
ที่กล่าวมาแล้ว ชื่อว่า สวีจิชรา เพราะความแตกต่างแห่งสีเป็นต้น ใน
ระหว่าง ๆ เป็นสิ่งที่พึงรู้ได้ง่าย.
ต่อแต่นี้ไป บทว่า เตสํ เตสํ เป็นต้น พึงทราบโดยนัยที่ได้
กล่าวมาแล้วนั้นแหละ.
ก็บทว่า จุติ ในคำทั้งหลายมีอาทิว่า จุติ จวนตา เป็นต้น
พระเถระกล่าวไว้ด้วยสามารถแห่งสัตว์ผู้เคลื่อนไป.
คำว่า จุติ นี้ เป็นคำทั่วไปสำหรับขันธ์ ๑ ขันธ์ ๔ และขันธ์ ๕.
คำว่า จวนตา เป็นคำแสดงถึงลักษณะ (ของขันธ์) โดยการ
เคลื่อนจากภาวะ.
คำว่า เภโท เป็นคำแสดงถึงการแตกดับและการเกิดขึ้นแห่งขันธ์
ทั้งหลายที่จุติ.
คำว่า อนฺตรธานํ เป็นคำแสดงถึงภาวะของการเคลื่อนที่จากฐานอาทิผิด อักขระ
โดยปริยายใดปริยายหนึ่ง แห่งจุติขันธ์ทั้งหลายที่แตกไป เหมือนกระออม
ที่แตกแล้วฉะนั้น. ความตายกล่าวคือมฤตยู ชื่อว่า มัจจุมรณะ.
ด้วยศัพท์ว่า มจฺจุมรณํ นั้น พระเถระปฏิเสธสมุจเฉทมรณะเป็นต้น.
(การตายโดยการตัดขาดซึ่งชาติเป็นต้น). มัจจุราชผู้ทำซึ่งที่สุด (จุดจบ)
ชื่อว่า กาละ การทำกาละนั้น ชื่อว่า กาลกิริยา ( การถึงแก่กรรม)
ด้วยคำว่า กาลกิริยา นี้ พระเถระแสดงถึงความตายตามสมมติของชาวโลก.
ต่อไปนี้ เพื่อจะแสดงถึงความตายโดยปรมัตถ์ พระเถระจึงได้กล่าวคำมี
อาทิว่า ขนฺธานํ เภโท ไว้.
อันที่จริง โดยปรมัตถ์ ขันธ์ทั้งหลายเท่านั้น แตกดับ ไม่ใช่
สัตว์อะไร ๆ เลยตาย เมื่ออาทิผิด ขันธ์ทั้งหลายกำลังแตกดับอยู่ สัตว์ก็ชื่อว่า
๑๗/๑๓๐/๕๘๗

อันมาข้างมารดา. บทว่า เปตฺติกสมฺภวํ ชื่อว่า เปตฺติกํ เพราะนี้ฝ่าย
บิดา. ชื่อว่า สมฺภโว เพราะเกิดจากฝ่ายบิดา. ชื่อว่า เปตฺติกสมฺภวํ
เพราะเกิดเนื่องข้างฝ่ายบิดา หมายถึงชื่อ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า
มิได้ตั้งพระนามด้วยความผูกพันทางมารดาและบิดา. บทว่า ชาเตตฺถุ
ตัดบทเป็น ชาโต เอตฺถ คือเกิดที่ถนนของคนอาทิผิด อักขระค้าขายนี้. ปาฐะว่า ชาโตมฺหิ
บ้างคือเราเกิดแล้ว. บทว่า ตสฺมา เวสฺสนฺตโร อหุ คือ เพราะในครั้งนั้น
เราเกิด ณ ถนนของคนอาทิผิด อักขระค้าขาย ฉะนั้นจึงชื่อว่า เวสสันดร อธิบายว่า
พระชนกชนนีทรงขนานพระนามว่า เวสฺสนฺตร.
พระมหาสัตว์ทรงประสูติจากพระครรภ์พระมารดา ทรงเฉลียวฉลาด
ทรงลืมพระเนตรประสูติ. พอทรงประสูตินั่นเองทรงเหยียดพระหัตถ์ให้
พระมารดาตรัสว่า แม่จ๋า ลูกจักให้ทาน มีอะไรบ้าง. มารดาของพระ
มหาสัตว์ทรงมอบถุงทรัพย์ ๑,๐๐๐ ที่อยู่ใกล้พระหัตถ์ด้วยพระดำรัสว่า ลูกรัก
จงให้ทานตามอัธยาศัยเถิด. จริงอยู่พระโพธิสัตว์พอประสูติก็ทรงพูดได้ในที่
๓ แห่ง คือในอุมมังคชาดก ๑ ในชาดกนี้ ๑ ในอัตภาพสุดท้าย ๑.
พระราชาทรงให้แม่นม ๖๐ คนมีน้ำนมหวานเว้นจากโทษมีสูงเกินไปเป็นต้น
ดูแลพระมหาสัตว์. พระราชทานแม่นมแก่ทารก ๖๐,๐๐๐ ซึ่งเกิดพร้อม
กับพระโพธิสัตว์นั้น. พระโพธิสัตว์ทรงเจริญด้วยบริวารมากพร้อมกับทารก
๖๐,๐๐๐ คน. พระราชารับสั่งให้ช่างทำเครื่องประดับพระกุมารมีค่า ๑๐๐,๐๐๐
พระราชทานแก่พระกุมารนั้น. พระกุมารเมื่อมีพระชันษา ๔ - ๕ ขวบ
๗๔/๙/๑๗๐
๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ
ว่าด้วยนางเปรตเปลือยกายมีกลิ่นเหม็น
พระเถระถามหญิงเปรตตนหนึ่งว่า
[๙๒] ท่านเปลือยกายมีผิวพรรณเลวทราม มี
กลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งไป หมู่แมลงวันพากันตอม
เกลื่อนกล่น ท่านเป็นใครหนอมาอาทิผิด อักขระยืนอยู่ที่นี่.
หญิงเปรตนั้นตอบว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเปรต ถึงทุคติ
เกิดในยมโลก เพราะทำกรรมอันลามกจึงต้อง
จากโลกนั้นไปสู่เปตโลก เวลาเช้าคลอดอาทิผิด อักขระบุตร ๗
คน เวลาเย็นอีก ๗ คน แล้วกินบุตรเหล่านั้นหมด
ทั้ง ๑๔ คนนั้น ก็ยังไม่อาจบรรเทาความหิว
ของดิฉันได้ หัวใจของดิฉันเร่าร้อนอยู่เป็นนิจ
เพราะความหิว ดิฉันเป็นดุจถูกเผาด้วยไฟในที่
อันร้อนยิ่ง ไม่ได้ประสบความเย็นเลย.
พระเถระถามว่า
ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วย กาย วาจา
ใจ หรือท่านกินเนื้อบุตร เพราะวิบากแห่งกรรม
อะไร.
๔๙/๙๒/๗๐

