วันจันทร์, พฤศจิกายน 30, 2563

Samnak

 
อรรถกถามหาพยูหสูตรที่ ๑๓
มหาพยูหสูตร มีคำเริ่มต้นว่า เย เกจิเม บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
ดังนี้เป็นต้น.
พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร ?
ในมหาสมัยนั้นเหมือนกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระสูตรนี้เพื่อทำ
ให้แจ้งความนั้น แก่เหล่าเทวดาบางพวกผู้มีอาทิผิด สระจิตเกิดขึ้นว่า บุคคลเหล่านี้ถือมั่น
ในทิฏฐิย่อมได้รับการนินทาอย่างเดียวหรือหนอ หรือได้รับแม้การสรรเสริญ
ด้วย จากสำนักอาทิผิด สระของวิญญูชนทั้งหลาย ทรงให้พระพุทธนิมิตถามพระองค์
โดยนัยก่อนนั่นแล.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อนฺวานยนฺติ ได้แก่ นำมาเนือง ๆ คือนำมา
บ่อย ๆ. เพราะบุคคลผู้มีวาทะเป็นเจ้าทิฎฐิเหล่านั้นแม้กล่าวอยู่ว่าสิ่งนี้เท่านั้น
จริง บางคราวได้ความสรรเสริญบ้าง ผลแห่งวาทะอันได้แก่ความสรรเสริญนั้น
น้อยนักไม่สามารถเพื่อสงบราคะเป็นต้นได้ จะกล่าวไปไยถึงผลแห่งการนินทา
ที่สอง ฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงความนี้จึงตรัสคาถาแก้นี้ก่อน
มีอาทิว่า เรากล่าวผลแห่งการวิวาท ๒ ประการนี้น้อยนัก ไม่พอแก่ความสงบ
ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ทุเว วิวาทสฺส ผลานิ ผลแห่งการวิวาท
๒ ประการ ได้แก่ ความนินทาและความสรรเสริญ หรือได้แก่ ความชนะ
และความแพ้เป็นต้นอันเป็นส่วนพวกเดียวกันกับความสรรเสริญและความนินทา
นั้น. บทว่า เอตมฺปิ ทิสฺวา เห็นโทษแห่งการวิวาทกัน คือเห็นโทษในผล
๑. บาลีว่า มหาวิยูหสูตร.
 
๔๗/๔๒๐/๘๑๙

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 29, 2563

Sambahula

 
บทว่า อถโข สมฺพหุลาอาทิผิด สระ ภิกฺขู ความว่า ครั้งนั้น เมื่อพระตถาคต
ประทับอยู่ในป่าปาลิเลยยกะนั้น ดังพรรณนามานี้ ภิกษุ ๕๐๐ รูปที่
จำพรรษาอยู่ในทิศทั้งหลาย.
บทว่า เยนายสฺมา อานนฺโท ความว่า (ภิกษุเหล่านั้น)
ไม่สามารถจะไปสำนักพระศาสดาตามธรรมดาของตนได้ จึงเข้าไป
หาพระอานนท์จนถึงที่อยู่.

ศาสนธรรมอาทิผิด สระ
บทว่า อนนฺตรา อาสวานํ ขโย ความว่า อรหัตตผล
ต่อจากมรรค.
บทว่า วิจยโส แปลว่า ด้วยการวิจัย อธิบายว่า กำหนดด้วย
ญาณซึ่งสามารถวิจัยถึงสภาวะของธรรมเหล่านั้น ๆ.
บทว่า ธมฺโม หมายถึง ศาสนธรรม. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
แสดงธรรมกำหนดส่วนเหล่าใดมีอาทิว่า สติปัฏฐาน ๔ ไว้ เพื่อ
ต้องการประกาศส่วนเหล่านั้น พระองค์จึงตรัส (พระพุทธพจน์นี้ไว้).

ปฏิจจสมุปบาทย่อย
บทว่า สมนุปสฺสนา ได้แก่ การพิจารณาเห็นด้วยทิฏฐิ.
บทว่า สํขาโร โส ได้แก่ สังขารคือทิฏฐินั้น.
บทว่า ตโตโช โส สงฺขาโร ความว่า สังขารนั้นเกิดจาก
ตัณหานั้น อธิบายว่า ในบรรดาจิตที่สัมปยุตด้วยตัณหา สังขารนั้น
ย่อมเกิดในจิต ๔ ดวง.
 
๒๗/๑๘๑/๒๓๓

วันเสาร์, พฤศจิกายน 28, 2563

Na

 
แต่พระองค์เดียว พระองค์ได้ทรงเห็นบุคคลที่อาทิผิด อาณัติกะควรแนะนำ สักคนหนึ่งเป็นแน่
แท้. ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นถือบาตรและจีวรของตน กระทำปทักษิณพระ-
คันธกุฎีถวายบังคมแล้วไปสู่ที่ภิกษาจาร. ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ทรงกระทำอย่างนั้น. เพราะเหตุนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงไม่ติดตาม
บทว่า ปริเวสนา วตฺตติ ความว่า การเลี้ยงอาหาร ของชาวนา
๕๐๐ ผู้นั่งถือภาชนะทองเป็นต้นเหล่านั้นเป็นอันกระทำค้างไว้. บทว่า เอกมนฺตํ
อฏฺฐาสิ ความว่า ประทับยืนในที่ที่คนยืนแล้วพราหมณ์จะเห็นได้ คือในที่
สูงมีความผาสุกในทัสสนูปจารเห็นปานนั้น.
ก็แล ครั้นพระองค์ประทับยืนแล้วทรงเปล่งรัศมีพระวรกายมีสีเหลือง
ดังทองธรรมชาติโดยรอบ ไพโรจน์ล่วงรัศมีพระจันทร์และพระอาทิตย์ แผ่
คลุมโรงงาน ฝาเรือน ต้นไม้และก้อนดิน ที่ไถเป็นต้นของพราหมณ์ ได้
เป็นเสมือนทำด้วยทอง ลำดับนั้นพวกมนุษย์กำลังบริโภคอยู่ก็มี กำลังไถนาอาทิผิด สระอยู่ก็
มี ต่างพากันละทิ้งกิจทุกอย่าง เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระวรกายประดับ
ด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ มีอนุพยัญชนะ ๘๐ เป็นบริวาร และคู่
พระพาหาซึ่งงดงามด้วยรัศมีที่แผ่สร้านออกวาหนึ่ง ทรงรุ่งเรืองอาทิผิด อาณัติกะด้วยพระสิริ ราว
กะว่าสระปทุมที่เกิดบนแผ่นดิน เพียงดังท้องฟ้าที่มีหมู่ดาวส่องแสงระยิบระยับ
และเพียงดังสุวรรณบรรพตอันประเสริฐที่ห่อหุ้มด้วยสายฟ้า ต่างล้างมือและเท้า
เข้าไปยืนแวดล้อมประคองอัญชลีอยู่. กสิภารทวาชพราหมณ์ได้เห็นพระผู้มี-
พระภาคเจ้าแวดล้อมไปด้วยชนเหล่านั้น เสด็จบิณฑบาตด้วยอาการอย่างนี้
ครั้นเห็นแล้ว จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า อหํ โข สมณ กสา-
มิ จ วปามิ จ ดังนี้.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พราหมณ์นี้จึงกล่าวอย่างนี้ว่า จัดข้าวปายาสแก่
ชน ๒,๕๐๐ คน ด้วยความไม่เลื่อมใสในพระตถาคตผู้แม้ถึงการฝึกฝนและความ
 
