วันเสาร์, กรกฎาคม 31, 2564

Khiang

 
ที่ชื่อว่า ลูบ คือ เพียงลูบไป.
ที่ชื่อว่า คลำ คือ จับเบา ๆ ไปข้างโน้นข้างนี้
ที่ชื่อว่า จับ คือ เพียงจับตัว.
ที่ชื่อว่า ต้อง คือ เพียงถูกต้องตัว.
บทว่า ยินดี . . . การบีบเคล้นก็ดี คือยินดีการจับอาทิผิด อักขระต้องอวัยวะแล้ว
บีบเคล้น
บทว่า แม้ภิกษุณีนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเทียบเคียงอาทิผิด อักขระภิกษุณีรูปก่อน.
อุปมาด้วยบุรุษถูกตัดศีรษะ
คำว่า เป็นปาราชิก อธิบายว่า บุรุษถูกตัดศีรษะแล้วไม่อาจมีสรีระ
คุมกันนั้นเป็นอยู่ ชื่อแม้ฉันใด ภิกษุณีก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีความกำหนัด
ยินดี การลูบก็ดี คลำก็ดี จับก็ดี ต้องก็ดี บีบเคล้นก็ดี ของบุรุษบุคคลผู้
กำหนัด ได้รากขวัญลงไป เหนือเข่าขึ้นมา ย่อมไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นธิดา
ของพระศากยบุตร เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า เป็นปาราชิก.
บทว่า หาสังวาสมิได้ ความว่า ที่ชื่อว่าสังวาส ได้แก่กรรมที่พึง
กระทำร่วมกัน อุเทศที่พึงสวดร่วมกัน ความเป็นผู้มีสิกขาเสมอกัน นี้ชื่อว่า
สังวาส สังวาสนั้นไม่มีร่วมกับภิกษุณีนั้น เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า หาสังวาส
มิได้.
บทภาชนีย์
[๓] เมื่อทั้งสองฝ่ายมีความกำหนัด ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกกายด้วยกาย
ใต้รากขวัญลงไป เหนือเข่าขึ้นมา ภิกษุณีต้องอาบัติปาราชิก ถูกของที่เนื่อง
ด้วยกาย ด้วยกาย ต้องอาบัติถุลลัจจัย ถูกกายด้วยของที่เนื่องด้วยกาย ต้อง
 
๕/๓/๗

วันศุกร์, กรกฎาคม 30, 2564

Thommanat

 
พุทธอุทานคาถาที่ ๒
เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่
พราหมณ์ ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความ
สงสัยทั้งปวง ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป
เพราะได้รู้ความสิ้นแห่งอาทิผิด ปัจจัยทั้งหลาย.
[๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท เป็น
อนุโลมและปฏิโลม ตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้:-
ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัสอาทิผิด อุปายาส.
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.
 
๖/๓/๕

วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 29, 2564

Si

 
ท่านพระเสยยสกะรับสารภาพว่า จริงอย่างนั้น ขอรับ
ท่านพระอุทายีแนะนำว่า ดูก่อนคุณเสยยสกะ ถ้าอย่างนั้น คุณจง
ฉันอาหารให้พอแก่ความต้องการ จำวัดให้พอแก่ความต้องการ สรงน้ำ
ให้พอแก่ความต้องการ ครั้นฉันอาหาร จำวัด สรงน้ำ พอแก่ความ
ต้องการแล้ว เมื่อใดความกระสันบังเกิดแก่คุณ ราคะรบกวนจิตคุณ
เมื่อนั้นคุณจงใช้มือพยายามปล่อยอสุจิ
เส. ทำเช่นนั้น ควรหรือ ขอรับ
อุ. ควรซิอาทิผิด อักขระ คุณ แม้ผมก็ทำเช่นนั้น
ต่อมา ท่านพระเสยยสกะฉันอาหารพอแก่ความต้องการ จำวัดพอ
แก่ความต้องการ สรงน้ำพอแก่ความต้องการ ครั้นฉันอาหาร จำวัด
สรงน้ำพอแก่ความต้องการแล้ว เมื่อใดความกระสันบังเกิด ราคะรบกวน
จิต เมื่อนั้นก็ใช้มือพยายามปล่อยอสุจิ สมัยต่อมา ท่านเสยยสกะได้เป็นผู้
มีผิวพรรณ มีอินทรีย์อิ่มเอิบ มีสีหน้าสดใส มีฉวีวรรณผุดผ่อง จึงพวก
ภิกษุสหายของท่านพระเสยยสกะถามท่านพระเสยยสกะว่า อาวุโส เสยยสกะ
เมื่อก่อนคุณซูบผอมเศร้าหมอง มีผิวพรรณคล้ำ มีผิวเหลืองขึ้น ๆ มีร่าง-
กายสะพรั่งด้วยเอ็น เดี๋ยวนี้คุณมีผิวพรรณ มีอินทรีย์อิ่มเอิบ มีสีหน้าสดใส
มีฉวีวรรณผุดผ่อง คุณทำอะไรฉันหรือ
เส. ผมไม่ได้ทำยาฉัน แต่ผมฉันอาหารพอแก่ความต้องการ จำวัด
พอแก่ความต้องการ สรงน้ำพอแก่ความต้องการ ครั้นฉันอาหาร สรงน้ำ
จำวัดพอแก่ความต้องการแล้ว เมื่อใดความกระสันบังเกิดแก่ผม ราคะ
รบกวนจิตผม เมื่อนั้นผมก็ใช้มือพยายามปล่อยอสุจิ
 
