วันอาทิตย์, สิงหาคม 31, 2568

Sawang

 
เทพบุตรนั้น ถูกพระโมคคัลลานเถระถามแล้ว
ดีใจ ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า
ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์ ข้าพเจ้าได้
เห็นภิกษุลำบากกาย หิวโหย ในกาลนั้น ข้าพเจ้า
จัดกับข้าวอย่างหนึ่ง ถวายพร้อมด้วยข้าวสวย เพราะ
บุญนั้น ข้าพเจ้าจึงมีวรรณะเช่นนี้ ฯ ล ฯ และ
วรรณะของข้าพเจ้าจึงสว่างอาทิผิด อักขระไสวไปทุกทิศ.
จบภิกขาทายกวิมาน
อรรถกถาภิกขาทายกวิมาน
ภิกขาทายกวิมาน มีคาถาว่า อุจฺจมิทํ มณิถูณํ วิมานํ เป็นต้น.
ภิกขาทายกวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์
สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่ง เดินทางไกลเข้าไปบิณฑบาตยังหมู่บ้านตำบลหนึ่ง
ยืนใกล้ประตูเรือนหลังหนึ่ง. บุรุษผู้หนึ่งในเรือนหลังนั้น ล้างมือเท้าแล้ว
นั่งลงหมายจะบริโภคโภชนะ เมื่อเขาจัดโภชนะใส่ในภาชนะ เห็นภิกษุ
นั้น ก็เกลี่ยข้าวสวยในภาชนะของตน ลงในบาตรของภิกษุนั้น แม้ภิกษุ
นั้นจะบอกว่า ให้แต่ส่วนเดียวเถิด แต่ก็เกลี่ยลงหมดเลย ภิกษุนั้น
อนุโมทนาแล้วก็กลับไป. บุรุษผู้นั้นกำลังระลึกว่า เราไม่กินแต่ถวาย
ข้าวสวยนั้นแก่ภิกษุผู้หิวจัด ก็ได้ปีติโสมนัสอันโอฬาร ต่อมา เขาตาย
 
๔๘/๗๐/๕๖๑

วันเสาร์, สิงหาคม 30, 2568

Mankha

 
ช. ดูก่อนท่านผู้มีอายุ มรรคาดีนัก ปฏิปทาดีนัก เพื่อกระทำ
อรหัตนั้นให้แจ้ง และเพียงพอเพื่อความไม่ประมาท นะท่านสารีบุตร
จบ อรหัตตปัญหาสูตรที่ ๒

อรรถกถาอรหัตตปัญหาสูตรที่ ๒

ในการพยากรณ์ปัญหาในอรหัต เพราะอรหัตย่อมเกิดขึ้นในที่สุด
แห่งความสิ้นราคะโทสะและโมหะ ฉะนั้น พระสารีบุตร จึงกล่าวว่า ความ
สิ้นราคะ โทสะ โมหะดังนี้.
จบ อรรถกถาอรหัตตปัญหาสูตรที่ ๒

๓. ธรรมวาทีปัญหาสูตร

ว่าด้วยปัญหาผู้เป็นธรรมวาที

[๔๙๙] ดูก่อนท่านสารีบุตร ใครหนอเป็นธรรมวาทีในโลก ใคร
เป็นผู้ปฏิบัติดีในโลก ใครเป็นผู้ไปดีแล้วในโลก.
สา. ดูก่อนผู้มีอายุ ท่านผู้ใดแสดงธรรมเพื่อละราคะ โทสะ โมหะ
ท่านผู้นั้นเป็นธรรมวาทีในโลก อนึ่ง ท่านผู้ใดปฏิบัติเพื่อละราคะ โทสะ
โมหะ ท่านผู้นั้นเป็นผู้ปฏิบัติดีในโลก ราคะ โทสะ โมหะ อันท่านผู้ใด
ละแล้ว ถอนรากเสียแล้วทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน กระทำไม่ให้อาทิผิด มีใน
ภายหลัง ไม่ให้เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา ท่านผู้นั้นเป็นผู้ไปดีแล้วในโลก.
ช. ดูก่อนท่านผู้มีอายุ มรรคาอาทิผิด อักขระมีอยู่หรือ ปฏิปทามีอยู่หรือ เพื่อ
ละราคะ โทสะ โมหะนั้น.
 