๒๕/๖๗๖/๒๕๓

วันศุกร์, พฤศจิกายน 27, 2563

Nitthet

 
น อัญญาตาวินทริยมูละ น จักขุนทริยมูลี:-
[๔๘๗] ธรรมที่ไม่ชื่อว่าอัญญาตาวี, ไม่ชื่อว่า อินทรีย์ ใช่ไหม ?
เว้นธรรมที่ชื่อว่าอัญญาตาวีเสียแล้ว อินทรีย์ที่เหลือ ไม่ชื่อว่า
อัญญาตาวี แต่ชื่อว่า อินทรีย์, และเว้นธรรมที่ชื่อว่าอัญญาตาวีกับ
อินทรีย์เสียแล้ว ธรรมที่เหลือ ไม่ชื่อว่า อัญญาตาวีด้วย ไม่ชื่อว่า
อินทรีย์ด้วย.
ธรรมที่ไม่ชื่อว่าอินทรีย์, ไม่ชื่อว่า จักขุนทรีย์ ใช่ไหม ?
ใช่.
ฯลฯ
น อัญญาตาวินทริยมูละ น อัญญินทริยมูลี:-
ธรรมที่ไม่ชื่อว่าอัญญาตาวี, ไม่ชื่อว่า อินทรีย์ ใช่ไหม ?
เว้นธรรมที่ชื่อว่าอัญญาตาวีเสียแล้ว อินทรีย์ที่เหลือ ไม่ชื่อว่า
อัญญาตาวี แต่ชื่อว่า อินทรีย์, และเว้นธรรมที่ชื่อว่าอัญญาตาวีกับ
อินทรีย์เสียแล้ว ธรรมที่เหลือ ไม่ชื่อว่า อัญญาตาวีด้วย ไม่ชื่อว่า
อินทรีย์ด้วย.
ธรรมที่ไม่ชื่อว่าอินทรีย์ ไม่ชื่อว่า อัญญินทรีย์ ใช่ไหม ?
ใช่.
จบ น อัญญาตาวินทริยมูละ น อัญญินทริยมูลี
น อัญญาตาวินทริยมูล จบ
ปัณณัตติวารนิทเทสอาทิผิด อักขระ จบ
 
๘๔/๔๘๗/๑๙๕

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 26, 2563

Tai

 
ชีวิตมาตลอดราตรีนาน. เขาจึงได้มีนิมิต คือ ภาวะของคนที่เงื้อดาบขึ้น ฉะนั้น
เขาจึงเกิดเป็นอสิโลมเปรต.
[เรื่องสัตติโลมเปรต]
ในเรื่องสัตติโลมเปรต พึงทราบวินิจฉัยต่อไป :- สัตติโลมเปรตนั้น
เป็นคนล่าเนื้อ พาเอาเนื้อตัวหนึ่งและถือหอกเล่มหนึ่ง ไปป่าแล้ว ใช้หอก
แทงเนื้อที่พากันมาสู่ที่ใกล้เนื้อนั้นให้ตาย. เขาจึงได้มีนิมิต คือ ภาวะที่ใช้
หอกแทง, ฉะนั้น เขาจึงเกิดเป็นสัตติโลมเปรต.
[เรื่องอุสุโลมเปรต]
ในเรื่องอุสุโลมเปรต พึงทราบวินิจฉัยต่อไป :- บทว่า การณิโก
ความว่า เป็นบุรุษผู้เบียดเบียนพวกคนผู้ผิดต่อพระราชา ด้วยเหตุทั้งหลาย
เป็นอันมาก ลงท้ายใช้ลูกศรยิงให้ตาย. ได้ยินว่า เขาทราบก่อนว่า คนถูกยิง
ส่วนโน้นจึงจะตายอาทิผิด อักขระ ดังนี้ แล้วจึงยิง. เขานั่นเองเลี้ยงชีวิตแล้วบังเกิดในนรก
ในเวลาเกิดในเปรตวิสัยนี้ ได้มีนิมิตคือภาวะที่ใช้ศรยิง ด้วยวิบากที่ยังเหลือ
จากนรกนั้น. ฉะนั้น เขาจึงเกิดเป็นอุสุโลมเปรต.
[เรื่องสูจิโลมเปรต]
ในเรื่องสูจิโลมเปรต พึงทราบวินิจฉัยต่อไป :- บทว่า สารถิ คือ
เป็นคนฝึกม้า ในอรรถกถากุรุนที ท่านกล่าวว่า เป็นคนฝึกโค ดังนี้บ้าง
เขาได้มีนิมิต คือ ภาวะที่แทงด้วยเข็มปฏัก. เขาจึงเกิดเป็นสูจิโลมเปรต.
[เรื่องสูจิโลมเปรตที่ ๒]
ในเรื่องสูจิโลมเปรตเรื่องที่ ๒ พึงทราบวินิจฉัยต่อไป :- บทว่า
สูจีโก คือ เป็นคนทำการส่อเสียด ได้ยินว่า เขาทำลายมนุษย์ทั้งหลายและ
พวกเดียวกัน และยุยงในราชตระกูลว่า คนนี้มีความผิดชื่อนี้อาทิผิด คนนี้ทำผิดชื่อนี้
 