๓/๓๐๑/๒

วันพุธ, กรกฎาคม 28, 2564

Nai

 
ปรมัตถโชติกา
อรรถกถาขุททกนิกาย สุตตนิบาต
จูฬวรรคที่ ๒
อรรถกถารตนสูตรที่ ๑
รตนสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ยานีธ ภูตานิ ดังนี้.
พระสูตรนี้ มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร.
พระสูตรนี้ มีเหตุเกิดขึ้นดังต่อไปนี้.
ดังได้สดับมา ในอดีตกาล อุปัทวะทั้งหลาย มีทุพภิกขภัยเป็นต้น
เกิดขึ้นแล้วในอาทิผิด เมืองเวสาลี เจ้าลิจฉวีทั้งหลายได้เสด็จไปยังเมืองราชคฤห์ ทูลขอ
นำพระผู้มีพระภาคเจ้ามายังเมืองเวสาลี เพื่อให้ภัยเหล่านั้นสงบ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าซึ่งเจ้าลิจฉวีทรงนิมนต์มาแล้วอย่างนี้ ได้ตรัสพระสูตรนี้ (รตนสูตร)
เพื่อให้อุปัทวะทั้งหลายเหล่านั้นสงบ นี้คือใจความสังเขปในรตนสูตรนั้น.
แต่พระโบราณาจารย์ทั้งหลายได้พรรณนาถึงการเกิดขึ้นแห่งพระสูตร
นั้น จำเดิมแต่เรื่องเมืองเวสาลี พึงทราบเหตุเกิดขึ้นแห่งรตนสูตรนั้น ดัง
ต่อไปนี้ :-
ดังได้สดับมา ครรภ์ตั้งขึ้นแล้วในท้องแห่งอัครมเหสีของพระราชาใน
เมืองพาราณสี พระนางทรงทราบการที่พระครรภ์ตั้งขึ้นนั้นแล้ว จึงได้กราบทูล
๑. อรรถกถาสุตตนิบาต ภาค ๒
 
๔๗/๓๑๔/๗

วันอังคาร, กรกฎาคม 27, 2564

Thuk Chai

 
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ด้วยอาการ ๗ อย่าง คือ
๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้น
กล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจอาทิผิด
๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ได้ยิน - ว่าได้ยิน
ไม่ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าได้ยิน ด้วยอาการ ๓ อย่าง
ด้วยอาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖ อย่าง . . .
ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ - ว่าทราบ
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ ด้วยอาการ ๓ อย่าง . . .
ด้วยอาการ ๔ อย่าง....... ด้วยอาการ ๕ อย่าง........ ด้วยอาการ ๖ อย่าง .. . .
ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่รู้ - ว่ารู้
ไม่รู้ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้ารู้ ด้วยอาการ ๓ อย่าง . . . ด้วย
อาการ ๔ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๕ อย่าง . . . ด้วยอาการ ๖ อย่าง . . . ด้วย
อาการ ๗ อย่าง . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ว่าเห็น และได้ยิน
[๑๗๗] ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็นและได้ยินด้วย
อาการ ๓ อย่าง.... ด้วยอาการ ๔ อย่าง..... ด้วยอาการ ๕ อย่าง......ด้วย
อาการ ๖ อย่าง........ ด้วยอาการ ๗ อย่าง . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
 
๔/๑๗๗/๖

วันจันทร์, กรกฎาคม 26, 2564

Phra

 
[๓๘] เมืองปาวา โภคนคร เมืองเวสาลี เมืองมคธและ
ปาสาณเจดีย์ อันเป็นรมณียสถานน่ารื่นรมย์ใจ.
[๓๙] พราหมณ์เหล่านั้นรีบขึ้นสู่ภูเขา (ปาสาณเจดีย์)
เหมือนคนระหายน้ำรีบหาน้ำเย็น เหมือนพ่อค้ารีบหา
ลาภใหญ่ และเหมือนคนถูกความร้อนแผดเผาและรีบหา
ร่มฉะนั้น.
[๔๐] ก็ในสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าอันภิกษุสงฆ์ห้อม-
ล้อมแล้วทรงแสดงธรรมแก่พระภิกษุทั้งหลาย ประหนึ่ง
ว่าราชสีห์บันลือสีหนาทอยู่ในป่า.
[๔๑] อชิตพราหมณ์ ได้เห็นพระอาทิผิด สระสัมพุทธเจ้าผู้เพียงดังว่า
ดวงอาทิตย์มีรัศมีฉายออกไป และเหมือนดวงจันทร์
เต็มดวงในวันเพ็ญ.
[๔๒] ลำดับนั้น อชิตพราหมณ์ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง
รื่นเริงใจเพราะได้เห็นอนุพยัญชนะบริบูรณ์ ในพระกาย
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทูลถามปัญหาด้วยใจ.
[๔๓] อ. ท่านเจาะจงใคร จงบอกโคตรพร้อมด้วยลักษณะ
บอกความสำเร็จในมนต์ทั้งหลาย พราหมณ์สอนมาณพ
เท่าไร.
[๔๔] พ. พราหมณ์นั้นมีอายุ ๑๒๐ ปี ชื่อพาวรีโดยโคตร
ลักษณะ ๓ อย่างมีในตัวของพราหมณ์นั้น พราหมณ์นั้น
เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งไตรเพท.
[๔๕] พาวรีพราหมณ์ ถึงความสำเร็จในธรรมของตน สอน
 
