วันอังคาร, สิงหาคม 31, 2564

Chop

 
พระวินัยปิฎก
เล่ม ๗
จุลวรรค ทุติยภาค
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขุททกวัตถุขันธกะ
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ วัตรในการอาบน้ำ
[๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร
อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตกรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นแล
พระฉัพพัคคีย์ อาบน้ำ สีกาย คือ ขาบ้าง แขนบ้าง อกบ้าง หลังบ้าง
ที่ต้นไม้ ชาวบ้านเห็นแล้วเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อ-
สายพระศากยบุตรทั้งหลายอาบน้ำ จึงสีกาย คือ ขาบ้าง แขนบ้าง อกบ้าง
หลังบ้าง ที่ต้นไม้ เหมือนพวกนักมวยผู้ชกกันด้วยหมัด เหมือนพวกชาวบ้าน
ผู้ชอบอาทิผิด อักขระแต่งผิวเล่า ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา
อยู่ ...จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ประชุมสงฆ์ ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุ
เป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า
 
๙/๑/๑

วันจันทร์, สิงหาคม 30, 2564

Silapphatapramat

 
แล้วซึ่งโอฆะนี้โดยแท้ และเป็นผู้ข้ามถึงฝั่ง ไม่มีเสา
เขื่อน ไม่มีความสงสัย.
[๑๙๕] คำว่า พฺราหฺมณํ ในอุเทศว่า ยํ พฺราหฺมณํ เวทคุํ
อภิชญฺญา ความว่า ชื่อว่าเป็นพราหมณ์เพราะเป็นผู้ลอยเสียแล้วซึ่งธรรม
๗ ประการ เป็นผู้ลอยสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสอาทิผิด สระ ราคะ โทสะ
โมหะ มานะ เป็นผู้ลอยอกุศลบาปธรรมอันทำให้เศร้าหมอง ให้เกิดใน
ภพใหม่ มีความกระวนกระวาย มีทุกข์เป็นวิบาก เป็นที่ตั้งแห่งชาติ ชรา
และมรณะต่อไป.
(พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนสภิยะ) พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ลอยเสียแล้วซึ่งธรรมอันลามกทั้งปวง
ปราศจากมลทิน มีจิตตั้งมั่นดี มีจิตคงที่ ล่วงแล้วซึ่ง
สงสาร เป็นผู้บริบูรณ์ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นอันตัณหา
และทิฏฐิไม่อาศัย เป็นผู้คงที่ บัณฑิตกล่าวว่าเป็นผู้
ประเสริฐ.
ญาณในมรรค ๔ ตรัสว่าเวท ในคำว่า เวทคุํ ฯ ล ฯ พราหมณ์นั้น
เป็นเวทคู เพราะล่วงเสียซึ่งเวททั้งปวง.
คำว่า อภิชญฺญา ความว่า พึงรู้จัก คือ พึงรู้ทั่ว รู้แจ้ง รู้แจ้ง
เฉพาะ แทงตลอด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พึงรู้จักผู้ใดว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ถึงเวท.
[๑๙๖] คำว่า อกิญฺจนํ ในอุเทศว่า อกิญฺจนํ กามภเว อสตฺตํ
ดังนี้ ความว่า เครื่องกังวล คือ ราคะ เครื่องกังวล คือ โทสะ โมหะ
มานะ ทิฏฐิ กิเลส ทุจริต เครื่องกังวลเหล่านี้อันผู้ใดละขาดแล้ว ตัด
๑. ขุ. สุ. ๒๕/ข้อ ๓๖๗.
 
๖๗/๑๙๕/๑๓๘

วันอาทิตย์, สิงหาคม 29, 2564

Thaksina

 
ว่า เว้นเราเสียแล้ว คนอื่นใครเล่าชื่อว่าสามารถกำจัดความโศกของพี่
ชายเราย่อมไม่มี เราจักใช้อุบายกำจัดความโศกของพี่ชาย คิดดังนี้แล้ว
จึงทำเป็นคนบ้าแหงนดูอากาศเดินบ่นไปทั่วเมืองว่า ท่านจงให้กระต่าย
แก่เรา ท่านจงให้กระต่ายแก่เรา ดังนี้ ข่าวเล่าลือกันไปทั่วเมืองว่า ฆต-
บัณฑิตเป็นบ้าเสียแล้ว.
เวลานั้น อำมาตย์ชื่อโรหิเณยยะไปเฝ้าพระเจ้าวาสุเทพ เมื่อจะ
เริ่มสนทนากับพระองค์ ได้กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ข้าแต่พระองค์ผู้กัณหวงศ์ ขอพระองค์
จงเสด็จลุกขึ้นเถิด จะมัวทรงบรรทมอยู่ทำไม
ความเจริญอะไรจะมีแก่พระองค์ด้วยพระสุบิน
เล่า พระภาดาของพระองค์แม้ใด เสมอด้วย
พระหฤทัย และเสมอด้วยพระเนตรข้างขวา
ลมได้กระทบดวงหทัยของพระภาดานั้น ข้าแต่
พระองค์ผู้มีพระเกศางาม ฆตบัณฑิตทรงเพ้อไป.
โรหิเณยยะอำมาตย์ ทูลทักทายด้วยโคตรว่า ข้าแต่พระองค์ผู้
กัณหวงศ์ ในคาถานั้น นัยว่าพระวาสุเทพนั้น มีโคตรว่ากัณหายนะ.
บทว่า โก อตฺโถ คือ ความเจริญชื่ออะไร. บทว่า หทยํ จกฺขุญฺจ
ทกฺขิณํอาทิผิด สระ ความว่า เสมอด้วยพระหฤทัยด้วย เสมอด้วยพระเนตรข้างขวา
ด้วย. บทว่า ตสฺส วาตา พลิยฺยนฺติ ความว่า ลมกระทบดวงหทัย
 