๒๙/๔๙๙/๙๑

วันศุกร์, สิงหาคม 29, 2568

Thang

 
พร้อมด้วยสมุนโจรเป็นอันมาก. พระเถระเห็นโจรสมณกุตต์กําลังเดินมา จึง
เหาะหลบหลีกไปเสียด้วยฤทธิ์. วันนั้นโจรเห็นพระเถระเหาะไปจึงกลับเสีย
ได้มาติด ๆ กัน ทุก ๆ วันรุ่งขึ้น รวม ๖ วัน. ฝ่ายพระเถระก็หลบหลีกไป
ด้วยฤทธิ์ ดังที่เคยมา. แต่ในวันที่เจ็ด อปราปรเวทนียกรรมที่พระเถระทำไว้
ในปางก่อนได้โอกาส. ได้ยินว่า ในชาติก่อน พระเถระเชื่อถ้อยคำของภรรยา
ประสงค์จะฆ่ามารดาบิดาให้ตาย จึงนำไปสู่ป่าด้วยยานน้อย. ทำอาการดุจโจร
ตั้งขึ้น แล้วโบยตีมารดาบิดา. มารดาบิดาทั้งสองมองไม่เห็นอะไร เพราะมี
จักษุพิการ จำบุตรของตนนั้นไม่ได้ โดยสำคัญว่า นั่นเป็นพวกโจร ต่าง
ปริเทวนาการ เพื่อประโยชน์ต่อบุตรอย่างเดียวว่า ลูกเอ๋ย ให้โจรพวกโน้น
มันฆ่าพ่อฆ่าแม่เถิด เจ้าจงหลบเอาตัวรอดเถิด. บุตรชายคิดว่า มารดาบิดา
ของเราทั้งอาทิผิด อาณัติกะสองท่านนี้ แม้จะถูกเราทุบตี ก็ยังร่ำไรรำพัน เพื่อประโยชน์
แก่เราผู้เดียว เราทำกรรมอันไม่สมควรเลย. ลำดับนั้น เขาจึงปลอบโยนมารดา
บิดา แสดงอาการดุจพวกโจรหนีไป แล้วนวดฟั้นมือเท้าของท่านทั้งสองพูดว่า
คุณแม่คุณพ่ออย่ากลัวเลย พวกโจรหนีไปแล้ว แล้วนำกลับมายังเรือนของตน
ตามเดิม.
กรรมนั้นไม่ได้โอกาส ตลอดเวลามีประมาณเท่านี้ ตั้งอยู่เหมือนกอง
เพลิง ถูกเถ้ากลบไว้เฉพาะหน้า แล้ววิ่งเข้าสู่สรีระอันไม่มีที่สุดนี้. ก็กรรมนี้
ได้โอกาสในที่ใดย่อมให้ผลในที่นั้น เปรียบเหมือนสุนัขอันนายพรานพบเนื้อ
แล้วปล่อยให้ไล่ติดตามเนื้อ ทันกันในที่ใดก็กัดในที่นั้นฉะนั้น ขึ้นชื่อว่าผู้ที่จะ
พ้นจากกรรมนั้นได้ไม่มีเลย. พระเถระรู้ว่า กรรมที่ตนทำไว้หน่วงเหนี่ยว
จึงมิได้หลบหลีกต่อไป. เพราะผลของกรรมนั้น พระเถระจึงไม่สามารถจะเหาะ
ไปในอากาศได้. ฤทธิ์ของพระเถระแม้สามารถทรมานนันโทปนันทนาคราช
 
๖๑/๒๔๗๗/๕๙๐

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 28, 2568

Khochon

 
สัญญา. บทนี้เป็นชื่อของรูปสัญญาเป็นต้น. เพราะดับ เพราะละ เพราะไม่
ให้เกิดปฏิฆสัญญา ๑๐ โดยประการทั้งปวง คือ กุสลวิบากแห่งสัญญาเหล่านั้น
๕ อกุสลวิบาก ๕ ท่านอธิบายว่าทำไม่ให้เป็นไปได้ อนึ่ง สัญญาเหล่านี้ ย่อม
ไม่มีแม้แก่ผู้เข้าถึงปฐมฌานเป็นต้นโดยแท้ เพราะในสมัยนั้นจิตยังไม่เป็นไป
ด้วยอำนาจแห่งทวาร ๕ แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น เพื่อให้เกิดอุตสาหะในฌานนี้
ดุจในจตุตถฌานแห่งสุขและทุกข์ที่ละได้แล้วในที่อื่นและดุจในตติยมรรคแห่ง
สักกายทิฏฐิเป็นต้น พึงทราบคำแห่งสัญญา เหล่านั้น ในที่นี้ด้วยอำนาจแห่ง
การสรรเสริญฌานนี้.
อีกอย่างหนึ่ง สัญญาเหล่านั้น ย่อมไม่มีแก่ผู้เข้าถึงรูปาวจรโดยแท้ถึงดัง
นั้น ย่อมไม่มีเพราะละได้เเล้วก็หามิได้ เพราะการเจริญรูปาวจร ย่อมไม่เป็น
ไปเพื่อคลายกำหนัดในรูป และเพราะยังเนื่องในรูป สัญญาเหล่านั้นจึงยังเป็น
ไปอยู่ ส่วนภาวนานี้ยังเป็นไปเพื่อคลายกำหนัดในรูป เพราะฉะนั้นจึงควรกล่าวว่า
สัญญาเหล่านั้นละได้แล้วในบทนี้ ไม่ใช่กล่าวแต่อย่างเดียว ควรแม้เพื่อทรง
ไว้อย่างนี้โดยส่วนเดียวด้วย เพราะยังละสัญญา เหล่านั้น ไม่ได้ก่อนจากนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เสียงของผู้เข้าถึงปฐมฌานเป็นดุจหนาม. อนึ่ง
เพราะละได้แล้วในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสถึงความที่อรูปสมาบัติไม่หวั่น
ไหวและความที่พ้นไปอย่างสงบ.
บทว่า นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา เพราะไม่มนสิการถึง
นานัตตสัญญา คือ สัญญาเป็นไปในโคจรอาทิผิด อักขระมีความต่าง ๆ กันหรือสัญญามีความ
ต่าง ๆ กัน เพราะสัญญาเหล่านั้นเป็นไปในโคจรมีสภาพต่าง ๆ กัน อันเป็น
ความต่างกัน มีรูปสัญญาเป็นต้น และเพราะสัญญา ๔๔ อย่างนี้คือ กามาวจร
กุสลสัญญา ๘ อกุสลสัญญา ๑๒ กามาวจรกุสลวิปากสัญญา ๑๑ อกุสลวิปาก
 
