/๕๙๙/๒๕๘

วันอังคาร, ตุลาคม 28, 2568

Aphayuwara

 
ซึ่งลือชื่อในมหาชนในกาลก่อน ภายหลังละโจรกรรมเสียสมาทานศีล ๕. ถ้า
หากชาวบ้านรู้จักเขาอย่างนั้น ควรให้บวช. ฝ่ายชนเหล่าใด เป็นผู้ลักของเล็ก
น้อยมีมะม่วงและขนุนเป็นต้น หรือเป็นโจรผู้ตัดที่ต่อเป็นต้น ทีเดียวแต่แอบ
แฝงทำการลัก ทั้งภายหลังก็ไม่ปรากฏว่า กรรมนี้ อันชนชื่อนี้ทำ จะให้ชน
เหล่านั้นบวช ก็ควร.
สองบทว่า การํ ภินฺทิตฺวา มีความว่า ทำลายเครื่องจำคือขื่ออาทิผิด อักขระเป็นต้น.
ในบทว่า อภยูวรา นี้ มีวินิจฉัยว่า ชนเหล่าใดย่อมหลบหลีกอาทิผิด อักขระ เพราะ
ความกลัว เหตุนั้น ชนอาทิผิด อักขระเหล่านั้น ชื่อ ภยูวรา ผู้หลบหลีกเพราะความกลัว
ฝ่ายสมณะเหล่านี้ มิใช่ผู้หลบหลีกเพราะความกลัว เพราะเป็นผู้ได้รับอภัย
เพราะฉะนั้น จึงชื่อ อภยูวราอาทิผิด อักขระ มิใช่ผู้หลบหนีเพราะความกลัว. ก็แลในบท
ว่า อภยูวรา นี้พึงทราบว่า อาเทส ป อักษรให้เป็น ว อักษร.
ในคำว่า น ภิกฺขเว การเภทโก นี้ มีวินิจฉัยว่า เรือนจำเรียก
ว่า การะ แต่ในอธิการนี้ เครื่องจำคือขื่ออาทิผิด อักขระก็ดี เครื่องจำคือตรวนก็ดี เครื่อง
จำคือเชือกก็ดี ที่จำคือบ้านก็ดี ที่จำคือนิคมก็ดี ที่จำคือเมือง การควบคุม
ด้วยบุรุษก็ดี ที่จำคือชนบทก็ดี ที่จำคือทวีปก็ดี จงยกไว้. ผู้ใดทำลาย หรือ
ตัด หรือแก้ หรือเปิด เครื่องจำชนิดใดชนิดหนึ่ง ในบรรดาเครื่องจำที่ที่จำ
เหล่านี้ หนีไปซึ่งหน้า หรือไม่มีคนเห็น ผู้นั้นถึงความนับว่า การเภทก ผู้
แหกเรือนจำ.
เพราะเหตุนั้น การเภทกโจรเหล่านี้ ทำลายที่จำคือทวีป ไปยังทวีปอื่น
แล้วก็ดี ไม่ควรให้บวช.
ฝ่ายผู้ใดที่มิใช่โจร แต่ไม่ยอมทำหัตกรรมอย่างเดียว ถูกอิสรชนทั้ง
หลายมีชุนส่วยของพระราชาเป็นต้น จองจำเองไว้ ด้วยหมายใจ เมื่อมีการจอง
 
๖/๑๐๗/๒๕๑

วันจันทร์, ตุลาคม 27, 2568

Muean

 
อายสฺมา นี้เป็นคำกล่าวน่ารัก. บทว่า ติสฺโส เป็นชื่อของพระเถระนั้น
เพราะพระเถระนั้นมีชื่อว่าติสสะ. บทว่า เมตฺเตยฺโย เป็นโคตร. อนึ่ง
พระเมตเตยยะนั้นได้ปรากฏโดยโคตร. เพราะฉะนั้น ในการเกิดของเรื่องนั้น
พระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวว่า สหายสองคนชื่อติสสะและเมตเตยยะ. บทว่า
วิฆาตํ คือความคับแค้น. บทว่า พฺรูหิ คือจงตรัสบอก. บทว่า มาริส นี้
เป็นคำกล่าวแสดงความน่ารัก แปลว่า ผู้นิรทุกข์. ท่านอธิบายว่า ไม่มีทุกข์.
บทว่า สุตฺวาน คือฟังคำของพระองค์. บทว่า วิเวเก สิกฺขิสฺสามเส
จักศึกษาในวิเวก พระเมตเตยยะทูลวิงวอนขอให้แสดงธรรม กล่าวปรารภถึง
สหาย. แต่สหายนั้นได้รับการศึกษาดีแล้ว. บทว่า มุสฺสเต วาปิ สาสนํ
ลืมแม้คำสั่งสอน คือลืม ทำลาย คำสั่งสอนแม้สองอย่างจากปริยัติและปฏิบัติ.
บทว่า วาปิ เป็นคำเพียงทำให้เต็มบท. บทว่า เอตํ ตสฺมึ อนาริยํ นี้
เป็นกิจไม่ประเสริฐในบุคคลนั้น คือ นี้เป็นมิจฉาปฏิปทาในบุคคลนั้น.
บทว่า เอโก ปุพฺเพ จริตฺวาน ประพฤติอยู่ผู้เดียวในกาลก่อน
คืออยู่คนเดียวในกาลก่อนด้วยการบรรพชา หรือด้วยการไม่เกี่ยวข้องกับคณะ.
บทว่า ยานํ ภนฺตํว ตํ โลเก หีนมาหุ ปุถุชฺชนํ บัณฑิตทั้งหลาย
กล่าวบุคคลนั้นว่าเป็นคนมีกิเลสมากในโลกเหมือนยานที่แล่นไปฉะนั้น ความว่า
บัณฑิตทั้งหลายกล่าวบุคคลนั้นผู้แล่นไปผิดว่าเป็นคนเลวและเป็นคนมีกิเลสมาก
ท่านกล่าวว่าเหมือนอาทิผิด อักขระยานที่แล่นไปด้วยการขึ้นไปในที่ไม่เรียบมีกายทุจริตเป็นต้น
ด้วยการทำลายตนในนรกเป็นต้น และด้วยการตกลงไปในเหวคือชาติเป็นต้น
เหมือนยานมียานคือช้างเป็นต้นที่ไม่ได้ฝึก ขึ้นไปยังที่ไม่เรียบ ย่อมทำลาย
คนขี่ ย่อมตกลงไปแม้ในเหวฉะนั้น.
บทว่า ยโส กิตฺติ จ ยศและเกียรติ ได้แก่ ลาภสักการะและ
ความสรรเสริญ. บทว่า ปุพฺเพ ในกาลก่อน คือ ในความเป็นบรรพชิต.
 