๒/๓๐๐/๖๕๔

วันพุธ, พฤศจิกายน 25, 2563

Kham

 
๑๖๐. อรรถกถากุมุททายกเถราปทาน
อปทานของท่านพระกุมุททายกเถระ. มีคำอาทิผิด อักขระเริ่มต้นว่า หิมวนฺตสฺสา-
วิทูเร ดังนี้.
แม้พระเถระรูปนี้ ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระ-
องค์ก่อน ๆ ได้สั่งสมแต่บุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้หลายภพ
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ท่านได้เกิดเป็นนก
ชื่อว่า กุกุตถะ อยู่ใกล้สระใหญ่อันใกล้ภูเขาหิมวันต์ ที่ได้เกิดเป็นนก
ก็เพราะอกุศลกรรมบางอย่าง แต่เพราะมีกุศลกรรมที่ตนอาทิผิด อักขระทำไว้ในกาลก่อน
จึงได้เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญา ฉลาดในบุญและบาป มีศีล งดเว้น จาก
อาหารที่เนื่องด้วยชีวิตสัตว์. ในสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า
ปทุมุตตระ เสด็จมาทางอากาศ เสด็จจงกรมใกล้กับนกนั้น. ลำดับนั้น
นกนั้นได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว มีจิตเลื่อมใส คาบเอาดอกโกมุทมา
บูชาที่บาทมูลของพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรับดอก
โกมุทนั้นไว้ เพื่อจะให้เธอเกิดความโสมนัสใจแล้ว ทรงกระทำอนุ-
โมทนา.
ด้วยบุญอันนั้น นกนั้นจึงได้เสวยความสุขคือสมบัติในโลกทั้งสอง
คือในเทวโลกและมนุษยโลกเสร็จแล้ว ในพุทธุปบาทกาลนี้ เขาเกิดใน
ตระกูลแห่งหนึ่งในกรุงสาวัตถี เจริญวัยแล้ว เป็นผู้มีทรัพย์มาก มีโภค-
สมบัติมาก เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระ-
ศาสดาแล้ว ได้มีศรัทธาบวชแล้ว ไม่นานนักก็ได้เป็นพระอรหันต์ ทราบ
๑. บาลี กุกกุฏะ.
 
๗๑/๑๖๒/๕๓๒

วันอังคาร, พฤศจิกายน 24, 2563

Khanong

 
จะต้องทำได้ทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว บรรลุประโยชน์ของตนแล้ว
มีสังโยชนธรรมอันจะนำไปเกิดในภพสิ้นแล้ว รู้ชอบจึงพ้นไปได้แล้ว. ภิกษุที่
พ้นจากอาสวะอย่างนี้แล้วแล อัคคิเวสสนะ ประกอบด้วยคุณที่เลิศไม่มีคุณอื่น
จะยิ่งกว่า ๓ ประการ คือ ญาณ เครื่องเห็นอันเลิศไม่มีญาณอื่นจะยิ่งกว่า
อย่าง ๑ ความปฏิบัติอันเลิศไม่มีความปฏิบัติอื่นจะยิ่งกว่าอย่าง ๑ ความพ้นอัน
เลิศไม่มีความพ้นอื่นจะยิ่งกว่าอย่าง ๑ และเธอสักการะเคารพนับถือบูชาพระ
ตถาคตด้วยศรัทธาเลื่อมใสว่าพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงรู้เองแล้ว ทรงแสดง
ธรรมเพื่อสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ทรงทรมาน ฝึกพระองค์ก่อนแล้วทรงแสดงธรรม
เพื่อทรมานฝึกสอนผู้อื่น ทรงสงบระงับกองกิเลส (สภาพที่เกิดในใจแล้ว
ทำใจให้เศร้าหมอง) ได้แล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อสอนผู้อื่นให้สงบระงับกอง
กิเลส ทรงข้ามห้วงกิเลสได้แล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อสอนผู้อื่นให้ข้ามห้วง
กิเลส ทรงดับเพลิงกิเลสได้แล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อสอนผู้อื่นให้ดับเพลิง
กิเลส ดังนี้.
[๔๐๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว สัจจกะทูลว่า ข้าพเจ้านั่น
เทียว พระโคดม เป็นคนคอยกำจัดคุณ เป็นคนคะนองอาทิผิด สระวาจา เพราะได้สำคัญถ้อยคำ
ของพระโคดมว่า ตัวอาจจะโต้เถียงได้ด้วยถ้อยคำของตัว บุรุษมาปะทะช้างอันซับมัน
เข้าก็ดี เจอะกองไฟอันกำลังลุกโชนก็ดี กระทบงูที่มีพิษร้ายก็ดี ยังมีเอาตัวรอดได้
บ้าง ก็แต่มาเจอะอาทิผิด พระโคดมเข้าแล้ว ไม่มีเอาตัวรอดได้เลย ข้าพเจ้านั่นเทียว เป็นคน
คอยกำจัดคุณ เป็นคนคะนองอาทิผิด สระวาจา เพราะได้สำคัญถ้อยคำของพระโคดมว่า ตัวอาจจะ
โต้เถียงได้ด้วยถ้อยคำของตัว. ขอพระโคดมพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จงรับภัตตาหารของ
ข้าพเจ้า เพื่อจะฉันในวันพรุ่งนี้. สัจจกะทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์
แล้ว จึงสั่งเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นว่า เจ้าลิจฉวีทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้นิมนต์พระ
สมณโคดมพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เพื่อจะฉันในวันพรุ่งนี้ ท่านจะนำอาหารใดมาเพื่อ
ข้าพเจ้า จงเลือกหาแต่ของที่ควรแก่พระสมณโคดม. ล่วงราตรีนั้นแล้ว เจ้าลิจฉวีเหล่า
 