๕๙/๑๔๙๒/๙๗๓

วันเสาร์, สิงหาคม 28, 2564

Si

 
พระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า อานนท์ ! ธรรมวินัยใดอันเราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว
แก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายโดยกาลล่วง
ไปแห่งเรา ดังนี้ อย่ากระนั้นเลย เราพึงสังคายนาพระธรรมและพระวินัย
ซึ่งจะเป็นวิธีที่พระศาสนานี้จะพึงดำรงมั่นตั้งอยู่สิ้นกาลนาน. อนึ่ง โดยเหตุที่
เราเป็นผู้อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า กัสสป ! เธอจักทรงผ้าบังสุกุลอันทำ
ด้วยป่านของเรา ซึ่งเราใช้นุ่งห่มแล้วหรือ ดังนี้ แล้วทรงอนุเคราะห์ด้วย
สาธารณบริโภคในจีวร และด้วยการทรงยกย่องไว้เทียบเทียมพระองค์ในอุตริ-
มนุสธรรม มีอนุปุพพวิหารเก้า และอภิญญาหกเป็นประเภท โดยนัยมีอาทิ
อย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ! เราจำนงอยู่เพียงใด เราสงัดแล้วจากกามทั้งหลาย
เทียว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงพร้อมซึ่งปฐมฌาน อยู่ได้เพียงนั้น ภิกษุทั้งหลาย !
แม้กัสสปจำนงอยู่เพียงใด เธอสงัดจากกามทั้งหลาย ฯลฯ ย่อมเข้าถึงพร้อม
ซึ่งปฐมฌานอยู่ได้เพียงนั้นเหมือนกัน ดังนี้ ความเป็นผู้ไม่มีหนี้อย่างอื่นอะไร
จักมีแก่เรานั้นได้, พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเราว่า กัสสปนี้จักเป็นผู้ดำรง
วงศ์พระสัทธรรมของเรา ดังนี้แล้ว ทรงอนุเคราะห์ด้วยอสาธารณานุเคราะห์นี้
ดุจพระราชาทรงทราบพระราชโอรสผู้จะดำรงวงศ์สกุลของพระองค์แล้ว ทรง
อนุเคราะห์ด้วยการทรงมอบเกราะของพระองค์และพระอิสริยยศฉะนั้น มิใช่หรือ
ดังนี้ จึงยังความอุตสาหะให้เกิดแก่ภิกษุทั้งหลาย เพื่อสังคายนาพระธรรมวินัย
เหมือนอย่างที่พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวไว้ว่า ครั้งนั้นอาทิผิด อักขระแล ท่านพระมหา -
กัสสป ได้เตือนภิกษุทั้งหลายว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย! สมัยหนึ่งเราพร้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณภิกษุ ๕๐๐ รูป เดินทางไกลจากเมืองปาวา มาสู่
เมืองกุสินารา ดังนี้เป็นต้น. สุภัททกัณฑ์ทั้งปวง ผู้ศึกษาพึงทราบโดยพิสดาร.
๑. ที. มหา. ๑๐ / ๑๗๘. ๒. นิทาน. ๑๖ / ๒๐๖ ๓. วิ. จุลฺ. ๗/๓๘๐. .อาทิผิด วิ. จุลฺ. ๗ /๓๗๙
 
๑/๙/๒๕

วันศุกร์, สิงหาคม 27, 2564

Thanglai

 
๖. ทุติยธนสูตร
[๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทรัพย์ ๗ ประการนี้ ๗ ประการ
เป็นไฉน คือ ทรัพย์คือ ศรัทธา ๑ ศีล ๑ หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑ สุตะ ๑
จาคะ ๑ ปัญญา ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือศรัทธาเป็นไฉน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศรัทธา คือ
เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มี
พระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ฯลฯ
เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม นี้เรียกว่า ทรัพย์คือศรัทธา.
ดูก่อนภิกษุทั้งอาทิผิด หลาย ก็ทรัพย์คือศีลเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้เว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ
จากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
นี้เรียกว่า ทรัพย์คือศีล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือหิริเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีความละอาย คือ ละอาย
ต่อกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ละอายต่อการถูกต้องอกุศลธรรม
อันลามก นี้เรียกว่า ทรัพย์คือหิริ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือโอตตัปปะเป็นไฉน ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีความสะดุ้งกลัว คือ
สะดุ้งกลัวต่อกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต สะดุ้งกลัวต่อการถูก
ต้องอกุศลธรรมอันลามก นี้เรียกว่า ทรัพย์คือโอตตัปปะ.
 
๓๗/๖/๑๑

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 26, 2564

Patchai

 
[๑๑๑๔] เพราะนกัมมปัจจัย นเหตุปัจจัย ในนอธิปติปัจจัย มี ๒
วาระ . . . ในนปุเรชาตปัจจัย มี ๑ วาระ ในนปัจฉาชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
ในนอาเสวนปัจจัย มี ๒ วาระ ในนวิปากปัจจัย มี ๒ วาระ ในนมัคคปัจจัย
มี ๒ วาระ ในนวิปปยุตตปัจจัย มี ๑ วาระ.
[๑๑๑๕] เพราะนกัมมปัจจัย นเหตุปัจจัย นอธิปติปัจจัย นปุเร-
ชาตปัจจัย ในนปัจฉาชาตปัจจัย มี ๑ วาระ ... ในนอาเสวนปัจจัย มี ๑
วาระ ในนวิปากปัจจัย มี ๑ วาระ ในนมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ ในนวิปปยุตต-
ปัจจัย มี ๑ วาระ ฯลฯ.
[๑๑๑๖] เพราะนวิปากปัจจัย ในนเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ. . . ใน
นอธิปติปัจจัย มี ๓ วาระ ในนปุเรชาตปัจจัย มี ๒ วาระ ในนปัจฉาชาต-
ปัจจัย มี ๓ วาระ ในนอาเสวนปัจจัย มี ๓ วาระ ในนกัมมปัจจัย มี ๓ วาระ
ในนมัคคปัจจัย มี ๒ วาระ ในนวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ. นวิปากปัจจัยอาทิผิด อักขระ
เหมือนกับนกัมมปัจจัย.
[๑๑๑๗] เพราะนฌานปัจจัย ในนเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ ... ใน
นอธิปติปัจจัย มี ๓ วาระ ในนปัจฉาชาตปัจจัย มี ๓ วาระ ในนอาเสวน-
ปัจจัย มี ๓ วาระ ในนมัคคปัจจัย มี ๓ วาระ.
[๑๑๑๘] เพราะนฌานปัจจัย นเหตุปัจจัย นอธิปติปัจจัย นปัจ-
ฉาชาตปัจจัย นอาเสวนปัจจัย ในนมัคคปัจจัย มี ๓ วาระ.
[๑๑๑๙] เพราะนมัคคปัจจัย ในนเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ . . . ใน
นอธิปติปัจจัย มี ๓ วาระ ในนปุเรชาตปัจจัย มี ๑ วาระ ในนปัจฉาชาต-
 