๔๗/๔๑๔/๗๕๐

วันอาทิตย์, ตุลาคม 26, 2568

Phra Phak

 
ได้มาด้วยการขับกล่อม เราไม่ควรบริโภค.
มีความหมายว่า มยฺหํ (แก่เรา) ในประโยคเป็นต้นว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคอาทิผิด เจ้าทรงแสดงธรรม
แก่ข้าพระองค์แต่โดยย่อเถิด.
มีความหมายว่า มม ( ของเรา ) ในประโยคเป็นต้นว่า ภิกษุ
ทั้งหลาย ขอให้พวกเธอจงเป็นธรรมทายาทของเราเถิด ดังนี้.
แต่ในที่นี้ เม ศัพท์ ใช้ในอรรถ ๒ อย่างว่า อันข้าพเจ้าได้ฟัง
มา และว่า สุตะ ของเรา ดังนี้.
สุตะ ศัพท์ ในคำว่า สุตํ นี้ มีอุปสรรค และไม่มีอุปสรรค
มีเนื้อความหลายอย่างเป็นต้นว่า คมน (การไป) วิสฺสุต (ปรากฏ)
กิลินฺน (เปียก) อุปจิต (สั่งสม) อนุโยค (ประกอบเนือง ๆ)
โสตวิญฺเยฺย (รู้ทางหู) โสตทวารานุสารวิญญาณ (รู้ตามกระแส
ทางหู).
จริงอย่างนั้น สุตะ ศัพท์นั้น มีความหมายว่า ไป ในประโยค
เป็นต้นว่า ไปแล้วโดยเสนา.
มีความหมายว่า มีธรรมอันตนสดับตรับฟังแล้วอย่างแจ่มแจ้ง ใน
ประโยคเป็นต้นว่า. ผู้สดับธรรมแล้วเห็น ( ธรรม ) อยู่.
มีความหมายว่า เปียกชุ่ม ของบุคคลผู้เปียกชุ่ม ในประโยคเป็นต้น
ว่า เปียกชุ่มของบุคคลผู้เปียกชุ่ม.
มีความหมายว่า สะสม ในประโยคเป็นต้นว่า บุญมิใช่น้อย อัน
ท่านทั้งหลายสะสมแล้ว.
มีความหมายว่า ประกอบเนือง ๆ ในฌานเนือง ๆ ในประโยค
 
๑๗/๙/๒๒

วันเสาร์, ตุลาคม 25, 2568

Khontho

 
ทั้งบนบกและในน้ำในหนทางประมาณ ๘ โยชน์ เราได้ทำการประพรมภาคพื้น
ด้วยน้ำที่ลานพระเจดีย์นั้น ด้วยน้ำในคนโทอาทิผิด อักขระ ด้วยผลอันไหลออกแห่งกรรม
ของเรานั้น ฝนโบกขรพรรษจึงตกลงในเมืองเวสาลี เราได้ยกธงปฏากและ
ผูกฉัตรไว้ที่เจดีย์ของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ด้วยผลอันไหลออกแห่งกรรม
ของเรานั้น มนุษย์และเทวดาทั้งหลายได้ยกธงปฏากและยกฉัตรซ้อนฉัตรขึ้นจน
ถึงอกนิษฐภพ ภิกษุทั้งหลาย การบูชาพิเศษเพื่อเรานี้ มิได้บังเกิดขึ้นด้วย
พุทธานุภาพ มิได้เกิดขึ้นด้วยอานุภาพแห่งนาค เทพ และพรหม แต่ได้
บังเกิดขึ้นด้วยอานุภาพแห่งการบริจาคอันมีประมาณน้อย (ของเรา) ดังกล่าว
มานี้แล.
ในที่สุดแห่งพระธรรมกถา พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
มตฺตาสุขปฺปริจฺจาคา ปสฺเส เจ วิปุลํ สุขํ
จเช มตฺตาสุขํ ธีโร สมฺปสฺสํ วิปุลํ สุขํ
ถ้าหากว่า บุคคลพึงเห็นความสุขอัน
ไพบูลย์ เพราะการสละความสุขอันพอประ-
มาณไซร้ (ก็พึงสละความสุขพอประมาณ
เสีย) นักปราชญ์เมื่อเห็นความสุขอันไพบูลย์
ก็พึงละความสุขพอประมาณเสีย.
จบอรรถกถารตนสูตร
แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย ชื่อปรมัตถโชติกา
 