๑๙/๔๐๓/๘๕

วันจันทร์, พฤศจิกายน 23, 2563

Fang

 
ข้าพเจ้าเป็นเด็กเท่ากับหลานของท่าน ท่านอย่าไหว้ข้าพเจ้าเลย แล้ว ยังหน้า
ของเกวัฏให้สีลงที่พื้นกลับไปกลับมา จนหน้าเปื้อนด้วยโลหิตแล้วกล่าวว่า ดู
ก่อนคนอันธพาล เจ้าหวังการไหว้แต่เราหรือ กล่าวฉะนั้นแล้วจับคอซัดไป
เกวัฏไปตกลงในที่ราวหนึ่งอุสุภ ลุกขึ้นหนีไป โยธาของมโหสถก็หยิบเอา
แก้วมณีไว้ เสียงมโหสถร้องว่า ลุกขึ้นเถิด ๆ อย่าไหว้เราเลย ดังนี้ ได้ยิน
ทั่วบริษัท ส่วนบริษัทของมโหสถก็กล่าวว่า เกวัฏไหว้เท้ามโหสถแล้วโห่ร้อง
แซ่เป็นเสียงเดียวกัน พระราชาร้อยเอ็ด ตลอดพระเจ้าจุลนีก็ได้เห็นเกวัฏน้อม
กายลงแทบเท้ามโหสถ พระราชาเหล่านั้นคิดว่า บัณฑิตของพวกเราไหว้
มโหสถบัณฑิตแล้ว บัดนี้พวกเราเป็นอันพ่ายแพ้ มโหสถจักไม่ให้ชีวิตแก่
พวกเรา คิดฉะนี้แล้วต่างก็ขึ้นม้าของตน ปรารภเพื่อหนีตรงไปอุตตรปัญจาละ
บริษัทของพระโพธิสัตว์เห็นพระราชาเหล่านั้นหนีไปแล้ว จึงบอกกันว่า พระ
เจ้าจุลนีพรหมทัตพาพระราชาร้อยเอ็ดหนีไปแล้ว แล้วโห่ร้องกันอีก พระราชา
ทั้งปวงได้สดับเสียงนั้นกลัวแต่มรณภัยก็พากันแตกกองทัพหนีไป บริษัทของ
พระโพธิสัตว์ก็บันลือสำเนียงเกรียวกราวโกลาหลใหญ่ พระมหาสัตว์เป็นผู้
เสนางคนิกรแวดล้อมกลับเข้าสู่กรุงมิถิลา.
ฝ่ายกองทัพของพระเจ้าจุลนีพรหมทัตหนีไปได้ ๓ โยชน์ ฝ่ายเกวัฏก็
ขึ้นม้าแล้วเช็ดโลหิตที่หน้าผากไปถึงกองทัพ นั่งอยู่บนหลังม้ากล่าวว่า แน่ะ
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าหนีไปเลย เราไม่ได้ไหว้บุตรคฤหบดี
ผู้ชื่อว่ามโหสถดอก ท่านทั้งหลายหยุดเถิด เสนาไม่เชื่อไม่หยุดคงเดินไป พา
กันด่าขู่เกวัฏ กล่าวว่า แน่ะพราหมณ์ชั่ว ผู้มีธรรมเป็นบาป ท่านกล่าวว่า เรา
จักทำธรรมยุทธ์ แล้ว มาไหว้มโหสถผู้คราวหลาน ผู้ไม่เพียงพอจะไหว้ กิจที่
พวกข้าพเจ้าจะพึงทำแก่ท่านไม่มี กล่าวฉะนี้แล้ว ก็ไม่ฟังอาทิผิด ถ้อยคำของเกวัฏ คง
 
๖๓/๖๘๖/๔๔๙

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 22, 2563

Pai

 
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนภิกษุรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่งทั้งปวง กำหนดรู้ธรรมที่ควร
กำหนดรู้ทั้งปวง ยังจิตให้คลายกำหนัด ในธรรมที่ควรรู้ยิ่งและธรรมที่ควร
กำหนดรู้นั้น ละกิเลสวัฏได้ เป็นผู้ควรเพื่อความสิ้นทุกข์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ผู้ใดรู้ธรรมเป็นไปอาทิผิด ในภูมิ ๓ ทั้งปวง
โดยส่วนทั้งปวง ย่อมไม่กำหนัดในสักกาย-
ธรรมทั้งปวง ผู้นั้นกำหนดอาทิผิด สระรู้ธรรมเป็นไป
ในภูมิ ๓ ทั้งปวงแล้ว ล่วงทุกข์ทั้งปวงได้
โดยแท้.
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนั้นแล.
จบสัพพสูตรที่ ๗

อรรถกถาสัพพสูตร
ในสัพพสูตรที่ ๗ พึงทราบวินิจฉัย ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สพฺพํ คือไม่มีเหลือ. สัพพศัพท์นี้บอกถึงสิ่งที่ไม่เหลือ.
สัพพศัพท์นั้นแสดงถึงความไม่มีเหลือของความทั้งหมด เช่นรูปทั้งหมด เวทนา
ทั้งหมดในธรรมอันเนื่องด้วยสักกายะทั้งหมด. อนึ่ง สัพพศัพท์นี้มี ๒ อย่าง
คือสัปปเทสวิสัย (มีบางส่วน) นิปปเทสวิสัย (สิ้นเชิง). จริงดังนั้น สัพพ-
ศัพท์นี้มีข้อที่เห็นได้ในวิสัย ๔ คือ สัพพสัพพวิสัย (ทั้งหมดสิ้นเชิง) ปเทส-
 