๘๖/๑๑๑๖/๑๒

วันพุธ, สิงหาคม 25, 2564

Kamma

 
๒. อกุศลธรรมที่ไม่ใช่เหตุ เป็นปัจจัยแก่อกุศลธรรม
ที่เป็นเหตุ ด้วยอำนาจของกัมมอาทิผิด อักขระปัจจัย
๓. อกุศลธรรมที่ไม่ใช่เหตุ เป็นปัจจัยแก่อกุศลธรรม
ที่เป็นเหตุ และอกุศลธรรมที่ไม่ใช่เหตุ ด้วยอำนาจของกัมมปัจจัย
มี ๓ วาระ.
๑๒. อาหารปัจจัย
[๓๙] ๑. อกุศลธรรมที่ไม่ใช่เหตุ เป็นปัจจัยแก่อกุศลธรรม
ที่ไม่ใช่เหตุ ด้วยอำนาจของอาหารปัจจัย มี ๓ วาระ.
๑๓. อินทริยปัจจัย
[๔๐] ๑. อกุศลธรรมที่ไม่ใช่เหตุ เป็นปัจจัยแก่อกุศลธรรม
ที่ไม่ใช่เหตุ ด้วยอำนาจของอินทริยปัจจัย มี ๓ วาระ.
๑๔. ฌานปัจจัย
[๔๑] ๑. อกุศลธรรมที่ไม่ใช่เหตุ เป็นปัจจัยแก่อกุศลธรรม
ที่ไม่ใช่เหตุ ด้วยอำนาจของฌานปัจจัย มี ๓ วาระ.
การนับจำนวนวาระในอนุโลม
[๔๒] ในเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ ในอารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ ใน
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ ในอนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ ในสมนันตรปัจจัย มี
 
๙๐/๓๘/๑๗

วันอังคาร, สิงหาคม 24, 2564

Matika

 
อรรถกถามาติกาอาทิผิด สระ
นยมาติกา ๑๔ นัย
พระธรรมสังคาหกาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า ปกรณ์นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงจำแนกไว้ ๑๔ นัย ด้วยสามารถแห่งคำว่า “ สงฺคโห อสงฺคโห ” เป็นต้น
คำนั้นแม้ทั้งหมดท่านตั้งไว้ ๒ อย่าง คือ โดยอุทเทส และนิทเทส. อุทเทส
แห่งธรรมมีขันธ์ เป็นต้น ชื่อว่า มาติกา.
มาติกานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งไว้ ๕ อย่าง คือ นยมาติกา
อัพภันตรมาติกา นยมุขมาติกา ลักขณมาติกา และพาหิรมาติกา.
บรรดามาติกาเหล่านั้น มาติกาที่ทรงตั้งไว้ ๑๔ บท มีคำว่า “ สงฺคโห
อสงฺคโห ฯเปฯ วิปฺปยุตฺเตน สงฺคหิตํ อสงฺคหิตํ ” นี้ ชื่อว่า นยมาติกา.
จริงอยู่ มาติกานี้พระองค์ตรัสเรียกว่า นยมาติกา ก็เพราะความที่มาติกานี้ทรง
ตั้งไว้เพื่อแสดงว่า “ ธรรมทั้งหลายในธาตุกถาอันพระองค์ทรงจำแนก
ไว้แล้ว โดยนัยอันสงเคราะห์เข้ากันได้เป็นต้นนี้ ” ดังนี้. นยมาติกานี้
แม้จะเรียกว่า “ มูลมาติกา ” ก็ควร เพราะความเป็นมูลแห่งบททั้งหลายเหล่า
นั้น.
มาติกาที่ทรงตั้งไว้ ๑๒๕ บท ว่า “ ปญฺจกฺขนฺธา ฯ เป ฯ มนสิกาโร ”
นี้ชื่อว่า อัพภันตรมาติกา.
จริงอยู่ มาติกานี้ ท่านเรียกว่า อัพภันตรมาติกา เพราะความที่มาติกา
นี้พระองค์ไม่ตรัสไว้อย่างนี้ว่า “ ธรรมสังคณีแม้ทั้งหมด เป็นมาติกาใน
 
๗๙/๑/๖

วันจันทร์, สิงหาคม 23, 2564

Thiao

 
ไปด้วยพลังพิเศษ แม้อันตรายจากลมและแดดเป็นต้น ราชสีห์ก็อดทนได้ทั้งนั้น
แม้เมื่อออกหากิน พบช้างตระกูลคันธะตกมัน และกระบือป่าเป็นต้น ก็ไม่
หวาดหวั่น ไม่พรั่นพรึงผจญได้ เพราะผยองในเดช และเมื่อผจญก็จะฆ่าสัตว์
เหล่านั้นได้โดยแท้ แล้วกัดกินเนื้ออ่อน ในที่นั้น ๆ อยู่ได้อย่างสบายทีเดียว
ฉันใด พระมหาเถระทั้งหลาย แม้เหล่านี้ก็ฉันนั้น ไม่หวาดหวั่น ไม่พรั่นพรึง
แม้แต่ที่ไหน ๆ เพราะมีความผยองในเดช โดยละอันตรายแม้ทั้งปวงเสียได้
เพราะประกอบไปด้วยคุณพิเศษอันเป็นกำลังของพระอริยะ เพราะครอบงำพลัง
แห่งสังกิเลสมีราคะเป็นต้น แล้วฆ่าเสียคือละได้ ย่อมอยู่โดยสุขมีสุขในฌาน
เป็นต้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า สีหะ เพราะเป็นประดุจราชสีห์ โดยอดทน
และโดยการฆ่า. แต่โดยอรรถแห่งศัพท์ พึงทราบว่า ชื่อว่า สีหะ ด้วยอรรถว่า
เบียดเบียน เหมือนอย่างสิ่งที่ชาวโลก เรียกกันว่าเปรียง ด้วยอรรถว่าเป็นที่
ชอบใจ โดยย้ายอักษรข้างต้นมาไว้ข้างหลัง. แม้ที่ชื่อว่าราชสีห์ ด้วยอรรถว่า
อดกลั้น ก็พึงทราบอย่างนั้น.
อีกอย่างหนึ่ง ไกรสรราชสีห์พญามฤค ตัวเดียวเที่ยวอาทิผิด อาณัติกะไปอยู่ เพราะความ
ผยองในเดชของตน ไม่หวังเอาสัตว์ไร ๆ เป็นสหาย ฉันใด แม้พระเถระเหล่านี้
ก็ฉันนั้น ชื่อว่าสีหะ เพราะเป็นดุจสีหะ เพราะความเป็นผู้ยินดียิ่งในวิเวก
และแม้เพราะอรรถว่าเป็นผู้เดียวเที่ยวไป เพราะเที่ยวไปแต่ผู้เดียว โดยความ
เป็นผู้สูงด้วยเดช. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สีหํเวกจรํ
นาคํ (เป็นเหมือนราชสีห์ และช้างใหญ่ เที่ยวไปโดดเดี่ยว) ดังนี้.
อีกอย่างหนึ่ง พระมหาเถระเหล่านี้ ชื่อว่าสีหะ เพราะอรรถว่าเป็น
ดุจสีหะ. เพราะประกอบไปด้วยคุณพิเศษ มีความไม่สะดุ้ง ว่องไว และความ
พยายามเป็นต้น. สมดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
 
