วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 31, 2563

Patihan

 
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รูเป ความว่าเป็นเหตุแห่งรูป
คือ เป็นนิมิตแห่งความเกิดขึ้นแห่งรูป. แม้ในบทว่า อายุนา แปลว่า
ด้วยชีวิต. ก็ชีวิตของเทวดาทั้งหลาย ท่านกล่าวมีกำหนดเป็น
ประมาณมิใช่หรือ ? ท่านกล่าวจริง. แต่ชีวิตนั้นท่านกล่าวไว้โดย
ส่วนมาก. จริงอย่างนั้น เทวดาบางเหล่า ย่อมมีการตายในระหว่าง
ทีเดียว เพราะความวิบัติแห่งความพยายามเป็นต้น. ส่วนอินทก-
เทพบุตร ยัง ๓ โกฏิ ๖ ล้านปีให้บริบูรณ์เท่านั้น. เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า ย่อมไพโรจน์ล่วงด้วยอายุ. บทว่า ยสสา ได้แก่
สมบูรณ์ด้วยบริวารใหญ่. บทว่า วณฺเณน ความว่า ด้วยความ
สมบูรณ์ด้วยทรวดทรง. แต่ความสมบูรณ์ด้วยวรรณธาตุ ท่าน
กล่าวไว้ด้วยบทว่า รูเป ดังนี้นั่นเอง. บทว่า อาธิปจฺเจน แปลว่า
ด้วยความเป็นใหญ่.
เมื่ออังกุรเทพบุตร และอินทกเทพบุตร บังเกิดในภพชั้น
ดาวดึงส์ เสวยทิพยสมบัติ พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย
ทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์อาทิผิด ณ โคนแห่งคัณฑามพฤกษ์ ที่ประตูแห่ง
กรุงสาวัตถี ในวันอาสาฬหปุณณมี ในปีที่ ๗ แต่กาลตรัสรู้
เสด็จไปยังภพชั้นดาวดึงส์ โดยอาทิผิด อักขระย่างก้าวไป ๓ ก้าวโดยลำดับ ทรง
ครอบงำความรุ่งเรืองอาทิผิด อาณัติกะของเทวพรหมบริษัท ผู้ประชุมกันด้วย
โลกธาตุ ณ บัณฑุกัมพลอาทิผิด สระศิลาอาสน์ ที่ควงต้นปาริฉัตตกะ ด้วย
รัศมีพระสรีระของพระองค์ เหมือนพระสุริโยทัยทอแสงอ่อน ๆ
เหนือเขายุคนธรรุ่งเรืองอาทิผิด อาณัติกะอยู่ฉะนั้น ประทับนั่งอาทิผิด อักขระแสดงอภิธรรม
 
๔๙/๑๐๖/๒๘๖

วันพุธ, ธันวาคม 30, 2563

Sap Wa

 
เหล่านี้แล้วแสดงธรรม แต่ใครเล่าควรจะให้เกิดความเข้าใจอย่างนี้ว่า ตถาคต
เห็นมารแต่ละตนแล้วพึงกลัว อานนท์ ตถาคต ไม่กลัว ไม่หวาด มีสติ-
สัมปชัญญะปลงอายุสังขาร ดังนี้.
บทว่า อภิภายตนานิ แปลว่า เหตุครอบงำ. ครอบงำอะไร ครอบงำ
ธรรมที่เป็นข้าศึกบ้าง อารมณ์บ้าง. ความจริงเหตุเหล่านั้นย่อมครอบงำธรรม
ที่เป็นข้าศึก เพราะภาวะที่เป็นปฏิปักษ์ครอบอารมณ์เพราะเป็นบุคคลที่ยิ่งด้วย
ญาณ.
ก็ในคำว่า อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี ดังนี้เป็นต้น บุคคลชื่อว่ามีสัญญา
ในรูปภายในด้วยอำนาจบริกรรมในรูปภายใน. จริงอยู่ บุคคลเมื่อกระทำ
บริกรรมนีลกสิณในรูปภายใน ย่อมกระทำที่ผมที่ดีหรือที่ดวงตา เมื่อกระทำ
บริกรรมในปีตกสิณ ย่อมกระทำที่มันข้น ที่ผิว ที่หลังมือ หลังเท้า หรือที่
สีเหลืองของดวงตา. เมื่อกระทำบริกรรมในโลหิตกสิณ กระทำที่เนื้อ เลือด
ลิ้น หรือที่สีแดงของดวงตา. เมื่อกระทำบริกรรมในโอทาตกสิณ ย่อมกระทำ
ที่กระดูก ฟัน เล็บ หรือที่สีขาวของดวงตา แต่บริกรรมนั้น เขียวดี เหลืองอาทิผิด สระดี
แดงดี ขาวดี ก็หาไม่ ยังไม่บริสุทธิ์ทั้งนั้น.
บทว่า เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ความว่า บริกรรมนั้นของ
บุคคลใด เกิดขึ้นภายใน แต่นิมิตเกิดในภายนอก. บุคคลนั้นมีความสำคัญว่า
รูปในภายใน ด้วยอำนาจบริกรรมในภายในและอัปปนาในภายนอกอย่างนี้
เรียกว่า เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ผู้เดียวเห็นรูปภายนอก.
บทว่า ปริตฺตานิ ได้แก่ ไม่เติบโต. บทว่า สุวณฺณทุพฺพณฺ-
ณานิ แปลว่า มีวรรณะดีหรือวรรณะทราม. อภิภายตนะนี้ พึงทราบว่าอาทิผิด
ท่านกล่าวไว้ด้วยอำนาจปริตตารมณ์. บทว่า ตานิ อภิภุยฺย
ความว่า คนมีท้องไส้ดีได้ข้าวเพียงทัพพีเดียวจึงมาคิดว่า จะพอกินหรือกระทำ
 