๖๙/๕๑๖/๓๗๖

วันพุธ, สิงหาคม 27, 2568

Khon Phan

 
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระองค์อาจเพื่อจะทำการเปรียบเทียบ
ได้หรือ พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อาจอยู่ภิกษุ แล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เปรียบเหมือนหนึ่งเกวียนเมล็ดงาของชนชาวโกศลมีอัตรา ๒๐ ๑.ขารี เมื่อ
ล่วงไปแสนปี บุรุษนำเอาเมล็ดงาเมล็ดหนึ่งออกจากเกวียนนั้น ดูก่อน
ภิกษุ เมล็ดงาหนึ่งเกวียนของชาวโกศลซึ่งมีอัตรา ๒๐ ขารีนั้น พึงถึง
ความสิ้นไปหมดไปโดยทำนองนี้เร็วกว่า นั่นยังไม่ถึงหนึ่งอัพพุทะในนรก
เลย ดูก่อนภิกษุ ๒๐ อัพพุทะในนรกจึงเป็น ๑ นิรัพพุทะ ๒๐ นิรัพพุทะ
เป็น ๑ อพัพพะ ๒๐ อพัพพะเป็น ๑ อหหะ ๒๐ อหหะเป็น ๑ อฏฏะ
๒๐ อฏฏะเป็น ๑ กุมุทะ ๒๐ กุมุทะเป็น ๑ โสคันธิกะ ๒๐ โสคันธิกะเป็น
๑ อุปปละ ๒๐ อุปปละเป็น ๑ ปุณฑรีกะ ๒๐ ปุณฑรีกะเป็น ๑ ปทุมะ
ดูก่อนภิกษุ โกกาลิกภิกษุเกิดในปทุมนรก เพราะยังจิตให้อาฆาตใน
สารีบุตรและโมคคัลลานะ ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดาได้ตรัส
ไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ผรุสวาจาเพียงดังจอบ ซึ่งเป็นเครื่องตัดทอน
ตนของคนอาทิผิด อักขระพาล ผู้กล่าวคำชั่ว ย่อมเกิดขึ้นที่ปากของ
บุคคลผู้เป็นบุรุษพาล ผู้ใดสรรเสริญผู้ที่ควรติเตียน
หรือติเตียนคนที่ควรสรรเสริญ ผู้นั้นชื่อว่าสะสมโทษ
ด้วยปาก ย่อมไม่ประสบความสุขเพราะโทษนั้น การ
ปราชัยด้วยทรัพย์ ในการเล่นการพนันด้วยตนเองจน
หมดตัว เป็นโทษมีประมาณน้อย การที่บุคคลยัง
ใจให้ประทุษร้ายในพระอริยเจ้า ผู้ดำเนินดีแล้วนี้

๑. ๑ ขารีเท่า ๒๔๖ ทะนาน.
 
๓๘/๘๙/๒๘๑

วันอังคาร, สิงหาคม 26, 2568

Fao

 
๓. เสขปฏิปทาสูตร
เจ้าศากยะสร้างสัณฐาคารใหม่

[๒๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ นิโครธาราม เขตเมือง
กบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ก็สมัยนั้น สัณฐาคารใหม่ที่พวกเจ้าศากยะเมือง
กบิลพัสดุ์ให้สร้างแล้วไม่นาน อันสมณพราหมณ์หรือมนุษย์ผู้ใดผู้หนึ่งยังมิได้
เคยอยู่เลย ครั้งนั้น พวกเจ้าศากยะเมืองกบิลพัสดุ์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้
กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอประทานพระวโรกาส
สัณฐาคารใหม่อันพวกเจ้าศากยะเมืองกบิลพัสดุ์ให้สร้างแล้วไม่นาน อันสมณ-
พราหมณ์หรือมนุษย์ผู้ใดผู้หนึ่งยังมิได้เคยอยู่เลย ขอเชิญพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงบริโภคสัณฐาคารนั้นเป็นปฐมฤกษ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบริโภคเป็น
ปฐมฤกษ์แล้ว พวกเจ้าศากยะเมืองกบิลพัสดุ์จักบริโภคภายหลัง ข้อนั้น พึงมี
เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่พวกเจ้าศากยะเมืองกบิลพัสดุ์สิ้นกาลนาน
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับด้วยดุษณีภาพ.
ลำดับนั้น พวกเจ้าศากยะเมืองกบิลพัสดุ์ทราบการรับของพระผู้มี-
พระภาคเจ้าแล้ว ลุกขึ้นจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประ-
ทักษิณแล้วเข้าไปยังสัณฐาคารใหม่ แล้วสั่งให้ปูลาดสัณฐาคารให้มีเครื่องลาด
ทุกแห่ง ให้แต่งตั้งอาสนะ ให้ตั้งหม้อน้ำ ให้ตามประทีปน้ำมัน แล้วเข้าไป
เฝ้าอาทิผิด อักขระพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วยืนอยู่
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า
 
๒๐/๒๔/๔๓

วันจันทร์, สิงหาคม 25, 2568

Than

 
ที่กล่าวมาแล้ว ชื่อว่า สวีจิชรา เพราะความแตกต่างแห่งสีเป็นต้น ใน
ระหว่าง ๆ เป็นสิ่งที่พึงรู้ได้ง่าย.
ต่อแต่นี้ไป บทว่า เตสํ เตสํ เป็นต้น พึงทราบโดยนัยที่ได้
กล่าวมาแล้วนั้นแหละ.
ก็บทว่า จุติ ในคำทั้งหลายมีอาทิว่า จุติ จวนตา เป็นต้น
พระเถระกล่าวไว้ด้วยสามารถแห่งสัตว์ผู้เคลื่อนไป.
คำว่า จุติ นี้ เป็นคำทั่วไปสำหรับขันธ์ ๑ ขันธ์ ๔ และขันธ์ ๕.
คำว่า จวนตา เป็นคำแสดงถึงลักษณะ (ของขันธ์) โดยการ
เคลื่อนจากภาวะ.
คำว่า เภโท เป็นคำแสดงถึงการแตกดับและการเกิดขึ้นแห่งขันธ์
ทั้งหลายที่จุติ.
คำว่า อนฺตรธานํ เป็นคำแสดงถึงภาวะของการเคลื่อนที่จากฐานอาทิผิด อักขระ
โดยปริยายใดปริยายหนึ่ง แห่งจุติขันธ์ทั้งหลายที่แตกไป เหมือนกระออม
ที่แตกแล้วฉะนั้น. ความตายกล่าวคือมฤตยู ชื่อว่า มัจจุมรณะ.
ด้วยศัพท์ว่า มจฺจุมรณํ นั้น พระเถระปฏิเสธสมุจเฉทมรณะเป็นต้น.
(การตายโดยการตัดขาดซึ่งชาติเป็นต้น). มัจจุราชผู้ทำซึ่งที่สุด (จุดจบ)
ชื่อว่า กาละ การทำกาละนั้น ชื่อว่า กาลกิริยา ( การถึงแก่กรรม)
ด้วยคำว่า กาลกิริยา นี้ พระเถระแสดงถึงความตายตามสมมติของชาวโลก.
ต่อไปนี้ เพื่อจะแสดงถึงความตายโดยปรมัตถ์ พระเถระจึงได้กล่าวคำมี
อาทิว่า ขนฺธานํ เภโท ไว้.
อันที่จริง โดยปรมัตถ์ ขันธ์ทั้งหลายเท่านั้น แตกดับ ไม่ใช่
สัตว์อะไร ๆ เลยตาย เมื่ออาทิผิด ขันธ์ทั้งหลายกำลังแตกดับอยู่ สัตว์ก็ชื่อว่า
 
