วันศุกร์, มกราคม 31, 2568

Chue

 
๓. สูจิโลมสูตร

ว่าด้วยราคะและโทสะมีอัตภาพเป็นเหตุ

[๘๐๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับบนเตียงชนิดมีเท้าตรึง
ติดกับแม่แคร่ อันเป็นที่ครอบครองของสูจิโลมยักษ์ ในบ้านคยา.
สมัยนั้นแล ยักษ์ชื่ออาทิผิด ขระและยักษ์ชื่อสูจิโลมะเดินผ่านเข้าไปไม่ไกล
พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ครั้งนั้นแล ยักษ์ชื่อขระได้พูดกับสูจิโลมยักษ์ว่า นั่นสมณะ.
นั่นไม่ใช่สมณะ เป็นสมณะน้อย แต่จะเป็นสมณะหรือสมณะน้อย
เราพอจะรู้ได้.
[๘๐๘] ครั้งนั้นแล สูจิโลมยักษ์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
น้อมกายเข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระเถิบถอยพระกายไปเล็กน้อย.
ครั้งนั้นแล สูจิโลมอาทิผิด อักขระยักษ์ได้ถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ท่านกลัวเรา
หรือ ? สมณะ.
อาวุโส เราไม่กลัวท่านเลย แต่สัมผัสของท่านเลวทราม.
สมณะ เราจักถามปัญหากะท่าน ถ้าท่านไม่กล่าวแก้แก่เรา เราจัก
ทำจิตของท่านให้พลุ่งพล่าน หรือจักฉีกหัวใจของท่าน หรือจักจับที่เท้าแล้ว
เหวี่ยงไปฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำคงคา.
อาวุโส เราไม่เห็นใครเลยในโลก ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ที่จะพึงทำจิตของเรา
ให้พลุ่งพล่าน หรือฉีกหัวใจเรา หรือจับเราที่เท้าแล้วเหวี่ยงไปฝั่งโน้นแห่ง
แม่น้ำคงคาได้ อาวุโส เอาเถอะ ท่านจงถามตามที่ท่านจำนงเถิด.
 
๒๕/๘๐๗/๓๘๙

วันพฤหัสบดี, มกราคม 30, 2568

Kratham

 
สามเณร. เมื่อไม่ได้ด้วยบุญของท่าน ก็จักได้ด้วยบุญของผม ขอ
รับ.
ครั้งนั้น พระเถระให้ลูกกุญแจแก่สามเณรนั้นแล้ว ก็เข้าบ้านเพื่อ
บิณฑบาต. สามเณรนั้นไปวิหารแล้ว เปิดห้องของพระเถระเข้าไปแล้ว
ปิดประตู นั่งหยั่งญาณลงในกายของตนแล้ว. ด้วยเดชแห่งคุณของสามเณร
นั้น อาสนะของท้าวสักกะแสดงอาการร้อนแล้ว. ท้าวสักกะพิจารณาดูว่า
“ นี้เหตุอะไรหนอ ? ” เห็นสามเณรแล้ว ทรงดำริว่า “ สุขสามเณรถวาย
จีวรแก่อุปัชฌาย์แล้ว กลับ (วิหาร) ด้วยคิดว่า ‘ จักทำสมณธรรม ’ ควร
ที่เราจะไปในที่นั้น ” จึงรับสั่งให้เรียกท้าวมหาราชทั้ง ๔ แล้วทรงส่งไป
ด้วยดำรัสสั่งว่า “ พ่อทั้งหลาย พวกท่านจงไป. จงไล่นกที่มีเสียงเป็นโทษ
ใกล้ป่าแห่งวิหารให้หนีไป.” ท้าวมหาราชทั้งหลายนั้น กระทำตามนั้นแล้ว
ก็ (พากัน) รักษาอยู่โดยรอบ. ท้าวสักกะ ทรงบังคับพระจันทร์และ
พระอาทิตย์ว่า “ พวกท่านจงยึดวิมานของตนๆหยุดก่อน. ” แม้พระจันทร์
และพระอาทิตย์ก็กระทำอาทิผิด ตามนั้นแล้ว. แม้ท้าวสักกะเอง ก็ทรงรักษาอยู่ที่
สายยู. วิหารสงบเงียบปราศจากเสียง. สามเณรเจริญวิปัสสนาด้วยจิต
มีอารมณ์เป็นหนึ่ง บรรลุมรรคและผล ๓ แล้ว.
พระเถระ อันสามเณรกล่าวว่า “ ท่านพึงนำโภชนะมีรส ๑๐๐ ชนิด
มา ” ดังนี้แล้ว ก็คิดว่า “ อันเราอาจเพื่อได้ในตระกูลของใครหนอแล ? ”
พิจารณาดูอยู่ ก็เห็นตระกูลอุปัฏฐากผู้สมบูรณ์ด้วยอัธยาศัยตระกูลหนึ่ง จึง
ไปในตระกูลนั้น อันชนเหล่านั้น มีใจยินดีว่า “ ท่านผู้เจริญ ความดี
อันท่านผู้มาในที่นี้ ในวันนี้ กระทำแล้ว ” รับบาตรนิมนต์ให้นั่ง ถวาย
 