ไม่ได้ยิน ว่าได้ยิน ทราบ รู้ และเห็น
ไม่ได้อาทิผิด อักขระยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ยิน ทราบ รู้ และเห็น ด้วย
อาการ ๓ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . ด้วยอา-
การ ๖ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ ว่าทราบ และรู้
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ และรู้ ด้วยอาการ ๓
อย่าง . . .ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖ อย่าง
. . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ ว่าทราบ และเห็น
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ และเห็น ด้วยอาการ
๓ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖
อย่าง . . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ ว่าทราบ และได้ยิน
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ และได้ยิน ด้วยอาการ
๓ อย่าง . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖
อย่าง . .. ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ ว่าทราบ รู้ และเห็น
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ รู้ และเห็น ด้วยอาการ
๓ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖
อย่าง . . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
๔/๑๗๗/๙

ถึงความที่จิตและเจตสิกอาทิผิด อักขระทั้งหลายอันเกื้อหนุนวิริยะไม่ย่อหย่อน. ด้วยบทว่า
อกุสีตวุตฺติ มีความประพฤติไม่เกียจคร้าน พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าแสดงถึง
ความที่กายไม่จมอยู่ในที่ยืนที่นั่งและที่จงกรมเป็นต้น. ด้วยบทว่า ทฬฺห-
นิกฺกโม มีความพยายามมั่นคงนี้ พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าแสดงการตั้งความ
เพียรอันเป็นไปอย่างนี้ว่า กามํ ตโจ นหารุ จ แม้เลือดเนื้อจะเหือด
แห้งไป เหลือแต่หนังและกระดูกก็ตามที ดังนี้เป็นต้น. ท่านกล่าวว่า เริ่ม
ในอนุปุพพสิกขาเป็นต้น กระทำให้แจ้งซึ่งปรมัตถสัจทางกาย. อีกอย่าง
หนึ่ง ด้วยบทนี้พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าแสดงถึงความเพียรอันสัมปยุตด้วย
มรรค. ชื่อว่ามีความเพียร เพราะถึงความบริบูรณ์ในการเจริญภาวนา
อย่างมั่นคง และเพราะออกจากฝ่ายตรงกันข้ามโดยประการทั้งปวง.
เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทฬฺหปรกฺกโม เพราะเป็นผู้มีความพร้อม
เพรียงด้วยธรรมนั้น มีความเพียรมั่นคง. บทว่า ถามพลูปปนฺโน เข้า
ถึงด้วยเรี่ยวแรงและกำลัง คือเกิดขึ้นด้วยเรี่ยวแรงทางกาย และด้วยกำลัง
ญาณในขณะแห่งมรรค. อีกอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นด้วยกำลังอันเป็นเรี่ยวแรง
ชื่อว่า ถามพลูปปนฺโน. ท่านอธิบายว่า เกิดด้วยกำลังคือญาณอันมั่นคง
ด้วยบทนี้ พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าเมื่อแสดงถึงการประกอบพร้อมด้วยญาณ
แห่งวิริยะนั้น จึงยังความเพียรโดยแยบคายให้สำเร็จ. พึงประกอบบท
ทั้งหลายแม้ ๓ บทด้วยอำนาจแห่งความเพียร อันเป็นส่วนเบื้องต้น
ท่ามกลางและอุกฤษฏ์. บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
คาถาที่ ๔
๖๗/๘๒๑/๗๒๗

มา ๆ ในเทวโลก และมนุษยโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในสักย-
ราชตระกูล ได้นามว่าภคุ เจริญวัยแล้ว ออกบวชพร้อมท่านพระอนุรุทธะ
และพระกิมิละ๑ อยู่ในพาลกโลณกคาม วันหนึ่ง เพื่อจะบรรเทาความที่ถูก
ถีนมิทธะครอบงำ จึงออกจากวิหาร ขึ้นสู่ที่จงกรมล้มลง ทำการล้มนั้น
นั่นแหละให้เป็นขอสับ บรรเทาถีนมิทธะ เจริญวิปัสสนาบรรลุพระ-
อรหัตแล้ว. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน๒ว่า
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตระ ผู้มี
ยศใหญ่ปรินิพพานแล้ว เราได้เอาผอบอันเต็มด้วยดอกไม้อาทิผิด อาณัติกะ
ไปบูชาพระสรีระ เรายังจิตให้เลื่อมใสในบุญกรรมนั้นแล้ว
ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นนิมมานรดี เราถึงจะไปอยู่ยังเทวโลก ก็
ยังประพฤติพรหมจรรย์อยู่ ฝนดอกไม้ตกจากฟากฟ้า
เพื่อเราตลอดกาลทั้งปวง เราสมภพในมนุษย์ก็เป็นพระ-
ราชาผู้มียศใหญ่ ในอัตภาพนั้นฝนดอกโกสุมตกลงมาเพื่อ
เราทุกเมื่อ เพราะอำนาจที่เอาดอกไม้บูชาที่พระสรีระของ
พระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นเหตุนี้เป็นการเห็นครั้งสุดท้ายของ
เรา ภพที่สุดกำลังเป็นไป ถึงทุกวันนี้ ฝนดอกไม้ก็ตกลง
มาเพื่อเราทุกเวลา ในแสนกัปแต่ภัทรกัปนี้ เราเอาดอกไม้
ใดบูชา ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง
การบูชาพระสรีระ เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว...ฯลฯ...
พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ก็แลครั้น ท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว ปล่อยให้กาลล่วงไปด้วยสุขอัน
เกิดแต่ผลจิต และสุขอันเกิดแต่พระนิพพาน อันพระศาสดาผู้เสด็จเข้าไป
๑. ม. ม. ๑๓/ข้อ ๑๙๕. กิมพิละ. ๒. ขุ. อ. ๓๓/ข้อ ๔๘.
๕๒/๓๒๔/๘