๖๗/๔๑/๗

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 25, 2564

Kamchat

 
ราคะ โทสะ โมหะ เรากล่าวความขาดสูญแห่งสภาพที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง
นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมกล่าวความขาดสูญ ดังนี้ ชื่อว่า
กล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว
ว. ท่านพระโคดมช่างรังเกียจ.
ภ. มีอยู่จริง ๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม
ช่างรังเกียจ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะเรารังเกียจกายทุจริต วจีทุจริต
มโนทุจริต เรารังเกียจความถึงพร้อมแห่งสภาพที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง
นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมช่างรังเกียจ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก
แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว
ว. ท่านพระโคดมช่างกำจัด
ภ. มีอยู่จริง ๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม
ช่างกำจัด ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะเราแสดงธรรมเพื่อกำจัด ราคะ โทสะ
โมหะ แสดงธรรมเพื่อกำจัดสภาพที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง นี้แล เหตุที่
เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมช่างกำจัดอาทิผิด ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก แต่ไม่ใช่
เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว.
ว. ท่านพระโคดมช่างเผาผลาญ
ภ. มีอยู่จริง ๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม
ช่างเผาผลาญ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะเรากล่าวธรรมที่เป็นบาปอกุศล
คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ว่าเป็นธรรมที่ควรเผาผลาญ ธรรมที่
เป็นบาปอกุศลซึ่งควรเผาผลาญ อันผู้ใดละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็น
เหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา
เรากล่าวผู้นั้นว่าเป็นคนช่างเผาผลาญ พราหมณ์ ธรรมทั้งหลายที่เป็นบาป-
 
๑/๒/๔

วันเสาร์, กรกฎาคม 24, 2564

Phikkhuni

 
ภิกขุนีวรรคที่ ๓ โอวาทสิกขาบทที่ ๑
พึงทราบวินิจฉัย ในสิกขาบทที่ ๑ แห่งภิกขุนีอาทิผิด อักขระวรรค ดังต่อไปนี้.
[แก้อรรถ เรื่องภิกษุไม่ได้รับสมมติสั่งสอนนางภิกษุณี ]
ในคำว่า ลาภิโน โหนติ นี้ พึงทราบวินิจฉัย ดังนี้ นาง
ภิกษุณีทั้งหลาย ย่อมไม่ถวายเอง ไม่ใช้ผู้อื่นให้ ถวายแก่พระเถระเหล่านั้น.
แต่พวกกุลธิดาผู้ออกบวชจากตระกูลใหญ่ ย่อมเจาะจงพระอสีติมหาสาวกว่า
พระเถระโน้นและโน้น ย่อมกล่าวสอน แล้วกล่าวสรรเสริญคุณ ที่มีอยู่. เช่นศีล
สุตะ อาจาระ ชาติ และโคตรเป็นต้น ของพระอสีติมหาสาวกเหล่านั้น ตาม
กระแสแห่งถ้อยคำของเหล่าญาติชนผู้มาสู่สำนักของตน ถามอยู่ว่า ข้าแต่แม่เจ้า
พวกท่านได้รับโอวาท อุเทศ ปริปุจฉา จากที่ไหน ? ดังนี้. จริงอยู่ คุณ
ที่มีอยู่เห็นปานนี้ ควรเพื่อจะกล่าว. เพราะเหตุนั้น พวกมนุษย์ผู้มีจิตเลื่อมใส
จึงได้นำเอาลาภและสักการะเป็นอันมาก เช่นจีวรเป็นต้น ไปถวายแก่พระเถระ
ทั้งหลาย. เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกะทั้งหลายจึงกล่าวว่า ลาภิโน
โหนฺติ จีวร ฯปฯ ปริกฺขารํ ดังนี้.
สองบทว่า ภิกฺขุนิโย อุปสงฺกมิตฺวา มีความว่า ได้ยินว่า บรรดา
นางภิกษุณีเหล่านั้น แม้ภิกษุณีรูปหนึ่งก็ไม่มาในสำนักของภิกษุฉัพพัคคีย์
เหล่านั้น, แต่พวกอาทิผิด อาณัติกะภิกษุฉัพพัคคีย์ผู้มีใจอันตัณหาในลาภฉุดลากไปเนือง ๆ ได้
ไปสู่สำนักแห่งนางภิกษุณีเหล่านั้น . พระธรรมสังคาหกะทั้งหลาย หมายถึงการ
ไปสู่สำนักภิกษุณีแห่งภิกษุฉัพพัคคีย์นั้น จึงได้กล่าวคำว่า ภิกฺขุนิโย อุปสงฺ-
กมิตฺวา ดังนี้. แม้ภิกษุณีเหล่านั้น ได้กระทำตามถ้อยคำแห่งพวกภิกษุฉัพพัคคีย์
บาลี เป็นโอวาทวรรค.
 