๔๒/๒๐/๑๓๗

วันพุธ, มกราคม 29, 2568

Sattra

 
ไม่หวั่นไหว ไม่แปรปรวน ไม่เบียดเบียนกันและกัน ไม่อาจให้เกิดสุขหรือ
ทุกข์ หรือทั้งสุขและทุกข์แก่กันและกัน สภาวะ ๗ กองเป็นไฉน คือ กองดิน
กองน้ำ กองไฟ กองลม สุข ทุกข์ ชีวะเป็นที่ ๗ สภาวะ ๗ กองนี้ ไม่มี
ใครทำ ไม่มีแบบอย่างอันใครทำ ไม่มีใครนิรมิต ไม่มีใครให้นิรมิต เป็น
สภาวะยั่งยืน ตั้งอยู่มั่นคงดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นคงดุจเสาระเนียด สภาวะ ๗
กองเหล่านั้น ไม่หวั่นไหว ไม่แปรปรวน ไม่เบียดเบียนกันและกัน ไม่อาจ
ให้เกิดสุขหรือทุกข์หรือทั้งสุขทั้งทุกข์แก่กันและกัน ผู้ฆ่าเองก็ดี ผู้ใช้ให้ฆ่าก็ดี
ผู้ได้ยินก็ดี ผู้กล่าวให้ได้ยินก็ดี ผู้เข้าใจความก็ดี ผู้ทำให้เข้าใจความก็ดี
ไม่มีในสภาวะ ๗ กองนั้น เพราะแม้บุคคลจะเอาศัสตราอาทิผิด อักขระอย่างคมตัดศีรษะกัน
ก็ไม่ชื่อว่าใคร ๆ ปลงชีวิตใคร ๆ เป็นแต่ศัสตราอาทิผิด อักขระสอดไปในช่องแห่งสภาวะ ๗
กองเท่านั้นดังนี้ ก็แต่กำเนิดที่เป็นประธาน ๑,๔๐๖,๖๐๐ กรรม ๕๐๐
กรรม ๕ กรรม ๓ กรรม ๑ กรรมครึ่ง ปฏิปทา ๖๒ อันตรกัป ๖๒ อภิชาติ
๖ ปุริสภูมิ ๘ อาชีวก ๔,๙๐๐ ปริพพาชก ๔,๙๐๐ นาคาวาส ๔,๙๐๐ อินทรีย์
๒,๐๐๐ นรก ๓,๐๐๐ รโชธาตุ ๓๖ สัญญีครรภ์ ๗ อสัญญีครรภ์ ๗ นิคันถ-
ครรภ์ ๗ เทวดา ๗ มนุษย์ ๗ ปีศาจ ๗ สระ ๗ ปวุฏะ ๗ หิน ๗ เหวใหญ่
๗ เหวน้อย ๗๐๐ มหาสุบิน ๗ สุบิน ๗๐๐ มหากัป ๘,๔๐๐,๐๐๐ เหล่านี้ ที่พาล
และบัณฑิตเร่ร่อนท่องเที่ยวไปแล้วจักทำที่สุดทุกข์ได้ ความสมหวังว่า เราจัก
บ่มกรรมที่ยังไม่อำนวยผลให้อำนวยผล หรือเราสัมผัสถูกต้องกรรมที่อำนวยผล
แล้ว จักทำให้สุดสิ้นด้วยศีล ด้วยพรต ด้วยตบะ หรือด้วยพรหมจรรย์นี้
ไม่มีในที่นั้น สุขทุกข์ที่ทำให้มีที่สิ้นสุดได้ เหมือนตวงของให้หมดด้วยทะนาน
ย่อมไม่มีในสงสารด้วยอาการอย่างนี้เลย ไม่มีความเสื่อม ความเจริญ ไม่มี
การเลื่อนขึ้นเลื่อนลง พาลและบัณฑิตเร่ร่อนท่องเที่ยวไป จักทำที่สุดทุกข์ได้
เอง เหมือนกลุ่มด้ายที่บุคคลขว้างไป ย่อมคลี่หมดไปเองฉะนั้น ดังนี้.
 
๒๐/๓๐๑/๕๒๑

วันอังคาร, มกราคม 28, 2568

Phu

 
ภิก. อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุ เราแสดงธรรมเป็นอันมาก คือ สุตตะ.. .เวทัลละ
ถ้าแม้ภิกษุรู้ทั่วถึงอรรถ รู้ทั่วถึงธรรมแห่งคาถา ๔ บาทแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติ
ธรรมสมควรแก่ธรรมไซร้ ก็ควรเรียกว่า เป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรม.
ภิกษุนั้นชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ดีแล้ว
พระเจ้าข้า แล้วได้ทูลถามปัญหายิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า
บุคคลผู้สดับมีปัญญาชำแรกกิเลส ผู้สดับมีปัญญาชำแรกกิเลส ดังนี้ ด้วยเหตุ
เพียงเท่าไรหนอแลบุคคลจึงเป็นผู้สดับมีปัญญาชำแรกกิเลส
พ. ดีละ ดีละ ภิกษุ ปัญญาของเธอหลักแหลม ปฏิภาณของเธอ
ดีจริง ปริปุจฉาของเธอเข้าที เธอถามอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้อาทิผิด สระเจริญ
ที่เรียกว่า บุคคลผู้สดับมีปัญญาชำแรกกิเลส ผู้สดับมีปัญญาชำแรกกิเลส ดังนี้
ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล บุคคลจึงเป็นผู้สดับมีปัญญาชำแรกกิเลส ดังนี้
หรือ ?
ภิก. อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้สดับว่า นี้ทุกข์ และเห็นแจ้ง
แทงตลอดเนื้อความ. แห่งคำที่สดับนั้นด้วยปัญญา ได้สดับว่า นี้ทุกขสมุทัย
และได้เห็นแจ้งแทงตลอดเนื้อความแห่งคำที่สดับนั้นด้วยปัญญา ได้สดับว่า
นี้ทุกขนิโรธ และเห็นแจ้งแทงตลอดเนื้อความแห่งคำที่สดับนั้นด้วยปัญญา
ได้สดับว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา และเห็นแจ้งแทงตลอดเนื้อความแห่งคำ
ที่สดับนั้นด้วยปัญญา ดูก่อนภิกษุ บุคคลเป็นผู้สดับมีปัญญาชำแรกกิเลสอย่าง
นี้แล.
ภิกษุนั้นชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ดีแล้ว
พระเจ้าข้า แล้วได้ทูลถามปัญหายิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า
 