ไม่เห็น ว่าเห็น และทราบ
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น และทราบ ด้วยอาการ ๓
อย่าง . . . ด้วยอาการ ๔อาทิผิด อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . ด้วยอาการ ๖
อย่าง . . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ว่าเห็น และรู้
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น และรู้ ด้วยอาการ ๓ อย่าง
. . .ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖ อย่าง . . .
ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ว่าเห็น ได้ยิน และทราบ
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ได้ยิน และทราบ ด้วย
อาการ ๓ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ
๖ อย่าง . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ว่าเห็น ได้ยิน และรู้
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ได้ยิน และรู้ ด้วยอาการ
๓ อย่าง . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖
อย่าง . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ว่าเห็น ได้ยิน ทราบ และรู้
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ได้ยิน ทราบ และรู้ ด้วย
อาการ๓ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ
๖ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
๔/๑๗๗/๗

อื่นควรทราบปริเฉท [ข้อความที่กำหนดไว้เป็นตอนๆ] เสียก่อน. กถามรรค
ที่เล่าเรื่องตั้งแต่พระมหาสัตว์ได้ตั้งปรารถนาอย่างจริงจัง ณ เบื้องบาทมูลอาทิผิด สระของ
พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรอาทิผิด อาณัติกะ จนถึงจุติจากอัตภาพเป็นพระเวสสันดร
แล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต จัดเป็นทูเรนิทาน.
กถามรรคที่เล่าเรื่องตั้งอาทิผิด อักขระแต่จุติจากภพสวรรค์ชั้นดุสิตจนถึงบรรลุพระ-
สัพพัญญุตญาณที่ควงไม้โพธิ์ จัดเป็นอวิทูเรนิทาน.
ส่วนสันติเกนิทานมีปรากฏอยู่ในที่ต่าง ๆ ของพระองค์ที่เสด็จประทับ
อยู่ในที่นั้น ๆ ด้วยประการฉะนี้.
ทูเรนิทาน
ในนิทานเหล่านั้น ที่ชื่อทูเรนิทานมีดังต่อไปนี้ เล่ากันมาว่า ในที่สุด
สี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปนับแต่นี้ ได้มีนครหนึ่งนามว่า อมรวดี ในนครนั้นมี
พราหมณ์ชื่อสุเมธอาศัยอยู่ เขามีกำเนิดดี มีครรภ์อันบริสุทธิ์ ทั้งทางฝ่ายมารดา
และฝ่ายบิดานับได้เจ็ดชั่วตระกูลใครจะดูถูกมิได้ หาผู้ตำหนิมิได้เกี่ยวกับเรื่อง
เชื้อชาติ มีรูปสวย น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยผิวพรรณอันงามยิ่ง เขา
ไม่กระทำอาทิผิด สระการงานอย่างอื่นเลย ศึกษาแต่ศิลปะของพราหมณ์ บิดาและมารดาของ
เขาได้ถึงแก่กรรมเสียตั้งแต่เขารุ่นหนุ่ม ต่อมาอำมาตย์ผู้จัดการผลประโยชน์นำ
เอาบัญชีทรัพย์สินมา เปิดห้องคลังที่เต็มไปด้วยทองเงินแก้วมณีและแก้วมุกดา
เป็นต้น บอกให้ทราบถึงทรัพย์ตลอดเจ็ดชั่วตระกูลว่า ข้าแต่กุมาร ทรัพย์สิน
เท่านี้เป็นของมารดา เท่านี้เป็นของบิดา เท่านี้เป็นของปู่ตาและทวดแล้วเรียน
ว่า ขอท่านจงจัดการเถิด สุเมธบัณฑิตคิดว่า ปู่เป็นต้นของเราสะสมทรัพย์นี้
ไว้แล้ว เมื่อจะไปสู่ปรโลกที่ชื่อว่าจะถือเอาทรัพย์เเม้กหาปณะหนึ่งติดตัวไปด้วย
หามีไม่ แต่เราควรการทำเหตุที่จะให้ถือเอาทรัพย์ไปด้วยได้ ดังนี้แล้วได้
๕๕/๑/๔

อาชญาคุกคาม ถูกภัยคุกคาม มีน้ำตานองหน้า ร้องไห้ ทำการงานตามกำหนด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้ เรากล่าวว่า ผู้ทำตนอาทิผิด อักขระให้เดือดร้อน ประกอบ
ความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน และทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ประ-
กอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน.
กถาว่าด้วยพระพุทธคุณ
[๑๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่
ประกอบความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน
ไม่ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เขาไม่ทำตนให้เดือด-
ร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่มีความหิว ดับสนิท เป็นผู้เย็น เสวยแต่
ความสุข มีตนเป็นดังพรหมอยู่ในปัจจุบัน เป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตเสด็จอุบัติในอาทิผิด สระโลกนี้ เป็นพระอรหันต์
ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้ง
โลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและ
มนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระ-
องค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัด ด้วย
ปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์
เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งาม
ในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริ-
บูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง
ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว
ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับอาทิผิด อักขระแคบเป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทาง
๒๐/๑๑/๑๐