๑๓/๑๖๒/๓๙๘

วันอังคาร, ธันวาคม 29, 2563

Lueang

 
อีกอย่างหนึ่ง ด้วยสักว่าถือเอาผ้าจากจีวรกฐิน ติดเข้าที่ผ้าจีวรกฐิน
ผืนอื่น.
บทว่า กมฺพลมทฺทนมตฺเตน คือ ด้วยจีวรที่ใส่ลงในน้ำย้อมเพียง
ครั้งเดียว มีสีดังงาช้าง หรือมีสีดังใบไม้เหลืองอาทิผิด สระ. แต่ถ้าแม้ย้อมครั้งเดียวหรือ
สองครั้ง ก็ได้สี ใช้ได้.
บทว่า นิมิตฺตกเตน คือ ด้วยผ้าที่ภิกษุทำนิมิตอย่างนี้ว่า เราจัก
กรานกฐินด้วยผ้านี้. จริงอยู่ ในคัมภีร์บริวารท่านกล่าวไว้เพียงเท่านี้ แต่ใน
อรรถกถาทั้งหลายกล่าวว่า ด้วยผ้าที่ภิกษุทำอาทิผิด สระนิมิตได้มาอย่างนี้ว่า ผ้านี้ดี อาจ
กรานกฐินด้วยผ้านี้อาทิผิด สระได้.
บทว่า ปริกถากเตน คือ ด้วยผ้าที่ภิกษุให้เกิดขึ้นด้วยพูดเลียบเคียง
อย่างนี้ว่า การถวายผ้ากฐิน สม ควรอยู่ ทายกเจ้าของกฐินย่อมได้บุญมาก ขึ้น
ชื่อว่า ผ้ากฐิน เป็นของบริสุทธิ์จริง ๆ จึงจะสมควร แม้มารดาของตน ก็
ไม่ควรออกปากขอ ต้องเป็นดังผ้าที่ลอยมาจากอากาศนั่นแล จึงจะเหมาะ.
บทว่า กุกฺกุกเตน คือ ด้วยผ้าที่ยืมมา.
ในบทว่า สนฺนิธิกเตน นี้ สันนิธิมี ๒ อย่าง คือกรณสันนิธิ ๑
นิจยสันนิธิ ๑ ในสันนิธิ ๒ อย่างนั้น การเก็บไว้ทำ ไม่ทำเสียให้เสร็จในวัน นั้น
ทีเดียว ชื่อกรณสันนิธิ. สงฆ์ได้ผ้ากฐินในวันนี้ แต่ถวายในวันรุ่งขึ้น นี้ชื่อ
นิจยสันนิธิ.
บทว่า นิสฺสคฺคิเยน คือ ด้วยผ้าที่ข้ามราตรี. แม้ในคัมภีร์บริวาร
ท่านก็กล่าวว่า ผ้าที่ภิกษุกำลังทำอยู่ อรุณขึ้นมาชื่อผ้านิสสัคคีย์
บทว่า อกปฺปกเตน คือ ด้วยผ้าที่ไม่อาทิผิด อาณัติกะได้ทำกัปปพินทุ.
 
๗/๑๒๗/๒๓๕

วันจันทร์, ธันวาคม 28, 2563

Patisanthan

 
ม้าอาชาไนยเหาะไปในอากาศกลางหาว พระราชา
ทอดพระเนตรเห็นวิธุรบัณฑิตนั้น ทรงพระปรีดา-
ปราโมทย์เป็นอย่างยิ่งเสด็จลุกขึ้นสวมกอดวิธุรบัณฑิต
ด้วยพระพาหาทั้งสอง ไม่ทรงหวั่นไหว ทรงเชื้อเชิญ
ให้นั่งบนอาสนะท่ามกลางสภา ตรงพระพักตร์ของ
พระองค์.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อโนมวณฺโณ แปลว่า ผู้มีวรรณะ
ไม่ต่ำ คือผู้มีวรรณะอันสูงสุด. บทว่า อวิกมฺปยํ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พระราชานั้น ทรงประคองวิธุรบัณฑิต ไม่หวั่นไหว ไม่ย่อท้อ ในท่าม
กลางมหาชน จับมือทั้งสองให้นั่งบนอาสนะที่ตบแต่งไว้ ให้บ่ายหน้าตรง
พระพักตร์ของพระองค์.
ลำดับนั้น พระราชาทรงบันเทิงกับพระมหาสัตว์นั้น เมื่อจะทำปฏิอาทิผิด อักขระ-
สันถารด้วยพระวาจาอันไพเราะ จึงตรัสพระคาถาว่า
ท่านเป็นผู้แนะนำเราทั้งหลาย เหมือนนายสารถี
นำรถที่หายไปแล้วกลับมาได้ฉะนั้น ชาวกุรุรัฐทั้งหลาย
ย่อมยินดี เพราะได้เห็นท่าน ฉันถามแล้ว ขอท่าน
จงบอกเนื้อความนั้นแก่ฉัน ท่านหลุดพ้นจากมาณพมา
ได้อย่างไร.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นฏฐํ ความว่า ท่านช่วยแนะนำเรา
ในอันทำประโยชน์เกื้อกูล โดยเหตุคือ โดยนัย เหมือนนายสารถีนำรถที่หาย
ไปแล้วให้กลับเข้ามาได้ฉะนั้น. บทว่า นนฺทนฺติ ตํ ความว่า ชนชาวกุรุรัฐ
เหล่านี้ พอเห็นท่าน ย่อมยินดีเพราะการได้เห็นท่าน. บทว่า มาณวสฺส
 
๖๔/๑๐๔๔/๔๗๖

วันอาทิตย์, ธันวาคม 27, 2563

Rangsi

 
อย่างใหญ่หลวงจักมี เพราะผ้าคู่นี้เป็นอวมงคล เช่นกับตัว
กาฬกรรณี ทั้งไม่อาจให้แก่บุตรธิดา หรือทาสกรรมกร เพราะ
ความพินาศอย่างใหญ่หลวงจักต้องมีแก่ผู้ที่รับผ้านี้ไปทุกคน
ต้องให้ทิ้งมันเสียที่ป่าช้าผีดิบ แต่ไม่กล้าให้ในมือพวกทาสเป็นต้น
เพราะพวกนั้นน่าจะเกิดโลภในผ้าคู่นี้ ถือเอาไปแล้วถึงความ
พินาศไปตาม ๆ กันได้ เราจักให้ลูกถือผ้าคู่นั้นไป เขาเรียกบุตร
มาบอกเรื่องราวนั้นแล้ว ใช้ไปด้วยคำว่า พ่อคุณ ถึงตัวเจ้าเอง
ก็ต้องไม่เอามือจับมัน จงเอาท่อนไม้คอนไปทิ้งเสียที่ป่าช้าผีดิบ
อาบน้ำดำเกล้าแล้วมาเถิด.
แม้พระบรมศาสดาเล่า ในวันนั้น เวลาใกล้รุ่ง ทรงตรวจ
พวกเวไนยสัตว์ เห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของพ่อลูกคู่นี้
ก็เสด็จไปเหมือนพรานเนื้อตามรอยเนื้อฉะนั้น ได้ประทับยืน ณ
ประตูป่าช้าผีดิบ ทรงเปล่งพระพุทธรังสีอาทิผิด อักขระ ๖ ประการอยู่. แม้
มาณพรับคำบิดาแล้ว คอนผ้าคู่นั้นด้วยปลายไม้เท้า เหมือนคอน
งูเขียว เดินไปถึงประตูป่าช้าผีดิบ. ลำดับนั้นพระศาสดารับสั่ง
กะเขาว่า มาณพ เจ้าทำอะไร ? มาณพกราบทูลว่า ข้าแต่พระ-
โคดมผู้เจริญ ผ้าคู่นี้ถูกหนูกัด เป็นเช่นเดียวกับตัวกาฬกรรณี
เปรียบด้วยยาพิษที่ร้ายแรง บิดาของข้าพระองค์เกรงว่า เมื่อ
ผู้ทิ้งมันเป็นคนอื่น น่าจะเกิดความโลภขึ้นถือเอาเสีย จึงใช้ข้า-
พระองค์ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าเองก็มาด้วยหวังว่า
จักทิ้งมันเสีย. พระศาสดาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น ก็จงทิ้งเถิด. มาณพ
 
๕๖/๘๗/๓๐๔

วันเสาร์, ธันวาคม 26, 2563

Ton

 
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ?.
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควร
หรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา ?
ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.