๑๗/๑๓๐/๕๘๗

วันอาทิตย์, สิงหาคม 24, 2568

Khon

 
อันมาข้างมารดา. บทว่า เปตฺติกสมฺภวํ ชื่อว่า เปตฺติกํ เพราะนี้ฝ่าย
บิดา. ชื่อว่า สมฺภโว เพราะเกิดจากฝ่ายบิดา. ชื่อว่า เปตฺติกสมฺภวํ
เพราะเกิดเนื่องข้างฝ่ายบิดา หมายถึงชื่อ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า
มิได้ตั้งพระนามด้วยความผูกพันทางมารดาและบิดา. บทว่า ชาเตตฺถุ
ตัดบทเป็น ชาโต เอตฺถ คือเกิดที่ถนนของคนอาทิผิด อักขระค้าขายนี้. ปาฐะว่า ชาโตมฺหิ
บ้างคือเราเกิดแล้ว. บทว่า ตสฺมา เวสฺสนฺตโร อหุ คือ เพราะในครั้งนั้น
เราเกิด ณ ถนนของคนอาทิผิด อักขระค้าขาย ฉะนั้นจึงชื่อว่า เวสสันดร อธิบายว่า
พระชนกชนนีทรงขนานพระนามว่า เวสฺสนฺตร.
พระมหาสัตว์ทรงประสูติจากพระครรภ์พระมารดา ทรงเฉลียวฉลาด
ทรงลืมพระเนตรประสูติ. พอทรงประสูตินั่นเองทรงเหยียดพระหัตถ์ให้
พระมารดาตรัสว่า แม่จ๋า ลูกจักให้ทาน มีอะไรบ้าง. มารดาของพระ
มหาสัตว์ทรงมอบถุงทรัพย์ ๑,๐๐๐ ที่อยู่ใกล้พระหัตถ์ด้วยพระดำรัสว่า ลูกรัก
จงให้ทานตามอัธยาศัยเถิด. จริงอยู่พระโพธิสัตว์พอประสูติก็ทรงพูดได้ในที่
๓ แห่ง คือในอุมมังคชาดก ๑ ในชาดกนี้ ๑ ในอัตภาพสุดท้าย ๑.
พระราชาทรงให้แม่นม ๖๐ คนมีน้ำนมหวานเว้นจากโทษมีสูงเกินไปเป็นต้น
ดูแลพระมหาสัตว์. พระราชทานแม่นมแก่ทารก ๖๐,๐๐๐ ซึ่งเกิดพร้อม
กับพระโพธิสัตว์นั้น. พระโพธิสัตว์ทรงเจริญด้วยบริวารมากพร้อมกับทารก
๖๐,๐๐๐ คน. พระราชารับสั่งให้ช่างทำเครื่องประดับพระกุมารมีค่า ๑๐๐,๐๐๐
พระราชทานแก่พระกุมารนั้น. พระกุมารเมื่อมีพระชันษา ๔ - ๕ ขวบ
 
๗๔/๙/๑๗๐

วันเสาร์, สิงหาคม 23, 2568

Khlot

 
๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ

ว่าด้วยนางเปรตเปลือยกายมีกลิ่นเหม็น

พระเถระถามหญิงเปรตตนหนึ่งว่า
[๙๒] ท่านเปลือยกายมีผิวพรรณเลวทราม มี
กลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งไป หมู่แมลงวันพากันตอม
เกลื่อนกล่น ท่านเป็นใครหนอมาอาทิผิด อักขระยืนอยู่ที่นี่.
หญิงเปรตนั้นตอบว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเปรต ถึงทุคติ
เกิดในยมโลก เพราะทำกรรมอันลามกจึงต้อง
จากโลกนั้นไปสู่เปตโลก เวลาเช้าคลอดอาทิผิด อักขระบุตร
คน เวลาเย็นอีก ๗ คน แล้วกินบุตรเหล่านั้นหมด
ทั้ง ๑๔ คนนั้น ก็ยังไม่อาจบรรเทาความหิว
ของดิฉันได้ หัวใจของดิฉันเร่าร้อนอยู่เป็นนิจ
เพราะความหิว ดิฉันเป็นดุจถูกเผาด้วยไฟในที่
อันร้อนยิ่ง ไม่ได้ประสบความเย็นเลย.
พระเถระถามว่า
ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วย กาย วาจา
ใจ หรือท่านกินเนื้อบุตร เพราะวิบากแห่งกรรม
อะไร.
 