๓๕/๑๘๖/๔๕๔

วันจันทร์, มกราคม 27, 2568

Banpha Burut

 
ภายหน้า บุญ คือ จาคะนี้ย่อมเจริญแก่คฤหัสถ์
ด้วยประการฉะนี้.
จบ ทีฆชาณุสูตรที่ ๔
อรรถกถาทีฆชาณุสูตรที่ ๔
ทีฆชาณุสูตรที่ ๔ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
คำว่า พฺยคฺฆปชฺช นี้ เป็นคำร้องเรียกโกลิยบุตรชื่อทีฆชาณุ
นั้น ด้วยอำนาจประเพณีตั้งชื่อ. จริงอยู่ บรรพอาทิผิด อักขระบุรุษของโกลิยบุตร
ชื่อทีฆชาณุนั้นเกิดในทางเสือผ่าน เพราะฉะนั้น คนในตระกูลนั้น
เขาจึงเรียกกันว่า พยัคฆปัชชะ บทว่า อิสฺสตฺเถน แปลว่า ด้วยงาน
ของนักรบแม่นธนู. บทว่า ตตฺรุปายาย ความว่า อันเป็นอุบายใน
การงานนั้น เพราะรู้ว่า เวลานี้ควรทำสิ่งนี้. บทว่า วุฑฺฒสีลิโน
แปลว่า ผู้มีศีลอันสมบูรณ์ ผู้มีสมาจารอันหมดจด. บทว่า อายํ
แปลว่า การมา. บทว่า นาจฺโจคาฬฺหํ แปลว่า ไม่เบียดกรอนัก
บทว่า ปริยาทาย ได้แก่. รับมาแล้วใช้จ่ายไป ในข้อนั้น ผู้ใดมีรายได้
เพิ่มขึ้นกว่ารายจ่ายเป็น ๒ เท่า รายจ่ายของผู้นั้นไม่สามารถ
ที่จะทำรายได้ให้หมดไป. (สมดังที่ตรัสไว้ในสิงคาลสูตรว่า)
จตุธา วิภเช โภเค ปณฺฑิโต ฆรมาวสํ
เอเกน โภเค ภุญฺเชยฺย ทฺวีหิ กมฺมํ ปโยชเย
จตุตฺถญฺจ นิธาเปยฺย อาปทาสุ ภวิสฺสติ
บัณฑิตบุคคลผู้ครองเรือน พึงแบ่งโภค-
ทรัพย์ออกเป็น ๔ ส่วน คือ ส่วนหนึ่งใช้สอย
 
๓๗/๑๔๔/๕๖๕

วันอาทิตย์, มกราคม 26, 2568

Uppama

 
จากสังขาร. เหมือนอย่างภิกษุรูปหนึ่ง ต้องการจะซื้อบาตรเห็นบาตรที่พ่อค้า
บาตรนำมาแล้วก็มีความยินดีร่าเริง คิดว่า เราจักถือเอาบาตร ดังนี้ เมื่อทดลองดู
จึงเห็นรูทะลุ ๓ แห่ง ภิกษุนั้นหมดความอาลัยในรูทะลุทั้งหลายก็หาไม่ ที่แท้
หมดความอาลัยในบาตร ฉันใด ภิกษุกำหนดลักษณะทั้ง ๓ แล้วจึงเป็นผู้หมด
ความอาลัยในสังขารทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน พึงทราบว่า วิปัสสนานั้นย่อม
ออกไปจากสังขารด้วยญาณมีสังขารเป็นอารมณ์นั่นแหละดังนี้. แม้อุปมาอาทิผิด สระด้วย
ผ้า ก็นัยนี้เหมือนกัน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงจำแนกฌานโลกุตระ จึงทรงนำนัยแม้ทั้ง ๒
คือ จตุกนัย และปัญจกนัย จากสุทธิกปฏิปทามาด้วยประการฉะนี้. ในสุทธิก-
สุญญตา ในสุญญตปฏิปทา ในสุทธิกอัปปณิหิต ในอัปปณิหิตปฏิปทาก็ทรงนำนัย
ทั้ง ๒ คือ จตุกนัย และปัญจกนัย มาแสดงไว้เหมือนกัน.
ถามว่า เพราะเหตุไร จึงทรงนำมาอย่างนี้ ?
ตอบว่า เพราะอัชฌาสัยของบุคคล และเพราะความงามแห่งเทศนา
พึงทราบแม้ทั้ง ๒ นัยนั้น โดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลังแล.
ในคำว่า เจริญโลกุตรฌานนี้ อย่างนี้ พระองค์ทรงจำแนกนัยทั้ง ๒
ด้วยอำนาจจตุกนัยและปัญจกนัยจากสุทธิกปฏิปทา ในที่เหลือก็เหมือนกัน
เพราะอาทิผิด สระฉะนั้น จึงจำแนกนัยทั้ง ๑๐ ในส่วนทั้ง ๕ ส่วนทั้งหมด.
ในโลกุตรฌานนั้น พึงทราบข้อธรรมปกิณณกะดังนี้
ธรรมภายใน (อชฺฌตฺตญฺจ) ธรรม
ภายนอก (พหิทฺธา) ในรูปและอรูปทั้ง ๕
การเปลี่ยนองค์มรรค ๗ และ ๘ นิมิต ปฏิปทา
และอธิบดี.
 