๔๗/๓๑๔/๗๙

วันศุกร์, ตุลาคม 24, 2568

Satthinsi

 
บทว่า สฺวาชฺช ธมฺเมสุ อุกฺกฏฺโฐ ความว่า พระโสณะนั้นเป็นผู้
สูงสุดในโลกุตรธรรมในวันนี้ คือในบัดนี้ แม้ในกาลเป็นคฤหัสถ์ ท่าน
ก็เป็นผู้สูงสุดกว่าใครๆ ทีเดียว บัดนี้แม้ในเวลาเป็นบรรพชิต ท่านก็เป็น
ผู้สูงสุดเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ท่านจึงแสดงตนให้เหมือนคนอื่น.
บทว่า ทุกฺขสฺส ปารคู ความว่า ท่านถึงฝั่ง คือถึงที่สุดแห่งทุกข์
ในวัฏฏะทั้งสิ้น, ด้วยคำนั้นท่านจึงยังความเป็นผู้สูงสุดที่กล่าวแล้ว โดย
ไม่แปลกกันให้แปลกกัน เพราะแสดงถึงการบรรลุพระอรหัต.
บัดนี้ท่านเป็นผู้ถึงฝั่งแห่งทุกข์ด้วยข้อปฏิบัติใด เมื่อจะแสดงข้อ
ปฏิบัตินั้น โดยอ้างถึงพระอรหัตผล จึงกล่าวคาถาว่า ปญฺจ ฉินฺเท ตัด
สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕.
คำแห่งคาถานั้นมีอธิบายว่า บุรุษพึงตัดสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำ
๕ อย่าง อันให้ถึงอบายและกามสุคติ ด้วยมรรค ๓ เบื้องต่ำ เหมือนตัด
เชือกที่ผูกไว้ที่เท้าด้วยศัสตราฉะนั้น. บุรุษพึงละสังโยชน์อัน เป็นส่วนเบื้อง
สูง ๕ อัน ให้ถึงรูปภพและอรูปภพ ด้วยอรหัตมรรค เหมือนตัดเชือกที่ผูก
ไว้ที่คอฉะนั้น, ก็แลครั้นละสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องสูงเหล่านั้นได้แล้ว
พึงเจริญ คือพึงทำอินทรีย์ ๕ มีสัทธินทรีย์อาทิผิด สระเป็นต้น ให้เกิดยิ่ง ๆ ขึ้นไป,
ก็ภิกษุผู้เป็นอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ก้าวล่วงธรรมเป็นเครื่องข้อง ๕ คือธรรม
เครื่องข้องคือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ และทิฏฐิ ท่านจึงเรียกว่า
ผู้ข้ามโอฆะได้แล้ว เพราะข้ามโอฆะ ๔ คือ กามโอฆะ ภวโอฆะ ทิฏฐิโอฆะ
และอวิชชาโอฆะ.
เมื่อแสดงว่า ก็ปฏิปทานี้ชื่อว่าเป็นความบริบูรณ์แห่งศีล อันข้อ
ปฏิบัติเครื่องข้ามโอฆะนั่นแล และศีลเป็นต้น ย่อมถึงความบริบูรณ์
 
๕๒/๓๘๐/๔๕๗

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 23, 2568

Kratham

 
ผู้เป็นที่เคารพว่า ภควา. และพระตถาคต ชื่อว่า เป็นที่เคารพของสัตว์ทั้งหลาย
เพราะทรงวิเศษด้วยสรรพคุณ เพราะเหตุนั้น พึงทราบว่า ภควา. แม้พระ
โบราณาจารย์ทั้งหลาย ก็ได้กล่าวไว้ว่า
คำว่า ภควา เป็นคำประเสริฐที่สุด
คำว่า ภควา เป็นคำสูงสุด พระตถาคตนั้น
ทรงเป็นผู้ควรแก่ความเคารพคารวะ ด้วย
เหตุนั้น จึงขนานพระนามอาทิผิด อักขระว่า ภควา.
อันที่จริง คำพูดที่ระบุถึงบุคคลผู้ประเสริฐที่สุด กล่าวกันว่า ประเสริฐ
ที่สุด เพราะดำเนินไปด้วยกันกับคุณอันประเสริฐที่สุด. อีกประการหนึ่ง ที่ชื่อ
ว่า วจนะ เพราะอรรถว่า อันบุคคลกล่าว ได้แก่ความหมาย. เพราะเหตุนั้น
ในบทว่า ภควาติ วจนํ เสฏฐํ จึงมีความหมายว่า ความหมายใดที่จะพึง
พูดด้วยคำว่า ภควา นี้ ความหมายนั้นประเสริฐที่สุด. แม้ในบทว่า ภควาติ
วจนมุตฺตมํ นี้ ก็นัยนี้แล. บทว่า คารวยุตฺโต ได้แก่ ชื่อว่า ทรงเป็นผู้
ควรแก่ความเคารพคารวะ เพราะทรงประกอบด้วยคุณของบุคคลผู้เป็นที่เคารพ.
อีกประการหนึ่ง พระตถาคต ชื่อว่า ทรงควรแก่ความเคารพ ก็เพราะเหตุที่
ทรงควรซึ่งการกระทำอาทิผิด สระความเคารพอย่างดียิ่ง. หมายความว่า ทรงควรแก่ความ
เคารพ. เมื่อเป็นเช่นนั้น คำว่า ภควา นี้ จึงเป็นคำเรียกบุคคลผู้วิเศษโดยคุณ
บุคคลผู้สูงสุดกว่าสัตว์ และบุคคลผู้เป็นที่เคารพคารวะ ดังนี้แล.
อีกประการหนึ่ง พึงทราบความหมายของบทว่า ภควา ตามนัยที่มา
ในนิทเทสว่า
พระพุทธเจ้านั้น บัณฑิตขนานพระ
นามว่า ภควา เพราะเหตุที่พระองค์ทรง
 