๔/๔๒๓/๓๖๙

วันศุกร์, กรกฎาคม 23, 2564

Pidok

 
พระวินัยปิฎกอาทิผิด อักขระ
เล่ม ๖
จุลวรรค ปฐมภาค
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กัมมขันธกะ
ตัชชนียกรรมที่ ๑
เรื่องภิกษุพวกพระปัณฑุกะและพระโลหิตกะ
เริ่มก่ออธิกรณ์
[๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ พระเชตวัน
อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นภิกษุพวก
พระปัณฑุกะและพระโลหิตกะ เป็นผู้ก่อความบาดหมาง ก่อการทะเลาะ
ก่อการวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ ด้วยตนเอง ได้เข้าไป
หาภิกษุพวกอื่นที่ร่วมก่อความบาดหมาง ก่อการทะเลาะ ก่อการวิวาท
ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ด้วยกัน แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ท่าน
ทั้งหลาย ผู้นั้นอย่าได้ชนะพวกท่าน พวกท่านจงโต้ตอบถ้อยคำให้แข็งแรง
เพราะพวกท่านเป็นผู้ฉลาด เฉียบแหลม คงแก่เรียน และสามารถกว่าเขา
อย่ากลัวเขาเลย แม้พวกผมก็จักเป็นฝักฝ่ายของพวกท่าน โดยวิธีนั้น ความ
บาดหมางที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความ
 
๘/๑/๑

วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 22, 2564

Mi

 
พระวินัยปิฎก
เล่มที่ ๔
มหาวรรค ภาคที่ ๑
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
มหาขันธกะ
โพธิกถา ปฏิจจสมุปบาทมนสิการ
[๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า แรกตรัสรู้ประทับอยู่ ณ ควง
ไม้โพธิพฤกษ์ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในอุรุเวลาประเทศ ครั้งนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว เสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์
ตลอด ๗ วัน และทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาทเป็นอนุโลมและปฏิโลม ตลอด
ปฐมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้:-
ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีอาทิผิด สฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
 
๖/๑/๑

วันพุธ, กรกฎาคม 21, 2564

Chaeng

 
ได้มีความกำหนัดยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัดเล่า
ครั้งนั้นแลอาทิผิด นางภิกษุณีเหล่านั้นจึงแจ้งอาทิผิด
เรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉน ภิกษุณีสุนทรีนันทาจึงได้มีความกำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของ
บุรุษบุคคลผู้มีความกำหนัดเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะ
เหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลาย
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีสุนทรีนันทามีความกำหนัด ยินดี
การเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด จริงหรือ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การ
กระทำของภิกษุณีสุนทรีนันทาไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ
ใช้ไม่ได้ไม่ควรทำ ไฉนภิกษุณีสุนทรีนันทาจึงได้มีความกำหนัด ยินดีการเคล้า-
คลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัดเล่า การกระทำของนางนั่นไม่เป็นไปเพื่อ
ความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่
เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้การกระทำของนางเป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชน
ที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว
ครั้นพระองค์ทรงติเตียนภิกษุณีสุนทรีนันทาโดยอเนกปริยายแล้ว จึงตรัสโทษ
แห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความ
เป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็น
 
๕/๑/๔

วันอังคาร, กรกฎาคม 20, 2564

Muean

 
(ความประสงค์ ๑๐)
ปล่อยเพื่อประสงค์ความหายโรค ๑ ปล่อยเพื่อประสงค์ความสุข ๑
ปล่อยเพื่อประสงค์เป็นยา ๑ ปล่อยเพื่อประสงค์ให้ทาน ๑ ปล่อยเพื่อ
ประสงค์เป็นบุญ ๑ ปล่อยเพื่อประสงค์บูชายัญ ๑ ปล่อยเพื่อประสงค์ไป
สวรรค์ ๑ ปล่อยเพื่อประสงค์เป็นพืช ๑ ปล่อยเพื่อประสงค์จะทดลอง ๑
ปล่อยเพื่อประสงค์ความสนุก ๑
(วัตถุประสงค์ ๑๐)
ปล่อยสุกกะสีเขียว ๑ ปล่อยสุกกะสีเหลือง ๑ ปล่อยสุกกะสีแดง ๑
ปล่อยสุกกะสีขาว ๑ ปล่อยสุกกะสีเหมือนเปรียง ๑ ปล่อยสุกะสีเหมือน
น้ำท่า ๑ ปล่อยสุกกะสีเหมือนนมสด ๑ ปล่อยสุกกะสีเหมือนนมส้ม ๑
ปล่อยสุกกะสีเหมือนเนยใส ๑. ปล่อยสุกกะสีเหมือนอาทิผิด อักขระน้ำมัน ๑
[๓๐๕] บทว่า รูปภายใน ได้แก่ รูปที่มีวิญญาณครอง เป็น
ภายใน.
บทว่า รูปภายนอก ได้แก่ รูปที่มีวิญญาณครอง หรือรูปที่ไม่มี
วิญญาณครอง เป็นภายนอก.
บทว่า รูปทั้งที่เป็นภายในทั้งที่เป็นภายนอก ได้แก่ รูปทั้งสองนั้น.
บทว่า เมื่อยังสะเอวให้ไหวในอากาศ คือ เมื่อพยายามในอากาศ
องค์กำเนิดเป็นอวัยวะใช้การได้.
บทว่า เมื่อเวลาเกิดความกำหนัด คือ เมื่อถูกราคะบีบคั้นแล้ว
องค์กำเนิดเป็นอวัยวะใช้การได้.
บทว่า เมื่อเวลาปวดอุจจาระ คือ เมื่อปวดอุจจาระ องค์กำเนิด
เป็นอวัยวะใช้การได้.
 