๗๕/๒๗๐/๖๒๑

วันเสาร์, มกราคม 25, 2568

Mahesi

 
พระราชา ทรงมีพระศรัทธาเกิดแล้วในพระศาสนา ได้ทรง (แบ่ง)
น้ำ ๘ หม้อ จากน้ำดื่ม ๑๖ หม้อ ที่พวกเทวดานำมาจากสระอโนดาตวันละ
๘ หาบ ถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ ถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย ผู้ทรงพระไตรปิฎก
ประมาณ ๖๐ รูป (วันละ) ๒ หม้อ พระราชทานแก่พระนางอสันธิมิตตา
ผู้เป็นพระอัครมเหสีอาทิผิด อักขระ (วันละ) ๒ หม้อ พระราชทานแก่เหล่าสตรีนักฟ้อน
หนึ่งหมื่นหกพันนาง (วันละ) ๒ หม้อ ทรงใช้สอยด้วยพระองค์เอง (วันละ)
๒ หม้อ. กิจคือการชำระพระราชทนต์และการชำระฟันทุก ๆ วัน ของพระราชา
พระมเหสีอาทิผิด อักขระของเหล่าสตรีนักฟ้อนหนึ่งหมื่นหกพันนาง และของภิกษุประมาณ
หกหมื่นรูป ย่อมสำเร็จได้ด้วยไม้ชำระฟันชื่อนาคลดา อันสนิทอ่อนนุ่มมีรส
ซึ่งมีอยู่ในป่าหิมพานต์ที่เทวดาทั้งหลายนั่นเองนำมาถวายทุก ๆ วัน.
อนึ่ง เทวดาทั้งหลาย นำมะขามป้อมที่เป็นพระโอสถ สมอที่เป็น
พระโอสถ และมะม่วงสุกที่มีสีเหมือนทอง ซึ่งสมบูรณ์ด้วยกลิ่นและรส มาถวาย
แด่พระราชาพระองค์นั้นทุก ๆ วันเหมือนกัน ยังได้นำพระภูษาทรง พระภูษา
ห่ม เบญจพรรณ ผ้าเช็ดพระหัตถ์ที่มีสีเหลือง และน้ำทิพยบานจากสระฉัททันต์
มาถวายทุกวันเหมือนอย่างนั้น.
ส่วนพญานาคทั้งหลายก็นำเครื่องพระสุคนธ์สำหรับสนานพระเศียร
พระสุคนธ์สำหรับไล้พระวรกาย ผ้ามีสีคล้ายดอกมะลิ ที่มิได้ทอด้วยด้าย เพื่อ
เป็นพระภูษาห่ม และยาหยอดพระเนตรที่มีค่ามาก จากนาคพิภพมาถวายแด่
พระราชาพระองค์นั้นทุก ๆ วันเช่นกัน.
นกแขกเต้าทั้งหลาย ก็คาบข้าวสาลีเก้าพันเกวียนที่เกิดเอง ในสระ
ฉัททันต์นั่นแล มาถวายทุก ๆ วัน. หนูทั้งหลาย ก็เกล็ดข้าวอาทิผิด อักขระเหล่านั้นให้หมด
แกลบและรำ. ข้าวสารที่หักแม้เมล็ดเดียวก็ไม่มี. ข้าวนี้แล ถึงความเป็น
 
๑/๙/๗๘

วันศุกร์, มกราคม 24, 2568

Sinkhi

 
แล้ว ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอันตรวาสกแล้ว ทรงถือ
บาตรจีวร เสด็จพระพุทธดำเนินสู่พระนครราชคฤห์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่
ใหญ่ จำนวน ๑,๐๐๐ รูป ล้วนปุราณชฎิล.
[๖๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ท้าวสักกะจอมทวยเทพทรงนิรมิตเพศเป็น
มาณพ เสด็จพระดำเนินนำหน้าภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข พลางขับ
คาถาเหล่านั้น ว่าดังนี้:-

คาถาสดุดีพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระฉวีเสมอ
ด้วยลิ่มทองสิงคีอาทิผิด อักขระ ทรงฝึกอินทรีย์แล้ว ทรง
พ้นวิเศษแล้ว เสด็จประเวศสู่พระนครราช-
คฤห์พร้อมด้วยพระปุราณชฎิลทั้งหลาย ผู้ฝึก
อินทรีย์แล้ว ผู้พ้นวิเศษแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระฉวีเสมอ
ด้วยลิ่มทองสิงคี ทรงพ้นแล้ว ทรงพ้นวิเศษ
แล้ว เสด็จประเวศสู่พระนครราชคฤห์พร้อม
ด้วยพระปุราณชฎิลทั้งหลาย ผู้พ้นแล้ว ผู้
พ้นวิเศษแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระฉวี
เสมอด้วยลิ่มทองสิงคี ทรงข้ามแล้ว ทรงพ้น
วิเศษแล้ว เสด็จประเวศสู่พระนครราชคฤห์
พร้อมด้วยพระปุราณชฎิลทั้งหลาย ผู้พ้นแล้ว
ผู้พ้น วิเศษแล้ว.
 
๖/๖๑/๑๑๕

วันพฤหัสบดี, มกราคม 23, 2568

Phram

 
ฝ่ายทารกผู้เกิดในตระกูลมีทรัพย์ ๘๗ โกฏิคิดว่า หลวงลุงจักไม่
ชักชวนเราในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ทันใดนั้นเองจึงให้คนไปซื้อผ้ากาสายะ
และบาตรดินมาจากตลาด แล้วปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ
ประคองอัญชลีมุ่งหน้าไปทางพระโพธิสัตว์ โดยคิดว่า เราบวชอุทิศท่าน
ผู้อุดมบุคคลในโลก ดังนี้แล้วกราบไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ เอาบาตร
ใส่ถุงคล้องจะงอยบ่า เข้าป่าหิมพานต์ กระทำสมณธรรม.
ท่านนาลกะนั้น เข้าไปเฝ้าพระตถาคตผู้ได้บรรลุพระปรมาภิสัมโพธิ-
ญาณแล้ว ขอให้ตรัสนาลกปฏิปทา แล้วกลับเข้าป่าหิมพานต์อีก บรรลุ
พระอรหัตแล้วปฏิบัติปฏิปทาอย่างอุกฤษฏ์ รักษาอายุอยู่ได้ ๗ เดือนเท่านั้น
ยืนพิงภูเขาทองลูกหนึ่ง อยู่ท่าเดียว ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพ-
พานธาตุ.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์แล พระประยูรญาติทั่งหลายให้สนานพระเศียร
ในวันที่ ๕ แล้วคิดกันว่า จักเฉลิมพระนาม จึงให้ฉาบทาพระราช-
มณเฑียรด้วยคันธชาติ ๔ ชนิด โปรยดอกไม้มีข้าวตอกเป็นที่ ๕ ให้จัด
ข้าวปายาสล้วน ๆ แล้วเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คน ผู้เรียนจบไตรเพท ให้นั่ง
ในพระราชมณเฑียร ให้ฉันโภชนะอย่างดี กระทำสักการะอย่างมากมายแล้ว
ให้ทายพระลักษณะว่า อะไรจักเกิดมีหนอแล. บรรดาพราหมณ์เหล่านั้น
ครั้งนั้น พราหมณ์ ๘ คนนั้น คือรามพราหมณ์ ธชพราหมณ์อาทิผิด อักขระ
ลักขณพราหมณ์ มันตีพราหมณ์ ยัญญพราหมณ์ สุโภช-
พราหมณ์ สุยามพราหมณ์ และสุทัตตพราหมณ์ เป็นผู้
จบเวทางคศาสตร์มีองค์ ๖ กระทำให้แจ้งซึ่งมนต์แล้ว ด้วย
ประการฉะนี้.
 