๔๕/๑๗๙/๙

วันพุธ, ตุลาคม 22, 2568

Makham

 
มะพร้าว ผลขนุน ผลสาเก น้ำเต้า ฟักเขียว แตงไท แตงโม ฟักทอง
เป็นอันทรงห้าม และอปรัณณชาติทุกชนิด มีคติอย่างธัญญชาติเหมือนกัน.
มหาผลและอปรัณณชาตินั้น ไม่ได้ทรงห้ามไว้ก็จริง ถึงกระนั้น ย่อมเข้ากับ
สิ่งที่เป็นอกัปปิยะ; เพราะเหตุนั้น จึงไม่ควรในปัจฉาภัต.
น้ำปานะ ๘ อย่าง ทรงอนุญาตไว้ น้ำปานะแห่งผลไม้เล็กมี หวาย
มะขามอาทิผิด อักขระ มะงั่ว มะขวิด สะคร้อ และเล็บเหยี่ยว เป็นต้น มีคติอย่างอัฏฐบานอาทิผิด สระ
แท้ น้ำปานะแห่งผลไม้เหล่านั้น ไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ก็จริง. ถึงกระนั้น ย่อม
เข้ากับสิ่งที่เป็นกัปปิยะ; เพราะฉะนั้น จึงควร.
ในกุรุนทีแก้ว่า จริงอยู่ เว้นรสแห่งเมล็ดข้าวกับทั้งสิ่งที่อนุโลมเสีย
แล้ว ขึ้นชื่อว่าน้ำผลไม้อื่น ที่ไม่ควร ย่อมไม่มี น้ำผลไม้ทุกชนิดเป็นยาม
กาลิกแท้.
จีวรพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้ ๖ ชนิด. จีวรอื่นอีก ๖ ชนิดที่
อนุโลมจีวรเหล่านั้น คือ ผ้าทุกุละ ผ้าแคว้นปัตตุนนะ ผ้าเมืองจีน ผ้าเมือง
แขก ผ้าสำเร็จด้วยฤทธิ์ ผ้าเทวดาให้ พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายอนุญาต
แล้ว.
บรรดาผ้าเหล่านั้น ผ้าปัตตุนนะนั้น ได้แก่ ผ้าที่เกิดด้วยไหมใน
ปัตตุนประเทศ. ผ้า ๒ ชนิด เรียกตามชื่อของประเทศนั่นเอง. ผ้า ๓ ชนิด
นั้น อนุโลมผ้าไหม ผ้าทุกุละ อนุโลมผ้าป่าน นอกจากนี้ ๒ ชนิด อนุโลม
ผ้าฝ้ายหรือผ้าทุกอย่าง.
บาตรพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้าม ๑๑ อย่าง อนุญาต ๒ อย่าง คือ
บาตรเหล็ก บาตรดิน. ภาชนะ ๓ อย่าง คือ ภาชนะเหล็ก ภาชนะดิน ภาชนะ
ทองแดง อนุโลมแก่บาตรนั้นแล.
 
๗/๙๔/๑๙๐

วันอังคาร, ตุลาคม 21, 2568

Rop Khop

 
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุเจ้าถิ่นพึงรอบคอบอาทิผิด อักขระอย่างนี้ แล้วรับ
อธิกรณ์นั้น ไว้ พวกภิกษุอาคันตุกะนั้น พึงกล่าวกะพวกภิกษุเจ้าถิ่นว่า
พวกข้าพเจ้าจักแจ้งอธิกรณ์นี้ตามที่เกิดแล้ว ตามที่อุบัติแล้ว แก่ท่านทั้ง
หลาย ถ้าท่านสามารถระงับอธิกรณ์นี้โดยธรรม โดยวินัย และโดย
สัตถุศาสน์ ระหว่างเวลาเท่านี้ได้ อธิกรณ์จักระงับ ด้วยดีเช่นว่านั้นอย่าง
นี้ พวกข้าพเจ้าจักมอบอธิกรณ์แก่ท่านทั้งหลาย พวกท่านทั้งหลายไม่
สามารถระงับอธิกรณ์นี้โดยธรรม โดยวินัย และโดยสัตถุศาสน์ ระหว่าง
เวลาเท่านี้ได้ อธิกรณ์จักไม่ระงับด้วยดีเช่นว่านั้น พวกข้าพเจ้าจักไม่มอบ
อธิกรณ์นี้แก่ท่านทั้งหลาย พวกข้าพเจ้านี้แหละจักเป็นเจ้าของอธิกรณ์นี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุอาคันตุกะพึงรอบคอบอย่างนี้ แล้ว
จึงมอบอธิกรณ์แก่พวกภิกษุเจ้าถิ่น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุเหล่านั้นสามารถระงับอธิกรณ์นั้นได้
นี้เรียกว่า อธิกรณ์ระงับดีแล้ว ระงับด้วยอะไร ? ด้วยสัมมุขาวินัย ใน
สัมมุขาวินัยนั้น มีอะไรบ้าง ? มีความพร้อมหน้าสงฆ์ ความพร้อมหน้า
ธรรม ความพร้อมหน้าวินัย ความพร้อมหน้าบุคคล....
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าอธิกรณ์ระงับแล้วอย่างนี้ ผู้ทำรื้อฟื้น
เป็นปาจิตตีย์ที่รื้อฟื้น ผู้ให้ฉันทะติเตียน เป็นปาจิตตีย์ที่ติเตียน.
อุพพาหิกวิธี
[๖๗๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุเหล่านั้นวินิจฉัยอธิกรณ์
นั้นอยู่ มีเสียงเซ็งแซ่เกิดขึ้นและไม่ทราบความแห่งถ้อยคำที่กล่าวแล้วนั้น
 