ตรัสให้พิจารณาโดยยถาภูตะญาณทัสสนะ
[๒๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุ
นั้นแล รูปอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือ
ภายนอกหยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่
สักว่ารูปเธอทั้งหลายพึงเห็นรูปนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั้นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนอาทิผิด อักขระของเรา.
เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายใน
หรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็
เป็นแค่สักว่าเวทนา เธอทั้งหลายพึงเห็นเวทนานั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็น
จริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา.
สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบัน ภายใน
หรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็
เป็นแต่สักว่าสัญญา เธอทั้งหลายพึงเห็นสัญญานั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตาม
เป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา .
สังขารทั้งหลายอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน
ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้ง
 
๖/๒๒/๕๕

วันศุกร์, ธันวาคม 25, 2563

Kutumphi

 
ในที่สุดอสงไขยกัปยิ่งด้วยแสนกัป นับแต่กัปนี้ ท่านพระสารีบุตร
บังเกิดในครอบครัวพราหมณมหาศาล ชื่อสรทมาณพ. ท่านพระ
โมคคัลลานะบังเกิดในครอบครัวคฤหบดีมหาศาล ชื่อสิริวัฑฒกุฏุมพีอาทิผิด สระ.
ทั้ง ๒ คนเป็นเพื่อนเล่นฝุ่นด้วยกันมา เมื่อบิดาล่วงลับไปสรทมาณพ
ก็ได้ทรัพย์เป็นอันมาก ซึ่งเป็นสมบัติของสกุล วันหนึ่ง อยู่ในที่ลับ
คิดว่า เราไม่รู้อัตภาพในโลกนี้ ไม่รู้อัตภาพในโลกอื่น ขึ้นชื่อว่า
ความตายเป็นของแน่ สำหรับเหล่าสัตว์ที่เกิดมาแล้ว. ควรที่เรา
จะถือบวชสักอย่างหนึ่ง แสวงหาโมกขธรรม. สรทมาณพนั้นไปหาสหาย
กล่าวว่า เพื่อนสิริวัฑฒ์ เราจักบวชแสวงหาโมกขธรรม เจ้าจักบวช
พร้อมกับอาทิผิด อักขระเราได้ไหม. สิริวัฑฒกุฏุมพีอาทิผิด สระตอบว่า ไม่ได้ดอกเพื่อน เจ้าบวช
คนเดียวเถิด. สรทมาณพคิดว่า คนเมื่อไปปรโลก จะพาสหายหรือ
ญาติมิตรไปด้วยหามีไม่ กรรมที่ตนทำก็เป็นของตนผู้เดียว ต่อนั้น
ก็สั่งให้เปิดเรือนคลังรัตนะให้มหาทานแก่คนกำพร้า คนเดินทาง
ไกล วณิพกและยาจกทั้งหลาย แล้วบวชเป็นฤษี. มีคนบวชตาม
สรทมาณพนั้น อย่างนี้คือ คน ๑ ๒ คน ๓ คน กลายเป็นชฏิลจำนวน
ประมาณ ๗๔,๐๐๐ รูป สรทฤษีนั้น ทำอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ให้
บังเกิดแล้ว ก็สอนกสิณบริกรรมแก่ชฏิลเหล่านั้น. ชฎิลเหล่านั้น
ก็ทำอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ให้บังเกิดทุกรูป.
สมัยนั้น พระพุทธเจ้าพระนามว่า อโนมทัสสีทรงอุบัติขึ้น
ในโลก. พระนครชื่อว่า จันทวดี. พระพุทธบิดาเป็นกษัตริย์พระนามว่า
ยศวันตะ. พระพุทธมารดา เป็นพระเทวีพระนามว่า ยโสธรา. ต้นไม้
ที่ตรัสรู้ ชื่อว่าอัชชุนพฤกษ์ ต้นกุ่ม (ต้นรกฟ้าขาวก็ว่า). พระอัครสาวก
 
๓๒/๑๔๖/๒๕๙

วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 24, 2563

Yasothara

 
และยาจกทั้งหลาย เข้าไปสู่เชิงเขา บวชเป็นฤษีแล้ว. ชนทั้งหลายบวช
ตามสรทะนั้นด้วยอาการอย่างนี้คือ ๑ คน ๒ คน ๓ คน จนมีชฎิลประ-
มาณอาทิผิด อักขระเจ็ดหมื่นสี่พันคน. สรทชฎิลนั้นยังอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ให้เกิด
แล้ว บอกกสิณบริกรรมแก่ชฎิลเหล่านั้น. แม้ชฎิลทั้งหลายเหล่านั้น ก็ยัง
อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ให้เกิดขึ้นแล้ว.
โดยสมัยนั้น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าอโนมทัสสี เสด็จอุบัติ
ขึ้นแล้วในโลก พระนครได้มีชื่อว่า จันทวดี. กษัตริย์พระนามว่ายสวันตะ
เป็นพระบิดา, พระเทวีพระนามว่ายโสธราอาทิผิด อักขระ เป็นพระมารดา. ไม้รกฟ้า
เป็นที่ตรัสรู้, พระอัครสาวกทั้งสอง ชื่อ นิสภะ ๑ ชื่อ อโนมะ ๑, อุปัฏ-
ฐากชื่อวรุณะ, อัครสาวิกาทั้งสอง นามว่า สุนทรา ๑ สุมนา ๑, พระ-
ชนมายุได้มีถึงแสนปี, พระสรีระสูงถึง ๕๘ ศอก, พระรัศมีแห่งพระสรีระ
แผ่ไปตลอด ๑๒ โยชน์. ภิกษุแสนหนึ่งเป็นบริวาร. วันหนึ่ง ในเวลา
ใกล้รุ่ง พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าอโนมทัสสีนั้น เสด็จออกจากมหา-
กรุณาสมาบัติ ทรงพิจารณาดูสัตว์โลกอยู่ ทอดพระเนตรเห็นสรทดาบส
แล้ว ทรงพระดำริว่า “เพราะเราไปสู่สำนักสรทดาบสในวันนี้เป็นปัจจัย
พระธรรมเทศนาจักมีคุณใหญ่ และสรทดาบสนั้น จักปรารถนาตำแหน่ง
พระอัครสาวก, สิริวัฑฒกุฎุมพีผู้สหายดาบสนั้น จักปรารถนาตำแหน่ง
อัครสาวกที่ ๒ ทั้งในกาลจบเทศนา ชฎิลเจ็ดหมื่นสี่พันบริวารของดาบสนั้น
จักบรรลุพระอรหัต; เราควรไปในที่นั้น.” ดังนี้แล้ว ถือบาตรและจีวร
ของพระองค์ ไม่ตรัสเรียกใคร ๆ อื่น เสด็จไปพระองค์เดียวเหมือนพระยา
ราชสีห์ เมื่ออันเตวาสิกทั้งหลายของสรทดาบสไปแล้วเพื่อต้องการผลา-
ผล, ทรงอธิษฐานว่า “ขอสรทดาบสจงทราบความที่เราเป็นพระพุทธเจ้า.”
 