๓/๓๐๕/๘

วันจันทร์, กรกฎาคม 19, 2564

Kae

 
อรรถคือการปลุกให้ตื่นนั่นแล เพราะการทำคำสอนให้ถึงพร้อม ต้อง
ประกอบด้วยมนสิการให้ดี.
หากจะมีคำถามว่า เมื่อมีทวยเทพ และมนุษย์อื่น ๆ อยู่ เหตุไฉน
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกแต่ภิกษุเท่านั้น.
ตอบว่า เพราะภิกษุเหล่านั้นเป็นหัวหน้า เป็นผู้ประเสริฐ อยู่ใกล้
และมีจิตตั้งมั่นแล้วในกาลทุกเมื่อ. จริงอยู่ พระธรรมเทศนาของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า เป็นสาธารณะแก่อาทิผิด อาณัติกะบริษัททุกเหล่า. ภิกษุทั้งหลายชื่อว่าเป็น
หัวหน้าบริษัท เพราะเกิดขึ้นก่อน ชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐ เพราะประพฤติ
คล้อยตามพระจริยาวัตรพระศาสดาตั้งต้นแต่ความเป็นผู้ไม่มีเรือน และ
เพราะรับเอาคำสอน ( ของพระศาสดา) ทั้งสิ้น ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ใกล้ เพราะ
นั่งใกล้พระศาสดา ( และ ) ชื่อว่ามีจิตตั้งมั่นแล้วในกาลทุกเมื่อ เพราะ
เที่ยวไปในสำนักพระศาสดา. อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเหล่านั้นเป็นภาชนะ
รองรับพระธรรมเทศนา เพราะเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสอน (ของพระ
ศาสดา) และเพราะเป็นผู้พิเศษ. แม้พระธรรมเทศนานี้ ทรงหมายถึง
ภิกษุบางพวกเท่านั้น. เพราะฉะนั้น จึงตรัสเรียกอย่างนี้ ถามว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงธรรม ตรัสเรียกภิกษุก่อน ย่อมไม่
แสดงธรรมเลยเพื่ออะไร. ตอบว่า เพื่อให้ (พวกภิกษุ) เกิดสติ
(เพราะ) ภิกษุทั้งหลาย เมื่อคิดเรื่องอื่น จะนั่งมัวมีจิตฟุ้งซ่านบ้าง
มัวพิจารณาธรรมอยู่บ้าง มัวทำใจในกัมมัฏฐานบ้าง เมื่อพระผู้มี-
พระภาคเจ้าไม่ตรัสเรียกพวกเธอเลย ทรงแสดงธรรมไป พวกเธอจะไม่
สามารถกําหนดได้ว่า พระธรรมเทศนานี้ มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไร
เป็นปัจจัย ทรงแสดงเพราะอัตถุปัตติอย่างไหน จะพึงรับเอาได้ไม่ดี หรือ
 
๒๖/๓/๕

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 18, 2564

Prachan

 
คุณของพระองค์ถ่ายเดียว ทรงดำริว่า ชะรอยชนเหล่านี้ เพราะ
กลัวเราจึงไม่กล่าวถึงโทษ กล่าวแต่คุณเท่านั้น จึงทรงสอบข้า-
ราชบริพารภายนอก แม้ในหมู่ข้าราชบริพารเหล่านั้น ก็ไม่ทรง
เห็น จึงทรงสอบชาวเมืองภายในพระนคร ทรงสอบชาวบ้านที่
ทวารทั้งสี่นอกพระนคร แม้ในที่นั้นก็มิได้ทรงเห็นใคร ๆ กล่าวถึง
โทษ ทรงสดับแต่คำสรรเสริญของพระองค์ถ่ายเดียว จึงทรงดำริ
ว่า เราจักตรวจสอบชาวชนบท ทรงมอบราชสมบัติให้เหล่า
อำมาตย์ เสด็จขึ้นรถไปกับสารถีเท่านั้น ทรงปลอมพระองค์ไม่
ให้ใครรู้จัก เสด็จออกจากพระนคร พยายามสอบสวนชาวชนบท
จนเสด็จถึงภูมิประเทศชายแดน ก็มิได้ทรงเห็นใคร ๆ กล่าวถึง
โทษ ทรงสดับแต่คำสรรเสริญพระคุณ จึงทรงบ่ายพระพักตร์
สู่พระนคร เสด็จกลับตามทางหลวงจากเขตชายแดน.
ในเวลานั้น แม้พระเจ้าโกศลพระนามว่า พัลลิกะ ก็ทรง
ครอบครองราชสมบัติโดยธรรม ทรงตรวจสอบหาโทษในบรรดา
ข้าราชบริพารภายในเป็นต้น มิได้ทรงเห็นใคร ๆ กล่าวถึงโทษ
เลย ทรงสดับแต่คำสรรเสริญพระคุณของพระองค์เหมือนกัน
จึงทรงตรวจสอบชาวชนบท ได้เสด็จถึงประเทศนั้น.
กษัตริย์ทั้งสอง ได้ประจันอาทิผิด อักขระหน้ากันที่ทางเกวียนอันราบลุ่ม
แห่งหนึ่ง ไม่มีทางที่รถจะหลีกกันได้. สารถีของพระเจ้าพัลลิกะ
จึงพูดกะสารถีของพระเจ้าพาราณสีว่า “ จงหลีกรถของท่าน ”
สารถีของพระเจ้าพาราณสีก็ตอบว่า “ พ่อมหาจำเริญ ขอให้ท่าน
 
๕๗/๑๕๒/๕

วันเสาร์, กรกฎาคม 17, 2564

Awitcha

 
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรง
เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น ว่าดังนี้:-

พุทธอุทานคาถาที่ ๑
เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏ
แก่พราหมณ์ ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความ
สงสัยทั้งปวง ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป
เพราะมารู้ธรรมพร้อมทั้งเหตุ.
[๒] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมนสิการปฏิจจอาทิผิด อักขระสมุปบาท เป็น
อนุโลม และปฏิโลมตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้ :-

ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาอาทิผิด อักขระเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
 
๖/๒/๓

วันศุกร์, กรกฎาคม 16, 2564

Patiset

 
ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ไฉนเธอ
เจรจาอยู่กับพวกเดียรถีย์ จึงได้กล่าวปฏิเสธแล้วรับ กล่าวรับแล้วปฏิเสธอาทิผิด อักขระ
เอาเรื่องอื่นกลบเกลื่อนเรื่องอื่น กล่าวเท็จทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ พูดนัดหมายไว้แล้ว
ทำให้คลาดเคลื่อนเล่า การกระทำของเธอนั้น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส
ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั้น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยัง
ไม่เลื่อมใส และเพื่อ ความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
ทรงบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรง ติเตียนพระหัตถกะ ศากยบุตร โดยอเนก
ปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก
ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลีความเกียจคร้าน
ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความ
สันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การ
ปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น
ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่ง
ภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกัน อาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อ
กำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่
 
๔/๑๗๓/๓

วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 15, 2564

Muea

 
เครื่องประกอบไว้ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่ยังไม่บรรลุ อันพระผู้มีพระภาค-
เจ้าผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ พระองค์นั้น ตรัสไว้.
ดูก่อนคฤหบดี อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีใจประกอบด้วยกรุณา แผ่ไปสู่
ทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็เหมือนกัน เธอมีใจประกอบด้วยกรุณา
อันไพบูลย์ เป็นมหัคตะ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่ไป
ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่าโดยความมีตน
ทั่วไป ในที่ทุกสถานอยู่ ด้วยประการฉะนี้ เธอพิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมรู้ชัดว่า
แม้กรุณาเจโตวิมุตตินี้ อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึ้น ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึ้น สิ่งนั้นไม่เที่ยง มีความดับไปเป็นธรรมดา
ดังนี้ เธอตั้งอยู่ในธรรมคือสมถะและวิปัสสนานั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่ง
อาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะความกำหนัด
เพลิดเพลินในธรรมคือสมถะและวิปัสสนานั้น เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิย-
สังโยชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในที่นั้น มีอันไม่กลับจาก
โลกนั้นเป็นธรรมดา.
ดูก่อนคฤหบดี แม้ธรรมอันหนึ่งนี้แล ที่เมื่ออาทิผิด อักขระภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความ
เพียร มีตนส่งไปอยู่ จิตที่ยังไม่หลุดพ้น ย่อมหลุดพ้น อาสวะทั้งหลายที่ยัง
ไม่สิ้นไป ย่อมถึงความสิ้นไป ย่อมบรรลุถึงธรรมที่ปลอดโปร่งจากกิเลสเป็น
เครื่องประกอบไว้อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่ยังไม่บรรลุ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ พระองค์นั้น ตรัสไว้.
ดูก่อนคฤหบดี อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีใจประกอบด้วยมุทิตา แผ่ไป
สู่ทิศหนึ่ง ทิศที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็เหมือนกัน เธอมีใจประกอบด้วยมุทิตา อัน
ไพบูลย์ เป็นมหัคตะ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่ไป
 
๒๐/๒๑/๓๓

วันพุธ, กรกฎาคม 14, 2564

Khon

 
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น เธอ
ทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าแล้ว.
[๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ทำ
ตนให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน เป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนอาทิผิด อักขระในโลกนี้ เป็นคนเปลือย ทอดทิ้ง
มารยาท เลียมือ เขาเชิญให้มารับภิกษา ก็ไม่มา เขาเชิญให้หยุด ก็ไม่หยุด ไม่
ยินดีรับภิกษาที่เขานำมาให้ ไม่ยินดีรับภิกษาที่เขาทำเฉพาะ ไม่ยินดีรับภิกษา
ที่เขานิมนต์ ไม่รับภิกษาปากหม้อ ไม่รับภิกษาจากปากกระเช้า ไม่รับภิกษา
คร่อมธรณีประตู ไม่รับภิกษาคร่อมท่อนไม้ ไม่รับภิกษาคร่อมสาก ไม่รับภิกษา
ของคน ๒ คนที่กำลังบริโภคอยู่ ไม่รับภิกษาของหญิงมีครรภ์ ไม่รับภิกษา
ของหญิงผู้กำลังให้ลูกดูดนม ไม่รับภิกษาของหญิงผู้คลอเคลียบุรุษ ไม่รับภิกษา
ที่นัดแนะกันทำไว้ ไม่รับภิกษาในที่ที่เขาเลี้ยงสุนัข ไม่รับภิกษาในที่มีแมลงวัน
ไต่ตอมเป็นกลุ่ม ไม่รับปลา ไม่รับเนื้อ ไม่ดื่มสุรา ไม่ดื่มเมรัย ไม่ดื่มน้ำ
หมักดอง เขารับภิกษาที่เรือนหลังเดียวเยียวยาอัตภาพด้วยข้าวคำเดียวบ้าง รับ
ภิกษาที่เรือน ๒ หลัง เยียวยาอัตภาพด้วยข้าว ๒ คำบ้าง รับภิกขาที่เรือน ๓
หลัง เยียวยาอัตภาพด้วยข้าว ๓ คำบ้าง รับภิกษาที่เรือน ๔ หลัง เยียวยาอัตภาพ
ด้วยข้าว ๔ คำบ้าง รับภิกษาที่เรือน ๕ หลัง เยียวยาอัตภาพด้วยข้าว ๕ คำ
บ้าง รับภิกษาที่เรือน ๖ หลัง เยียวยาอัตภาพด้วยข้าว ๖ คำบ้าง รับภิกษาที่
เรือน ๗ หลัง เยียวยาอัตภาพด้วยข้าว ๗ คำบ้าง เยียวยาอัตภาพด้วยภิกษา
ในถาดน้อยใบเดียวบ้าง ๒ ใบบ้าง ๓ ใบบ้าง ๔ ใบบ้าง ๕ ใบบ้าง ๖ ใบบ้าง
๗ ใบบ้าง กินอาหารที่เก็บค้างไว้วันหนึ่งบ้าง ๒ วันบ้าง ๓ วันบ้าง ๔ วันบ้าง
 