๘/๖๗๕/๕๗๘

วันจันทร์, ตุลาคม 20, 2568

Tang

 
เบื้องล่าง, จะนำเปือกตมนั้นแลออก ควรอยู่. ชื่อว่าระแหง (แผ่นคราบน้ำ,๑
ดินร่วนเพราะน้ำแห้ง) มีอยู่ในที่น้ำไหลไป ย่อมไหวเพราะถูกลมพัด จะนำ
เอาระแหงนั้นออก ควรอยู่. ฝั่ง (ตลิ่ง) แห่งสระโบกขรณีเป็นต้น พังตก
ลงไปริมน้า. ถ้าถูกฝนตกรดต่ำกว่า ๔ เดือน จะฟันออก หรือทุบออก ก็ควร
ถ้าเกิน ๔ เดือน ไม่ควร. แต่ถ้าตกลงในน้ำเลย. แม้เมื่อฝนตกรดเกิน ๔ เดือน
แล้ว ก็ควร เพราะน้ำ (ฝน) ตกลงไปในน้ำเท่านั้น.
ภิกษุทั้งหลายขุด (เจาะ) สะพังน้ำ (ตระพังหิน) บนหินดาด. ถ้า
แม้นว่า ผงละเอียดตกลงไปในตระพังหินนั้น ตั้งอาทิผิด อักขระแต่แรกทีเดียว. ผงละเอียด
นั้นถูกฝนตกรด ต่อล่วงไปได้ ๔ เดือน จึงถึงอันนับว่า เป็นอกัปปิยปฐพี.
เมื่อน้ำงวดแล้ว (แห้งแล้ว ) พวกภิกษุผู้ชำระตระพังหิน จะแยกผงละเอียด
นั้นออก ไม่ควร. ถ้าเต็มด้วยน้ำอยู่ก่อน. ผงละอองตกลงไปภายหลัง. จะแยก
ผงละอองนั้นออก ควรอยู่. แท้จริง แม้เมื่อฝนตกในตระพังหินนั้น น้ำย่อม
ตกลงในน้ำเท่านั้น. ผงละเอียดมีอยู่บนพวกหินดาด ผงละเอียดนั้น เมื่อถูก
ฝนตกซะอยู่ ก็ติดกันเข้าอีก. จะแยกผงละอองแม้นั้นออกโดยล่วง ๔ เดือนไป
ไม่ควร.
จอมปลวกเกิดขึ้นที่เงื้อมเป็นเองไม่มีคนสร้าง. จะแยกออกตามสะดวก
ควรอยู่. ถ้าจอมปลวกเกิดขึ้นในที่แจ้ง ถูกฝนตกรดต่ำกว่า อาทิผิด เดือนเท่านั้น
จึงควร. แม้ในดินเหนียวของตัวปลวกที่ขึ้นไปบ้านไม้เป็นต้น มีนัยอย่างนี้
เหมือนกัน. แม้ในขุยไส้เดือน ขุยหนู และระแหงกีบโคเป็นต้น ก็มีนัยอย่างนั้น
เหมือนกัน. เปือกตมที่ถูกตัดด้วยกีบฝูงโค (โคลนรอยกีบฝูงโค) เรียกว่า
๑. วิมฺติ แก้ว่า อุทกปปฺปฏโกติ อุทเก อนฺโตภูมิยํ ปวิฏฺเฐ ตสฺส อุปริภาคํ ฉาเทตฺวา
ตนุปํสุ วา มตฺติกา วา ปฏลํ หุตฺวา ปตมานา ติฎฺ ฐติ, ตสฺมึ อุทเก สุกฺเขปิ ตํ ปฏฺลํ วาเตน
จลมานา ติฏฺฐติ, ตํ อุทกปปฺปฏโก นาม-ผู้ชำระ.
 
๔/๓๕๓/๒๖๐

วันอาทิตย์, ตุลาคม 19, 2568

Phoem Phun

 
เปรียบเหมือนการที่เปลือกฟองไข่บาง
การที่วิปัสสนาญาณของภิกษุกล้าแข็ง ผ่องใส และแกล้วกล้า
พึงทราบว่า เปรียบเหมือนการที่ปลายเล็บเท้า และจะงอยปากของ
ลูกไก่ทั้งหลายกล้าแข็ง.
เวลาที่วิปัสสนาญาณของภิกษุแก่กล้า เจริญได้ที่ พึงทราบว่า
เปรียบเหมือนเวลาที่ลูกไก่ทั้งหลายเจริญขึ้น.
เวลาที่ภิกษุนั้น ถือเอาวิปัสสนาญาณได้แล้ว เที่ยว (จาริก) ไป
ได้ฤดูเป็นสัปปายะ โภชนะเป็นสัปปายะ บุคคลเป็นสัปปายะ หรือ
การฟังธรรมเป็นสัปปายะ อันเกิดแต่วิปัสสนาญาณนั้น แล้วนั่งอยู่บน
อาสนะเดียวนั่นแล เจริญวิปัสสนา ทำลายกะเปาะฟองคืออวิชชาด้วย
อรหัตตมรรคที่บรรลุแล้วตามลำดับ ปรบปีกคืออภิญญา แล้วสำเร็จเป็น
พระอรหันต์โดยสวัสดี พึงทราบว่า เปรียบเหมือนเวลาลูกไก่ เอา
ปลายเล็บเท้า หรือจะงอยปาก กะเทาะกะเปาะฟองไข่ กระพือปีก
แหวกออกมาได้โดยสวัสดี.
อนึ่ง เปรียบเหมือนว่า แม่ไก่ทราบว่า ลูกไก่ เติบโตเต็มที่แล้ว
จึงจิกกะเปาะฟองไข่ฉันใด ฝ่ายพระศาสดาก็ฉันนั้น ทรงทราบว่า
ญาณของภิกษุเห็นปานนั้น แก่เต็มที่แล้ว ก็ทรงแผ่แสงสว่างไป แล้ว
ทำลายกะเปาะฟองไข่คืออวิชชา ด้วยคาถาโดยนัยเป็นต้นว่า :-
จงถอนความเสน่หาของตนขึ้นเสียเถิด
ให้เหมือนกับ ถอนดอกโกมุท ที่บานในฤดูสารทกาล
ด้วยมือของตนฉะนั้น ขอเธอจงเพิ่มพูนอาทิผิด อักขระทางแห่ง
สันติเถิด พระนิพพาน พระสุคตเจ้า ทรงแสดง
ไว้แล้ว.
 