ย่อมแทงตลอดอภิญญาทั้งหลาย บุคคลผู้มากด้วยความรื่นเริง มากด้วยเวท
มากด้วยความยินดี มากด้วยความบันเทิงอาทิผิด สระ ย่อมทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
อันเป็นปรมัตถ์.
ชวนปัญญา เป็นไฉน ชวนปัญญา คือ รูปอย่างใดอย่างหนึ่งที่
เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน มีในภายใน มีในภายนอก หยาบ ละเอียด
เลวหรือประณีต รูปใดอยู่ไกลหรือใกล้ รูปนั้นทั้งหมดย่อมแล่นไปเร็วโดย
ความไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา เวทนาอย่างใด
อย่างหนึ่ง . . . สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง . . . สังขารอย่างใดอย่างหนึ่ง . . .
วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน . .. วิญญาณทั้งหมด
นั้นย่อมแล่นไปเร็วโดยความไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็น
อนัตตา จักษุ...ชราและมรณะที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ย่อมแล่นไปเร็ว
โดยความไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา รูปที่เป็นอดีต
อนาคต ปัจบัน ชื่อว่า ไม่เที่ยง เพราะอรรถว่า สิ้นไป ชื่อว่าเป็นทุกข์
เพราะอรรถว่า น่ากลัว ชื่อว่า เป็นอนัตตาอาทิผิด สระ เพราะอรรถว่า หาสาระมิได้
เพราะฉะนั้น ตรึก พิจารณา ทำให้แจ้ง ทำให้เป็นจริง ย่อมแล่นไป
เร็ว ในพระนิพพาน อันดับเสียซึ่งรูปโดยไม่เหลือ เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ จักษุ ... ชรา มรณะที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ชื่อว่า
ไม่เที่ยงเพราะอรรถว่า สิ้นไป...ทำให้เป็นจริง ย่อมแล่นไปเร็ว ในพระ
นิพพานอาทิผิด อักขระ อันดับเสียซึ่งชราและมรณะโดยไม่เหลือ รูปที่เป็นอดีต อนาคต
ปัจจุบัน ไม่เที่ยง เป็นสิ่งที่ปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น มีสิ้น มีเสื่อมไป
เป็นธรรมดา มีคลายกำหนัดเป็นธรรมดา มีการดับ เป็นธรรมดา
เพระฉะนั้น ตรึก พิจารณา ทำให้แจ้ง ทำให้จริง ย่อมแล่นไปเร็ว ใน
๑๖/๑๗๑/๖๔

อาบัติเป็นเทสนาคามินี ๑ ทำโดยธรรม ๑ สงฆ์พร้อมเพรียงกันทำ ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิสารณียกรรมที่ประกอบด้วยองค์ ๓ นี้แล
เป็นกรรมเป็นธรรม เป็นวินัย และระงับดีแล้ว.
หมวดที่ ๙
[๑๕๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิสารณียกรรมที่ประกอบด้วยองค์ ๓
แม้อื่นอีก เป็นกรรมเป็นธรรม เป็นวินัย และระงับดีแล้ว คือ ทำเพราะ
อาบัติ ยังมิได้แสดง ๑ ทำโดยธรรม ๑ สงฆ์พร้อมเพรียงกันทำ ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิสารณียกรรมที่ประกอบด้วยองค์ ๓ นี้แล
เป็นกรรมเป็นธรรม เป็นวินัย และระงับดีแล้ว.
หมวดที่ ๑๐
[๑๕๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิสารณียกรรมที่ประกอบด้วยองค์
๓ แม้อื่นอีก เป็นกรรมเป็นธรรม เป็นวินัย และระงับดีแล้ว คือ โจท
ก่อนแล้วทำ ๑ ทำโดยธรรม ๑ สงฆ์พร้อมเพรียงกันทำ ๑
ดูก่อนภิกษุอาทิผิด ทั้งหลาย ปฏิสารณียกรรมที่ประกอบด้วยองค์ ๓ นี้แล
เป็นกรรมเป็นธรรม เป็นวินัย และระงับดีแล้ว.
หมวดที่ ๑๑
[๑๕๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิสารณียกรรมที่ประกอบด้วยองค์
๓ แม้อื่นอีก เป็นกรรมเป็นธรรม เป็นวินัย และระงับดีแล้ว คือ ให้
จำเลยให้การก่อนแล้วทำ ๑ ทำโดยธรรม ๑ สงฆ์พร้อมเพรียงกันทำ ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิสารณียกรรมที่ประกอบด้วยองค์ ๓ นี้แล
เป็นกรรมเป็นธรรม เป็นวินัย และระงับดีแล้ว.
๘/๑๕๖/๙๒

ถึงแม้ว่าท่านโบราณจารย์ทั้งหลายก็ได้กล่าวไว้ว่า
คำว่า ภควา เป็นคำประเสริฐ, คำว่า ภควา เป็น
คำสูงสุด เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกท่านผู้ประกอบ
ด้วยความเคารพนับถือว่า ภควา ดังนี้
อีกอย่างหนึ่งท่านกล่าวไว้ว่า ท่านกล่าวว่า ภควา
เพราะมีพระภาคยะ (บารมีธรรม). เพราะหักออก
เสียซึ่งกองกิเลส เพราะประกอบด้วยบุญศิริ (เพราะ
จำแนกกรรม) เพราะเสวยพรหมวิหารธรรม และ
เพราะคายเสียซึ่งการเวียนว่ายตายเกิดในภพทั้ง ๓.
พึงทราบเนื้อความของบทว่า ภควา นี้ ด้วยอำนาจคาถานี้ โดย
พิสดาร. จริงอยู่ ศัพท์ว่า ภควา นั้น ท่านกล่าวไว้แล้วในพุทธา-
นุสสตินิเทศ ในวิสุทธิมรรค.
ก็ในอธิการนี้ ด้วยคำอธิบายเพียงเท่านี้ พระเถระเมื่อแสดงธรรม
ตามที่ตนได้ฟังมา ด้วยคำว่า เอวมฺเม สุตํ ชื่อว่า ย่อมทำสรีระ คือ
พระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ประจักษ์ เพราะนั้น พระเถระ
ย่อมยังชนที่เกิดความเบื่อหน่าย เพราะไม่เห็นพระศาสดาให้โล่งใจว่า
ปาพจน์ ที่ขาดศาสดาย่อมไม่มี นี้เป็นศาสดาของเราทั้งหลาย. พระเถระ
เมื่อแสดงความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่มีอยู่ ในสมัยนั้น ด้วยคำว่า
เอกํ สมยํ ภควา ยังการดับแห่งรูปกายให้แล่นไป. เพราะเหตุนั้น
พระเถระย่อมยังชนที่เมาในชีวิตให้สลดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้
พระองค์นั้น ทรงแสดงอริยธรรม มีชื่ออาทิผิด สระอย่างนี้ ทรงไว้ซึ่งกำลัง ๑๐
๑๗/๙/๓๓