๔๕/๑๘๕/๙๓

วันเสาร์, พฤศจิกายน 21, 2563

Mi

 
[๖๐๔] ดูก่อนอานนท์ สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัย
ความเพียรเครื่องเผากิเลส ความตั้งใจมั่น ความประกอบเนือง ๆ ความไม่
ประมาท ความใส่ใจโดยชอบ ย่อมถูกต้องเจโตสมาธิมีรูปทำนองที่เมื่อจิตตั้งมั่น
แล้ว ย่อมเล็งเห็นบุคคลโน้น ผู้มักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง มักถือเอาสิ่งของที่
เจ้าของมิได้ให้ มักประพฤติผิดในกาม มักพูดส่อเสียด มักพูดคำหยาบ มัก
เจรจาเพ้อเจ้อ มากด้วยอภิชฌา มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิดในโลกนี้ และ
เล็งเห็นผู้นั้นตายไปแล้ว เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกได้ ด้วยจักษุเพียง
ดังทิพย์ อันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ สมณะหรือพราหมณ์นั้นจึงกล่าว
อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เป็นอันว่ากรรมชั่วมี วิบากของทุจริตมี ข้าพเจ้าได้
เห็นบุคคลโน้น ผู้มักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง ฯลฯ มีความเห็นผิดในโลกนี้ และ
ผู้นั้นตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ข้าพเจ้าก็เห็น แล้ว กล่าวต่อ
ไปอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เป็นอันว่า ผู้ใดมักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง ฯลฯ มี
ความเห็นผิด ผู้นั้นทุกคนตายไปแล้วย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก.
ชนเหล่าใดรู้อย่างนี้ ชนเหล่านั้น ชื่อว่ารู้ชอบ ชนเหล่าใดรู้โดยประการอื่น ความ.
รู้ของชนเหล่านั้นผิด. สมณะหรือพราหมณ์นั้นจะพูดปักลงไปถึงเรื่องที่เขารู้เอง
เห็นเอง ทราบเอง โดยประการนั้นแหละ. ในที่นั้น ๆ ตามกำลังและความแน่
ใจว่า นี้เท่านั้นจริง อื่นเปล่า.
[๖๐๕] ดูก่อนอานนท์ ส่วนสมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้
อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความตั้งใจมั่น ความประกอบเนือง ๆ ความ
ไม่ประมาท ความใส่ใจโดยชอบ ย่อมถูกต้องเจโตสมาธิมีอาทิผิด รูปทำนองที่เมื่อจิต
ตั้งมั่นแล้ว ย่อมเล็งเห็นบุคคลโน้น ผู้มักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง ฯลฯ มีความ
เห็นผิดในโลกนี้ และเล็งเห็นผู้นั้นตายไปแล้ว เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ได้ ด้วย
จักษุเพียงดังทิพย์ อันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ สมณะหรือพราหมณ์นั้น
 
๒๓/๖๐๕/๒๗๒

วันศุกร์, พฤศจิกายน 20, 2563

Tam Nai

 
วินิจฉัยแม้ในข้อว่า รุกฺขวิฏปิยา นี้ พึงทราบดังนี้อาทิผิด อาณัติกะว่า:-
จะจำพรรษาสักว่าบนค่าคบไม้ล้วนไม่ควร. แต่ว่าพึงผูกเป็นร้านบน
ค่าคบไม้ที่ใหญ่ แล้วทำให้เป็นห้องมุงบังด้วยกระดานบนร้านนั้นแล้วจำพรรษา
เถิด.
บทว่า อเสนาสนเกน ความว่า เสนาสนะที่มุงแล้วด้วยเครื่อง
มุง ๕ ชนิด ชนิดใดชนิดหนึ่ง ติดประตูสำหรับเปิดปิดได้ของภิกษุใดไม่มี
ภิกษุนั้นไม่ควรจำพรรษา.
วินิจฉัยในข้อว่า น ภิกฺขเว ฉวกุฏิกาย นี้ พึงทราบดังนี้:-
กระท่อมต่างชนิด มีเตียงมีแม่แคร่เป็นต้น ชื่อกระท่อมผี. จะจำพรรษา
ในกระท่อมผีนั้นไม่ควร. ก็แค่ว่าจะทำกระท่อมชนิดอื่นในป่าช้า แล้วจำพรรษา
ควรอยู่.
พึงทราบวินิจฉัยแม้ในข้อว่า น ภิกฺขเว ฉตฺเต นี้ ดังนี้.
จะปักร่มไว้ใน ๔ เสา ทำฝารอบ ติดตะปูไว้แล้ว จำพรรษาก็ควร.
กุฎีนั้นชื่อกุฎีร่ม.
วินิจฉัยแม้ในบทว่า จาฏิยา นี้ พึงทราบดังนี้:-
จะทำกุฎีด้วยกระเบื้องอย่างใหญ่ ตามนัยอาทิผิด อักขระที่กล่าวแล้วในเรื่องร่ม
จำพรรษาก็ควร.
เนื้อความแม้ในข้อว่า เอวรูปา กติกา นี้ มีดังนี้:-
กติกาแม้อื่นที่ไม่เป็นธรรมเช่นนี้อันใด กติกานั้นไม่ควรทำ. ลักษณะ
แห่งกติกานั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วในมหาวิภังค์.

๑. ฎีกาสารตฺถทีปนีว่า ปญฺจนฺนํ ฉทนานนฺติ ติณปณฺณอิฏฺ ฐกสิลาสุธาสงฺขาตานํ ปญฺจนฺนํ
ฉทนานํ.
 