๒๗/๒๖๒/๓๕๓

วันเสาร์, ตุลาคม 18, 2568

Wiwaha

 
ประทานอนุญาตเพื่อยังของที่เขาให้ด้วยศรัทธาให้ตกไป ก็ท่านถือเอาของที่เขา
ให้ด้วยศรัทธามาให้แก่เหล่าคฤหัสถ์ ทำกิจไม่สมควร ภิกษุนั้น ได้ฟังอาทิผิด ถ้อยคำ
ของภิกษุเหล่านั้นก็ละอาย ทอดทิ้งมาตาปิตุปัฏฐานกิจเสีย ภิกษุเหล่านั้น ยังไม่
พอใจ แม้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ จึงพากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูล
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุชื่อโน้นยังของที่เขาให้ด้วยศรัทธาให้ตกไป
เลี้ยงดูคฤหัสถ์ พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุนั้นมาตรัสถามว่า แน่ะภิกษุ ได้ยินว่า
เธอถือเอาศรัทธาไทยไปเลี้ยงคฤหัสถ์ จริงหรือ เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลรับว่าจริง
พระเจ้าข้า เมื่อทรงใคร่จะสรรเสริญการกระทำของภิกษุนั้น และทรงใคร่จะ
ประกาศบุพจริยาของพระองค์ จึงตรัสถามว่า แน่ะภิกษุ เมื่อเธอเลี้ยงดูเหล่า
คฤหัสถ์ เลี้ยงดูคฤหัสถ์เหล่าไหน ภิกษุนั้นกราบทูลว่า บิดามารดาของข้า
พระองค์ พระเจ้าข้า เพื่อจะยังความอุตสาหะให้เกิดแก่ภิกษุนั้น พระศาสดา
ได้ทรงประทานสาธุการสามครั้งว่า สาธุ สาธุ สาธุ แล้วตรัสว่า เธอดำรง
อยู่ในทางที่เราดำเนินแล้ว แม้เราเมื่อประพฤติบุพจริยาก็ได้บำรุงเลี้ยงบิดา
มารดา ภิกษุนั้นกลับได้ความเบิกบานใจ ลำดับนั้น เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบ
ทูลวิงวอนให้ทรงประกาศบุพจริยา พระศาสดาจึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดง
ดังต่อไปนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล ณ ที่ไม่ไกลแต่กรุงพาราณสี มีบ้าน
นายพรานบ้านหนึ่งริมฝั่งนี้แห่งแม่น้ำ และมีบ้านนายพรานอีกบ้านหนึ่งริมฝั่ง
โน้นแห่งแม่น้ำ ในบ้านแห่งหนึ่ง ๆ มีตระกูลประมาณห้าร้อยตระกูล นาย
เนสาทผู้เป็นใหญ่สองคนอาทิผิด อักขระในบ้านทั้งสองเป็นสหายกัน ในเวลาที่ยังหนุ่มอยู่ เขา
ได้ทำกติกาสัญญากันอย่างนี้ว่า ถ้าข้างหนึ่งมีธิดา ข้างหนึ่งมีบุตร เราจักทำ
อาวาหวิวาหอาทิผิด อักขระมงคลแก่บุตรธิดาเหล่านั้น ลำดับนั้น ในเรือนของนายเนสาท
ผู้เป็นใหญ่ในบ้านริมฝั่งนี้คลอดบุตร บิดามารดาให้ชื่อว่า ทุกูลกุมาร เพราะ
 
๖๓/๕๒๔/๑๗๓

วันศุกร์, ตุลาคม 17, 2568

Plaek

 
อรรถกถาสัญญาสูตรที่ ๖
สัญญาสูตรที่ ๖ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า เมถุนธมฺมสมาปตฺติยา พรั่งพร้อมด้วยเมถุนธรรม.
บทว่า นหารุทฺทุลํ ได้แก่ เส้นเอ็น หรือรอยเอ็น บทว่า อนุสนฺทติ
ในกาลเป็นที่เจริญสัญญาก่อนกับกาลเป็นที่เจริญสัญญาอัน ๒
ของไม่แปลกอาทิผิด อักขระกัน.
บทว่า โลกจิตฺเตสุ ความว่า อันวิจิตรของโลก กล่าวคือโลก
สันนิวาสอันประกอบด้วยไตรธาตุ
บทว่า อาลสฺเส ได้แก่ในความเกียจคร้าน บทว่า วิสฏฺฐิเย
ได้แก่ความท้อถอย. บทว่า อนนุโยเค ได้แก่ไม่ประกอบความเพียร.
บทว่า อหํการมมํการมานาปคตํ ได้แก่ ปราศจากทิฏฐิว่าเป็นเรา
จากตัณหาว่าของเรา จากมานะ ๙ อย่าง. บทว่า วิธาสมติกฺกนฺตํ
ความว่า ก้าวล่วงกิเลส ๓ อย่าง. บทว่า สนฺตํ ได้แก่ สงบจาก
กิเลสอันเป็นข้าศึกแก่การเจริญสัญญานั้น. บทว่า สุวิมุตฺตํ ได้แก่
หลุดพ้นด้วยดี ด้วยวิมุตติอาทิผิด อักขระ .
จบ อรรถกถาทุติยสัญญาสูตร ๖
 
๓๗/๔๖/๑๒๙

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 16, 2568

Tae

 
บทว่า ปชหถ มีอธิบายว่า เธอทั้งหลายจงพิจารณาโทษมีประเภท
เป็นต้นอย่างนี้ว่า มานะทั้งหมดนั้นมีการยกตนและข่มผู้อื่นเป็นนิมิต เป็นเหตุ
ไม่ทำการกราบไหว้การต้อนรับ อัญชลีกรรมและสามีจิกรรมเป็นต้นในท่านผู้
อยู่ในฐานะที่ควรเคารพ เป็นเหตุให้ถึงความประมาทโดยความเมาในชาติและ
เมาในคนเป็นต้น และอานิสงส์ของความไม่มีมานะอันตรงกันข้ามกับโทษนั้น
แล้วเริ่มตั้งจิตอ่อนน้อมในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ดุจคนจัณฑาลเข้าไปสู่
ราชสภาแล้วละมานะนั้นด้วยตทังคปหานในส่วนเบื้องต้น เจริญวิปัสสนา ละด้วย
อนาคามิมรรค. ในสูตรนี้ท่านประสงค์มานะอันอนาคามิมรรคพึงฆ่าเท่านั้น.
บทว่า มตฺตาเส ได้แก่เป็นผู้มัวเมาด้วยมานะมีมัวเมาในชาติและมัว
เมาในคนเป็นต้น อันเป็นเหตุให้ถึงความประมาทเป็นต้น ยกย่องตนแล้ว
มัวเมา. บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
แต่ใน ๖ สูตร หรือในคาถาทั้งหลายตามลำดับเหล่านี้พระผู้มีพระภาคเจ้า
ยังภิกษุทั้งหลายให้ถึงอนาคามิผลแล้วจึงจบเทศนา.
ในท่านผู้บรรลุอนาคามิผลนั้นได้เป็นพระอนาคามี ๕ ด้วยอำนาจภพที่
เกิด คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา. บรรดาพระอนาคามี ๕
เหล่านั้น ท่านที่เกิดในชั้นอวิหา ชื่อว่า อวิหา. ท่านเหล่านั้นมี ๕ คือ
อนฺตราปรินิพฺพายี (ท่านผู้จะปรินิพพานในระหว่างอายุยังไม่ทันถึงกึ่ง) ๑
อุปหจฺจปรินิพฺพายี (ท่านผู้จะปรินิพพานต่อเมื่ออายุพ้นอาทิผิด อาณัติกะกึ่งแล้วจวนถึงที่สุด) ๑
อสํขารปรินิพฺพายี (ท่านผู้จะปรินิพพานด้วยต้องใช้ความเพียรเรี่ยวแรง) ๑
สสํขารปรินิพฺพายี (ท่านผู้จะปรินิพพานด้วยต้องอาทิผิด อักขระใช้ความเพียรเรี่ยวแรง) ๑
อุทฺธํโสโตอกนิฏฺฐคามี (ท่านผู้มีกระแสเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ) ๑. ท่าน
ที่ชื่ออัตปปา สุทัสสา สุทัสสี ก็เหมือนอย่างนั้น แต่อาทิผิด อักขระท่านผู้เป็นอุทธังโสโต
อกนิฏฐคามี ย่อมสิ้นสุดในชั้นอกนิฏฐา.
 