๕ วัน แก่ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้านั้นอยู่ปริวาสแล้ว ขอมานัต
๖ ราตรี เพื่ออาบัติตัวหนึ่งในระหว่าง ชื่อสัญเจตนิกา-
สุกกวิสัฏฐิ ปิดบังไว้ ๕ วันกะสงฆ์ สงฆ์ได้ให้มานัตอาทิผิด อักขระ ๖
ราตรี เพื่ออาบัติตัวหนึ่งในระหว่าง ชื่อสัญเจตนิกาสุกก-
วิสัฏฐิ ปิดบังไว้ ๕ วัน แก่ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้านั้น
ประพฤติมานัตแล้ว ควรอัพภานได้ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง
ในระหว่าง ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ ปิดบังไว้ ๕ วัน
จึงขอการชักเข้าหาอาบัติเดิม เพื่ออาบัติตัวหนึ่งในระหว่าง
ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ ปิดบังไว้ ๕ วันกะสงฆ์ สงฆ์
ได้ชักข้าพเจ้านั้นหาอาบัติเดิม เพื่ออาบัติตัวหนึ่งใน
ระหว่าง ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ ปิดบังไว้ ๕ วัน
ข้าพเจ้านั้นได้ขอปริวาสประมวลอาบัติตัวก่อนเข้าด้วยกัน
เพื่ออาบัติตัวหนึ่งในระหว่าง ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ
ปิดบังไว้ ๕ วันกะสงฆ์ สงฆ์ได้ให้ปริวาสประมวลอาบัติ
ตัวก่อนเข้าด้วยกัน เพื่ออาบัติตัวหนึ่งในระหว่าง ชื่อ
สัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ ปิดบังไว้ ๕ วัน แก่ข้าพเจ้านั้น
ข้าพเจ้านั้นอยู่ปริวาสแล้ว ขอมานัต ๖ ราตรี เพื่ออาบัติ
ตัวหนึ่งในระหว่าง ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ ปิดบังไว้
๕ วันกะสงฆ์ สงฆ์ได้ให้มานัตอาทิผิด อักขระ ๖ ราตรี เพื่ออาบัติตัว
หนึ่งในระหว่าง ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ ปิดบังไว้ ๕
๘/๔๓๘/๓๔๗

พระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ความรู้ในเหตุ ชื่อว่าธรรมปฏิสัมภิทา.๑ ผลแห่งเหตุ
ชื่อว่าอรรถ สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอาทิผิด ไว้ว่า ความรู้ในผล
แห่งเหตุ ชื่อว่าอัตถปฏิสัมภิทา.๒ บัญญัติ อธิบายว่า การเทศนาธรรมตาม
ธรรม ชื่อว่าเทศนา. การตรัสรู้ชื่อว่าปฏิเวธ. ก็ปฏิเวธนั้นเป็นทั้งโลกิยะและ
โลกุตระ คือความรู้รวมลงในธรรมตามสมควรแก่อรรถ ในอรรถตามสมควร
แก่ธรรม ในบัญญัติตามสมควรแก่ทางแห่งบัญญัติ โดยวิสัยและโดยความไม่
งมงาย๓.
บัดนี้ ควรทราบคัมภีร์ทั้ง ๔ ประการ ในปิฎกทั้ง ๓ นี้ แต่ละ
ปิฎก เพราะเหตุที่ธรรมชาติหรืออรรถชาติใด ๆ ก็ดี อรรถที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าพึงให้ทราบย่อมเป็นอรรถมีหน้าที่เฉพาะต่อญาณของนักศึกษาทั้งหลาย
ด้วยประการใด ๆ เทศนาอันส่องอรรถนั้นให้กระจ่างด้วยประการนั้น ๆ นี้ใด
ก็ดี ปฏิเวธคือความหยั่งรู้ไม่วิปริตในธรรม อรรถและเทศนานี้ใดก็ดี ใน
ปิฎกเหล่านี้ ธรรม อรรถ เทศนา และปฏิเวธทั้งหมดนี้ อันบุคคลผู้มี
ปัญญาทรามทั้งหลาย มิใช่ผู้มีกุศลสมภารได้ก่อสร้างไว้ พึงหยั่งถึงได้ยากและมี
ที่พึ่งอาศัยไม่ได้ ดุจมหาสมุทรอันสัตว์ทั้งหลายมีกระต่ายเป็นต้นหยั่งถึงได้ยาก
ฉะนั้น. ก็พระคาถานี้ว่า
บัณฑิตพึงแสดงความต่างแห่งเทศนา
ศาสนา กถา และสิกขา ปหานะ คัมภีรภาพ
ในปิฎกเหล่านั้นตามสมควร ดังนี้
๑-๒ อภิ. วิ. ๓๕/๓๙๙. ๓. สารตฺถทีปนี. ๑/๑๒๒. อธิบายว่า ในความตรัสรู้ เป็นโลกิยะ และโลกุตระนั้น ความหยั่งรู้เป็นโลกิยะ มีธรรมมีอวิชชาเป็นต้นเป็นอารมณ์ มีสังขารมีอรรถเป็นต้นเป็นอารมณ์ มีการให้เข้าใจธรรมและอรรถทั้งสองนั้นเป็นอารมณ์ ชื่อว่าความรู้รวมลงในธรรมเป็นต้น ตามสมควรแก่อรรถเป็นต้นโดยวิสัย. ส่วนความตรัสรู้เป็นโลกุตระนั้นมีนิพพานเป็นอารมณ์ สัมปยุตด้วยมรรคมีการกำจัดความงมงายในธรรม อรรถและบัญญัติตามที่กล่าวแล้ว ชื่อว่าความรู้รวมลงในธรรมเป็นต้นตามสมควรแก่อรรถเป็นต้น โดยความไม่งมงาย.
๑/๙/๕๐

