วันศุกร์, กันยายน 26, 2568

Tham

 
อรูปาวจรบ้าง ดังนั้น ท่านจึงเรียกว่า เป็นโลกุตตระอันเกิดขึ้นแล้วเท่านั้น.
สมาธิสัมโพชฌงค์ ก็ย่อมได้ในกามาวจร โดยทำนองเดียวกัน. อนึ่ง
สมาธิที่เป็นอวิตักกอวิจาระ ย่อมไม่ได้. สมาธิอันเป็นอวิตักกอวิจาระ ย่อมได้
ในรูปาวจรและอรูปาวจร. ส่วนสมาธิสัมโพชฌงค์ ย่อมไม่ได้. ก็แต่ในอธิการนี้
ท่านหมายเอาสภาวะที่ยังไม่ได้ จึงปฏิเสธสมาธิแม้อันบุคคลได้อยู่ สมาธินี้
อย่างนี้ ออกไปจากกามาวจรบ้าง จากรูปาวจรบ้าง จากอรูปาวจรบ้าง ฉะนั้น
ท่านจึงเรียกว่า เป็นโลกุตตระที่เกิดขึ้นแล้วทีเดียว.
อีกอย่างหนึ่ง บัณฑิตพึงถือเอาโลกิยะแล้วทำโลกุตตระ พึงถือเอา
โลกุตตระแล้วทำโลกิยะ ก็ได้. เพราะว่า แม้เวลาเจริญโลกุตตระของสติ ปวิจยะ
อุเบกขาในอัชฌัตตธรรม มีอยู่. ในอธิการนี้ มีพระสูตรเป็นอุทาหรณ์ว่า
ผู้มีอายุ เราแล ย่อมกล่าวอัชฌัตตวิโมกข์ว่า เป็นธรรมอาทิผิด อักขระสิ้น
ไปแห่งความยึดมั่นในที่ทั้งปวง อาสวะทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมไม่นอน
เนื่องแก่ธรรมเหล่านั้นด้วยประการฉะนี้ ดังนั้น โลกุตตระทั้งหลาย
จึงชื่อว่ามีอยู่โดยพระสูตรนี้. ก็แต่ว่า ในกาลใด เมื่อความเพียรอัน
เป็นไปทางกายซึ่งเกิดขึ้นด้วยจังกมประโยค อันยังไม่สงบนั่นแหละ
วิปัสสนาย่อมสืบต่อไปสู่มรรค ในกาลนั้น ความเพียรนั้นจึงเป็น
โลกุตตระ.
อนึ่ง พระเถระเหล่าใด ย่อมกล่าวว่า โพชฌงค์ที่ยกขึ้นมิได้เว้น
กสิณฌานทั้งหลาย อานาปานฌานทั้งหลาย และพรหมวิหารฌานทั้งหลาย ใน
วาทะของพระเถระเหล่านั้น ปีติสมาธิสัมโพชฌงค์อันเป็นอวิตักกอวิจาระ ย่อม
เป็นโลกีย์ แล.
ทุติยนัย จบ
 
๗๘/๕๖๘/๒๕๒

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น