๕๐/๑๓๗/๑๐

วันอาทิตย์, สิงหาคม 22, 2564

Yu

 
ต. พระบัญญัติเป็นวินัย การจำแนกเป็นอภิวินัย
ถ. ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นปาติโมกข์ ในปาราชิก-
สิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอธิปาติโมกข์
ต. พระบัญญัติเป็นปาติโมกข์ การจำแนกเป็นอธิปาติโมกข์
ถ. อะไรเป็นวิบัติ
ต. ความไม่สังวรเป็นวิบัติ
ถ. อะไรเป็นสมบัติ
ต. ความสังวรเป็นสมบัติ
ถ. อะไรเป็นข้อปฏิบัติ
ต. ข้อที่ภิกษุสมาทานอาปาณโกฏิกศีลตลอดชีวิตว่า จักไม่ทำกรรม
เห็นปานนี้ แล้วศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เป็นข้อปฏิบัติ
ถ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ เพราะทรง
อาศัยอำนาจประโยชน์เท่าไร
ต. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ เพราะทรง
อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อ
ความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่อาทิผิด อักขระสำราญแห่งภิกษุผู้มี
ศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะ
อันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส เพื่อ
ความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความดำรงมั่นแห่งพระสัทธรรม
๑ เพื่ออนุเคราะห์พระวินัย ๑
ถ. พวกไหนศึกษา
 
๑๐/๒/๔

วันเสาร์, สิงหาคม 21, 2564

Thida

 
ด้วยกุศลกรรมที่ทำไว้แล้วนั้น และด้วย
การตั้งเจตน์จำนงไว้ ดิฉันละร่างกายมนุษย์แล้ว
ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์.
ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่า
กัสสปะ ผู้เป็นพงศ์พันธุ์แห่งพรหม มียศมาก
ประเสริฐกว่าพวกบัณฑิต เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว.
ครั้งนั้น พระเจ้ากาสีพระนามว่ากิกี
เป็นใหญ่กว่านรชนในพระนครพาราณสีอันอุดม
เป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่ง
ใหญ่
ดิฉันเป็นพระธิดาอาทิผิด องค์ที่ ของท้าวเธอ
มีนามปรากฏว่าธรรมา ได้ฟังธรรมของพระพิชิต-
มารผู้เลิศแล้ว พอใจบรรพชา แต่พระชนกนาถ
มิได้ทรงอนุญาตให้พวกเรา เมื่อต้องอยู่ในอาคาร-
สถาน
ครั้งนั้น พวกเราผู้เป็นราชกัญญาตั้งอยู่
ในความสุข มิได้เกียจคร้าน ประพฤติพรหมจรรย์
ตั้งแต่เป็นกุมารีอยู่สองหมื่นปี
พระราชธิดาทั้ง ๗ พระองค์ คือนาง
สมณี ๑ นาสมณคุตตา ๑ นางภิกขุณี ๑ นาง
ภิกขุทาสิกา ๑ นางธรรมา ๑ นางสุธรรมา ๑
และนางสังฆทาสีเป็นที่ ๗ เป็นผู้ยินดีพอใจใน
การบำรุงพระพุทธเจ้า
 
๗๒/๑๖๒/๖๐๖

วันศุกร์, สิงหาคม 20, 2564

Sisa

 
วิ่น บรรลุอริยผล ผู้แน่นอนในธรรมคือความตรัสรู้ผู้มี
อนามัย เราขอแสดงความยินดีต่อบุญสมบัตินั้นของ
ท่าน และการมาดีของท่าน.
จบเปสการิยวิมาน
อรรถกถาเปสการิยวิมาน
เปสการิยวิมาน มีคาถาว่า อิทํ วิมานํ รุจิรํ ปภสฺสรํ เป็นต้น.
เปสการิยวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมิคทายวัน กรุง-
พาราณสี สมัยนั้น เวลาเช้า ภิกษุเป็นอันมากนุ่งแล้ว ถือบาตรจีวรเข้า
ไปบิณฑบาตยังกรุงพาราณสี. ภิกษุเหล่านั้นเดินเข้าไปใกล้ประตูเรือนของ
พราหมณ์ผู้หนึ่ง ในเรือนหลังนั้นธิดาของพราหมณ์ ชื่อเปสการี กำลัง
เก็บเหาจากศีรษะอาทิผิด สระของมารดา ใกล้กับประตูเรือน เห็นภิกษุเหล่านั้นกำลัง
เดินไป จึงพูดกะมารดาว่า แม่จ๋า นักบวชเหล่านี้ ยังหนุ่มแน่นอยู่ใน
ปฐมวัย สะสวย น่าดูน่าชม ละเอียดอ่อน ชะรอยจะสูญเสียอะไรบางอย่าง
ไปกระมัง เหตุไรหนอจึงพากันบวชในวัยนี้นะแม่นะ มารดาพูดกะธิดาว่า
ลูกเอ๋ย มีโอรสเจ้าศากยะ ออกผนวชจากราชตระกูลศากยะเกิดเป็นพระ-
พุทธเจ้าขึ้นในโลก. พระองค์ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามใน
ท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ
พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง นักบวชเหล่านี้ฟังธรรมของ
 