อีกประการหนึ่ง ท่านกล่าวคำว่า วุตฺตํ ไว้สองครั้งก็เพื่อจะแสดง
ภาวะที่จะให้สำเร็จประโยชน์แก่ผู้ฟังทั้งหลาย. เป็นความจริง บุคคลผู้มิใช่
สัพพัญญูไม่รู้อาสยะเป็นต้น ของบุคคลเหล่าอื่น กล่าวคำใดไม่ถูกเทสะหรือไม่
ถูกกาละ คำนั้นแม้จะเป็นคำจริง ก็ไม่ชื่อว่ากล่าวไว้เลย เพราะไม่สามารถใน
อันให้สำเร็จประโยชน์แก่ผู้ฟังทั้งหลาย จะป่วยกล่าวไปไยถึงคำที่ไม่จริงเล่า. แต่
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบอาสยะเป็นต้นของบุคคลเหล่าอื่น เทสะ
กาละ และความสำเร็จประโยชน์อย่างถูกต้องทีเดียว เพราะพระองค์ทรงเป็น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสพระดำรัสใดไว้ พระดำรัสนั้น ก็ชื่อว่าตรัส
ไว้เสร็จแล้วทีเดียว เพราะให้สำเร็จประโยชน์ตามที่อาทิผิด อาณัติกะประสงค์แก่ผู้ฟังทั้งหลาย
โดยส่วนเดียว การอ้อมค้อมแห่งพระดำรัสนั้นไม่มี เพราะพระองค์มิได้ตรัส
ไว้. เพราะเหตุนั้น ท่านกล่าวคำว่า วุตฺตํ ไว้สองครั้งก็เพื่อจะแสดงภาวะที่
จะให้สำเร็จประโยชน์แก่ผู้ฟังทั้งหลายด้วย.
อีกประการหนึ่ง คำที่มีความหมายที่ใคร ๆ เข้าใจไม่ได้ และคำที่
ใคร ๆ ปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้นไม่ได้ ไม่ชื่อว่าฟังเสร็จแล้วฉันใด คำที่
ใคร ๆ รับด้วยดีไม่ได้ ได้ชื่อว่ากล่าวแล้วฉันนั้น. ก็บริษัท ๔ รับพระดำรัส
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยดีแล้ว พากันปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น.
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำว่า วุตฺตํ ไว้สองครั้งเพื่อแสดงว่าพระดำรัส
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า สาวกรับอาทิผิด สระไว้ด้วยดีทีเดียว.
อีกประการหนึ่ง ท่านกล่าวคำว่า วุตฺตํ ไว้สองครั้งเพื่อแสดงว่าพระ
ดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ขัดแย้งกับพระอริยเจ้าทั้งหลาย. เหมือน
อย่างว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธรรมแยกประเภท เป็นกุศล อกุศล
สาวัชชะ(มีโทษ) และอนวัชชะ(ไม่มีโทษ) ปวัตติ(ความเป็นไป) นิวัตติ
(ความหมุนกลับ) สมมติสัจจะ และปรมัตถสัจจะ ไม่คลาดเคลื่อน ฉันใด
๔๕/๑๗๙/๓๑

กล่าวไว้ว่า อาปตฺติ ปาราชิกสฺส (ต้องอาบัติปาราชิก) ในสิกขาบทนี้
กล่าวว่า อาปตฺติอาทิผิด สระ ปาจิตฺติยสฺส (ต้องอาบัติปาจิตตีย์) ดังนี้. มีความแปลก
กันเพียงในวัตถุและอาบัติอย่างนี้. คำที่เหลือมีลักษณะอย่างเดียวกันแท้แล.
แม้คำเป็นต้นว่า ตีหากาเรหิ ทิฏฺเฐ เวมติโก ก็พึงทราบเนื้อความโดยนัย
ดังกล่าวแล้ว ในวรรณนาบาลีทุฏฐโทสสิกขาบทเป็นต้น อย่างนี้ว่า ทิฏฺฐสฺส
โหติ ปาราชิกํ ธมฺมํ อชฺฌาปชฺชนฺโน ทิฏฺเฐ เวมติโกอาทิผิด อักขระ (ภิกษุผู้โจทก์
นั้นได้เห็นภิกษุผู้ต้องปาราชิกธรรม มีความสงสัยในสิ่งที่ได้เห็น) ดังนี้นั่น แล.
ก็ในสิกขาบทนี้ เพียงแต่คำบาลีเท่านั้น แปลกกัน (จากบาลีจตุตถปาราชิก) .
ส่วนในเนื้อความพร้อมทั้งเถรวาท ไม่มีการแตกต่างอะไรกันเลย.
สองบทว่า สหสา ภณติ ความว่า ภิกษุไม่ได้ไตร่ตรอง หรือ
ไม่ได้ใคร่ครวญ พูดโดยเร็วถึงสิ่งที่ไม่เห็นว่า ข้าพเจ้าเห็น.
คำว่า อญฺญํ ภณิสฺสามีติ อญฺญํอาทิผิด อักขระ ภณติ ความว่า เมื่อตนควร
จะกล่าวคำว่า จีวรํ (จีวร) ไพล่กล่าวว่า จีรํ (นาน) ดังนี้เป็นต้น เพราะ
ความเป็นผู้อ่อนความคิด เพราะเป็นผู้เซอะ เพราะความพลาดพลั้ง. แต่ภิกษุใด
ผู้อันสามเณรเรียนถามว่า ท่านขอรับ ! เห็นอุปัชฌาย์ของกระผมบ้างไหม
ดังนี้ กระทำการล้อเลียน กล่าวว่า อุปัชฌาย์ของเธอจักเทียมเกวียนบรรทุกฟืน
ไปแล้วกระมัง หรือว่า เมื่อสามเณรได้ยินเสียงสุนัขจิ้งจอกแล้ว ถามว่า นี้เสียง
สัตว์อะไร ขอรับ ! กล่าวว่า นี้เสียงของพวกคนผู้ช่วยกันยกล้อที่ติดหล่ม
ของมารดาเธอ ผู้กำลังไปด้วยยาน ดังนี้ อย่างนั้นกล่าวคำอื่นไม่ใช่เพราะเล่น
ไม่ใช่เพราะพลั้ง, ภิกษุนั่น ย่อมต้องอาบัติแท้. ยังมีถ้อยคำอย่างหนึ่ง ชื่อว่า
ปูรณกถา คือ ภิกษุรูปหนึ่ง ได้น้ำมันเล็กน้อยในบ้าน แล้วกลับมาสู่วิหาร
พูดกะสามเณรว่า เธอไปไหนเสีย วันนี้ บ้านมีแต่น้ำมัน อย่างเดียว ดังนี้ ก็ดี
๔/๑๘๑/๒๔

