วันเสาร์, กันยายน 27, 2568

Satsana

 
บทว่า เทเวสุ มหิทฺธิกา อหุมฺห ความว่า เรามีฤทธิมากมีอานุ-
ภาพมาก ในหมู่เทพนั้น ๆ เวลาเกิดในเทวดาทั้งหลาย. บทว่า มานุสกมฺหิ
โก ปน วาโท ได้แก่ ไม่มีถ้อยคำที่จะกล่าวถึงความที่เรามีฤทธิ์มาก ใน
เวลาได้อัตภาพเป็นมนุษย์. บัดนี้ พระนางเมื่อทรงแสดงความอุกฤษฏ์
ความมีฤทธิ์มาก ในเวลาได้อัตภาพเป็นมนุษย์นั้นนั่นแล จึงตรัสว่า
สตฺตรตนสฺส มเหสี อิตฺถิรตนํ อหํ อาสึอาทิผิด สระ เป็นต้น ในคำนั้น รัตนะ ๗
ประการ มีจักรรัตนะเป็นต้น มีแก่พระราชานั้น เหตุนั้น พระราชานั้นชื่อ
ว่า สัตตรัตนะ มีรัตนะ ๗ ประการ คือพระเจ้าจักรพรรดิ ของพระเจ้า
จักรพรรดิผู้มีรัตนะ ๗ ประการนั้น ข้าพระองค์ได้เป็นรัตนะในอิตถีทั้งหลาย
เพราะประกอบด้วยคุณมีเป็นต้นอย่างนี้คือ เว้นจากโทษ ๖ มีความงาม ๕ มี
ผิวพรรณเกินผิวพรรณมนุษย์ มีพรรณะดังทิพย์ที่มนุษย์ไม่เคยพบ.
บทว่า โส เหตุ ความว่า กุศลคือวิหารทานที่ข้าพระองค์กระทำ
แด่พระสงฆ์ ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ เป็นเหตุแห่ง
ทิพยสมบัติตามที่กล่าวแล้ว. คำว่า โส ปภโว ตํ มูลํ เป็นคำบรรยายของคำ
ว่า โส เหตุ นั้นนั่นแหละ. บทว่า สาว สาสเน ขนฺติ ความว่า นั้นนั่นแล
เป็นความอดทนในการเพ่งธรรมในพระศาสนาของพระศาสดานี้. บทว่า ตํ
ปฐมสโมธานํ ได้แก่ นั้นนั่นแล เป็นที่ชุมนุมครั้งแรก คือเป็นปฐมสมาคม
โดยศาสนอาทิผิด สระธรรมของพระศาสดา. พระนางตรัสเหตุโดยใกล้ชิดผลว่า นั้นนั่น
แหละเป็นนิพพานในที่สุด สำหรับข้าพระองค์ ซึ่งยินดีอย่างยิ่งในศาสนธรรม
ของพระศาสดา. ก็ ๔ คาถานี้ พระสังคีติกาจารย์ยกขึ้นสู่สังคายนาไว้แม้ใน
อปทานบาลี เพราะเป็นไปด้วยการชี้แจงอปทาน จริตที่ไม่ขาดสายของพระเถรี.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาสุดท้ายดังนี้. บทว่า เอวํ กโรนฺติ ความ
ว่า ข้าพระองค์ทำการปฏิบัติในอัตภาพก่อน ๆ และในอัตภาพนี้ฉันใด
 
๕๔/๔๗๔/๕๓๐

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น