๔๙/๙๒/๗๐

วันศุกร์, สิงหาคม 22, 2568

Dai

 
ไม่ได้ยิน ว่าได้ยิน ทราบ รู้ และเห็น
ไม่ได้อาทิผิด อักขระยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ยิน ทราบ รู้ และเห็น ด้วย
อาการ ๓ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . ด้วยอา-
การ ๖ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ ว่าทราบ และรู้
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ และรู้ ด้วยอาการ ๓
อย่าง . . .ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖ อย่าง
. . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ ว่าทราบ และเห็น
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ และเห็น ด้วยอาการ
๓ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖
อย่าง . . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ ว่าทราบ และได้ยิน
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ และได้ยิน ด้วยอาการ
๓ อย่าง . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖
อย่าง . .. ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ ว่าทราบ รู้ และเห็น
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ รู้ และเห็น ด้วยอาการ
๓ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖
อย่าง . . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
 
๔/๑๗๗/๙

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 21, 2568

Chetasik

 
ถึงความที่จิตและเจตสิกอาทิผิด อักขระทั้งหลายอันเกื้อหนุนวิริยะไม่ย่อหย่อน. ด้วยบทว่า
อกุสีตวุตฺติ มีความประพฤติไม่เกียจคร้าน พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าแสดงถึง
ความที่กายไม่จมอยู่ในที่ยืนที่นั่งและที่จงกรมเป็นต้น. ด้วยบทว่า ทฬฺห-
นิกฺกโม มีความพยายามมั่นคงนี้ พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าแสดงการตั้งความ
เพียรอันเป็นไปอย่างนี้ว่า กามํ ตโจ นหารุ จ แม้เลือดเนื้อจะเหือด
แห้งไป เหลือแต่หนังและกระดูกก็ตามที ดังนี้เป็นต้น. ท่านกล่าวว่า เริ่ม
ในอนุปุพพสิกขาเป็นต้น กระทำให้แจ้งซึ่งปรมัตถสัจทางกาย. อีกอย่าง
หนึ่ง ด้วยบทนี้พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าแสดงถึงความเพียรอันสัมปยุตด้วย
มรรค. ชื่อว่ามีความเพียร เพราะถึงความบริบูรณ์ในการเจริญภาวนา
อย่างมั่นคง และเพราะออกจากฝ่ายตรงกันข้ามโดยประการทั้งปวง.
เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทฬฺหปรกฺกโม เพราะเป็นผู้มีความพร้อม
เพรียงด้วยธรรมนั้น มีความเพียรมั่นคง. บทว่า ถามพลูปปนฺโน เข้า
ถึงด้วยเรี่ยวแรงและกำลัง คือเกิดขึ้นด้วยเรี่ยวแรงทางกาย และด้วยกำลัง
ญาณในขณะแห่งมรรค. อีกอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นด้วยกำลังอันเป็นเรี่ยวแรง
ชื่อว่า ถามพลูปปนฺโน. ท่านอธิบายว่า เกิดด้วยกำลังคือญาณอันมั่นคง
ด้วยบทนี้ พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าเมื่อแสดงถึงการประกอบพร้อมด้วยญาณ
แห่งวิริยะนั้น จึงยังความเพียรโดยแยบคายให้สำเร็จ. พึงประกอบบท
ทั้งหลายแม้ ๓ บทด้วยอำนาจแห่งความเพียร อันเป็นส่วนเบื้องต้น
ท่ามกลางและอุกฤษฏ์. บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
คาถาที่ ๔
 
๖๗/๘๒๑/๗๒๗

วันพุธ, สิงหาคม 20, 2568

Dok Mai

 
มา ๆ ในเทวโลก และมนุษยโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในสักย-
ราชตระกูล ได้นามว่าภคุ เจริญวัยแล้ว ออกบวชพร้อมท่านพระอนุรุทธะ
และพระกิมิละ อยู่ในพาลกโลณกคาม วันหนึ่ง เพื่อจะบรรเทาความที่ถูก
ถีนมิทธะครอบงำ จึงออกจากวิหาร ขึ้นสู่ที่จงกรมล้มลง ทำการล้มนั้น
นั่นแหละให้เป็นขอสับ บรรเทาถีนมิทธะ เจริญวิปัสสนาบรรลุพระ-
อรหัตแล้ว. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตระ ผู้มี
ยศใหญ่ปรินิพพานแล้ว เราได้เอาผอบอันเต็มด้วยดอกไม้อาทิผิด อาณัติกะ
ไปบูชาพระสรีระ เรายังจิตให้เลื่อมใสในบุญกรรมนั้นแล้ว
ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นนิมมานรดี เราถึงจะไปอยู่ยังเทวโลก ก็
ยังประพฤติพรหมจรรย์อยู่ ฝนดอกไม้ตกจากฟากฟ้า
เพื่อเราตลอดกาลทั้งปวง เราสมภพในมนุษย์ก็เป็นพระ-
ราชาผู้มียศใหญ่ ในอัตภาพนั้นฝนดอกโกสุมตกลงมาเพื่อ
เราทุกเมื่อ เพราะอำนาจที่เอาดอกไม้บูชาที่พระสรีระของ
พระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นเหตุนี้เป็นการเห็นครั้งสุดท้ายของ
เรา ภพที่สุดกำลังเป็นไป ถึงทุกวันนี้ ฝนดอกไม้ก็ตกลง
มาเพื่อเราทุกเวลา ในแสนกัปแต่ภัทรกัปนี้ เราเอาดอกไม้
ใดบูชา ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง
การบูชาพระสรีระ เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว...ฯลฯ...
พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ก็แลครั้น ท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว ปล่อยให้กาลล่วงไปด้วยสุขอัน
เกิดแต่ผลจิต และสุขอันเกิดแต่พระนิพพาน อันพระศาสดาผู้เสด็จเข้าไป

๑. ม. ม. ๑๓/ข้อ ๑๙๕. กิมพิละ. ๒. ขุ. อ. ๓๓/ข้อ ๔๘.
 