๒๐/๘/๗

วันอังคาร, กรกฎาคม 13, 2564

Tang

 
จากการตกนรก ให้นางสำเร็จสวรรค์สมบัติ ดังนี้ ในเวลาเช้า นุ่งแล้ว
ถือเอาบาตรและจีวรไป เดินมุ่งหน้าไปยังที่อยู่ของนาง. ครั้งนั้น ท้าว
สักกะ จอมทวยเทพจำแลงเพศ [ปลอมตัว] น้อมอาหารทิพย์หลายรสมี
แกงและกับหลายอย่างเข้าไปถวาย. พระเถระรู้ข้อนั้น ได้ห้ามว่า ท่านท้าว
โกสิยะ พระองค์ได้ทรงทำกุศลไว้แล้ว เหตุอะไร จึงทรงทำอย่างนี้
ขอพระองค์โปรดอย่าได้แย่งสมบัติของคนเข็ญใจยากไร้เลย จึงยืนอยู่ข้าง
หน้าของหญิงนั้น.
นางเห็นพระเถระแล้ว คิดว่า พระเถระนี้เป็นผู้มีอานุภาพใหญ่
ในที่นี้ก็ไม่มีของกิน หรือของเคี้ยว ซึ่งควรถวายแก่พระเถระนี้ เพียง
น้ำข้าวข้าวตังอาทิผิด อักขระอันจืดเย็นไม่มีรสเกลื่อนไปด้วยหญ้าและผงธุลี ซึ่งอยู่ใน
ภาชนะสกปรกนี้ เราไม่อาจจะถวายแก่พระเถระเช่นนี้ได้ จึงกล่าวว่าขอ
ท่านจงโปรดสัตว์ข้างหน้าเถิด. พระเถระยืนนิ่งไม่ขยับเท้าแม้แต่ข้างเดียว
ผู้คนอยู่ในเรือนนำภิกขาเข้าไปถวาย. พระเถระก็ไม่รับ. หญิงเข็ญใจนั้น
รู้ว่าพระเถระประสงค์จะรับเฉพาะของเรา จึงมาในที่นี้ก็เพื่ออนุเคราะห์เรา
เท่านั้น มีใจเลื่อมใส เกิดความเอื้อเฟื้อ ก็เกลี่ยข้าวตังนั้นลงในบาตรของ
พระเถระ พระเถระแสดงอาการว่าจะฉันเพื่อให้ความเลื่อมใสของนาง
เจริญเพิ่มขึ้น. ผู้คนปูอาสนะแล้ว พระเถระก็นั่งบนอาสนะนั้นฉันข้าวตัง
นั้น ดื่มน้ำแล้วชักมือออกจากบาตร ทำอนุโมทนากล่าวกะหญิงเข็ญใจ
นั้นว่า ท่านได้เป็นมารดาของอาตมาในอัตภาพที่สามจากนี้ดังนี้แล้วก็ไป.
นางยังความเลื่อมใสให้เกิดในพระเถระยิ่งนัก ทำกาละตายไปในยามต้น
แห่งราตรีนั้นแล้ว ก็เข้าไปอยู่ร่วมกับเหล่าเทพนิมมานรดี. ครั้งนั้น
ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่านางทำกาละแล้ว ทรงรำพึงอยู่ว่า นางเกิดอาทิผิด อักขระ
 