๔๕/๑๘๔/๙๐

วันพุธ, ตุลาคม 15, 2568

Yoe Ying

 
จึงจักห่ม. พระศาสดาตรัสว่า กัสสป ก็เธอจักอาจทรงผ้าบังสุกุล
ที่ใช้จนเก่าผืนนี้อย่างนี้ได้หรือ ด้วยว่ามหาปฐพีได้ไหวจนถึงน้ำรอง
แผ่นดิน ในวันที่เราชักอาทิผิด อักขระผ้าบังสุกุลผืนนี้. ธรรมดาว่าจีวรที่เก่าเพราะ
ใช้ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายนี้ ถึงเก่าแล้วคนที่มีคุณนิดหน่อยไม่
อาจครองได้ จีวรเก่าดังกล่าวนี้ อันบุคคลผู้อาจสามารถในการ
บำเพ็ญข้อปฏิบัติ ผู้ถือผ้าบังสุกุลมาแต่เดิมจึงจะควรรับเอา แล้ว
ทรงเปลี่ยนจีวรกับพระเถระ.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปลี่ยนจีวรอย่างนี้แล้ว ทรงห่ม
จีวรที่พระเถระห่มแล้ว พระเถระห่มจีวรของพระศาสดา. ในสมัยนั้น
มหาปฐพีนี้แม้ไม่มีจิตใจก็ไหวจนถึงน้ำรองแผ่นดินเหมือนจะกล่าวว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงทำสิ่งที่ทำได้ยาก จีวรที่พระองค์
ห่มแล้ว ชื่อว่าเคยได้ประทานแก่พระสาวกไม่มี (คือไม่เคยมีการ
ประทานจีวรที่ทรงห่มแล้วแก่สาวก) ข้าพระองค์ไม่อาจรองรับคุณ
ของพระองค์ได้. แม้พระเถระก็มิได้กระทำเย่อหยิ่งอาทิผิด อักขระว่า เดี๋ยวนี้
เราได้จีวรสำหรับใช้สอยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย สิ่งที่เราจะพึง
ทำให้ยิ่งขึ้นไปในบัดนี้ยังจะมีอยู่หรือ จึงได้สมาทานธุดงค์คุณ ๑๓
ข้อในสำนักของพระพุทธเจ้านั่นแหละ เป็นปุถุชนเพียง ๗ วัน
ในอรุณที่ ๘ ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยสูตรทั้งหลายมีอาทิ
อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กัสสปเปรียบเหมือนพระจันทร์
เข้าไปสู่ตระกูลทั้งหลาย หลีกกาย หลีกใจจากอกุศลธรรมทั้งหลาย
เป็นผู้ใหม่อยู่เสมอ ไม่คนองในตระกูลทั้งหลาย. ครั้นมาภายหลัง
ทรงกระทำกัสสปสังยุตนี้แหละให้เป็นเหตุเกิดเรื่อง จึงทรงสถาปนา
พระเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้วยพระดำรัสว่า มหากัสสปเป็น
 
๓๒/๑๔๖/๓๐๓

วันอังคาร, ตุลาคม 14, 2568

Tak

 
พระอุปัชฌาย์ทั้งหลาย จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน
พระฉัพพัคคีย์จึงไม่อาปุจฉาพวกเราก่อน แล้วทำการกักกันสามเณรของพวก
เราเล่าแล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่ง
กะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่อาปุจฉาอุปัชฌาย์ก่อนแล้ว
ไม่พึงทำการกักกันสามเณรไว้ รูปใดทำ ต้องอาบัติทุกกฏ.

เรื่องทรงห้ามเกลี้ยกล่อมสามเณร
[๑๒๓] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์พากันเกลี้ยกล่อมพวกสาม-
เณรของพระเถระทั้งหลาย พระเถระทั้งหลายต้องหยิบไม้ชำระฟันบ้าง ตักอาทิผิด อักขระน้ำ
ล้างหน้าบ้าง ด้วยตนเอง ย่อมลำบาก จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค-
เจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บริษัท
ของภิกษุอื่น ภิกษุไม่พึงเกลี้ยกล่อม รูปใดเกลี้ยกล่อม ต้องอาบัติทุกกฏ.

องค์แห่งนาสนะ ๑๐ ของสามเณร
[๑๒๔] ก็โดยสมัยนั้นแล สามเณรของท่านพระอุปนันทศากยบุตรชื่อ
กัณฏกะ ได้ประทุษร้ายภิกษุณีกัณฏกี ภิกษุทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพน-
ทะนาว่า ไฉนสามเณรจึงได้ประพฤติอนาจารเห็นปานนี้เล่า แล้วกราบทูลเรื่อง
นั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตให้นาสนะสามเณรผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐ คือ.
๑. ทำสัตว์ที่มีชีวิตให้ตกล่วงไป.
๒. ถือเอาพัสดุอันเจ้าของมิได้ให้.
๓. ประพฤติกรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์.
 