๔๐/๑๑/๑๔๓

วันพุธ, ธันวาคม 23, 2563

Upatthak

 
ด้วยพระดำรัสแม้ทั้งหมดนี้ พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทรงกระทำแสง
สว่างให้เป็นนิมิต ด้วยประการฉะนี้.
ทรงกระทำแก่ใคร ? แก่หมอชีวก. เพื่ออะไร ? เพื่อเฝ้าพระผู้มี
พระภาคเจ้า. ก็พระเจ้าอชาตศัตรูไม่อาจเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเอง
หรือ ? ถูกแล้ว ไม่อาจ. เพราะเหตุไร ? เพราะพระองค์มีความผิดมาก.
ด้วยว่า พระเจ้าอชาตศัตรูได้ปลงพระชนม์ชีพพระบิดาของ
พระองค์ผู้เป็นอุปัฏฐากอาทิผิด อักขระของพระผู้มีพระภาคเจ้าและเป็นอริยสาวก และ
พระเทวทัตก็ได้อาศัยพระเจ้าอชาตศัตรูนั้นนั่นแหละกระทำความฉิบหาย
ใหญ่แก่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ความผิดจึงมากด้วยประการฉะนี้. ด้วย
ความที่พระองค์มีความผิดมากนั้น จึงไม่อาจเสด็จไปเฝ้าด้วยพระองค์เอง.
อนึ่ง หมอชีวก ก็เป็นอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระเจ้าอชาต-
ศัตรูจึงได้ทรงกระทำแสงสว่างให้เป็นนิมิต ด้วยหมายพระทัยว่า เราจัก
เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเป็นเงาตามหลังหมอชีวกนั้น.
หมอชีวกรู้ว่า พระราชาทรงกระทำแสงสว่างให้เป็นนิมิตแก่ตน
หรือ ? รู้อย่างดี. เมื่อรู้เหตุไรจึงนิ่งอาทิผิด อาณัติกะเสีย ? เพื่อตัดความวุ่นวาย. ด้วยว่า
ในบริษัทนั้น มีอุปัฏฐากของครูทั้ง ๖ ประชุมกันอยู่มาก. เขาเหล่านั้น
แม้ตนเองก็ไม่ได้รับการศึกษาเลย เพราะผู้ไม่ได้รับการศึกษาอยู่ใกล้ชิด
เมื่อเราเริ่มกล่าวถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า เขาเหล่านั้นก็จัก
ผลุดลุกผลุดนั่งในระหว่าง ๆ กล่าวคุณแห่งศาสดาของตน ๆ เมื่อเป็น
เช่นนี้ คุณกถาแห่งพระศาสดาของเราก็จักไม่สิ้นสุดลงได้ ฝ่ายพระราชา
ครั้นทรงพบกุลุปกะของครูทั้ง ๖ เหล่านี้แล้ว มิได้พอพระทัยในคุณกถา
ของครูทั้ง ๖ เหล่านั้น เพราะไม่มีสาระที่จะถือเอาได้ ก็จักกลับมาทรง
 
๑๑/๑๔๐/๓๕๑

วันอังคาร, ธันวาคม 22, 2563

Nai

 
ภิกษุเป็นผู้เข้าถึงแล้ว เข้าถึงพร้อมแล้ว ด้วยวิตกนี้ และด้วยวิจารนี้ ถึง
เนื้อความแม้ในคัมภีร์นั้น ก็พึงเห็นเหมือนอย่างนี้แหละ.
ในบทว่า วิเวกชํ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ : - ความสงัด ชื่อว่า วิเวก.
อธิบายว่า ความปราศจากนิวรณ์. อีกอย่างหนึ่ง ธรรมที่สงัดจากนิวรณ์
ชื่อว่า วิเวก เพราะอรรถว่า สงัดแล้ว, อธิบายว่า กองแห่งธรรมอันสัมปยุต
ด้วยฌาน. ปีติ และสุข เกิดจากวิเวกนั้น หรือเกิดในวิเวกนั้น เพราะเหตุนั้น
จึงชื่อว่า วิเวกชัง.
[อรรถาธิบายองค์ฌาน คือ ปีติ และสุข]
ในบทว่า ปีติสุขํ มีวินิจฉัยดังนี้ : - ธรรมชาติที่ชื่อว่า ปีติ เพราะ
อรรถว่า ทำให้เอิบอิ่ม. ปีตินั้น มีความปลาบปลื้มเป็นลักษณะ มีความอิ่ม
กายและจิตเป็นรส, อีกอย่างหนึ่ง มีความแผ่ไปเป็นรส มีความเบิกบานใจ
เป็นปัจจุปัฏฐาน. ความสบาย ชื่อว่า ความสุข. อีกอย่างหนึ่ง ธรรมชาติที่
ชื่อว่า ความสุข เพราะอรรถว่า ย่อมเคี้ยวกิน และขุดเสียด้วยดี ซึ่งอาพาธ
ทางกายและจิต. ความสุขนั้นมีความสำราญเป็นลักษณะ มีอันเข้าไปพอกพูน
ซึ่งธรรมที่สัมปยุตด้วยความสุขนั้นเป็นรส มีความอนุเคราะห์เป็นเครื่องปรากฏ.
ก็เมื่อความไม่พรากจากกันแห่งปีติและสุขเหล่านั้นในจิตตุปบาทลางขณะ
แม้มีอยู่ ปีติ คือ ความยินดีด้วยการได้อิฏฐารมณ์, สุข คือความเสวยรส
แห่งอารมณ์ที่ตนได้แล้ว. ปีติ มีอยู่ในอาทิผิด อักขระจิตตุปบาทใด สุข ก็มีอยู่ในจิตตุปบาท
นั้น. สุข มีอยู่ในจิตตุปบาทใด, ในจิตตุปบาทนั้น โดยความนิยม ไม่มีปีติ.
ปีติ ท่านสงเคราะห์เข้าเป็นสังขารขันธ์, สุข ท่านสงเคราะห์เข้าเป็นเวทนา-
ขันธ์, ปีติ เปรียบเหมือนความอิ่มใจ ของบุคคลผู้เหน็ดเหนื่อยในทางกันดาร
อภิ. วิ. ๓๕ / ๓๔๗.
 