๕๒/๓๒๔/๘

วันอังคาร, สิงหาคม 19, 2568

Si

 
ไม่เห็น ว่าเห็น และทราบ
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น และทราบ ด้วยอาการ ๓
อย่าง . . . ด้วยอาการ อาทิผิด อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . ด้วยอาการ ๖
อย่าง . . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ว่าเห็น และรู้
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น และรู้ ด้วยอาการ ๓ อย่าง
. . .ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖ อย่าง . . .
ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ว่าเห็น ได้ยิน และทราบ
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ได้ยิน และทราบ ด้วย
อาการ ๓ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ
๖ อย่าง . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ว่าเห็น ได้ยิน และรู้
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ได้ยิน และรู้ ด้วยอาการ
๓ อย่าง . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖
อย่าง . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ว่าเห็น ได้ยิน ทราบ และรู้
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ได้ยิน ทราบ และรู้ ด้วย
อาการ๓ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ
๖ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
 
๔/๑๗๗/๗

วันจันทร์, สิงหาคม 18, 2568

Thipangkon

 
อื่นควรทราบปริเฉท [ข้อความที่กำหนดไว้เป็นตอนๆ] เสียก่อน. กถามรรค
ที่เล่าเรื่องตั้งแต่พระมหาสัตว์ได้ตั้งปรารถนาอย่างจริงจัง ณ เบื้องบาทมูลอาทิผิด สระของ
พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรอาทิผิด อาณัติกะ จนถึงจุติจากอัตภาพเป็นพระเวสสันดร
แล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต จัดเป็นทูเรนิทาน.
กถามรรคที่เล่าเรื่องตั้งอาทิผิด อักขระแต่จุติจากภพสวรรค์ชั้นดุสิตจนถึงบรรลุพระ-
สัพพัญญุตญาณที่ควงไม้โพธิ์ จัดเป็นอวิทูเรนิทาน.
ส่วนสันติเกนิทานมีปรากฏอยู่ในที่ต่าง ๆ ของพระองค์ที่เสด็จประทับ
อยู่ในที่นั้น ๆ ด้วยประการฉะนี้.
ทูเรนิทาน
ในนิทานเหล่านั้น ที่ชื่อทูเรนิทานมีดังต่อไปนี้ เล่ากันมาว่า ในที่สุด
สี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปนับแต่นี้ ได้มีนครหนึ่งนามว่า อมรวดี ในนครนั้นมี
พราหมณ์ชื่อสุเมธอาศัยอยู่ เขามีกำเนิดดี มีครรภ์อันบริสุทธิ์ ทั้งทางฝ่ายมารดา
และฝ่ายบิดานับได้เจ็ดชั่วตระกูลใครจะดูถูกมิได้ หาผู้ตำหนิมิได้เกี่ยวกับเรื่อง
เชื้อชาติ มีรูปสวย น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยผิวพรรณอันงามยิ่ง เขา
ไม่กระทำอาทิผิด สระการงานอย่างอื่นเลย ศึกษาแต่ศิลปะของพราหมณ์ บิดาและมารดาของ
เขาได้ถึงแก่กรรมเสียตั้งแต่เขารุ่นหนุ่ม ต่อมาอำมาตย์ผู้จัดการผลประโยชน์นำ
เอาบัญชีทรัพย์สินมา เปิดห้องคลังที่เต็มไปด้วยทองเงินแก้วมณีและแก้วมุกดา
เป็นต้น บอกให้ทราบถึงทรัพย์ตลอดเจ็ดชั่วตระกูลว่า ข้าแต่กุมาร ทรัพย์สิน
เท่านี้เป็นของมารดา เท่านี้เป็นของบิดา เท่านี้เป็นของปู่ตาและทวดแล้วเรียน
ว่า ขอท่านจงจัดการเถิด สุเมธบัณฑิตคิดว่า ปู่เป็นต้นของเราสะสมทรัพย์นี้
ไว้แล้ว เมื่อจะไปสู่ปรโลกที่ชื่อว่าจะถือเอาทรัพย์เเม้กหาปณะหนึ่งติดตัวไปด้วย
หามีไม่ แต่เราควรการทำเหตุที่จะให้ถือเอาทรัพย์ไปด้วยได้ ดังนี้แล้วได้
 
๕๕/๑/๔

วันอาทิตย์, สิงหาคม 17, 2568

Nai

 
อาชญาคุกคาม ถูกภัยคุกคาม มีน้ำตานองหน้า ร้องไห้ ทำการงานตามกำหนด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้ เรากล่าวว่า ผู้ทำตนอาทิผิด อักขระให้เดือดร้อน ประกอบ
ความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน และทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ประ-
กอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน.

กถาว่าด้วยพระพุทธคุณ

[๑๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่
ประกอบความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน
ไม่ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เขาไม่ทำตนให้เดือด-
ร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่มีความหิว ดับสนิท เป็นผู้เย็น เสวยแต่
ความสุข มีตนเป็นดังพรหมอยู่ในปัจจุบัน เป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตเสด็จอุบัติในอาทิผิด สระโลกนี้ เป็นพระอรหันต์
ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้ง
โลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและ
มนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระ-
องค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัด ด้วย
ปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์
เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งาม
ในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริ-
บูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง
ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว
ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับอาทิผิด อักขระแคบเป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทาง
 