๔๘/๒๐/๑๗๒

วันจันทร์, กรกฎาคม 12, 2564

Mai Sala

 
ลำดับนั้นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำการแย้มพระโอษฐ์ให้
ปรากฏ ในข้อนี้อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงถึงพระองค์
ผู้มีการฝึกอันยอดเยี่ยมแล้ว จึงแสดงลักษณะแห่งความยินดี. ถามว่า เพราะ
เหตุไร. ตอบว่า ได้ยินว่า พวกเทวดาเหล่านั้นบอกให้พระองค์ยกโทษให้แก่
พวกเทวดาโดยภาวะของตน ย่อมกระทำพระตถาคตเจ้าซึ่งเป็นบุคคลผู้เลิศใน
โลกพร้อมทั้งเทวโลก ให้เป็นโลกิยมหาชนเช่นกับคนธรรมดาคนหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ทรงทำการแย้มให้ปรากฏ โดย
ประสงค์ว่า เราจักแสดงกำลังแห่งพระพุทธเจ้าก่อนแล้วจักอดโทษในภายหลัง
โดยถ้อยคำที่จะกล่าวข้างหน้า. บทว่า ภิยฺโยโส สตฺตาย แก้เป็น อติเรกปฺป-
มาเณน แปลว่า โดยประมาณยิ่ง. บทว่า อิมํ คาถํ อภาสิ แปลว่า
เทวดาองค์หนึ่งได้กล่าวคาถานี้ อธิบายว่า เทวดาองค์หนึ่งมีความสำคัญว่า
พระศาสดานี้ ทรงกริ้วพวกเรา จึงได้กล่าวแล้ว. บทว่า น ปฏิคฺคณฺหาติ
แก้เป็น น ขมติ แปลว่า ย่อมไม่อดโทษ คือ ย่อมไม่อดกลั้น. บทว่า
โกปนฺตโร แปลว่า บุคคลมีความโกรธอันเกิดขึ้นแล้วในภายใน. บทว่า
โทสครุ แปลว่า มีความเคืองจัด คือ ถือเอาโทษหนักอยู่. บทว่า ส เวรํ
ปฏิมุจฺจติ แปลว่า ย่อมประสบเวร อธิบายว่า บุคคลนั้น คือผู้เห็นปานนี้
ย่อมประสบเวร ย่อมตั้งไว้ ย่อมไม่อาทิผิด สละซึ่งเวรนั้นในตน เหมือนบุคคลคั้นฝีที่
อักเสบ. บทว่า อจฺจโย เจ น วิชฺเชถ แปลว่า หากว่า โทษไม่พึงมี
อธิบายว่า ถ้าว่ากรรมคือการล่วงเกินไม่พึงมีไซร้. บทว่า โน จีธ อปหตํ สิยา
แปลว่า ความผิดก็ไม่พึงมี อธิบายว่า ผิว่า ชื่อว่า ความพลั้งพลาดไม่พึงมี.
บทว่า เกนีธ กุสโล สิยา แปลว่า ในโลกนี้ ใครพึงเป็นคนฉลาด เพราะ
เหตุไร อธิบายว่า ผิว่าเวรทั้งหลายไม่พึงสงบไซร้ ใครพึงเป็นคนฉลาด
เพราะเหตุไร. บทว่า กสฺสจฺจยา แปลว่า โทษทั้งหลายของใครไม่พึงมี
 
๒๔/๑๑๑/๑๙๔

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 11, 2564

Khamuat

 
เมื่อพวกสามเณรเลือกเก็บดอกไม้อยู่ ภิกษุจะเหนี่ยวกิ่งลงให้ ก็ควร.
แต่ภิกษุอย่าพึงอบน้ำดื่มด้วยดอกไม้เหล่านั้น. ภิกษุต้องการอบกลิ่นน้ำดื่ม พึง
อุ้มสามเณรขึ้นแล้วให้เก็บดอกไม้ให้. แม้กิ่งไม้ที่มีผล ตนเองต้องการจะขบฉัน
อย่าพึงเหนี่ยวลงมา. พึงอุ้มสามเณรขึ้นแล้วให้เก็บผลไม้. จะจับฉุดมาร่วมกับ
สามเณรทั้งหลายผู้กำลังถอนไม้กอ หรือเถาวัลย์อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ควร.
แต่เพื่อให้เกิดความอุตสาหะแก่สามเณรเหล่านั้น จะจับที่ปลายแสดงท่าทีฉุด
ดุจกำลังลากมา ควรอยู่
ภิกษุกรีดกิ่งต้นไม้ที่มีกิ่งงอกขึ้น อันตนมิได้ให้อุปสัมบันทำให้เป็น
กัปปิยะถือเอา เพื่อประโยชน์แก่พัดไล่แมลงวันเป็นต้น ที่เปลือกหรือที่ใบ
โดยที่สุดแม้ด้วยเล็บมือ เป็นทุกกฏ. แม้ในขิงสดเป็นต้นก็นัยนี้แล. ก็ถ้าหากว่า
รากแห่งขิงสดที่ภิกษุให้กระทำให้เป็นกัปปิยะแล้ว เก็บไว้ในพื้นที่เย็น งอกขึ้น
จะตัดที่ส่วนเบื้องบนควรอยู่. ถ้าเกิดหน่อจะตัดที่ส่วนข้างล่าง ก็ควร. เมื่อราก
กับหน่อเขียวเกิดแล้ว จะตัดไม่ควร.
[ว่าด้วยการตัดทำลายเผาเองและใช้ให้ทำเป็นต้น]
สองบทว่า ฉินฺทติ วา ฉินฺทาเปติ วา มีความว่า ภิกษุเมื่อจะ
กวาดพื้นดิน ด้วยคิดว่า เราจักตัดหญ้า ตัดเองก็ดี ใช้คนอื่นให้ตัดก็ดี โดย
ที่สุดแม้ด้วยซี่ไม้อาทิผิด อาณัติกะกวาด.
สองบทว่า ภินฺทติ วา ภินฺทาเปติ วา มีความว่า โดยที่สุด
แม้เมื่อจะเดินจงกรมแกล้งเอาเท้าทั้งสองเหยียบไป ด้วยคิดว่า สิ่งที่จะขาด
จงขาดไป สิ่งที่จะแตก จงแตกไป เราจักแสดงที่ที่เราจงกรม ดังนี้ ย่อม
ทำลายเองก็ดี ใช้คนอื่นให้ทำลายก็ดี ซึ่งหญ้าและเถาวัลย์เป็นต้น. ถ้าแม้นว่า
เมื่อภิกษุทำหญ้าและเถาวัลย์ให้เป็นขมวด หญ้าและเถาวัลย์จะขาด, แม้ทำให้
เป็นขมวดอาทิผิด อักขระ ก็ไม่ควร.
 
๔/๓๕๗/๒๘๐