๑/๙/๒๕๓

วันจันทร์, ธันวาคม 21, 2563

Bua

 
ด้วยอาการทั้งปวง นี้พึงทราบความต่างกัน ดังต่อไปนี้. ได้ยินว่า จักร
เหล่านั้น ย่อมปรากฏลายดุมตรงกลางพื้นพระบาท. ปรากฏลายเขียนวงกลม
รอบดุม. ที่ปากดุมก็ปรากฏวงกลม. ปรากฏเป็นปากช่อง. ปรากฏเป็นซี่กำ.
ปรากฏเป็นลวดลายกลมที่กำทั้งหลาย. ปรากฏเป็นกง. ปรากฏเป็นกงแก้ว . นี้
มาตามพระบาลีก่อนทีเดียว.
แต่วาระส่วนมากมิได้มาแล้ว. ก็วาระนั้น พึงทราบดังนี้. รูปหอก ๑
รูปโคขวัญ ๑ รูปแว่นส่องพระพักตร์ ๑ รูปสังข์ทักษิณาวัฏฏ์ ๑ รูปดอก
พุดซ้อน ๑ รูปเทริด ๑ รูปปลาทั้งคู่ ๑ รูปเก้าอี้ ๑ รูปปราสาท ๑ รูป
เสาค่าย ๑ รูปเศวตฉัตร ๑ รูปพระขรรค์ ๑ รูปพัดใบตาล ๑ รูปพัด
หางนกยูง ๑ รูปพัดหางนก ๑ รูปกรอบพระพักตร์ ๑ รูปธงชายผ้า ๑ รูป
พวงดอกไม้ ๑ รูปดอกบัวอาทิผิด อักขระเขียว ๑ รูปดอกบัวขาว ๑ รูปดอกบัว
แดง ๑ รูปดอกบัวหลวง ๑ รูปดอกบุณฑริก ๑ รูปหม้อเต็มด้วยน้ำ ๑
รูปถาดเต็มด้วยน้ำ ๑ รูปสมุทร ๑ รูปเขาจักรวาฬ ๑ รูปป่าหิมพานต์ ๑
รูปเขาสิเนรุ ๑ รูปพระจันทร์ ๑ รูปพระอาทิตย์ ๑ รูปหมู่ดาว
นักษัตร ๑ รูปมหาทวีปทั้งสี่ ทวีปน้อย ๒ พัน ๑. โดยที่สุดบริวาร
แห่งจักรลักษณะทั้งสิ้น หมายเอาบริษัทของพระเจ้าจักรพรรดิ.
บทว่า มีพระส้นยาว คือ พระส้นยาว หมายความว่า มีพระส้น
บริบูรณ์. เหมือนอย่างว่าปลายเท้าของคนเหล่าอื่นยาว แข้งอาทิผิด อาณัติกะตั้งอยู่ ณ ที่สุด
ส้นเท้า ส้นย่อมปรากฏดุจถากตั้งไว้ แต่ของพระตถาคตเจ้าไม่เป็นอย่างนั้น .
สำหรับของพระตถาคตเจ้าใน ๔ ส่วน เป็นปลายเท้าเสีย ๒ ส่วน. แข้งตั้งอยู่
ส่วนที่สาม. ในส่วนที่ ๔ ส้นเท้าเป็นเช่นกับลูกกลมทำด้วยผ้ากัมพลแดงดุจหมุน
ติดอยู่ปลายเหล็กแหลมฉะนั้น.
 
๒๑/๖๐๓/๒๖๒

วันอาทิตย์, ธันวาคม 20, 2563

Chet

 
ถ้าประสงค์จะเรียนบาลี พึงขอให้อาจารย์แสดงบาลีขึ้น ถ้าประสงค์
จะสอบถามอรรถกถา พึงสอบถาม.
อาจารย์อยู่ในวิหารแห่งใด ถ้าวิหารแห่งนั้นรก ถ้าอุตสาหะอยู่ พึง
ปัดกวาดเสีย เมื่อปัดกวาดวิหาร พึงขนบาตรจีวรออกก่อนแล้ววางไว้ ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง พึงขนผ้าปูนั่ง และผ้าปูนอน ฟูก หมอน ออกวางไว้ ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง.
เตียงตั่งอันเตวาสิกพึงยกต่ำ ๆ อย่าให้ครูดสี อย่าให้อาทิผิด สระกระทบกระแทก
บานและกรอบประตู ขนออกให้เรียบร้อย แล้วตั้งอาทิผิด อาณัติกะไว้ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
เขียงรองเตียง กระโถน พนักอิง พึงขนออกตั้งอาทิผิด อักขระไว้ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
เครื่องปูพื้น พึงสังเกตที่ปูไว้เดิม แล้วขนออกวางไว้ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ถ้าในวิหารมีหยากเยื่อ พึงกวาดแต่เพดานลงมาก่อน กรอบหน้าต่าง
และมุมห้อง พึงเช็ดอาทิผิด อักขระเสีย ถ้าฝาเขาทำบริกรรมด้วยน้ำมัน หรือพื้นเขาทาสีดำ
ขึ้นรา พึงเอาผ้าเช็ดน้ำบิดอาทิผิด อักขระแล้วเช็ดเสีย ถ้าพื้นเขามิได้ทำ พึงเอาน้ำประพรม
แล้วเช็ดเสีย ระวังอย่าให้วิหารฟุ้งด้วยธุลี พึงกวาดหยากเยื่อทิ้งเสีย ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง.
เครื่องลาดพื้นพึงผึ่งแดด ชำระ เคาะ ปัด แล้วขนกลับปูไว้ตาม
เดิม เขียงรองเตียง พึงผึ่งแดดขัดเช็ดแล้วขนกลับตั้งไว้ที่เดิม เตียงตั้งพึงผึ่ง
แดดขัดสีเคาะเสีย ยกต่ำ ๆ อย่าให้ครูดสี กระทบกระแทกบานและกรอบประตู
ขนกลับไปให้ดี ๆ แล้วตั้งไว้ตามเดิม ฟูก หมอน ผ้าปูนอน พึงผึ่งแดดทำ
ให้สะอาดตบเสีย แล้วนำกลับวางปูไว้ตามเดิม กระโถน พนักอิง พึงผึ่งแดด
เช็ดถูเสีย แล้วขนกลับตั้งไว้ตามเดิม.
 