๔๘/๑๗/๑๔๗

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 19, 2564

Yoi

 
ไว้บนบกให้เป็นห่อ ก็ไม่ควร. แต่จะเอาปอหรือก้านของดอกอุบลเป็นต้น
นั้นนั่นแหละ มัดเข้าด้วยกัน หรือกระทำให้เป็นห่อสะพาย ควรอยู่.
ที่ชื่อว่า ห่อสะพายนั้น คือพวกภิกษุรวบเอาชายทั้งสองข้างของ
ผ้ากาสาวะที่พาดไว้บนคอเข้ามาแล้ว ทำให้เป็นถุง (โป่งผ้า) ใส่ดอกไม้
ลงในถุงนั้น ดุจถุงกระสอบ นี้ ท่านเรียกว่า ห่อสะพาย. การกระทำ
ดอกไม้เช่นนั้น ควรอยู่. คนทั้งหลายเอาก้านแทงใบบัว แล้วเอาใบห่ออาทิผิด อักขระ
ดอกอุบลเป็นต้น ถือไป. แม้ในวิสัยที่เอาใบอุบลเป็นต้น ห่อถือไปนั้น
จะผูกใบปทุมเบื้องบนดอกไม้ทั้งหลายเท่านั้น ควรอยู่. แต่ก้านปทุม ไม่
ควรผูกไว้ภายใต้ดอก (แต่การผูกก้านปทุมไว้ภายใต้ดอก ไม่ควร).
ที่ชื่อว่า ปูริมะ พึงเห็นในพวงมาลัย และดอกไม้แผ่น. อธิบายว่า
ผู้ใดเอาพวงมาลัยวงรอบเจดีย์ก็ดี ต้นโพธิ์ก็ดี ชุกชีก็ดี นำวกกลับมาให้
เลยที่เดิม (ฐานเดิม) ไป, แม้ด้วยการวงรอบเพียงเท่านั้น ดอกไม้ของ
ผู้นั้น ชื่อว่า ปูริมะ, ก็จะกล่าวอะไรสำหรับผู้ที่วงรอบมากครั้ง. เมื่อ
สอดเข้าไปทางระหว่างฟันนาค (บันไดแก้ว). ปล่อยให้ย้อยอาทิผิด อักขระลงมา แล้ว
ตลบพันรอบฟันนาค (บันไดแก้ว) อีก แม้ดอกไม้นี้ ก็ชื่อว่า ปูริมะ.
แต่จะสอดวลัยดอกไม้เข้าไปในฟันนาค (บันไดแก้ว) สมควรอยู่.
คนทั้งหลาย ย่อมทำแผงดอกไม้ (ดอกไม้แผ่น) ด้วยพวงมาลัย.
แม้ในวิสัยดอกไม้แผงอาทิผิด สระนั้น จะขึงพวงมาลัยไปเพียงครั้งเดียว ควรอยู่.
เมื่อนำย้อนกลับมาอีก จัดเป็นการร้อยวงทีเดียว. ดอกไม้ชนิดนั้น ไม่
ควรทุกอย่าง โดยนัยก่อนเหมือนกัน. ก็การได้พวงดอกไม้ที่เขาทำด้วย
พวงมาลัยแม้เป็นอันมากแล้ว ผูกไว้เบื้องบนแห่งอาสนะเป็นต้น ควรอยู่.
นาคทนฺตกํ แปลว่า ฟันนาค, บันไดแก้ว, และกระจังก็ได้.
 
๓/๖๓๐/๖๔๑

วันพุธ, สิงหาคม 18, 2564

Patisamphitha

 
ซึ่งปฏิสัมภิทาญาณเป็นเครื่องทำลายฆนสัญญาเสียได้ ดังนี้. ก็เทสนา
ประเภทต่าง ๆ นี้มีอยู่, เพราะเหตุนั้น เทสนานั้น จึงเป็นเทสนาให้
สำเร็จความเป็นบรรดาแห่งปฏิสัมภิทาทั้งหลาย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตสฺโส เป็นบทกำหนดจำนวน.
บทว่า ปฏิสมฺภิทา ได้แก่ ปัญญาเป็นเครื่องแตกฉาน. เป็น
ปัญญาเครื่องแตกฉานของญาณเท่านั้น หาใช่เป็นความแตกฉานของ
ใคร ๆ อื่นไม่ เพราะท่านได้กล่าวไว้ว่า ความรู้ในอรรถ ชื่อว่าอรรถ
ปฏิสัมภิทา, ความรู้ในธรรมชื่อว่า ธรรมปฏิสัมภิทา, ความรู้ในโวหาร
แห่งภาษาอันกล่าวถึงอรรถและธรรมะ ชื่อว่า นิรุตติปฏิสัมภิทา, ความ
รู้ในญาณทั้งหลาย ชื่อว่าปฏิภาณปฏิสัมภิทา. เพราะฉะนั้น คำว่า
จตสฺโส ปฏิสมฺภิทาอาทิผิด สระ จึงมีความว่า ประเภทแห่งญาณ ๔ ประการ.
ญาณอันถึงความแตกฉานในอรรถ สามารถทำการกำหนด
สัลลักขณะและวิภาวนะของประเภทแห่งผล ชื่อว่า อรรถปฏิสัมภิทา.
ญาณอันถึงความแตกฉานในธรรม สามารถทำการกำหนด
สัลลักขณะและวิภาวนะของประเภทแห่งเหตุ ชื่อว่า ธรรมปฏิสัมภิทา.
ญาณอันถึงความแตกฉานในนิรุตติ สามารถทำการกำหนด
สัลลักขณะและวิภาวนะของประเภทแห่งนิรุตติ ชื่อว่า นิรุตติปฏิสัมภิทา.
๑. ญาณทั้ง ๓ เบื้องต้น คือ อรรถะ, ธรรมะ และนิรุตติ.
 
๖๘/๐/๑๓

วันอังคาร, สิงหาคม 17, 2564

Dan

 
ว่าด้วยงดปาติโมกข์
[๙๙๐] งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมี ๖ งดปาติโมกข์เป็นธรรมมี ๖.
หมวด ๖ จบ

หัวข้อประจำหมวด
[๙๙๑] อคารวะ ๑ คารวะ ๑ วินีต-
วัตถุ ๑ สามีจิกรรม ๑ สมุฏฐานอาบัติ ๑
สิกขาบทมีการตัดเป็นวินัยกรรม ๑ อาการ ๑
อานิสงส์ ๑ สิกขาบทว่าด้วยอย่างยิ่ง ๑
อยู่ปราศ ๖ ราตรี ๑ จีวร ๑ น้ำย้อม ๑
อาบัติเกิดแต่กายกับจิต ๑ วาจากับจิต ๑
กายวาจาและจิต ๑ กรรม ๑ มูลแห่งวิวาท ๑
มูลแห่งการโจท ๑ ด้านยาว ๑ ด้านอาทิผิด อักขระกว้าง
นิสัยระงับ ๑ อนุบัญญัติ ๑ ถือเอาจีวรที่ทำ
ค้าง ๑ เก็บเอาจีวรที่ทำค้าง ๑ อเสขธรรม ๑
ชักชวนผู้อื่นในอเสขธรรม ๑ มีศรัทธา ๑
อธิศีล ๑ พยาบาลผู้อาพาธ ๑ ฝึกปรือใน
อภิสมาจาร ๑ รู้อาบัติ ๑ งดปาติโมกข์ไม่
เป็นธรรม ๑ งดปาติโมกข์เป็นธรรม ๑.
หัวข้อประจำหมวด ๖ จบ
 