๗๐/๑/๑๑๖

วันพุธ, มกราคม 22, 2568

Sopsuan

 
ถือผิด โดยเป็นข้อผิดไว้ ครั้นจำได้แล้ว ข้อใดเป็นธรรมเป็นวินัย พึงกล่าว
ข้อนั้น.
[๔๘] ถ้าพวกเธอมีความเห็นในภิกษุสองรูปนั้นอย่างนี้ว่า ท่านทั้ง
สองนี้แล มีวาทะสมกันลงกันทั้งโดยอรรถและโดยพยัญชนะ พวกเธอสำคัญ
ภิกษุรูปใดในสองรูปนั้นว่า ว่าง่ายกว่ากัน พึงเข้าไปหาภิกษุรูปนั้น แล้วกล่าว
แก่เธออย่างนี้ว่า ท่านทั้งสอง มีวาทะสมกันลงกันทั้งโดยอรรถและโดยพยัญชนะ
ขอท่านโปรดทราบคำที่ต่างกันนี้นั้น แม้โดยอาการที่สมกันลงกันได้ทั้งโดย
อรรถและโดยพยัญชนะ ท่านผู้มีอายุทั้งสอง อย่าถึงต้องวิวาทกันเลย ต่อนั้น
พวกเธอสำคัญภิกษุอื่น ๆ ที่เป็นฝ่ายเดียวกัน รูปใดว่า ว่าง่ายกว่า พึง
เข้าไปหารูปนั้นแล้วกล่าวแก่เธออย่างนี้ว่า ท่านทั้งสอง มีวาทะสมกันลงกัน
ทั้งโดยอรรถและโดยพยัญชนะ ขอท่านโปรดทราบคำที่ต่างกันนี้นั้น แม้โดย
อาการที่สมกันลงกันได้ทั้งโดยอรรถและโดยพยัญชนะ ท่านทั้งสอง อย่าถึงต้อง
วิวาทกันเลย ด้วยประการนี้ พวกเธอต้องจำข้อที่ภิกษุทั้งสองนั้นถือถูก โดย
เป็นข้อถูกไว้ ครั้นจำได้แล้ว ข้อใดเป็นธรรม เป็นวินัย พึงกล่าวข้อนั้น.
[๔๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อพวกเธอนั้นพร้อมเพรียงกัน ยินดี
ต่อกันไม่วิวาทกัน ศึกษาอยู่ ภิกษุรูปหนึ่งพึงมีอาบัติ มีวีติกกมโทษ พวก
เธออย่าเพ่อโจทภิกษุรูปนั้นด้วยข้อโจท พึงสอบสวนอาทิผิด อักขระบุคคลก่อนว่า ด้วยอาการนี้
ความไม่ลำบากจักมีแก่เรา และความไม่ขัดใจจักมีแก่บุคคลผู้ต้องอาบัติ เพราะ
บุคคลผู้ต้องอาบัติเป็นคนไม่มักโกรธ ไม่ผูกโกรธ ไม่มีทิฏฐิมั่น ยอมสละ
คืนได้ง่ายและเราอาจจะให้เขาออกจากอกุศล ดำรงอยู่ในกุศลได้ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ถ้าพวกเธอมีความเห็นอย่างนี้ ก็ควรพูด.
อนึ่ง ถ้าพวกเธอมีความเห็นอย่างนี้ว่า ความลำบากจักมีแก่เรา และ
ความขัดใจจักมีแก่บุคคลผู้ต้องอาบัติ เพราะบุคคลผู้ต้องอาบัติ เป็นคนมักโกรธ
 
๒๒/๔๙/๖๘

วันอังคาร, มกราคม 21, 2568

Fai Mai

 
ประคองอัญชลีกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้. บทว่า พหิทฺธา อสติ ได้แก่
ในภายนอก คือเพราะความพินาศแห่งบริขาร. บทว่า อหุ วต เม ความว่า
สิ่งของ ยาน พาหนะ เงิน ทอง ของเรา ได้มีแล้วหนอ. บทว่า ตํ วต เม นตฺถิ
ความว่า บัดนี้ สิ่งของนั้นหนอของเราไม่มี คือ ถูกพระราชาริบเอาเสียบ้าง
พวกโจรลักไปบ้าง ไฟไหม้อาทิผิด สระบ้าง ถูกน้ำพัดไปเสียบ้าง คร่ำคร่าเพราะใช้สอยบ้าง.
บทว่า สิยา วต เม ความว่า ยาน พาหนะ เงิน ทอง ข้าวสาลี ข้าวเปลือก
ข้าวเหนียว ข้าวละมานของเรามีหนอ. บทว่า ตํ วตาหํ น ลภามิ ความว่า
เศร้าโศกว่า เราเมื่อไม่ได้ของนั้น บัดนี้เราก็ไม่ได้เพราะไม่ทำงานที่สมควร
แก่ทรัพย์นั้นนั่นเอง นี้ชื่อว่า ความเศร้าโศกของผู้ครองเรือน (คฤหัสถ์). ความ
เศร้าโศกของผู้ไม่ครองเรือน (บรรพชิต) พึงทราบด้วยอำนาจบาตรจีวรเป็นต้น.
พึงทราบในอปริตัสสนาวาร ดังต่อไปนี้ บทว่า น เอวํ โหติ ความ
ว่า ความสะดุ้งพึงมีอย่างนี้ เพราะกิเลสเหล่าใด ย่อมไม่มีอย่างนี้ เพราะกิเลส
เหล่านั้นได้ละแล้ว. บทว่า ทิฏฺฐิฏฺฐานาธิฏฺฐานปริยุฏฺฐานาภินิเวสานุ-
สยานํ ความว่า ซึ่งทิฏฐิ ที่ตั้งทิฏฐิ ที่ตั้งมั่นแห่งทิฏฐิ ที่กลุ้มรุมแห่งทิฏฐิ
และที่นอนเนื่องแห่งความถือมั่น. บทว่า สพฺพสงฺขารสมถาย ได้แก่ เพื่อ
ประโยชน์แก่ความดับ. จริงอยู่ ความหวั่น ความไหว ความผันแปรแห่งสังขาร
ทั้งปวง มาถึงพระนิพพานย่อมสงบระงับไป เพราะฉะนั้น พระนิพพานนั้นท่าน
จึงเรียกว่า เป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง. อนึ่ง อุปธิเหล่านี้ คือ อุปธิ คือ ขันธ์
อุปธิ คือ กิเลส อุปธิคืออภิสังขาร อุปธิคือกามคุณ ๕ มาถึงพระนิพพานนั้น
นั่นแล ก็สลัดคืนไป ตัณหา ก็สิ้น ก็คลาย ก็ดับ เพราะฉะนั้น พระนิพพานนั้น
ท่านจึงเรียกว่า สัพพูปธิปฏินิสสัคคะ. เป็นที่สลัดคืนอุปธิทั้งปวง ตัณหักขยะ
เป็นที่สิ้นตัณหา วิราคะ คายราคะ นิโรธดับ. ศัพท์ว่า นิพฺพานาย นี้เป็น
นิเทสสรุปแห่งพระนิพพานนั้น. ดังนั้น ท่านแสดงความนี้ว่า เมื่อทรงแสดง
 