๖/๙๓/๑๘๓

วันเสาร์, ธันวาคม 19, 2563

Asekkhayanang

 
ในบทว่า ปหีนภยเภรวา นั้น มีอธิบายว่า ความกลัวขั้นธรรมดา
ชื่อว่า ภัย ความกลัวขั้นรุนแรงชื่อว่า เภรวะ.
บทว่า ทสหงฺเคหิ สมฺปนฺนา ได้แก่ ประกอบด้วยองค์ที่เป็นอเสขะ.
บทว่า มหานาคา ได้แก่ เป็นมหานาคด้วยเหตุ ๔ ประการ.
บทว่า สมาหิตา ได้แก่ (มีใจมั่นคง) ด้วยอุปจารสมาธิและ
อัปปนาสมาธิ
บทว่า ตณฺหา เตสํ น วิชฺชติ ความว่า พระอรหันต์เหล่านั้นไม่มีแม้
ตัณหาที่ทำ (สัตว์โลก) ให้เป็นทาสซึ่งพระรัฐบาลเถระกล่าวไว้อย่างนี้
ว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นตรัสไว้
แล้วว่า สัตว์โลกพร่องอยู่ (เป็นนิตย์) ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา
ดังนี้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้า แสดงภาวะที่พระขีณาสพทั้งหลายเป็นไท
ด้วยบทว่า ตณฺหา เตสํ น วิชฺชติ นี้.
บทว่า อเสกฺขญาณํอาทิผิด อักขระ ได้แก่ ญาณในอรหัตตผล.
บทว่า อนฺติโมยํ สมุสฺสโย แปลว่า อัตตภาพนี้มีเป็นครั้งสุดท้าย.
บทว่า โย สาโร พฺรหฺมจริยสฺส ความว่า ผลชื่อว่า เป็นสาระแห่ง
พรหมจรรย์คือมรรค.
บทว่า ตสฺมึ อปรปจฺจยา ความว่า ดำรงอยู่ในอริยผลนั้น
แทงตลอดโดยประจักษ์ (ด้วยตนเอง) ทีเดียวว่า สมบัตินี้ไม่ใช่สมบัติ
ของผู้อื่น.
บทว่า วิธาสุ น วิกมฺปนฺติ คือ ไม่หวั่นไหวในส่วนแห่งมานะ ๓.
บทว่า ทนฺตภูมึ ได้แก่ อรหัตตผล.
 
๒๗/๑๕๓/๑๖๘

วันศุกร์, ธันวาคม 18, 2563

Mi Dai

 
ประทับ ครั้นแล้วก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง.
ภิกษุทั้งหลาย ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้
เจริญ พระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตศัตรู เวเทหิบุตร ทรงแต่งจตุรงคินีเสนา ยก
มารุกรานพระเจ้าปเสนทิโกศลทางแคว้นกาสี พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงสดับ
ข่าวว่า พระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตศัตรู เวเทหิบุตร ทรงแต่งจตุรงคินีเสนา
ยกมารุกรานเราถึงแคว้นกาสี ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ลำดับนั้น พระเจ้าปเสน-
ทิโกศลจึงทรงจัดจตุรงคินีเสนา ยกออกไปต่อสู้พระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตศัตรู
เวเทหิบุตร ป้องกันแคว้นกาสี ครั้งนั้น พระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตศัตรู
เวเทหิบุตรกับพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงทำสงครามกันแล้ว ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ แต่ในสงครามครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงชำนะพระเจ้าแผ่นดิน
มคธอชาตศัตรู เวเทหิบุตร และทรงจับพระองค์เป็นเชลยศึกได้ด้วย ครั้งนั้น
พระเจ้าปเสนทิโกศลได้มีพระดำริว่า ถึงแม้พระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตศัตรู
เวเทหิบุตรนี้ จะประทุษร้ายเราผู้มิอาทิผิด สระได้ประทุษร้าย แต่เธอก็ยังเป็นพระภาคิไนย
ของเรา อย่ากระนั้นเลย เราควรยึดพลช้างทั้งหมด ยึดพลม้าทั้งหมด ยึดพลรถ
ทั้งหมด ยึดพลเดินเท้าทั้งหมด ของพระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตศัตรู เวเทหิบุตร
แล้วปล่อยพระองค์ไปทั้งยังมีพระชนม์อยู่เถิด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ลำดับนั้น
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงยึดพลช้างทั้งหมด ทรงยึดพลม้าทั้งหมด ทรงยึดพล
รถทั้งหมด ทรงยึดพลเดินเท้าทั้งหมด ของพระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตศัตรู
เวเทหิบุตร แล้วทรงปล่อยพระองค์ไปทั้งยังมีพระชนม์อยู่.
[๓๗๕] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้วจึง
ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ในเวลานั้นว่า
บุรุษจะแย่งชิงเขาได้ ก็ชั่วกาลที่กาล
แย่งชิงของเขายังพอสำเร็จได้ แต่เมื่อใด
 
๒๔/๓๗๕/๔๗๔

วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 17, 2563

Yuet

 
เอ็นยึดอาทิผิด สระอยู่ ฯลฯ มีแต่โครงกระดูก ปราศจากเนื้อเปื้อนเลือด มีเอ็นยึดอยู่ ฯลฯ
มีแต่โครงกระดูกปราศจากเนื้อและเลือด มีเอ็นยึดอยู่ ฯลฯ เป็นแต่กระดูก
ปราศจากเอ็นยึดกระจัดกระจายไปในทิศน้อยใหญ่ คือ กระดูกมือทางหนึ่ง
กระดูกเท้าทางหนึ่ง กระดูกแข้งทางหนึ่ง กระดูกขาทางหนึ่ง กระดูกสะเอว
ทางหนึ่ง กระดูกสันหลังทางหนึ่ง กระดูกซี่โครงทางหนึ่ง กระดูกหน้าอก
ทางหนึ่ง กระดูกแขนทางหนึ่ง กระดูกไหล่ทางหนึ่ง กระดูกคอทางหนึ่ง
กระดูกคางทางหนึ่ง กระดูกฟันทางหนึ่ง หัวกะโหลกอาทิผิด อักขระทางหนึ่ง. ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่งปลั่ง ที่มี
ในก่อนนั้นหายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ.
ภิกษุ. เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.
พระ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้เล่า ก็เป็นโทษของรูปทั้งหลาย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวนั้นแหละ
เป็นซากศพถูกทิ้งไว้ในป่าช้า เหลือแต่กระดูกสีขาว เปรียบเทียบได้กับ
สีสังข์ ฯลฯ เหลือแต่กระดูกตกค้างแรมปี เรียงรายเป็นหย่อม ๆ ฯลฯ เหลือแต่
กระดูกผุแหลกยุ่ย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความ
งดงาม ความเปล่งปลั่ง ที่มีในก่อนหายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ.
ภิกษุ. เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.
พระ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้เล่า ก็เป็นโทษของรูปทั้งหลาย.
[๒๐๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นการถ่ายถอนรูปทั้งหลาย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การกำจัดฉันทราคะในรูปทั้งหลาย การละฉันทราคะใน
รูปทั้งหลายใด นี้เป็นการถ่ายถอนรูปทั้งหลาย.
 