๑๐/๙๙๑/๕๐๔

วันจันทร์, สิงหาคม 16, 2564

Tham

 
โดยที่มีพระสัมโพธิญาณนั้นนั่นแลเป็นประธาน มีพระ-
อัธยาศัยอันเข้มแข็ง มีพระปัญญาแก่กล้า อาจบรรลุความ
เป็นพระสัพพัญญูได้ ด้วยเดชแห่งพระปัญญา.
แม้เราก็ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าไว้ในพระพุทธเจ้า
แต่ปางก่อนทั้งหลาย บารมี ๓๐ ถ้วน ที่จะให้เป็นพระธรรม-
ราชา เราก็ได้บำเพ็ญมานับไม่ถ้วน.
เราประนมนิ้วทั้ง ๑๐ นมัสการพระโลกนายก พร้อมทั้ง
พระสงฆ์ กราบไหว้พระสัมโพธิญาณของพระพุทธเจ้าผู้
ประเสริฐด้วยเศียรเกล้า.
ในพุทธเกษตรทั้งหลาย มีรัตนะทั้งที่อยู่ในอากาศและอยู่
บนภาคพื้นแผ่นดินมีประมาณเท่าใด ที่ใจจะนึกนำมาได้ ทั้ง-
หมด ณ ภาคพื้นอันมีรูปิยะมีประมาณเท่านั้น.
เราได้สร้างปราสาทอันล้วนแล้วด้วยรัตนะสูงจรดฟ้า ตลอด
ภาคพื้นมิใช่น้อย
ซึ่งมีเสาอันวิจิตรงดงาม สร้างจัดจำแนกไว้อย่างดีมีค่า
มาก ซึ่งมีคันทวยทำอาทิผิด ด้วยทองคำ ประดับด้วยนกกะเรียน
และฉัตร.
พื้นชั้นแรกเป็นแก้วไพฑูรย์งดงามปราศจากไฝฝ้าคือมลทิน
เกลื่อนกลาดด้วยกอบัวหลวง มีพื้นทองคำอย่างดี.
พื้นบางชั้นมีสีดังแก้วประพาฬเป็นกิ่งก้านน่ายินดี สีแดง
งดงาม เปล่งรัศมีดังสีแมลงค่อมทองสว่างไสวไปทั่วทิศ.
 
๗๐/๑/๒

วันอาทิตย์, สิงหาคม 15, 2564

Nok Khum

 
๙. วัฏฏกโปตกจริยา
ว่าด้วยจริยาวัตรของลูกนกคุ่มอาทิผิด อาณัติกะ
[๒๙] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นลูกนกคุ่ม
ขนยังไม่งอก ยังอ่อนเป็นดังชิ้นเนื้อ อยู่ในรัง
ในมคธชนบท ในกาลนั้น มารดาเอาจะงอย
ปากคาบเหยื่อมาเลี้ยงเรา เราเป็นอยู่ด้วยผัสสะ
ของมารดา กำลังกายของเรายังไม่มี ในฤดู
ร้อนทุก ๆ ปี มีไฟป่าไหม้ลุกลามมา ไฟไหม้
ป่าเป็นทางดำลุกลามมาใกล้เรา ไฟไหม้ป่า
ลุกลามใหญ่หลวงเสียงสนั่นอื้ออึง ไฟไหม้
ลุกลามมาโดยลำดับ เข้ามาใกล้จวนจะถึงเรา
มารดาบิดาของเราสะดุ้งใจหวาดหวั่น เพราะ
กลัวไฟที่ไหม้มาโดยเร็ว จึงทิ้งเราไว้ในรังหนี
เอาตัวรอดไปได้ เราเหยียดเท้า กางปีกออก
รู้ว่า กำลังกายของเราไม่มี เรานั้นไปไม่ได้อยู่
ในรังนั้นเอง จึงคิดอย่างนี้ในกาลนั้นว่า เมื่อ
 
๗๔/๒๙/๔๗๓

วันเสาร์, สิงหาคม 14, 2564

Khue

 
พรรณนาวงศ์พระกกุสันธพุทธเจ้าที่ ๒๒

เมื่อพระเวสสภู สยัมภูพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เมื่อกัปนั้นล่วงไป
ดวงพระทินกรคือพระชินพุทธเจ้าก็ไม่อุบัติขึ้นถึง ๒๙ กัป ส่วนในภัทรกัปนี้
บังเกิดพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์แล้วคืออาทิผิด สระ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ
พระกัสสปะ และ พระพุทธเจ้าของเรา. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าเมตไตรย
จักอุบัติในอนาคตกาล ด้วยประการดังกล่าวมานี้ กัปนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงทรงสรรเสริญว่าเป็นภัทรกัป เพราะประดับด้วยการเกิดพระพุทธเจ้า ๕
พระองค์. ใน ๕ พระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ ทรง
บำเพ็ญบารมีทั้งหลายแล้ว บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต จุติจากนั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิ
ในครรภ์ของพราหมณีชื่อว่าวิสาขา เอกภริยาของปุโรหิตชื่อว่าอัคคิทัตตะ ผู้อนุ
ศาสน์อรรถธรรมถวายพระเจ้าเขมังกร กรุงเขมวดี ก็เมื่อใดกษัตริย์ทั้งหลาย
สักการะเคารพนับถือพราหมณ์ทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ทั้งหลายจึงบังเกิดใน
สกุลพราหมณ์.
ก็เมื่อใดพราหมณ์ทั้งหลาย สักการะเคารพนับถือบูชากษัตริย์ทั้งหลาย
พระโพธิสัตว์ทั้งหลายจึงบังเกิดในสกุลกษัตริย์. ได้ยินว่า ในครั้งนั้นพราหมณ์
ทั้งหลายอันกษัตริย์ทั้งหลายสักการะเคารพ เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์ชื่อว่า
กกุสันธะผู้มั่นอยู่ในสัจจะ เมื่อจะยังหมื่นโลกธาตุให้บันลือหวั่นไหวจึงอุบัติใน
สกุลพราหมณ์ที่ไม่อากูล แต่อากูลด้วยเหตุเกิดสิริสมบัติ ก็บังเกิดปาฏิหาริย์ดัง
กล่าวมาแล้วในหนหลัง. จากนั้น ถ้วนกำหนดทศมาส ก็ประสูติจากครรภ์มารดา
ณ เขมวดีอุทยาน เหมือนเปลวไฟแลบออกจากเถาวัลย์ทอง. พระโพธิสัตว์นั้น
ครองฆราวาสวิสัยอยู่สี่พันปี มีปราสาท ๓ หลัง ชื่อว่ากามะ กามวัณณะ และ
 