๒๐/๑๑/๑๐

วันเสาร์, สิงหาคม 16, 2568

Ban Thoeng

 
ย่อมแทงตลอดอภิญญาทั้งหลาย บุคคลผู้มากด้วยความรื่นเริง มากด้วยเวท
มากด้วยความยินดี มากด้วยความบันเทิงอาทิผิด สระ ย่อมทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
อันเป็นปรมัตถ์.
ชวนปัญญา เป็นไฉน ชวนปัญญา คือ รูปอย่างใดอย่างหนึ่งที่
เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน มีในภายใน มีในภายนอก หยาบ ละเอียด
เลวหรือประณีต รูปใดอยู่ไกลหรือใกล้ รูปนั้นทั้งหมดย่อมแล่นไปเร็วโดย
ความไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา เวทนาอย่างใด
อย่างหนึ่ง . . . สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง . . . สังขารอย่างใดอย่างหนึ่ง . . .
วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน . .. วิญญาณทั้งหมด
นั้นย่อมแล่นไปเร็วโดยความไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็น
อนัตตา จักษุ...ชราและมรณะที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ย่อมแล่นไปเร็ว
โดยความไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา รูปที่เป็นอดีต
อนาคต ปัจบัน ชื่อว่า ไม่เที่ยง เพราะอรรถว่า สิ้นไป ชื่อว่าเป็นทุกข์
เพราะอรรถว่า น่ากลัว ชื่อว่า เป็นอนัตตาอาทิผิด สระ เพราะอรรถว่า หาสาระมิได้
เพราะฉะนั้น ตรึก พิจารณา ทำให้แจ้ง ทำให้เป็นจริง ย่อมแล่นไป
เร็ว ในพระนิพพาน อันดับเสียซึ่งรูปโดยไม่เหลือ เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ จักษุ ... ชรา มรณะที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ชื่อว่า
ไม่เที่ยงเพราะอรรถว่า สิ้นไป...ทำให้เป็นจริง ย่อมแล่นไปเร็ว ในพระ
นิพพานอาทิผิด อักขระ อันดับเสียซึ่งชราและมรณะโดยไม่เหลือ รูปที่เป็นอดีต อนาคต
ปัจจุบัน ไม่เที่ยง เป็นสิ่งที่ปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น มีสิ้น มีเสื่อมไป
เป็นธรรมดา มีคลายกำหนัดเป็นธรรมดา มีการดับ เป็นธรรมดา
เพระฉะนั้น ตรึก พิจารณา ทำให้แจ้ง ทำให้จริง ย่อมแล่นไปเร็ว ใน
 
๑๖/๑๗๑/๖๔

วันศุกร์, สิงหาคม 15, 2568

Phiksu

 
อาบัติเป็นเทสนาคามินี ๑ ทำโดยธรรม ๑ สงฆ์พร้อมเพรียงกันทำ ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิสารณียกรรมที่ประกอบด้วยองค์ ๓ นี้แล
เป็นกรรมเป็นธรรม เป็นวินัย และระงับดีแล้ว.
หมวดที่ ๙
[๑๕๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิสารณียกรรมที่ประกอบด้วยองค์ ๓
แม้อื่นอีก เป็นกรรมเป็นธรรม เป็นวินัย และระงับดีแล้ว คือ ทำเพราะ
อาบัติ ยังมิได้แสดง ๑ ทำโดยธรรม ๑ สงฆ์พร้อมเพรียงกันทำ ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิสารณียกรรมที่ประกอบด้วยองค์ ๓ นี้แล
เป็นกรรมเป็นธรรม เป็นวินัย และระงับดีแล้ว.
หมวดที่ ๑๐
[๑๕๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิสารณียกรรมที่ประกอบด้วยองค์
๓ แม้อื่นอีก เป็นกรรมเป็นธรรม เป็นวินัย และระงับดีแล้ว คือ โจท
ก่อนแล้วทำ ๑ ทำโดยธรรม ๑ สงฆ์พร้อมเพรียงกันทำ ๑
ดูก่อนภิกษุอาทิผิด ทั้งหลาย ปฏิสารณียกรรมที่ประกอบด้วยองค์ ๓ นี้แล
เป็นกรรมเป็นธรรม เป็นวินัย และระงับดีแล้ว.
หมวดที่ ๑๑
[๑๕๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิสารณียกรรมที่ประกอบด้วยองค์
๓ แม้อื่นอีก เป็นกรรมเป็นธรรม เป็นวินัย และระงับดีแล้ว คือ ให้
จำเลยให้การก่อนแล้วทำ ๑ ทำโดยธรรม ๑ สงฆ์พร้อมเพรียงกันทำ ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิสารณียกรรมที่ประกอบด้วยองค์ ๓ นี้แล
เป็นกรรมเป็นธรรม เป็นวินัย และระงับดีแล้ว.
 
๘/๑๕๖/๙๒

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 14, 2568

Chue

 
ถึงแม้ว่าท่านโบราณจารย์ทั้งหลายก็ได้กล่าวไว้ว่า
คำว่า ภควา เป็นคำประเสริฐ, คำว่า ภควา เป็น
คำสูงสุด เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกท่านผู้ประกอบ
ด้วยความเคารพนับถือว่า ภควา ดังนี้
อีกอย่างหนึ่งท่านกล่าวไว้ว่า ท่านกล่าวว่า ภควา
เพราะมีพระภาคยะ (บารมีธรรม). เพราะหักออก
เสียซึ่งกองกิเลส เพราะประกอบด้วยบุญศิริ (เพราะ
จำแนกกรรม) เพราะเสวยพรหมวิหารธรรม และ
เพราะคายเสียซึ่งการเวียนว่ายตายเกิดในภพทั้ง ๓.
พึงทราบเนื้อความของบทว่า ภควา นี้ ด้วยอำนาจคาถานี้ โดย
พิสดาร. จริงอยู่ ศัพท์ว่า ภควา นั้น ท่านกล่าวไว้แล้วในพุทธา-
นุสสตินิเทศ ในวิสุทธิมรรค.
ก็ในอธิการนี้ ด้วยคำอธิบายเพียงเท่านี้ พระเถระเมื่อแสดงธรรม
ตามที่ตนได้ฟังมา ด้วยคำว่า เอวมฺเม สุตํ ชื่อว่า ย่อมทำสรีระ คือ
พระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ประจักษ์ เพราะนั้น พระเถระ
ย่อมยังชนที่เกิดความเบื่อหน่าย เพราะไม่เห็นพระศาสดาให้โล่งใจว่า
ปาพจน์ ที่ขาดศาสดาย่อมไม่มี นี้เป็นศาสดาของเราทั้งหลาย. พระเถระ
เมื่อแสดงความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่มีอยู่ ในสมัยนั้น ด้วยคำว่า
เอกํ สมยํ ภควา ยังการดับแห่งรูปกายให้แล่นไป. เพราะเหตุนั้น
พระเถระย่อมยังชนที่เมาในชีวิตให้สลดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้
พระองค์นั้น ทรงแสดงอริยธรรม มีชื่ออาทิผิด สระอย่างนี้ ทรงไว้ซึ่งกำลัง ๑๐
 