๑๘/๒๐๓/๑๒๒

วันพุธ, ธันวาคม 16, 2563

Samnak

 
ไม่รับลาภที่เกิดขึ้นด้วยคุณที่ไม่มี พึงเป็นผู้ตรงและเป็นผู้ซื่อตรง ด้วยอารัมมณู-
ปนิชฌาน และลักขณูปนิชฌาน ด้วยสิกขา ๒ ข้อข้างต้น และสิกขาข้อที่ ๓
และด้วยประโยคาสัยอันบริสุทธิ์.
และจะพึงเป็นผู้ตรง และเป็นผู้ซื่อตรงอย่างเดียวหามิได้ ก็จะต้องเป็น
ผู้ว่าง่ายอีกด้วย จริงอยู่ บุคคลใดถูกเขากล่าวว่า ท่านไม่ควรทำสิ่งนี้ ย่อม
กล่าวว่า ท่านเห็นอะไร ท่านฟังอะไร ท่านเป็นอะไรของผมจึงว่ากล่าว เป็น
อุปัชฌาย์ เป็นอาจารย์ เป็นเพื่อนเห็น เป็นเพื่อนกินหรือ ? หรือย่อม
เบียดเบียนด้วยความเป็นผู้นิ่ง หรือรับแล้วไม่ทำตามที่รับ บุคคลนั้น ย่อมอยู่
ในที่ห่างไกลแห่งการบรรลุคุณวิเศษ.
ส่วนบุคคลใดถูกสั่งสอน ย่อมกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ท่านกล่าวดี
อย่างยิ่ง ชื่อว่า โทษของตนเห็นได้โดยแสนยาก ท่านเห็นอย่างนั้นแล้ว พึง
อาศัยความเอ็นดูกล่าวเตือนกระผมแม้อีก กระผมได้รับโอวาทจากสำนักอาทิผิด สระของท่าน
นานแล้ว ดังนี้ และปฏิบัติตามที่พร่ำสอน บุคคลนั้น เป็นผู้อยู่ในที่ใกล้แห่ง
การบรรลุคุณวิเศษ. เพราะฉะนั้น บุคคลรับคำของคนอื่นแล้วกระทำอย่างนี้
พึงเป็นผู้ว่าง่าย และพึงเป็นผู้อ่อนโยน เหมือนเป็นผู้ว่าง่าย.
บทว่า มุทุ ความว่า กุลบุตรถูกคฤหัสถ์ทั้งหลายใช้ในกิจทั้งหลาย
มีการไปเป็นทูต และการไปอย่างคนเลวเป็นต้น ไม่ทำความอ่อนแอในกิจนั้น
ต้องเป็นผู้แข็งแรง แต่พึงเป็นผู้อ่อนโยนในข้อวัตรปฏิบัติ และในการประพฤติ
พรหมจรรย์ทั้งสิ้น เป็นผู้ควรแก่การแนะนำในกิจนั้น ๆ ประดุจทองคำที่
ช่างทองหลอมดีแล้ว ฉะนั้น.
 
๔๖/๓๐๘/๓๗๔

วันอังคาร, ธันวาคม 15, 2563

Chuti

 
๔๘๙. อรรถกถาธรรมรุจิเถราปทาน

พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ตทาหํ มาณโว อาสึ ความว่า สุเมธบัณฑิตได้รับพยากรณ์
จากสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าทีปังกรในกาลใดในกาลนั้นเรา
ชื่อว่า เมฆะ เป็นพราหมณ์หนุ่มบวชเป็นฤาษีร่วมกับสุเมธดาบส ศึกษาใน
สิกขาบททั้งหลายจบแล้วคลุกคลีกับเพื่อนชั่วบางคนเข้า เพราะโทษที่คลุก-
คลีสมาคมกันจึงตกไปในอำนาจแห่งวิตกที่ลามกเป็นต้น ด้วยกรรมคือการ
ฆ่ามารดา จึงได้เสวยทุกข์อันเนื่องด้วยเปลวไฟเป็นต้นในนรก จุติอาทิผิด อักขระจากอัตภาพ
นั้นแล้ว ได้บังเกิดเป็นปลาใหญ่ชื่อ ติมิงคละ ในมหาสมุทร มีความประสงค์
จะกลืนเรือใหญ่ที่แล่นไปในท่ามกลางมหาสมุทร จึงได้ว่ายไป พวกพ่อค้า
เห็นเราเข้าจึงกลัวร้องเสียงดังว่า โอ พระผู้มีพระภาคเจ้าโคดม ลำดับนั้น
ด้วยอำนาจวาสนาที่ได้อบรมมาในกาลก่อน ปลาใหญ่จึงเกิดความเคารพใน
พระพุทธเจ้า จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ที่สมบูรณ์
ด้วยสมบัติในกรุงสาวัตถี มีศรัทธาเลื่อมใส ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระ
ศาสดาแล้วบวช ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔ ได้ไปสู่ที่บำรุง
วันละ ๓ ครั้ง ระลึกถึงไหว้อยู่ ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสกะ
เราว่า เป็นผู้ยินดีในธรรมได้นาน. ลำดับนั้น พระเถระรูปนั้นกล่าวชมเชย
ด้วยคาถาเป็นต้นว่า สุจิรํ สตปุญฺญลกฺขณํ ผู้ทรงพระลักษณะแห่งบุญตั้งร้อย
เสียนานดังนี้ ข้าแต่พระโคดมผู้ทรงพระลักษณะแห่งบุญตั้งร้อยผู้เจริญ. บทว่า
ปติปุพฺเพน วิสุทฺธปจฺจยํ ความว่า ข้าพเจ้ามิได้พบเห็นท่านผู้มีปัจจัยสมภารที่
บำเพ็ญมาจนบริบูรณ์ ณ บาทมูลของพระพุทธเจ้าทีปังกรในกาลก่อนเสียนาน
 