๖/๒๒๓/๕๖๕

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 19, 2563

Chap

 
กังสะ การหลอกลวงด้วยถาดทองนั้น ชื่อว่า กังสกูฏะ โกงด้วยสำริด. ถาม
ว่าโกงอย่างไร. ตอบว่า ทำถาดทองไว้ใบหนึ่ง แล้วทำถาดโลหะอื่น ๒-๓ ใบ
ให้มีสีเหมือนทอง จากนั้นเขาก็ไปสู่ชนบท เข้าไปสู่ตระกูลที่มั่งคั่งตระกูลหนึ่ง
แล้วพูดว่า ท่านได้โปรดซื้อภาชนะทองเถิด เมื่อถามถึงราคา ประสงค์จะ
ให้ราคาเท่า ๆ กัน เมื่อผู้ซื้อถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าถาดเหล่านี้เป็นทอง
ผู้หลอกลวงกล่าวว่าทดลองแล้วค่อยรับไป แล้วขูดถาดทองลงที่หิน ขายถาด
ทั้งหมดแล้วก็ไป.
การโกงด้วยเครื่องวัดมี ๓ อย่างคือ หทยเภท ทำลายด้วยรู ๑ สิขาเภท
ทำลายยอด ๑ รัชชุเภท ทำลายด้วยเชือก ๑. ใน ๓ อย่างนั้น หทยเภทได้ใน
เวลาตวงเนยใสและน้ำมันเป็นต้น ด้วยว่า เมื่อรับของเหล่านั้น ใช้เครื่องวัด
อันมีรูข้างล่าง บอกว่าให้ค่อย ๆ เท แล้วให้ไหลลงในภาชนะของตนมาก ๆ
แล้วรับเอาไป เมื่อให้ก็ปิดรูรับทำให้เต็มแล้วให้. สิขาเภทได้ในเวลาตวงงาและ
ข้าวสารเป็นต้น ด้วยว่าเมื่อรับของเหล่านั้นค่อย ๆ ทำยอดให้สูง รับเอาไป
เมื่อให้รีบทำให้เต็มแล้วปาดยอดเสียจึงให้. รัชชุเภทได้ในเวลาวัดนาและที่ดิน
เป็นต้น ด้วยว่าเมื่อไม่ได้สินบน แม้นาไม่ใหญ่ ก็วัดให้ใหญ่ได้. พึงทราบ
วินิจฉัยในการฉ้อโกงเป็นต้น บทว่า ฉ้อโกง ได้แก่ รับสินบนเพื่อทำเจ้าของ
ไม่ให้เป็นเจ้าของ. บทว่า วญฺจนํ ได้แก่การหลอกลวงผู้อื่นด้วยอุบายนั้น ๆ.
ในบททั้งสองนั้นมีเรื่องหนึ่งเป็นตัวอย่างดังนี้
ได้ยินว่า พรานคนหนึ่ง จับอาทิผิด อักขระเนื้อและลูกเนื้อเดินมา. นักเลงคนหนึ่ง
พูดกะพรานนั้นว่า พ่อพราน เนื้อราคาเท่าไร ลูกเนื้อราคาเท่าไร. เมื่อพราน
บอกว่า พ่อเนื้อสองกหาปณะ ลูกเนื้อหนึ่งกหาปณะ. นักเลงจึงให้กหาปณะ
หนึ่งแล้วเอาลูกเนื้อไป ครั้นไปได้หน่อยหนึ่งก็กลับมาอีก พูดว่า พ่อพราน
เราไม่ต้องการลูกเนื้อ จงให้พ่อเนื้อแก่เรา. พรานพูดว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจง
 
๓๕/๑๙๘/๕๒๘

วันพุธ, พฤศจิกายน 18, 2563

Kap

 
ใกล้สระนั้นมีสกุณาทิชาชาติชื่อว่าการเวกมากมาย
ย่อมปราโมทย์อยู่กับอาทิผิด อักขระคู่เคียง ส่งเสียงกู่ก้องร้องหากัน
และกัน อนึ่ง ที่ใกล้สระนั้นมีสกุณาทิชาชาติชื่อว่า
การเวก ทุก ๆ ตัวต่างส่งเสียงอันไพเราะระงมไพร
อยู่ที่สองฝั่งสระมุจลินท์ ป่านั้นเกลื่อนกลาดไปด้วย
เนื้อทรายและเนื้อฟาน เป็นสถานที่เสพอาศัยของช้าง
พลายและช้างพัง ดาษดื่นไปด้วยเถาวัลย์นานาชนิด
และเป็นที่อาศัยของฝูงชะมด อนึ่ง ที่ป่านั้น มีธัญญ-
ชาติมากมาย คือ หญ้ากับแก้ ลูกเดือย ข้าวสาลี
อ้อย มิใช่น้อยเกิดเองในที่ไม่ได้ไถ ทางนี้เป็นทาง
เดินได้คนเดียว เป็นทางตรงไปจนถึงอาศรม คนผู้
ไปถึงอาศรมของพระเวสสันดรนั้นแล้ว ย่อมไม่มี
ความหิวกระหายหรือความไม่ยินดี พระเวสสันดรเจ้า
พร้อมด้วยพระโอรส พระธิดา และมเหสี ทรงเพศ
นักบวชอันประเสริฐ ทรงขอสำหรับสอยผลไม้ เครื่อง
บูชาไฟและชฎา ทรงนุ่งห่มหนังเสือ บรรทมเหนือ
แผ่นดิน ทรงบูชาไฟประทับอยู่ ณ อาศรมใด เมื่อ
ท่านบ่ายหน้าไปทางทิศอุดรจะได้เห็นอาศรมนั้น.
[๑๑๕๗] ชูชกผู้เป็นเผ่าพันธุ์ แห่งพราหมณ์ครั้น
สดับถ้อยคำของอจุตฤๅษี กระทำประทักษิณ มีจิตชื่น
ชมโสมนัส อำลามุ่งหน้าไปยังสถานที่ประทับของ
พระเวสสันดร.
จบมหาวนวรรณนา
 