๑๘/๒๘๘/๓๑๑

วันจันทร์, มกราคม 20, 2568

Pupphayokha

 
ใน ๒ ภูมินั้น ปฏิสัมภิทาของพระมหาเถระ ๘๐ องค์ มีพระ-
เถระผู้มีนามอย่างนี้ คือ พระสารีบุตรเถระอาทิผิด สระ. พระมหาโมคคัลลานเถระ,
พระมหากัสสปเถระ, พระมหากัจจายนเถระ, พระมหาโกฏฐิตเถระ
เป็นต้น ถึงซึ่งประเภทใน อเสกขภูมิ, ปฏิสัมภิทาของพระอริยบุคคล
ทั้งหลายมีพระอริยบุคคลผู้มีนามอย่างนี้ คือพระอานนทเถระ, ท่าน
จิตตคฤหบดี ท่านธรรมมิกอุบาสก, ท่านอุบาลีคฤหบดี, ขุชชุตตรา-
อุบาสิกา เป็นต้น ถึงซึ่งประเภทใน เสกขภูมิ, ปฏิสัมภิทาย่อมถึงซึ่ง
ประเภทในภูมิ ๒ เหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้.
ปฏิสัมภิทา ย่อมผ่องใสด้วยเหตุ ๕ ประการ เป็นไฉน ? ย่อม
ผ่องใสด้วยเหตุ ๕ ประการ คือ ด้วยอธิคม, ด้วยปริยัติ, ด้วย
สวนะ, ด้วยปริปุจฉา, ด้วยปุพพอาทิผิด โยคะ.
ในเหตุ ๕ ประการเหล่านั้น การบรรลุพระอรหัต ชื่อว่า อธิคม.
ก็ปฏิสัมภิทาของผู้บรรลุพระอรหัต ย่อมผ่องใส.
พระพุทธพจน์ ชื่อว่า ปริยัติ. ก็ปฏิสัมภิทาของผู้เรียนพระ-
พุทธพจน์นั้น ย่อมผ่องใส.
การฟังพระสัทธรรม ชื่อว่า สวนะ. ก็ปฏิสัมภิทาของผู้สนใจ
เรียนธรรมโดยเคารพ ย่อมผ่องใส.
 
๖๘/๐/๒๑

วันอาทิตย์, มกราคม 19, 2568

Atsadongkhot

 
เสียมก็ตกจากมือของเรา และนัยน์ตาขวาของ
เราก็เขม่น รุกขชาติที่เคยมีผลก็หาผลมิได้ ทิศทั้งปวง
เราก็ฟั่นเฟือนลุ่มหลง พระนางเจ้าเสด็จมาสู่อาศรมใน
เวลาเย็น ในเมื่อดวงอาทิตย์อัสดงคตอาทิผิด อักขระ พาลมฤคก็ปรากฏ
ในหนทาง ครั้นเมื่อพระอาทิตย์โคจรลงต่ำ อาศรมก็
ยังอยู่ไกล เราจักนำมูลผลาผลใดไปแต่ที่นี้ เพื่อพระ-
ราชสวามีและลูกทั้งสอง พระราชสวามีและลูกทั้งสอง
พึงเสวยมูลผลาผลอันเป็นของเสวยนั้น พระบรม
กษัตริย์ผู้ภัสดาเสด็จอยู่ที่บรรณศาลาแต่พระองค์เดียว
แท้ ๆ ทรงเห็นว่าเรายังไม่กลับ ก็จะทรงปลอบโยน
พระโอรสพระธิดาผู้หิว ลูกทั้งสองของเราเป็นกำพร้า
ด้วยความเข็ญใจ เคยเสวยนมเคยเสวยน้ำในเวลาที่คน
สามัญเรียกให้อาหารเวลาเย็น ลูกทั้งสองของเราเป็น
กำพร้าด้วยความเข็ญใจ เคยลุกยืนรับเรา เหมือนลูก
โคอ่อนยืนคอยแม่โคนม ลูกทั้งสองของเราเป็นกำพร้า
ด้วยความเข็ญใจ หรือประหนึ่งลูกหงส์ยืนอยู่บนเปือก
ตมคอยแม่ ลูกทั้งสองของเราเป็นกำพร้าด้วยความ
เข็ญใจ เคยยืนรับเราแต่ที่ใกล้อาศรม ทางเดินไปมี
เฉพาะทางเดียว เป็นทางเดินได้คนเดียว เพราะมีสระ
และที่ลุ่มลึกอยู่ข้าง ๆ เราไม่เห็นทางอื่นซึ่งจะพึงแยก
ไปสู่อาศรม ข้าขอนอบน้อมพระยาพาลมฤคผู้มีกำลัง
มากในป่า ท่านทั้งหลายจงเป็นพี่ของข้าโดยธรรม จง
 