ความสุข เพื่อความหายโรคและเพื่อเภสัช ดังนี้ เป็นต้น ทรงประกอบ
สุขบทเป็นต้นด้วยทุก ๆ บท นำมาจนถึงบทเป็นลำดับที่ล่วงไปแห่งตน ๆ
แล้วตรัส ๙ พัทธจักร, ด้วยประการดังกล่าวมานี้ จึงเป็นจักรมีมูลเดียว
กัน ๑๐ จักร. จักรเหล่านั้นกับด้วยจักรมีมูลสองเป็นต้น อันผู้ศึกษาพึง
ทราบให้พิสดาร โดยความไม่งมงาย. ส่วนใจความในเอกมูลกจักรแม้นี้
ปรากฏชัดแล้วแล. และตรัสจักรทั้งหลาย แม้ในสุกกะสีเขียวเป็นต้น
โดยนัยมีอาทิว่า ภิกษุจงใจ พยายามปล่อยสุกกะสีเขียวและสีเหลือง
ดังนี้ เหมือนใน ๑๐ บท มีบทว่า เพื่อความหายโรค เป็นต้น
ฉะนั้น. แม้จักรเหล่านั้น ก็ควรทราบให้พิสดารโดยความไม่งมงาย. ส่วน
ใจความแม้ในจักรทั้งหลายเหล่านั้น ก็ปรากฏชัดแล้วเหมือนกัน . ตรัส
มิสสกจักรอันหนึ่งอีกประกอบบทหลังกับบทหน้าอย่างนี้ คือ บทหนึ่งกับ
บทหนึ่ง สองบทกับสองบท ฯลฯ สิบบทกับสิบบทว่า อาโรคฺยตฺถญฺจ
นีลญฺจ อาโรคฺยตฺถญฺจ สุขตฺถญฺจ นีลญฺจ ปีตกญฺจ ดังนี้ เป็นต้น.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสจักรโดยนัยมีอาทิว่า ภิกษุจงใจ
พยายามว่า ‘เราจักปล่อยสุกกะสีเขียว’ แต่สุกกะสีเหลืองเคลื่อน ดังนี้
เพื่อแสดงนัยแม้น เพราะเมื่อภิกษุจงใจพยายามว่า “ จักปล่อยสุกกะสีเขียว ”
ครั้นสุกกะสีเขียวเป็นต้นเคลื่อนก็ดี จงใจพยายามด้วยอำนาจแห่งสุกกะสี-
เหลืองเป็นต้น ครั้นสุกกะสีเหลืองเป็นต้นนอกนี้ เคลื่อนก็ดี ไม่มีความ
ผิดสังเกตเลย. ต่อจากนั้น ทรงประกอบอาทิผิด อักขระบทหลังทั้งหมดด้วย ๙ บท มี
นีลบทเป็นต้น แล้วตรัสให้ชื่อว่า กุจฉิจักร. ต่อจากนั้น ทรงประกอบ
๙ บท มีปีตกบทเป็นต้น เข้าด้วยนีลบทเพียงบทเดียว แล้วตรัสให้ชื่อว่า
ปิฏฐิจักรอาทิผิด สระ. ต่อจากนั้น ทรงประกอบ ๙ บทมีโลหิตกะเป็นต้น เข้าด้วย
๓/๓๗๔/๑๑๒

ในครั้งนั้น ยังมีคนอีก ๖ คน พร้อมทั้งท่านจึงรวมเป็น ภิกษุ ๗ รูป
เป็นผู้มีความคิดอย่างเดียวกัน เห็นภิกษุเหล่าอื่นไม่กระทำความเคารพในพระ-
ศาสนา จึงคิดกันว่า ในที่นี้ พวกเราจักทำอะไรได้ พวกเราจักบำเพ็ญสมณธรรม
ในที่ส่วนข้างหนึ่ง แล้วจักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ ดังนี้แล้ว จึงผูกบันได ปีน
ขึ้นสู่ยอดเขาสูง พูดกันว่า ผู้ที่รู้กำลังจิตของตน ๆ จักผลักบันไดลง ผู้ที่ยัง
มีความอาลัยในชีวิตจงลงไปเสีย อย่าเป็นผู้ต้องเดือดร้อนในภายหลังเลย ดังนี้
แล้ว ทุกรูปร่วมใจกัน ผลักบันไดลง ต่างโอวาทกันและกันว่า อาวุโสทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด แล้วนั่งในที่ ๆ ตนชอบใจ เริ่มบำเพ็ญ
สมณธรรม.
พระเถระบรรลุพระอรหัตผล ในวันที่ ๕ ในที่นั้นแหละ คิดว่า
กิจของเราสำเร็จแล้ว เราจักกระทำอะไรในที่นี้ ดังนี้แล้ว นำบิณฑบาตมาจาก
อุตตรกุรุทวีป ด้วยฤทธิ์ กล่าวว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านจงฉันบิณฑบาตนี้
กิจด้วยภิกษาจาร จงเป็นหน้าที่ของเรา พวกท่านจงทำหน้าที่ของตน ๆ เถิด.
ภิกษุทั้งหลาย ถามว่า ดูก่อนอาวุโส พวกเราผลักบันไดอาทิผิด สระลง ได้พูดตกลง
กันอย่างนี้ว่า ผู้ใดทำให้แจ้งซึ่งธรรมก่อน ผู้นั้นจงนำอาหารมา ภิกษุที่เหลือ
จะบริโภคอาหารที่นำมาแล้วบำเพ็ญสมณธรรม ดังนี้หรืออย่างไร ? พระเถระ
ตอบว่า ไม่มีข้อตกลงดังนั้นหรอกอาวุโส. ภิกษุทั้งหลายจึงพูดว่า ท่านได้
(บรรลุธรรม) ด้วยบุพเหตุของตน แม้พวกเราทั้งหลายก็จักสามารถทำที่สุด
แห่งทุกข์ได้ ท่านจงไปเถิด ดังนี้. พระเถระเมื่อไม่อาจจะยังภิกษุเหล่านั้นให้
ยินยอมได้ จึงบริโภคบิณฑบาตในที่ ๆ ผาสุกแล้วหลีกไป. พระเถระอีกรูปหนึ่ง
บรรลุอนาคามิผล ในวันที่ ๗ จุติจากภพนั้นแล้ว บังเกิดในพรหมโลกชั้น
สุทธาวาส. พระเถระนอกนี้ จุติจากภพนั้นแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวดาและ
มนุษย์ทั้งหลาย ตลอดกาลพุทธันดรหนึ่ง แล้วต่างเกิดในตระกูลนั้น ๆ ในกาล
๕๐/๑๔๒/๘๐