๖๔/๑๑๕๗/๕๔๓

วันอังคาร, พฤศจิกายน 17, 2563

Pathumuttaro

 
ได้แก่ ทั้งสองอย่างเหล่านี้เป็นไม้กอมีดอก. บทว่า มธุคนฺธิยา ได้แก่ มี
กลิ่นเหมือนน้ำผึ้ง. บทว่า นิลิยา สุมนา ภณฺฑี ได้แก่ มะลิเลื้อย มะลิ
ปกติ และชบา. บทว่า ปทุมุตฺตโรอาทิผิด สระ ได้แก่ ต้นไม้ชนิดหนึ่ง. บทว่า กณิการา
จ ได้แก่ กรรณิการ์เถาบ้าง กรรณิการ์ต้นบ้าง. บทว่า เหมชาลาว ความ
ว่า ปรากฏเหมือนข่ายทองที่ขึงไว้. บทว่า มโหทธิ ได้แก่ สระมุจลินท์ขัง
น้ำไว้มาก.
อนึ่ง ในสระโบกขรณีนั้น มีเหล่าสัตว์ที่เที่ยวหา
กินในน้ำเป็นอันมาก คือปลาตะเพียน ปลาช่อน ปลา
ดุก จระเข้ ปลามังกร ปลาฉลาม ผึ้งที่ไม่มีตัว ชะ-
เอมเครือ กำยาน ประยงค์ กระวาน แห้วหมู สัตต-
บุษย์ สมุลแว้ง ไม้อาทิผิด อาณัติกะกฤษณาต้นมีกลิ่นหอม แฝกดำ
แฝกขาว บัวบก เทพทาโร โกฐทั้ง ๙ กระทุ่มเลือด
และดองดึง ขมิ้น แก้วหอม หรดาลทอง คำคูน
สมอพิเภก ไคร้เครือ การบูรและรางแดง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อถสฺสา โปกฺขรณิยา ความว่า
อัจจุตฤๅษีกล่าวเรียกสระนั่นแหละว่าโบกขรณีในที่นี้ เพราะเป็นเช่นกับสระโบก-
ขรณี. บทว่า โรหิตา เป็นต้น เป็นชื่อของสัตว์ที่เที่ยวหากินในน้ำเหล่านั้น.
บทว่า มธุ จ ได้แก่ ผึ้งที่ไม่มีตัว. บทว่า มธุลฏฺฐิ จ ได้แก่ ชะเอม
เครือ. บทว่า ตาลิยา เป็นต้น ทั้งหมดเป็นไม้มีกลิ่นหอมตามธรรมชาติ.
อนึ่ง ที่ป่านั้นมีเหล่าราชสีห์ เสือโคร่ง ยักขินี
ปากเหมือนอาทิผิด อักขระลา และเหล่าช้าง เนื้อฟาน ทราย กวางดง
ละมั่ง ชะมด สุนัขจิ้งจอก กระต่าย บ่าง สุนัขใน
จามรี เนื้อสมัน ชะนี ลิงลม ค่าง ลิง ลิง-
 
๖๔/๑๒๖๙/๗๐๔

วันจันทร์, พฤศจิกายน 16, 2563

Rung Rueang

 
ไซร้ สัตว์โลกแม้ที่ปกปิดด้วยความไม่รู้ ก็จะพึงเป็นผู้มืด ประดุจโลกที่ถูก
เมฆปกปิดไว้ ก็จะเป็นโลกมืด คือมีการมืดมนเป็นอันเดียวกัน แม้หรือว่า
ชนทั้งหลายเหล่านี้ใด ซึ่งมีความรุ่งเรืองอาทิผิด อาณัติกะในบัดนี้ ปรากฏอยู่ มีพระสารีบุตร
เป็นต้น แม้ชนทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่พึงเดือดร้อน.
พระวังคีสเถระ เมื่อชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล เมื่อจะยังความ
เป็นผู้ใคร่จะกล่าวให้เกิดขึ้นโดยนัยก่อนนั้นแล จึงได้กล่าวคาถาแม้นี้ว่า ธีรา
จ เป็นต้น เนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า ก็บุรุษทั้งหลายผู้เป็นนักปราชญ์
คือผู้เป็นบัณฑิต เป็นผู้กระทำความรุ่งเรือง ย่อมให้ความรุ่งเรืองแห่งปัญญา
เกิดขึ้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงกล้าหาญ ผู้ประกอบด้วยปธานวิริยะ
ฉะนั้น ข้าพระองค์ย่อมสำคัญ คือว่า ย่อมสำคัญพระองค์ว่าเป็นนักปราชญ์
และว่าเป็นผู้กระทำความรุ่งเรืองเหมือนอย่างนั้น ด้วยว่าข้าพระองค์ทั้งหลาย
เมื่อทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เห็นแจ่มแจ้ง คือผู้เห็นซึ่งธรรมทั้งปวง
ตามความเป็นจริงอยู่ จึงได้เข้าไปหาพระองค์อย่างนี้. เพราะฉะนั้น ขอพระองค์
จงกระทำให้แจ่มแจ้ง คือว่าจงตรัสบอก ฯลฯ ได้แก่จงประกาศซึ่งพระกัปป-
เถระ ได้แก่พระนิโครธกัปปะ ในบริษัททั้งหลายแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย.
พระวังคีสะเมื่อจะชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล เพื่อจะยังความ
เป็นผู้ใคร่จะกล่าวให้เกิดขึ้นโดยนัยก่อนนั้นแล จึงอาทิผิด สระกล่าวคาถาแม้นี้ว่า ขิปฺปํ
ดังนี้เป็นต้น. เนื้อความแห่งคาถานั้นว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระดำรัส
อันไพเราะ ขอพระองค์จงเปล่งถ้อยคำอันไพเราะโดยพลัน คือว่าจงอย่าได้ชักช้า
อยู่ ซึ่งตรัสพระดำรัสอันไพเราะ คือว่าอันนำมาซึ่งความรื่นรมย์แห่งใจ เปรียบ
 