๖๔/๑๒๖๙/๗๔๐

วันเสาร์, มกราคม 18, 2568

Catudhatuva Vathana

 
ก็เป็นอสุภกรรมฐานด้วยสามารถแห่งกายคตาสติ, เมื่อปรากฏโดยความ
เป็นสี ก็เป็นวัณณกรรมฐาน, เมื่อปรากฏโดยความเป็นธาตุ ก็เป็น
จตุธาตุววัตถานอาทิผิด อักขระกรรมฐาน. อนึ่ง อาการ ๓๒ มีเกสาเป็นต้นปรากฏ
โดยความเป็นปฏิกูล หรือโดยสี ฌานก็มีสิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นอารมณ์
เมื่อธาตุปรากฏแล้ว ก็พึงทราบว่า เป็นโกฏฐาสเหล่านั้น และเป็นการ
เจริญธาตุที่มีโกฏฐาสนั้นเป็นอารมณ์.
๑ เกสา - ผมทั้งหลาย เกิดอยู่ที่หนังหุ้มกระโหลกศีรษะในด้าน
ข้างทั้ง ๒ แห่งศีรษะ กำหนดด้วยกกหูทั้ง ๒ ข้างหน้ากำหนดด้วย
หน้าผากเป็นที่สุด, และข้างหลังกำหนดด้วยท้ายทอย นับได้ตั้งแสน
เป็นอเนก.
๒ โลมา - ขนทั้งหลาย ตั้งอยู่ที่หนังหุ้มสรีระโดยมาก เว้น
ที่เป็นที่ตั้งแห่งอวัยวะมีผมเป็นต้น และฝ่ามือฝ่าเท้าทั้ง ๒ เสีย ท่าน
กำหนดขุมขนไว้ถึง ๙ หมื่น ๙ พันขุม ตั้งอยู่ในหนังหุ้มสรีระ มี
ประมาณลิกขาหนึ่งเป็นประมาณ.
๓ นขา - เล็บทั้งหลาย ตั้งอยู่บนหลังแห่งปลายนิ้วทั้งหลาย
นับได้ ๒๐.
๔ ทนฺตา - ฟันทั้งหลาย ตั้งอยู่ที่กระดูกคางทั้ง ๒ โดยมาก
นับได้ ๓๒ ซี่.
๑. ฉ. กสิณกรรมฐาน.
 
๖๘/๙/๒๒๔

วันศุกร์, มกราคม 17, 2568

Thongthae

 
พระมุนีทั้งหลายในปางก่อนผู้แสวงหาคุณอันยิ่ง
ใหญ่ มาถึงความเป็นพระสัพพัญญูในโลกนี้ โดย
ประการใด แม้พระศากยมุนี ก็เสด็จมา โดยประการ
นั้น เพราะเหตุนั้น พระศากยมุนีผู้มีจักษุ ชาวโลก
จึงเฉลิมพระนามว่า ตถาคต.
พระชินเจ้าทั้งหลาย ทรงละมลทินกิเลส มีกาม
เป็นต้นได้เด็ดขาด ด้วยสมาธิและปัญญา แล้วจึง
ดำเนินไป โดยประการใด พระศากยมุนีในปางก่อน
ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรือง เสด็จไป โดยประการนั้น
เพราะฉะนั้น ชาวโลกจึงเฉลิมพระนามว่า ตถาคต.
อนึ่ง พระชินเจ้าเสด็จถึงพร้อม ซึ่งลักษณะแห่ง
ธาตุและอายตนะเป็นต้นอันถ่องแท้ โดยจำแนก
สภาวะ สามัญญะ และวิภาคะ ด้วยพระสยัมภูอาทิผิด สระญาณ
เพราะฉะนั้น พระศากยะผู้ประเสริฐ ชาวโลกจึง
เฉลิมพระนามว่า ตถาคต.
สัจจะอันถ่องแท้อาทิผิด อักขระ และอิทัปปัจจยตาอันถ่องแท้ที่
คนอื่นแนะนำไม่ได้ อันพระตถาคตผู้มีสมันตจักษุ
ทรงประกาศแล้ว โดยนัยด้วยประการทั้งปวง เพราะ-
ฉะนั้น พระชินเจ้า ผู้เสด็จไปโดยถ่องแท้ ชาวโลก
จึงเฉลิมพระนามว่า ตถาคต.
การที่พระชินเจ้า ทรงเห็นโดยถ่องแท้ทีเดียว
ในโลกธาตุแม้มีประเภทมิใช่น้อยในอารมณ์มีรูปาย-
 
๔๔/๖๒/๒๕๕

วันพฤหัสบดี, มกราคม 16, 2568

Wa

 
อธิบายในคาถานี้ว่า ในภพหลังสุดคือในชาติสุดท้าย เราได้เป็น
เผ่าพันธุ์ของพราหมณ์ คือเกิดในตระกูลพราหมณ์. บทว่า มหาโภคํ
ฉฑฺเฑตฺวาน ความว่า เราทิ้งกองโภคทรัพย์ใหญ่ เหมือนก้อนเขฬะ
บวชคือปฏิบัติเป็นบรรพชิต ได้แก่เป็นผู้เว้นจากกรรมมีกสิกรรมและ
พาณิชกรรมเป็นต้น คือบวชเป็นดาบส.
พรรณนาปฐมภาณวารจบบริบูรณ์

บทว่า อชฺฌายโก ฯ เป ฯ มุนึ โมเน สมาหิตํ ความว่า ญาณ
เรียกว่าโมนะ, ผู้ประกอบด้วยโมนะนั้น ชื่อว่ามุนี, ผู้มีจิตตั้งคือตั้งลง
โดยชอบ ชื่อว่าตั้งมั่นในโมนะนั้น. ชื่อว่านาค เพราะไม่กระทำบาปคือ
โทษ ได้แก่พระอัสสชิเถระ, ซึ่งพระมหานาคนั้นผู้ไพโรจน์ เหมือนดอก
ปทุมอันแย้มบานดีแล้วฉะนั้น.
บทว่า ทิสฺวา เม ฯ เปฯ ปุจฺฉิตุํ อมตํ ปทํ มีเนื้อความง่ายๆ
ทั้งนั้น.
บทว่า วีถินฺตเร เชื่อมความว่า เราเข้าไป คือไปใกล้พระเถระนั้น
ผู้ถึงแล้วโดยลำดับ คือผู้ถึงพร้อมแล้ว ได้แก่เข้าไปแล้วในระหว่างถนน
แล้วจึงถาม.
บทว่าอาทิผิด อาณัติกะ กีทิสํ เต มหาวีร เชื่อมความว่า ข้าแต่มหาวีระผู้บรรลุ
พระอรหัต ในการประกาศพระธรรมจักรครั้งแรก ในระหว่างพระ-
อรหันต์ทั้งหลายในศาสนาของบุรุษผู้มีปัญญาทรงจำได้ทั้งสิ้น ข้าแต่ท่านผู้
มียศใหญ่ เพราะเป็นผู้มากด้วยบริวารอันเกิดตามมา พระพุทธเจ้าของท่าน
 