๑๗/๙/๓๓

วันพุธ, สิงหาคม 13, 2568

Manat

 
วัน แก่ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้านั้นอยู่ปริวาสแล้ว ขอมานัต
๖ ราตรี เพื่ออาบัติตัวหนึ่งในระหว่าง ชื่อสัญเจตนิกา-
สุกกวิสัฏฐิ ปิดบังไว้ ๕ วันกะสงฆ์ สงฆ์ได้ให้มานัตอาทิผิด อักขระ
ราตรี เพื่ออาบัติตัวหนึ่งในระหว่าง ชื่อสัญเจตนิกาสุกก-
วิสัฏฐิ ปิดบังไว้ ๕ วัน แก่ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้านั้น
ประพฤติมานัตแล้ว ควรอัพภานได้ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง
ในระหว่าง ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ ปิดบังไว้ ๕ วัน
จึงขอการชักเข้าหาอาบัติเดิม เพื่ออาบัติตัวหนึ่งในระหว่าง
ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ ปิดบังไว้ ๕ วันกะสงฆ์ สงฆ์
ได้ชักข้าพเจ้านั้นหาอาบัติเดิม เพื่ออาบัติตัวหนึ่งใน
ระหว่าง ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ ปิดบังไว้ ๕ วัน
ข้าพเจ้านั้นได้ขอปริวาสประมวลอาบัติตัวก่อนเข้าด้วยกัน
เพื่ออาบัติตัวหนึ่งในระหว่าง ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ
ปิดบังไว้ ๕ วันกะสงฆ์ สงฆ์ได้ให้ปริวาสประมวลอาบัติ
ตัวก่อนเข้าด้วยกัน เพื่ออาบัติตัวหนึ่งในระหว่าง ชื่อ
สัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ ปิดบังไว้ ๕ วัน แก่ข้าพเจ้านั้น
ข้าพเจ้านั้นอยู่ปริวาสแล้ว ขอมานัต ๖ ราตรี เพื่ออาบัติ
ตัวหนึ่งในระหว่าง ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ ปิดบังไว้
๕ วันกะสงฆ์ สงฆ์ได้ให้มานัตอาทิผิด อักขระ ราตรี เพื่ออาบัติตัว
หนึ่งในระหว่าง ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ ปิดบังไว้ ๕
 
๘/๔๓๘/๓๔๗

วันอังคาร, สิงหาคม 12, 2568

Trat

 
พระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ความรู้ในเหตุ ชื่อว่าธรรมปฏิสัมภิทา. ผลแห่งเหตุ
ชื่อว่าอรรถ สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอาทิผิด ไว้ว่า ความรู้ในผล
แห่งเหตุ ชื่อว่าอัตถปฏิสัมภิทา. บัญญัติ อธิบายว่า การเทศนาธรรมตาม
ธรรม ชื่อว่าเทศนา. การตรัสรู้ชื่อว่าปฏิเวธ. ก็ปฏิเวธนั้นเป็นทั้งโลกิยะและ
โลกุตระ คือความรู้รวมลงในธรรมตามสมควรแก่อรรถ ในอรรถตามสมควร
แก่ธรรม ในบัญญัติตามสมควรแก่ทางแห่งบัญญัติ โดยวิสัยและโดยความไม่
งมงาย๓.
บัดนี้ ควรทราบคัมภีร์ทั้ง ๔ ประการ ในปิฎกทั้ง นี้ แต่ละ
ปิฎก เพราะเหตุที่ธรรมชาติหรืออรรถชาติใด ๆ ก็ดี อรรถที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าพึงให้ทราบย่อมเป็นอรรถมีหน้าที่เฉพาะต่อญาณของนักศึกษาทั้งหลาย
ด้วยประการใด ๆ เทศนาอันส่องอรรถนั้นให้กระจ่างด้วยประการนั้น ๆ นี้ใด
ก็ดี ปฏิเวธคือความหยั่งรู้ไม่วิปริตในธรรม อรรถและเทศนานี้ใดก็ดี ใน
ปิฎกเหล่านี้ ธรรม อรรถ เทศนา และปฏิเวธทั้งหมดนี้ อันบุคคลผู้มี
ปัญญาทรามทั้งหลาย มิใช่ผู้มีกุศลสมภารได้ก่อสร้างไว้ พึงหยั่งถึงได้ยากและมี
ที่พึ่งอาศัยไม่ได้ ดุจมหาสมุทรอันสัตว์ทั้งหลายมีกระต่ายเป็นต้นหยั่งถึงได้ยาก
ฉะนั้น. ก็พระคาถานี้ว่า
บัณฑิตพึงแสดงความต่างแห่งเทศนา
ศาสนา กถา และสิกขา ปหานะ คัมภีรภาพ
ในปิฎกเหล่านั้นตามสมควร ดังนี้

๑-๒ อภิ. วิ. ๓๕/๓๙๙. ๓. สารตฺถทีปนี. ๑/๑๒๒. อธิบายว่า ในความตรัสรู้ เป็นโลกิยะ และโลกุตระนั้น ความหยั่งรู้เป็นโลกิยะ มีธรรมมีอวิชชาเป็นต้นเป็นอารมณ์ มีสังขารมีอรรถเป็นต้นเป็นอารมณ์ มีการให้เข้าใจธรรมและอรรถทั้งสองนั้นเป็นอารมณ์ ชื่อว่าความรู้รวมลงในธรรมเป็นต้น ตามสมควรแก่อรรถเป็นต้นโดยวิสัย. ส่วนความตรัสรู้เป็นโลกุตระนั้นมีนิพพานเป็นอารมณ์ สัมปยุตด้วยมรรคมีการกำจัดความงมงายในธรรม อรรถและบัญญัติตามที่กล่าวแล้ว ชื่อว่าความรู้รวมลงในธรรมเป็นต้นตามสมควรแก่อรรถเป็นต้น โดยความไม่งมงาย.
 
๑/๙/๕๐

คลังบทความของบล็อก