๗๓/๒๓/๖๔๓

วันศุกร์, สิงหาคม 13, 2564

Kratai

 
บทว่า สริตานิ คือแผ่ซ่านไป ได้แก่ซึมซาบไป.
บทว่า สิเนหิตานิ จ ความว่า และเปื้อนตัณหาเพียงดังยางเหนียว
ด้วยอำนาจตัณหาเพียงดังยางเหนียว อันเป็นไปในบริขาร มีจีวรเป็นต้น,
อธิบายว่า อันยางเหนียวคือตัณหาฉาบทาแล้ว.
บทว่า โสมนสฺสานิ ความว่า โสมนัสทั้งหลายเห็นปานนั้น ย่อม
มีแก่สัตว์ผู้เป็นไปในอำนาจตัณหา.
สองบทว่า เต สาตสิตา ความว่า บุคคลเหล่านั้น คือผู้เป็นไป
ในอำนาจแห่งตัณหา เป็นผู้อาศัยความสำราญ คืออาศัยความสุขนั่นเอง
จึงเป็นผู้แสวงหาความสุข คือเป็นผู้เสาะหาความสุข.
บทว่า เต เว เป็นต้น ความว่า เหล่านระผู้เห็นปานนี้ย่อมเข้าถึง
ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตายแท้ ฉะนั้นจึงเป็นผู้ชื่อว่า
เข้าถึงชาติและชรา.
บทว่า ปชา เป็นต้น ความว่า สัตว์เหล่านี้เป็นผู้อันตัณหาที่ถึง
ซึ่งอันนับว่า “ ตสิณา ” (ความดิ้นรน) เพราะทำซึ่งความสะดุ้งแวดล้อม
คือห้อมล้อมแล้ว.
บทว่า พาธิโต ความว่า (สัตว์เหล่านั้น) ย่อมกระเสือกกระสน
คือ หวาดกลัว ดุจกระต่ายอาทิผิด อาณัติกะตัวที่นายพรานดักได้ในป่าฉะนั้น.
บทว่า สํโยชนสงฺคสตฺตา ความว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้อันสังโยชน์
๑๐ อย่าง และกิเลสเรื่องข้องคือราคะเป็นต้นผูกไว้แล้ว หรือเป็นผู้ติด
แล้วในสังโยชน์เป็นต้นนั้น.
 
๔๓/๓๔/๒๘๖

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 12, 2564

Prakot

 
บทว่า ปลฺลตฺถิกาย มีความว่า อันภิกษุจะแสดงธรรมแก่ผู้ไม่เจ็บไข้
นั่งรัดเข่าอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นเครื่องรัดเข่าคือสายโยกก็ตาม เครื่องรัดเข่า
คือมือก็ตาม เครื่องรัดเข่าคือผ้าก็ตามไม่ควร.
บทว่า เวฏฺิตสีสสฺส มีความว่า แก่ผู้โพกศีรษะด้วยผ้าสำหรับโพก
หรือด้วยพวงดอกไม้เป็นต้น มิดจนริมผมไม่ปรากฏอาทิผิด อักขระให้เห็น.
บทว่า โอคุณฺฐิตสีสสฺส คือ ผู้ห่มคลุมทั้งศีรษะ.
สองบทว่า ฉมายํ นิสินฺเนน คือ ผู้นั่งบนพื้นดิน.
สองบทว่า อาสเน นิสินฺนสฺส คือ ชั้นที่สุด ได้แก่ผู้ปูผ้า หรือ
หญ้านั่ง .
บทว่า ฉวกสฺส ได้แก่ คนจัณฑาล.
บทว่า ฉวกา ได้แก่ หญิงจัณฑาล.
บทว่า นิลีโน คือเป็นผู้หลบซ่อนอยู่.
บทว่า ยตฺร หิ นาม คือ โย หิ นาม แปลว่า บุคคลใดเล่า
ข้อว่า สพฺพมิทํ จ ปริคตนฺติ ตตฺเถว ปริปติ มีความว่า คน
จัณฑาลนั้นกล่าวถ้อยคำอย่างนี้ว่า โลกนี้ทั้งหมด ถึงความยุ่งเหยิงไม่มีเขตแดน
แล้วไต่ลงมาจากต้นไม้ ในระหว่างชนทั้ง ๒ นั้น ในที่นั้นนั่นเทียว. ก็แล
ครั้นไต่ลงมาแล้ว ยืนอยู่ข้างหน้าแห่งชนแม้ทั้ง ๒ แล้วกล่าวคาถานี้ว่า อุโภ
อตฺถํ น ชานนฺติ ฯ เป ฯ อสฺมา กุมฺภมิวาภิทาอาทิผิด อักขระ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บาทคาถาว่า อุโภ ยตฺถํ น ชานนฺติ ความว่า
ชนแม้ทั้ง ๒ ย่อมไม่รู้อรรถแห่งบาลี
ข้อว่า ธมฺมํ น ปสฺสเร ความว่า ชนทั้ง ๒ ย่อมไม่เห็นบาลี.
ถามว่า ชนทั้ง ๒ นั้นเหล่าไหน ?.
 