๗๒/๗๙/๑๔๔

วันจันทร์, ธันวาคม 14, 2563

Jhayare

 
อันเกิดจากสัตว์และสังขารอัน เป็นที่รัก มีภาวรูปเหมือนตอนเกิดนั้น พลาง
เที่ยวพูดว่า
อุโภ ปุตฺตา กาลกตา ปนฺเถ มยฺหํ ปตี มโต
มาตา ปิตา จ ภาตา จ เอกจิตกสฺมิ ฌายเรอาทิผิด อักขระ.
บุตรทั้งสองก็ตาย สามีของเราก็ตายในหนทาง
เปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชาย เขาเผาในเชิงตะกอน
เดียวกัน.
ในขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า น้องหญิง เธอจงกลับได้สติ
นั้นแล ความเป็นบ้าก็หายไป ฉันใด แม้นางสุปปิยาอุบาสิกาก็เหมือนกัน
เมื่อไม่อาจจะให้แผลใหญ่ที่ตนเองทำไว้ที่ขาของตนหายได้ จึงนอนบน
เตียงนอน เมื่อแผลหายเป็นปกติในขณะที่ตรัสว่า เธอจงมาไหว้เรา ตนเอง
ก็ไปถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า รวมความว่า เรื่องมีอาทิดังกล่าวนี้
พึงยกขึ้นกล่าวในที่นี้แล.
บทว่า เอวํ ภนฺเต ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คำนั้นเป็น
เหมือนพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงหวังถึงความที่พระนาง
พร้อมทั้งพระโอรสไม่มีโรค จึงตรัสว่า จงเป็นผู้มีความสุขปราศจากโรค
ประสูติพระโอรสปราศจากโรคนั้นแล. อธิบายว่า ในกาลไหน ๆ พระ-
ดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า หาได้เป็นไปอย่างอื่นไม่เลย. ส่วน
อาจารย์บางพวกกล่าวอาทิผิด อักขระว่า เอวมตฺถุ จงเป็นอย่างนั้น. อาจารย์อีกพวกหนึ่ง
นำเอาความของบทว่า โหตุ จงสำเร็จเถิด มาพรรณนา. บทว่า อภินนฺ-
ทิตฺวา ความว่า เพลิดเพลินตรงพระพักตร์ โดยได้รับปีติและโสมนัส ใน
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระสุรเสียง มีพระดำรัสอ่อนหวานดังเสียงนก
การเวกตรัสอยู่นั้น. บทว่า อนุโมทิตฺวา ความว่า แม้ภายหลังแต่นั้น
 
๔๔/๖๒/๒๑๕

วันอาทิตย์, ธันวาคม 13, 2563

Wai

 
พวกมิตรและพวกคนที่มีใจดี คือ พวกมิตรที่เห็นกันมา พวกมิตรที่คบ
กันมา และพวกสหาย ย่อมทำให้ประโยชน์ตนบ้าง ประโยชน์ผู้อื่นบ้าง
ประโยชน์ทั้งสองบ้าง ประโยชน์มีในชาตินี้บ้าง ประโยชน์มีในชาติหน้า
บ้าง ประโยชน์อย่างยิ่งบ้าง เสื่อมไป เสียไป ละไป อันตรธานไป
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บุคคลเมื่ออนุเคราะห์พวกมิตรและพวกคนที่มีใจดี
ย่อมให้ประโยชน์เสื่อมไป.
คำว่า เป็นผู้มีจิตผูกพัน ความว่า เป็นผู้มีจิตผูกพันด้วยเหตุ ๒
อย่าง คือ เมื่อตั้งตนไว้ต่ำ ตั้งคนอื่นไว้สูง ชื่อว่า เป็นผู้มีจิตผูกพัน ๑
เมื่อตั้งตนไว้สูง ตั้งคนอื่นไว้ต่ำ ชื่อว่า เป็นผู้มีจิตผูกพัน ๑.
เมื่อตั้งตนไว้ต่ำ ตั้งคนอื่นไว้อาทิผิด อาณัติกะสูง ชื่อว่า เป็นผู้มีจิตผูกพันอย่างไร
บุคคลเมื่อตั้งตนไว้ต่ำ ตั้งคนอื่นไว้สูง ชื่อว่า เป็นผู้มีจิตผูกพันโดยถ้อยคำ
อย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายมีอุปการะมากแก่ฉัน ฉันอาศัยท่านทั้งหลาย ย่อม
ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร คนอื่น ๆ
ย่อมสำคัญเพื่อจะให้หรือเพื่อจะทำแก่ฉัน คนเหล่านั้นย่อมเป็นผู้อาศัย
ท่านทั้งหลาย เห็นกะท่านทั้งหลาย ชื่อและสกุลของมารดาบิดาเก่าแก่
ของฉันเสื่อมไปแล้ว ฉันย่อมรู้ได้เพราะท่านทั้งหลาย ฉันเป็นกุลุปกะของ
อุบาสกโน้น เป็นกุลุปกะของอุบาสิกาโน้น (ก็เพราะท่านทั้งหลาย).
เมื่อตั้งตนไว้สูง ตั้งคนอื่นไว้ต่ำ ชื่อว่า เป็นผู้มีจิตผูกพันอย่างไร
บุคคลเมื่อตั้งตนไว้สูง ตั้งคนอื่นไว้ต่ำ ชื่อว่า เป็นผู้มีจิตผูกพัน โดย
ถ้อยคำอย่างนี้ว่า ฉันมีอุปการะมากแก่ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอาศัย
ฉัน จึงถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ถึงพระธรรมเป็นสรณะ ถึงพระสงฆ์
เป็นสรณะ เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาต งดเว้นจากอทินนาทาน งดเว้น
 
๖๗/๖๗๓/๕๒๗

วันเสาร์, ธันวาคม 12, 2563

Huan

 
แห่งภาวนาของเรายังไม่ถึงที่ เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นจึงต้องเป็นผู้รู้
ทั่วถึงในอนิจจสัญญานั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุมีใจอัน
อบรมแล้วด้วยอนิจจสัญญาอยู่โดยมาก จิตย่อมหวนอาทิผิด อักขระกลับ งอกลับ
ถอยกลับ ไม่ยื่นไปรับลาภสักการะ และความสรรเสริญ อุเบกขา
หรือความเป็นของปฏิกูลย่อมตั้งอยู่ไซร้ ภิกษุพึงทราบข้อนั้นดังนี้ว่า
อนิจจสัญญาอันเราเจริญแล้ว คุณวิเศษถึงเบื้องต้นและเบื้องปลาย
ของเรามีอยู่ ผลแห่งภาวนาของเราถึงที่แล้ว เพราะฉะนั้น ภิกษุ
นั้นจึงเป็นผู้รู้ทั่วถึงในอนิจจสัญญานั้น ข้อที่กล่าวดังนี้ว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย อนิจจสัญญาอันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด
เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยข้อนี้.
ก็ข้อที่กล่าวดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนิจเจอาทิผิด อักขระทุกขสัญญา
อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยอะไร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีใจอันอบรมแล้วด้วยอนิจเจทุกขสัญญา
อยู่โดยมาก ภยสัญญา (ความสำคัญว่าเป็นภัย) อย่างแรงกล้าในความ
เฉื่อยชา ในความเกียจคร้าน ในความท้อถอย ในความประมาท
ในการไม่ประกอบความเพียร ในการไม่พิจารณา ย่อมปรากฏ
เปรียบเหมือนความสำคัญว่าเป็นภัยอาทิผิด อักขระ ย่อมปรากฏในเมื่อเพชฌฆาต
เงื้อดาบขึ้น ฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุมีใจอันอบรม
แล้วด้วยอนิจเจทุกขสัญญาอยู่โดยมาก ภยสัญญาอย่างแรงกล้าใน
ความเฉื่อยชา ในความเกียจคร้าน ในความท้อถอย ในความประมาท
 
๓๗/๔๖/๑๒๖

คลังบทความของบล็อก