๔๗/๓๓๐/๓๒๐

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 15, 2563

Thi

 
วังคีสสังยุต

๑. นิกขันตสูตร

ว่าด้วยบรรเทาความกระสัน

[๗๒๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง ท่านพระวังคีสะ อยู่ที่อาทิผิด อาณัติกะอัตตาฬวเจดีย์ เมืองอาฬวี กับท่าน
พระนิโครธกัปปะผู้เป็นอุปัชฌาย์ ก็สมัยนั้น ท่านพระวังคีสะยังเป็นภิกษุใหม่
บวชได้ไม่นาน ถูกละไว้ให้เฝ้าวิหาร.
[๗๒๘] ครั้งนั้น สตรีเป็นอันมาก ประดับประดาร่างกายแล้ว เข้าไป
ยังอารามเที่ยวดูที่อยู่ของพวกภิกษุ.
ครั้งนั้นแล ความกระสันย่อมบังเกิดขึ้น ความกำหนัดย่อมรบกวนจิต
ของท่านพระวังคีสะ เพราะได้เห็นสตรีเหล่านั้น.
ลำดับนั้น ท่านพระวังคีสะ มีความคิดดังนี้ว่า ไม่ใช่ลาภของเราหนอ
ไม่เป็นลาภของเราหนอ เราได้ชั่วเสียแล้วหนอ เราไม่ได้ดีเสียแล้วหนอ ที่
เราเกิดความกระสัน ที่ความกำหนัดรบกวนจิตเรา เหตุที่คนอื่น ๆ จะพึง
บรรเทาความกระสันแล้ว ยังความยินดีให้บังเกิดขึ้นแก่เรา ในความกำหนัดที่
บังเกิดขึ้นแล้วนี้ เราจะได้แต่ที่ไหน อย่ากระนั้นเลย เราพึงบรรเทาความกระสัน
เสียแล้ว ยังความยินดีให้เกิดขึ้นแก่ตนด้วยตนเองเถิด.
[๗๒๙] ในกาลนั้นแล ท่านพระวังคีสะบรรเทาความกระสันเสียแล้ว
ยังความยินดีให้เกิดขึ้นแก่ตนเองแล้ว ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ในเวลานั้นว่า
 
๒๕/๗๒๗/๓๐๓

วันเสาร์, พฤศจิกายน 14, 2563

Charoen

 
นั่นแหละ. เมื่อยังมนสิการให้เป็นไป มากในเมตตาเจโตวิมุตตินั้น ย่อมละ
พยาบาทได้. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เมตตาเจโตวิมุตติอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมน-
สิการในเมตตาเจโตวิมุตตินั้น นี้เป็นอาหารเพื่อให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด
ไม่ให้เกิดขึ้น หรือว่า เพื่อการละพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว ดังนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการย่อมเป็นไปเพื่อการละพยาบาท คือ
๑. การเรียนเมตตานิมิต
๒. การประกอบเนือง ๆ ในเมตตาภาวนา
๓. การพิจารณากัมมัสสกตา
๔. การกระทำการใคร่ครวญให้มาก
๕. ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร
๖. สัปปายกถา
จริงอยู่ แม้เมื่อเรียนเมตตา ด้วยสามารถแห่งการแผ่ไปสู่ทิศโดยเจาะ
จงและไม่เจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมละพยาบาทได้. แม้เมื่อเจริญอาทิผิด อักขระเมตตา
ด้วยสามารถแห่งการแผ่ไปสู่ทิศเจาะจงและไม่เจาะจง ก็ย่อมละพยาบาทได้. แม้
เมื่อพิจารณากัมมัสสกตา ของตนและของผู้อื่น อย่างนี้ว่า ท่านโกรธ
เขาแล้วจักทำอะไร จักอาจเพื่อยังคุณมีศีลเป็นต้นของเขาให้พินาศ
ไปได้หรือ ท่านมาด้วยกรรมของตน ท่านก็จักไปด้วยกรรมของตน
นั่นแหละ มิใช่หรือ. ขึ้นชื่อว่า ความโกรธผู้อื่น ย่อมเป็นเช่นกับผู้ต้อง
การจับถ่านเพลิงที่ปราศจากเปลว จับซี่เหล็กอันร้อนและคูถเป็นต้นแล้วประ-
หารผู้อื่น แม้อาทิผิด อาณัติกะความโกรธของท่านนี้จักทำอะไร จักอาจเพื่อยังคุณมี
ศีลเป็นต้นของเราให้อาทิผิด สระพินาศไปได้หรือ เรามาด้วยกรรมของตนแล้ว
 
๗๘/๔๖๔/๑๒๖

วันศุกร์, พฤศจิกายน 13, 2563

Tang

 
พุทธเจ้ามา ๘๒,๐๐๐ ธรรมขันธ์ ได้เรียนมาจากสำนักภิกษุ
มีพระธรรมเสนาบดีเป็นต้น ๒,๐๐๐ ธรรมขันธ์ จึงรวมเป็น
ธรรมที่คล่องปากขึ้นใจ ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ คนที่เป็นชาย
มีการศึกษาเล่าเรียนมาน้อย ย่อมแก่เปล่า เหมือนกับโค
ที่มีกำลังแต่เขาไม่ได้ใช้งานฉะนั้น เนื้อย่อมเจริญแก่เขา
ปัญญาไม่เจริญแก่เขา ผู้ใดเล่าเรียนมามาก ดูหมิ่นผู้
ที่ศึกษาเล่าเรียนมาน้อยด้วยการสดับ แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติ
ตามที่เล่าเรียนมา ย่อมปรากฏแก่เรา เหมือนคนตาบอด
ถือดวงไฟไปฉะนั้น บุคคลควรเข้าไปนั่งใกล้ผู้ที่ศึกษามา
มาก แต่ไม่ควรทำสุตะที่ตนได้มาให้พินาศ เพราะสุตะ
ที่ตนได้มานั้น เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เพราะฉะนั้น
จึงควรเป็นผู้ทรงธรรม บุคคลผู้รู้อักษรทั้งเบื้องต้นและ
เบื้องปลาย รู้อรรถแห่งภาษิต ฉลาดในนิรุตติและบท
ย่อมเล่าเรียนธรรม ให้เป็นการเล่าเรียนดี และพิจารณา
เนื้อความ เป็นผู้กระทำความพอใจด้วยความอดทน
พยายามพิจารณา ตั้งอาทิผิด ความเพียร ในเวลาพยายามมีจิต
ตั้งมั่นด้วยดีในภายใน บุคคลควรคบหาท่านผู้เป็นพหูสูต
ทรงธรรม มีปัญญา เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า หวัง
การรู้แจ้งธรรมเช่นนั้นเถิด บุคคลผู้เป็นพหูสูตทรงธรรม
แห่งพระพุทธเจ้าผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นดวงตา
ของโลกทั่วไป ผู้ที่เป็นพหูสูตนั้น เป็นผู้อันมหาชนควรบูชา
ภิกษุมีธรรมเป็นที่ยินดี ยินดีแล้วในธรรม ค้นคว้าธรรม
 
๕๓/๓๙๗/๓๐๑

คลังบทความของบล็อก