๔/๘๘๑/๙๖๔

วันพุธ, สิงหาคม 11, 2564

Sitthatthika

 
เสียแล้ว.
๒๓. นิกายที่แตกแยกกัน ๑๗ นิกาย
นิกายที่ไม่แตกแยกกันมี ๑ นิกาย คือเถรวาท
รวมนิกายทั้งหมดเป็น ๑๘ นิกาย อีกอย่าง
หนึ่งท่านเรียกว่า ตระกูลอาจารย์ ๑๘ ตระกูล.
๒๔. คำสั่งสอนของพระชินะเจ้าเป็น
ของบริสุทธิ์บริบูรณ์ไม่ยิ่งไม่หย่อน เป็นหลัก
มั่นคงสูงสุดของเถรวาททั้งหลาย ราวกะต้นไม้
ใหญ่ ชื่อว่า นิโครธ ฉะนั้น.
๒๕. นิกายที่เหลือ คือนอกจากเถรวาท
เกิดขึ้นแล้วเป็นดุจกาฝากเกิดอยู่ที่ต้นไม้ นิ-
กายที่แตกแยกกันมาทั้ง ๑๗ นิกายานี้ ไม่มีใน
ร้อยปีแรก แต่ในระหว่างร้อยปีที่ ๒ คือภายใน
พระพุทธศักราช ๒๐๐ ปี ได้เกิดขึ้นแล้วใน
ศาสนาของพระชินะพุทธเจ้า ด้วยประการ
ฉะนี้แล.
อนึ่ง อาจริยวาท ๖ แม้อื่นอีก คือ ๑.
เหมวติกะ ๒. ราชคิริกะ ๓. สิทธัตถิกะอาทิผิด สระ ๔.
ปุพพเสลิยะ ๕. อปรเสลิยะ ๖. วาชิริยะ
 
๘๐/๑/๑๔

วันอังคาร, สิงหาคม 10, 2564

Thongchai

 
ข้าแต่พระมหาวีระ ด้วยประการไรเล่า ลักษณะ
จักรที่พระยุคลบาทของพระองค์ ประดับด้วยธงชัยอาทิผิด อักขระ
วชิระ ธงประฏาก เครื่องแต่งพระองค์และขอช้าง
พระองค์ก็ไม่มีผู้เสมือนในพระรูปกาย ในศีล สมาธิ
ปัญญาและวิมุตติ ทรงเสมอกับพระพุทธเจ้าผู้ที่ไม่มีผู้
เสมอ ในการประกาศพระธรรมจักร.
กำลังพระยาช้าง ๑๐ ตระกูล เป็นกำลังปกติใน
พระกายของพระองค์ พระองค์ไม่มีผู้เสมอ ด้วยกำลัง
พระวรฤทธิ์ ในการประกาศพระธรรมจักร.
ท่านทั้งหลาย จงนมัสการพระผู้เข้าถึงพระคุณ
ทุกอย่าง ผู้พรักพร้อมด้วยองค์คุณครบถ้วน ผู้เป็น
พระมหามุนี มีพระกรุณาเป็นนาถะของโลก.
พระองค์ควรซึ่งการอภิวาท การชมเชย การไหว้ การ
สรรเสริญ การนอบน้อม และการบูชาทุกอย่าง.
ข้าแต่พระมหาวีระ คนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง อัน
เขาควรไหว้ในโลก คนเหล่าใดควรการไหว้ พระองค์
ทรงเป็นผู้ประเสริฐสุด แห่งคนเหล่านั้นทั้งหมด ผู้
เสมือนพระองค์ ไม่มี.
ท่านพระสารีบุตร ผู้มีปัญญามาก ผู้ฉลาดใน
สมาธิและฌาน ยืนอยู่ที่เขาคิชฌกูฏ ก็เห็นพระผู้นำ
โลก.
 
๗๓/๑/๙

วันจันทร์, สิงหาคม 09, 2564

Kamlai

 
เกลื่อนกลาดด้วยทรายเช่นกับลาดไว้ด้วยตาข่ายแก้วมุกดา มีบันไดแก้ววิลาส
โสภิตขจิตด้วยพื้นศิลาราบรื่น เพื่อข้ามไปได้สะดวก ณ สระโบกขรณี มีน้ำ
รสอร่อยใสสะอาดดาดาษไปด้วยดอกบัวและกอบัว ดุจบันไดงดงามรุ่งเรืองอาทิผิด อาณัติกะ
ผุดขึ้นด้วยแสงสว่างแห่งมวลแก้วมณี อันผูกติดไว้กับแผ่นกระดานอันละ-
เอียดอ่อนทำด้วยงาและลดาทอง เพื่อขึ้นสะดวกยังปราสาทอันประเสริฐ ตกแต่ง
ไว้อย่างรุ่งโรจน์ ล้อมด้วยฝาที่จัดไว้เป็นอย่างดี และเวทีอันวิจิตร ดุจเพราะ
ใคร่จะสัมผัสทางแห่งนักษัตร ดุจมหาทวารอันมีประตูและหน้าต่างไพศาล
รุ่งโรจน์ โชติช่วง บริสุทธิ์ด้วยทอง เงิน แก้วมณี แก้วมุกดา และแก้ว
ประพาฬเป็นต้น เพื่อเข้าไปสะดวกยังเรือนใหญ่ อันงดงามด้วยอิสริยสมบัติ
อันโอฬาร อันเป็นหลักการประพฤติของชน ในเรือนซึ่งมีเสียงไพเราะด้วย
การพูด การหัวเราะเจือไปด้วยเสียงกระทบ มีกำไลอาทิผิด อักขระมือและกำไลอาทิผิด อักขระเท้าทองคำ
เป็นต้น การพรรณนาความแห่งนิทานนั้นสมบูรณ์แล้ว.
บทว่า ปญฺจ ในพระสูตรเป็นการกำหนดจำนวน. บทว่า อิมานิ
อินฺทริยานิ อินทรีย์เหล่านี้ เป็นบทชี้แจงธรรมที่กำหนดไว้แล้ว. อรรถแห่ง
อินทรีย์ ท่านกล่าวไว้แล้วในหนหลัง.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงพระสูตรนี้แล้ว มีพระประสงค์
จะแสดงวิธีเจริญความบริสุทธิ์แห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ที่ได้ตรัสไว้ในพระสูตรนี้
และความระงับอินทรีย์ที่เจริญแล้ว จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า อิมานิ ปญฺจินฺ-
ทฺริยานิ อินทรีย์ ๕ เหล่านี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า วิสุชฺฌนฺติ คือย่อมถึงความหมดจด. บทว่า
อสฺสทฺเธ ผู้ไม่มีศรัทธา คือ ผู้ปราศจากความเชื่อในพระรัตนตรัย. บทว่า
สทฺเธ ผู้มีศรัทธา คือ ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาในพระรัตนตรัย. บทว่า เสวโต
 
๖๙/๔๖๘/๒๘๙