หลายบทว่า ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ ความว่า ภิกษุทั้งหลาย
ได้กราบอาทิผิด อักขระทูลข้อที่พระธนิยะทำกุฎีเสร็จด้วยดินล้วน แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าตั้ง
แต่ต้น.
คำว่า กริสฺสติ นี้ ในประโยคว่า ภิกษุทั้งหลาย ! ไฉนโมฆบุรุษนั้น
จึงได้ขยำโคลนทำกุฎีสำเร็จด้วยดินล้วนเล่า ? เป็นคำอนาคตลงในอรรถอดีต.
มีคำอธิบายว่า ได้ทำแล้ว. ลักษณะแห่งการกล่าวกิริยาอนาคตลงในอรรถอดีต
นั้น ผู้ศึกษาควรแสวงหาจากคัมภีร์ศัพทศาสตร์.
ในคำว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ความเอ็นดู ความอนุเคราะห์ ความไม่
เบียดเบียนมิได้มีแก่โมฆบุรุษนั้นเลย นี้ มีวินิจฉัยดังนี้: -
ความตามรักษา ชื่อ อนุทยา พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมแสดงส่วน
เบื้องต้นแห่งเมตตาด้วยบทว่า อนุทยา นั้น.
จิตไหวตาม เพราะทุกข์ของผู้อื่น ชื่อว่า อนุกัมปา. ความไม่ห้ำหั่น
ชื่อว่า อวิเหสา. พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงแสดงส่วนเบื้องต้นแห่งกรุณา
ด้วยสองบทว่า อนุกัมปา และ อวิเหสา นั้น. พระองค์ตรัสคำอธิบายไว้ดัง
นี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อพระธนิยะโมฆบุรุษนั้นเบียดเบียน คือ ทำ
สัตว์ใหญ่น้อยเป็นอันมากให้พินาศไปอยู่ เพราะขุดดิน ขยำโคลนและติดไฟเผา
ความเอ็นดู ความอนุเคราะห์ ความไม่เบียดเบียน แม้เป็นเพียงส่วนเบื้องต้น
แห่งเมตตาและกรุณาในสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ชื่อว่า มิได้มีเลย คือความเอ็นดู
เป็นต้น ชื่อแม้มีประมาณน้อยก็มิได้มี.
หลายบทว่า มา ปจฺฉิมา ชนตา ปาเณสุ ปาตพฺยตํ อาปชฺชติ
มีความว่า หมู่ชนชั้นหลัง อย่าถึงความเบียดเบียนหมู่สัตว์เลย. มีคำอธิบายว่า
หมู่ชนชั้นหลังสำเหนียกว่า แม้ในครั้งพุทธกาล ภิกษุทั้งหลายได้ทำกรรมอย่างนี้
๒/๑๗๕/๘๒

ค่ามาก พึงแลกเอาวัตถุที่กล่าวแล้วไว้. ขึ้นชื่อว่าฟูกและหมอน ที่ไม่จัด เป็น
ครุภัณฑ์ ย่อมไม่มี.
ครุภัณฑ์ ๓ อย่างนี้ คือ หม้อโลหะ อ่างโลหะ กระทะโลหะจะใหญ่
หรือเล็กก็ตาม โดยที่สุดแม้จุน้ำเพียงฟายมือหนึ่ง ย่อมเป็นครุภัณฑ์เหมือนกัน.
ส่วนขวดโลหะที่ทำด้วยเหล็ก ทองแดง สำริด ทองเหลืองอย่างใด
อย่างหนึ่ง จุน้ำได้บาทหนึ่ง ในเกาะสิงหล แจกกันได้.
ที่ชื่อว่าบาทหนึ่ง จุน้ำประมาณ ๕ ทะนานมคธ. ที่จุน้ำเกินกว่านั้น
เป็นครุภัณฑ์, ภาชนะโลหะที่มาในบาลีเท่านี้ก่อน.
ส่วนน้ำเต้าทอง กระโถน กระบวย ทัพพี ช้อน ถาด จาน ชาม
ผอบ อั้งโล่ และทัพพีตักควันเป็นต้น แม้มิได้มาในบาลี จะเล็กหรือใหญ่ก็
ตาม เป็นครุภัณฑ์หมดทุกอย่าง. แต่ภัณฑะเหล่านี้ คือ บาตรเล็ก ภาชนะ
ทองแดง เป็นของควรแจกกันได้ ภาชนะกาววาวที่ทำด้วยสำริดหรือทองเหลือง
ควรใช้สอยเป็นเครื่องใช้ของสงฆ์. หรือเป็นคิหิวิกัติ ไม่ควรใช้สอย เป็นเครื่อง
ใช้ส่วนตัวบุคคล.
ในมหาปัจจรีแก้ว่า ภาชนะสำริดเป็นต้น ที่เขาถวายสงฆ์จะรักษาไว้
ใช้เองไม่ควร, พึงใช้สอยโดยทำนองคิหิวิกัติเท่านั้น ส่วนในสิ่งของอาทิผิด อักขระโลหะที่เป็น
กัปปิยะแม้อื่น ยกเว้น ภาชนะกาววาวเสีย กล่องยาตาอาทิผิด อักขระ ไม้ป้ายยาตา ไม้ควักหู
เข็ม เหล็กจาร มีดน้อย เหล็ก หมาด กุญแจ ลูกดาล ห่วงไม้เท้า กล้อง
ยานัตถุ์ สว่าน รางโลหะ แผ่นโลหะ แท่งโลหะ สิ่งของโลหะที่ทำค้างไว้
แม้อย่างอื่น เป็นของควรแจกกันได้.
ส่วนกล้องยาสูบ ภาชนะโลหะ โคมมีด้าม โคมตั้ง โคมแขวน รูปสตรี
รูปบุรุษ และรูปสัตว์เดียรัจฉานหรือสิ่งของโลหะเหล่าอื่น พึงติดไว้ตามฝาหรือ
๙/๓๓๖/๒๑๖