แม้เราก็ฉันนั้น ไถในภายในแล้ว ใช้สัจจะดายหญ้าคือการกล่าวคลาดเคลื่อน
ที่ประทุษร้าย ข้าวกล้าคือกุศล. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบสัจจะในคำว่า สจฺจํ
กโรมิ นิทฺทานํ นี้ หมายเอายถาภูตญาณ. ท่านแสดงว่า เราทำการ
ดายหญ้ามีอัตตสัญญาเป็นต้นด้วยยถาอาทิผิด อักขระ ภูตญาณ นั้น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า นิทฺทานํ
ความว่า ตัด เกี่ยว ถอนขึ้น. ท่านแสดงว่า ท่านใช้ทาสหรือกรรมกรให้ดาย
คือตัดเกี่ยวถอนหญ้าทั้งหลาย ด้วยคำว่า จงดายหญ้าทั้งหลาย ฉันใด เราก็
ฉันนั้นใช้สัจจะดายหญ้า. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สจฺจํ ได้แก่ ทิฏฐิสัจจะ
ความว่า เราทำการดายหญ้านั้น คือ ตัดสิ่งที่ควรตัด เกี่ยวสิ่งที่ควรเกี่ยว
ถอนสิ่งที่ควรถอน. ในวิกัปทั้ง ๒ เหล่านี้ ควรประกอบเนื้อความด้วยทุติยา-
วิภัตติเท่านั้น.
ในคำว่า โสรจฺจํ เม ปโมจนํ นี้ ศีลคือการไม่ล่วงละเมิดทางกาย
การไม่ล่วงละเมิดทางวาจานั่นแหละ ท่านกล่าวว่า โสรัจจะ ข้อนั้นท่านไม่
ประสงค์. ก็คำว่า โสรจฺจํ นั้น ท่านกล่าวไว้ด้วยคำว่า กายคุตฺโต เป็นต้น
เท่านั้น. แต่ท่านประสงค์เอาอรหัตผล. ก็พระอรหัตผลนั้น ท่านเรียกว่า
โสรัจจะ เพราะความยินดีในพระนิพพานอันดี. บทว่า ปโมจนํ ได้แก่
สละโยคกิเลสเครื่องประกอบ. คำนี้มีอธิบายว่า การปลดเปลื้องของท่าน
ย่อมไม่เป็นการปลดเปลื้องเลย เพราะต้องประกอบในเวลาเย็น ในวันที่สอง
หรือในปีหน้าแม้อีก ฉันใด การปลดเปลื้องของเราหาเป็นฉันนั้นไม่. ขึ้นชื่อว่า
การปลดเปลื้องในระหว่างของเราหามีไม่. เพราะเราเทียมโคงานคือความเพียร
ที่ไถ คือปัญญา จำเดิมแต่ครั้งพระทศพลพระนามว่าทีปังกร ไถเป็นการใหญ่
สิ้นสี่อสงขัยแสนกัป ก็ยังไม่พ้น ตราบเท่าที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ.
ก็เมื่อใดเราใช้เวลาทั้งหมดนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์ ณ โคนโพธิพฤกษ์.
พระอรหัตผลที่มีคุณทั้งปวงเป็นบริวารก็เกิดขึ้น เมื่อนั้น เราปล่อยวาง
ที่ประทุษร้าย ข้าวกล้าคือกุศล. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบสัจจะในคำว่า สจฺจํ
กโรมิ นิทฺทานํ นี้ หมายเอายถาภูตญาณ. ท่านแสดงว่า เราทำการ
ดายหญ้ามีอัตตสัญญาเป็นต้นด้วย
ความว่า ตัด เกี่ยว ถอนขึ้น. ท่านแสดงว่า ท่านใช้ทาสหรือกรรมกรให้ดาย
คือตัดเกี่ยวถอนหญ้าทั้งหลาย ด้วยคำว่า จงดายหญ้าทั้งหลาย ฉันใด เราก็
ฉันนั้นใช้สัจจะดายหญ้า. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สจฺจํ ได้แก่ ทิฏฐิสัจจะ
ความว่า เราทำการดายหญ้านั้น คือ ตัดสิ่งที่ควรตัด เกี่ยวสิ่งที่ควรเกี่ยว
ถอนสิ่งที่ควรถอน. ในวิกัปทั้ง ๒ เหล่านี้ ควรประกอบเนื้อความด้วยทุติยา-
วิภัตติเท่านั้น.
ในคำว่า โสรจฺจํ เม ปโมจนํ นี้ ศีลคือการไม่ล่วงละเมิดทางกาย
การไม่ล่วงละเมิดทางวาจานั่นแหละ ท่านกล่าวว่า โสรัจจะ ข้อนั้นท่านไม่
ประสงค์. ก็คำว่า โสรจฺจํ นั้น ท่านกล่าวไว้ด้วยคำว่า กายคุตฺโต เป็นต้น
เท่านั้น. แต่ท่านประสงค์เอาอรหัตผล. ก็พระอรหัตผลนั้น ท่านเรียกว่า
โสรัจจะ เพราะความยินดีในพระนิพพานอันดี. บทว่า ปโมจนํ ได้แก่
สละโยคกิเลสเครื่องประกอบ. คำนี้มีอธิบายว่า การปลดเปลื้องของท่าน
ย่อมไม่เป็นการปลดเปลื้องเลย เพราะต้องประกอบในเวลาเย็น ในวันที่สอง
หรือในปีหน้าแม้อีก ฉันใด การปลดเปลื้องของเราหาเป็นฉันนั้นไม่. ขึ้นชื่อว่า
การปลดเปลื้องในระหว่างของเราหามีไม่. เพราะเราเทียมโคงานคือความเพียร
ที่ไถ คือปัญญา จำเดิมแต่ครั้งพระทศพลพระนามว่าทีปังกร ไถเป็นการใหญ่
สิ้นสี่อสงขัยแสนกัป ก็ยังไม่พ้น ตราบเท่าที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ.
ก็เมื่อใดเราใช้เวลาทั้งหมดนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์ ณ โคนโพธิพฤกษ์.
พระอรหัตผลที่มีคุณทั้งปวงเป็นบริวารก็เกิดขึ้น เมื่อนั้น เราปล่อยวาง
๒๕/๖๗๖/๒๖๒

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น