๗๐/๓/๔๖๘

วันพุธ, มกราคม 15, 2568

Kwang

 
กิเลสกาม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำหนดรู้วัตถุกาม ทรงละ ทรงครอบงำ
ทรงปกคลุม ทรงท่วมทับ ทรงกําจัด ทรงย่ำยีแล้ว ซึ่งกิเลสกาม เสด็จ
เที่ยวไป ดำเนินไป เป็นไป รักษา บำรุง ทรงเยียวยา เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครอบงำกามทั้งหลายแล้วดำเนินไป.
[๓๙๕] พระอาทิตย์ ท่านกล่าวว่า อาทิจฺโจ ในอุเทศว่า อาทิจฺโจว
ปฐวึ เตชี เตชสา ดังนี้.
ชรา ท่านกล่าวว่า ปฐพี พระอาทิตย์มีแสงสว่าง ประกอบด้วย
เดช คือ รัศมี ส่องแผ่ปกคลุมครอบปฐพี ให้ร้อน เลื่อนลอยไปใน
อากาศทั่วไป กำจัดมืด ส่องแสงสว่างไปในอากาศอันว่างเป็นทางเดิน
ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีเดชคือพระญาณ ประกอบด้วยเดชคือ
พระญาณ ทรงกำจัดแล้วซึ่งสมุทัยแห่งอภิสังขารทั้งปวง ฯ ล ฯ ความมืด
คือกิเลส อันธการคืออวิชชา ทรงแสดงแสงสว่างคือญาน ทรงกำหนด
รู้ซึ่งวัตถุกาม ทรงละ ทรงครอบงำ ทรงปกคลุม ทรงท่วมทับ ทรง
กำจัด ทรงย่ำยี ซึ่งกิเลสกาม ย่อมเสด็จเที่ยวไป ดำเนินไป รักษา
บำรุง เยียวยา ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เหมือนพระ-
อาทิตย์มีแสงสว่าง ประกอบด้วยเดช ย่อมส่องแสงปกคลุมทั่วปฐพี.
[๓๙๖] คำว่า มีพระปัญญากว้างอาทิผิด ขวางดุจแผ่นดิน. . . แก่ข้า-
พระองค์ผู้มีปัญญาน้อย ความว่า ข้าพระองค์ผู้มีปัญญาน้อย คือ มี
ปัญญาทราม มีปัญญาต่ำ ส่วนพระองค์มีพระปัญญาใหญ่ มีพระปัญญา
มาก มีพระปัญญาร่าเริง มีพระปัญญาแล่น มีพระปัญญากล้าแข็ง มี
พระปัญญาทำลายกิเลส.
ปฐพี ท่านกล่าวว่า ภูริ พระองค์ทรงประกอบด้วยพระปัญญาอัน
๑. ม. ชคตี แปลว่า แผ่นดิน.
 
๖๗/๓๙๖/๒๗๕

วันอังคาร, มกราคม 14, 2568

Phon

 
ทั้งหลายนี้ก็ฉันนั้น เรียกว่าอัณฑภูต เพราะเกิดในกระเปาะอาทิผิด อักขระไข่ คือ
อวิชชา. บทว่า ปริโยนทฺธาย ได้แก่ อันกระเปาะอาทิผิด อักขระไข่ คืออวิชชา
นั้นหุ้ม คือ ผูกพันไว้โดยรอบ บทว่า อวิชฺชณฺฑโกสํ ปทาเลตฺวา
ได้แก่ ทำลายกระเปาะอาทิผิด อักขระไข่อันสำเร็จด้วยอวิชชานั้น.
บทว่า เอโกว โลเก ความว่า เราเท่านั้นเป็นเอก ไม่เป็น
ที่สอง ในโลกสันนิวาสแม้ทั้งสิ้น. บทว่า อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ
อภิสมฺพุทฺโธ ได้แก่ พระปัญญาเครื่องตรัสรู้ชอบและโดยพระองค์
เอง ปราศจากผู้ยิ่งกว่า คือประเสริฐสุดกว่าเขาทั้งหมด. อีก
อย่างหนึ่ง พระปัญญาเครื่องตรัสรู้อันประเสริฐและดี. คำว่า โพธิ
นี้เป็นชื่อของอรหัตมรรคญาณ. ทั้งเป็นชื่อของพระสัพพัญญุตญาณ
ด้วย. แม้ชื่อทั้งสองก็เหมาะ ถามว่า อรหัตตมรรคของคนเหล่าอื่น
เป็นปัญญาเครื่องตรัสรู้ยอดเยี่ยมหรือไม่ ? ตอบว่า ไม่เป็น. เพราะ
เหตุไร ? เพราะไม่ให้คุณทุกอย่าง. ก็บรรดาบุคคลเหล่านั้น
อรหัตมรรคย่อมให้เฉพาะอรหัตผลอาทิผิด อักขระแก่บางคน ให้วิชชา ๓ แก่
บางคน ให้อภิญญา ๖ แก่บางคน ให้ปฏิสัมภิทา ๔ แก่บางคน
ให้สาวกบารมีญาณแก่บางคน สำหรับพระปัจเจกพุทธะทั้งหลาย
ให้เฉพาะปัจเจกโพธิญาณเท่านั้น ส่วนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ให้คุณสมบัติทุกอย่าง เหมือนการอภิเษกให้ความเป็นใหญ่ในโลก
ทั้งปวงแก่พระราชา เพราะเหตุนั้น ปัญญาเครื่องตรัสรู้อันยอดเยี่ยม
จึงไม่มีแม้แก่ใครอื่น. บทว่า อภิสมฺพุทฺโธ ได้แก่ รู้ทั่วยิ่งแล้ว
แทงตลอดแล้ว อธิบายว่า บรรลุแล้ว.
 
๓๗/๑๐๑/๓๕๑