โดยทำนองอาทิผิด สระ เดียวกันดังได้กล่าวแล้วนั่นแหละ. อีกอย่างหนึ่ง ความสังเขปในบท
นี้มีดังนี้. ในกาลใดวีติกกมโทษอันนับว่า ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะปรากฏใน
สงฆ์. ในกาลนั้น พระศาสดาจึงทรงบัญญัติแก่สาวกทั้งหลาย. เพราะเหตุไร.
เพราะเพื่อกำจัดวีติกกมโทษ อันได้แก่ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะเหล่านั้นนั่น
แหละ. พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสถึงอกาละแห่งกาลบัญญัติสิกขาบท อันยัง
ไม่เกิดธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะอย่างนี้ และกาละอันเกิดขึ้นแห่งธรรมอันเป็น
ที่ตั้งแห่งอาสวะ แล้วบัดนี้ เพื่อทรงแสดงถึงกาละอันยังไม่เกิดธรรมเหล่านั้น
และกาละอันเกิดธรรมเหล่านั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า น ตาว ภทฺทาลิ อิเธกจฺเจ
คือ ธรรมเป็นที่ ตั้งอาทิผิด อักขระ แห่งอาสวะบางเหล่า ยังไม่ปรากฏในสงฆ์ในธรรมวินัยนี้.
ในบทเหล่านั้นบทว่า มหตฺตํ คือ ความเป็นใหญ่. จริงอยู่ สงฆ์
เป็นผู้ถึงความเป็นใหญ่ด้วยอำนาจแห่งพระนวกะ พระมัชฌิมะ และพระเถระ
ทั้งหลาย เพียงใด. เสนาสนะย่อมมีธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะบางเหล่า
ยังไม่เกิดขึ้นในศาสนา เพียงนั้น. แต่เมื่อสงฆ์ถึงความเป็นใหญ่ ธรรมเหล่า
นั้นจึงเกิดขึ้น. เมื่อเป็นดังนั้นพระศาสดาย่อมทรงบัญญัติสิกขาบท. เมื่อสงฆ์
ถึงความเป็นใหญ่ พึงทราบสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้โดยนัยนี้ว่า ภิกษุนอน
ร่วมกับอนุปสัมบันเกิน ๒-๓ ราตรีขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์. ภิกษุณียังภิกษุผู้ ยังอาทิผิด สระ ไม่
มีพรรษาให้ลุกออกไป เป็นปาจิตตีย์. ภิกษุณียังภิกษุหนึ่งพรรษา สองพรรษา
ให้ลุกไป เป็นปาจิตตีย์.
บทว่า ลาภคฺคํ คือ ความเป็นผู้เลิศด้วยลาภ. จริงอยู่ สงฆ์ยังไม่
ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภ เพียงใด. ธรรมเป็นที่ ตั้งอาทิผิด อักขระ แห่งอาสวะยังไม่เกิดขึ้น
เพราะอาศัยลาภเพียงนั้น. แต่เมื่อสงฆ์ถึงแล้ว ธรรมเหล่านั้นจึงเกิด. เมื่อเป็น
เช่นนั้นพระศาสดาจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุให้ของเคี้ยวของฉันแก่อเจลก
นี้มีดังนี้. ในกาลใดวีติกกมโทษอันนับว่า ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะปรากฏใน
สงฆ์. ในกาลนั้น พระศาสดาจึงทรงบัญญัติแก่สาวกทั้งหลาย. เพราะเหตุไร.
เพราะเพื่อกำจัดวีติกกมโทษ อันได้แก่ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะเหล่านั้นนั่น
แหละ. พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสถึงอกาละแห่งกาลบัญญัติสิกขาบท อันยัง
ไม่เกิดธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะอย่างนี้ และกาละอันเกิดขึ้นแห่งธรรมอันเป็น
ที่ตั้งแห่งอาสวะ แล้วบัดนี้ เพื่อทรงแสดงถึงกาละอันยังไม่เกิดธรรมเหล่านั้น
และกาละอันเกิดธรรมเหล่านั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า น ตาว ภทฺทาลิ อิเธกจฺเจ
คือ ธรรมเป็น
ในบทเหล่านั้นบทว่า มหตฺตํ คือ ความเป็นใหญ่. จริงอยู่ สงฆ์
เป็นผู้ถึงความเป็นใหญ่ด้วยอำนาจแห่งพระนวกะ พระมัชฌิมะ และพระเถระ
ทั้งหลาย เพียงใด. เสนาสนะย่อมมีธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะบางเหล่า
ยังไม่เกิดขึ้นในศาสนา เพียงนั้น. แต่เมื่อสงฆ์ถึงความเป็นใหญ่ ธรรมเหล่า
นั้นจึงเกิดขึ้น. เมื่อเป็นดังนั้นพระศาสดาย่อมทรงบัญญัติสิกขาบท. เมื่อสงฆ์
ถึงความเป็นใหญ่ พึงทราบสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้โดยนัยนี้ว่า ภิกษุนอน
ร่วมกับอนุปสัมบันเกิน ๒-๓ ราตรีขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์. ภิกษุณียังภิกษุ
มีพรรษาให้ลุกออกไป เป็นปาจิตตีย์. ภิกษุณียังภิกษุหนึ่งพรรษา สองพรรษา
ให้ลุกไป เป็นปาจิตตีย์.
บทว่า ลาภคฺคํ คือ ความเป็นผู้เลิศด้วยลาภ. จริงอยู่ สงฆ์ยังไม่
ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภ เพียงใด. ธรรมเป็น
เพราะอาศัยลาภเพียงนั้น. แต่เมื่อสงฆ์ถึงแล้ว ธรรมเหล่านั้นจึงเกิด. เมื่อเป็น
เช่นนั้นพระศาสดาจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุให้ของเคี้ยวของฉันแก่อเจลก
๒๐/๑๗๔/๓๔๕
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น