๖/๑๒๓/๓๐๑

วันจันทร์, ตุลาคม 13, 2568

Chak

 
แม้เหล่านั้น บรรลุอุปนิสัยสมบัติ ก็เพราะได้ฟังธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งมรรคและผล ในภพที่ ๒ หรือที่ ๓ เพราะอุปนิสัยสมบัติ
นั้นนั่นแล. ก็ในความเป็นศาสดาของพวกสัตว์ดิรัจฉานนี้ มีมัณฑูกเทวบุตร
เป็นต้น เป็นอุทาหรณ์.
[เรื่องกบฟังธรรมของพระพุทธเจ้าได้เป็นเทพบุตร]
ได้ยินว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงธรรมแก่ชนชาวนครจำปา
อยู่ที่ริมฝั่งสระโบกขรณี ชื่อคัคครา ยังมีกบตัวหนึ่งได้ถือเอานิมิตในพระสุรเสียง
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า (ซึ่งกำลังทรงแสดงธรรมอยู่). (ขณะนั้น) มีคนเลี้ยง
โคคนหนึ่ง เมื่อจะยืนยันไม้เท้าได้ (ยืน) กดลงที่ศีรษะกบนั้น. กบตัวนั้นก็
ตายในทันอาทิผิด สระใดนั้นนั่นเอง แล้วเกิดในวิมานทองประมาณ ๑๒ โยชน์ ในภพดาว-
ดึงส์ เหมือนนอนหลับแล้วตื่นขึ้นฉะนั้น.
ในภพดาวดึงส์นั้น มัณฑูกเทพบุตร เห็นตนเองอันหมู่นางฟ้าแวดล้อม
แล้ว ใคร่ครวญอยู่ว่า เว้ย ชื่อแม้เรา มาเกิดในที่นี้ ได้กระทำกรรมอะไร
หนอแล ? ก็มิได้เห็นกรรมอะไร ๆ อย่างอื่น นอกจากอาทิผิด อักขระการถือเอานิมิตในพระ
สุรเสียง ของพระผู้มีพระภาคเจ้า (เท่านั้น). มัณฑูกเทวบุตร จึงมาพร้อมทั้ง
วิมานในทันใดนั้นนั่นเอง แล้วถวายบังคมพระบาทยุคลของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ด้วยเศียรเกล้า. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งที่ทรงทราบอยู่แล (แต่) ตรัสถามว่า
ใครช่างรุ่งเรืองด้วยฤทธิ์ (และ) ยศ
มีพรรณงดงามยิ่งนัก ยังทิศทั้งปวงให้สว่าง
อยู่ กำลังไหว้เท้าของเรา ?
 
๑/๙/๒๐๔

วันอาทิตย์, ตุลาคม 12, 2568

Krathin

 
ได้แก่ กลับใจ. อธิบายว่าอยู่ในนิเวศน์ของพระองค์ เปลี่ยนจิตจากความเป็น
ปุถุชนภายใน ๗ วันเท่านั้น แล้วทรงบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า. บทว่า
เหฏฺฐา แปลว่า เบื้องต่ำ. บทว่า ภวคฺคา ได้แก่ แต่อกนิษฐภพ. บทว่า
ตาย ปริสาย ได้แก่ ท่ามกลางบริษัทนั้น. บทว่า คณนาย น วตฺตพฺโพ
ความว่า เกินที่จะนับจำนวนได้. บทว่า ปฐมาภิสมโย ได้แก่ ธรรมาภิสมัย
ครั้งที่ ๑. บทว่า อหุ ความว่า บริษัทนับจำนวนไม่ได้. ปาฐะว่า ปฐเม
อภิสฺมึสุเยว ดังนี้ก็มี. ความว่า ชนเหล่าใด ตรัสรู้ ในการแสดงธรรมของ
พระโสภิตพุทธเจ้านั้น ชนเหล่านั้น อันใครๆ กล่าวไม่ได้ด้วยการนับจำนวน.
สมัยต่อมา พระโสภิตพุทธเจ้า ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ณ โคนต้น
จิตตปาฏลี ใกล้ประตูกรุงสุทัสสนะ ประทับนั่งทรงแสดงอภิธรรม เหนือพื้น
บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ โคนต้น ปาริฉัตรในภพดาวดึงส์ อันเป็นภพที่สำเร็จ
ด้วยนพรัตน์และทอง. จบเทศนา เทวดาเก้าหมื่นโกฏิตรัสรู้ธรรม นี้เป็น
อภิสมัยครั้งที่ ๒. ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสว่า
เมื่อพระโสภิตพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ต่อจาก
อภิสมัยครั้งที่ ๑ นั้น ณ ที่ประชุมเทวดาทั้งหลาย อภิ-
สมัยครั้งที่ ๒ ก็ได้มีแก่เทวดาเก้าหมื่นโกฏิ.
สมัยต่อมา พระราชกุมารพระนามว่า ชัยเสนะ ในกรุงสุทัสสนะ
ทรงสร้างวิหารประมาณโยชน์หนึ่ง ทรงสร้างพระอาราม ทรงเว้นไว้ระยะต้นไม้ดี
เช่นต้น อโศก ต้นสน จำปา กระถินอาทิผิด อักขระพิมาน บุนนาค พิกุลหอม มะม่วง ขนุน
อาสนศาลา มะลิวัน มะม่วงหอม พุดเป็นต้น ทรงมอบถวายแด่ภิกษุสงฆ์มี
พระพุทธเจ้าเป็นประธาน. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำอนุโมทนาทาน ทรง
สรรเสริญการบริจาคทานแล้วทรงแสดงธรรม. ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่
หมู่สัตว์แสนโกฏิ นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓ ด้วยเหตุนี้ จึงตรัสว่า
 
๗๓/๗/๔๐๒