วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 28, 2565

Nai

 
คัพภินีวรรค สิกขาบทที่ ๕
เรื่องภิกษุณีหลายรูป
[๓๘๐] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุณี
ทั้งหลายพากันบวชเด็กหญิงชาวบ้านผู้มีอายุยังไม่ครบ ๑๒ ปี เด็กหญิงเหล่านั้น
อดทนไม่ได้ต่อความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ไม่อดทนต่อ
สัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เสือกคลาน มักไม่อดกลั้นต่อ
ถ้อยคำที่เขากล่าวร้าย หยาบคาย มีปรกติไม่อดทนต่อทุกขเวทนาที่เกิดในอาทิผิด สระสรีระ
อย่างแรงกล้า หยาบช้า เผ็ดร้อน ไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจ อันอาจพร่าชีวิต
เสีย.
บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย. . . ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา
ว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้บวชเด็กหญิงชาวบ้าน ผู้มีอายุยังไม่ครบ ๑๒ ปี
เล่า . . .

ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า ภิกษุณีทั้งหลายพากันบวชเด็กหญิงชาวบ้านผู้มีอายุยังไม่ครบ ๑๒ ปี
จริงหรือ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฉน
ภิกษุณีทั้งหลายจึงได้พากันบวชเด็กหญิงชาวบ้านที่มีอายุยังไม่ครบ ๑๒ ปีเล่า
 
๕/๓๘๐/๔๐๑

วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 27, 2565

Khit Hen

 
ชวนกันออกบวช
[๖๔๙] เด็กชายอุบาลีได้ยินถ้อยคำที่มารดาบิดาสนทนาหารือกันดังนี้
จึงเข้าไปหาเพื่อนเด็กเหล่านั้น ครั้นแล้วได้พูดชวนดังนี้ว่า มาเถิดพวกเจ้า
เราจักพากันไปบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร.
เด็กชายพวกนั้นพูดว่า ถ้าเจ้าบวช แม้พวกเราก็จักบวชเหมือนกัน.
ไม่รอช้า เด็กชายเหล่านั้นต่างคนต่างก็ไปหามารดาบิดาของตน ๆ แล้ว
ขออนุญาตว่า ขอท่านทั้งหลายจงอนุญาตให้พวกข้าพเจ้าออกจากเรือนบวช
เป็นบรรพชิตเถิด.
มารดาของเด็กเหล่านั้นก็อนุญาตทันที ด้วยคิดอาทิผิด อักขระเห็นว่า เด็กเหล่านี้
ต่างก็มีฉันทะร่วมกัน มีความมุ่งหมายดีด้วยกันทุกคน
เด็กพวกนั้นเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายขอบรรพชาแล้ว .
ภิกษุทั้งหลายก็ได้ให้เด็กพวกนั้นบรรพชาและอุปสมบท.
ครั้นปัจจุสสมัยแห่งราตรี ภิกษุใหม่เหล่านั้นลุกขึ้นร้องไห้วิงวอนว่า
ขอท่านทั้งหลาย จงให้ข้าวต้ม จงให้ข้าวสวย จงให้ของเคี้ยว.
ภิกษุทั้งหลายกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย จงรอให้ราตรีสว่างก่อน
ถ้าข้าวต้มมี จักดื่มได้ ถ้าข้าวสวยมี จักฉันได้ ถ้าของเคี้ยวมี จักเคี้ยวฉันได้
ถ้าข้าวต้มข้าวสวยหรือของเคี้ยวไม่มี ต้องเที่ยวบิณฑบาตฉัน .
ภิกษุใหม่เหล่านั้นอันภิกษุทั้งหลายแม้กล่าวอยู่อย่างนี้แล ก็ยังร้องไห้
วิงวอนอยู่อย่างนั้นแลว่า จงให้ข้าวต้ม จงให้ข้าวสวย จงให้ของเคี้ยว ดังนี้
ย่อมถ่ายอุจจาระรดบ้าง ถ่ายปัสสาวะรดบ้าง ซึ่งเสนาสนะ.
[๖๕๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตื่นบรรทม ณ เวลาปัจจุสสมัยแห่ง
ราตรี ได้ทรงสดับเสียงเด็ก ๆ ครั้นแล้วตรัสเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสถามอาทิผิด อักขระ
ว่า นั่นเสียงเด็ก ๆ หรือ อานนท์.
 
๔/๖๔๙/๖๙๙

วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 26, 2565

Pitbang

 
จริงอยู่ เมื่อถ้วยชาม หรือขัน หรือวัตถุอะไร ๆ ตกจากมือแตกแล้ว
ชนทั้งหลายย่อมพูดว่า โอ ! มันไม่เที่ยง ความไม่เที่ยง ชื่อว่า ปรากฏแล้ว
อย่างนี้ ก็เมื่อฝีต่อมเป็นต้นตั้งขึ้นในอัตภาพแล้ว หรือว่าถูกตอหรือหนามทิ่ม
เอาแล้วก็ย่อมพูดว่า โอ ! เป็นทุกข์ ทุกข์ชื่อว่า ปรากฏแล้วอย่างนี้.
อนัตตลักษณะไม่ปรากฏ มืดมน ไม่แจ่มแจ้ง แทงตลอดได้โดย
ยาก แสดงได้โดยยาก ทำให้เข้าใจได้โดยยาก. แต่อนิจจลักษณะและ
ทุกขลักษณะ พระตถาคตทั้งหลายจะทรงอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่ทรงอุบัติขึ้นก็ตาม
ย่อมปรากฏ. อนัตตลักษณะ เว้นจากการบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าแล้วย่อม
ไม่ปรากฏ ย่อมปรากฏในพุทธุปบาทเท่านั้น.
จริงอยู่ ดาบสและปริพาชกทั้งหลายผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
แม้มีสรภังคศาสดาเป็นต้น ย่อมสามารถกล่าวว่า อนิจจัง ทุกขัง ได้ แต่ไม่
สามารถจะกล่าวว่า อนัตตา ได้ แม้ถ้าพวกดาบสเป็นต้นเหล่านั้นพึงสามารถ
กล่าวคำว่า อนัตตา ในบริษัทที่ประชุมกันแล้ว บริษัทที่ประชุมกันก็จะพึง
แทงตลอดมรรคและผล เพราะการประกาศให้รู้อนัตตลักษณะไม่ใช่วิสัยของ
ใคร ๆ อื่น เป็นวิสัยของพระสัพพัญญูพุทธเจ้านั้น อนัตตลักษณะนี้จึง
ไม่ปรากฏแล้วด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้น พระศาสดาเมื่อจะแสดงอนัตต-
ลักษณะจึงทรงแสดง โดยความไม่เที่ยงบ้าง โดยความเป็นทุกข์บ้าง
โดยทั้งความไม่เที่ยงทั้งความเป็นทุกข์บ้าง แต่ในอายตนวิภังค์นี้ พึงทราบ
ว่า ทรงแสดงอายตนะนั้นทั้งโดยความไม่เที่ยง ทั้งโดยความเป็นทุกข์ ดังนี้.
ถามว่า ก็ลักษณะเหล่านี้ย่อมไม่ปรากฏ เพราะไม่มนสิการอะไร
ไม่แทงตลอดอะไร และอันอะไรปิดบังอาทิผิด อักขระไว้.
 
๗๗/๙๘/๑๗๔

วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 25, 2565

Kasem

 
แต่อสังขตธาตุ พึงเห็นโดยความเป็นอมตะ โดยความเป็นธรรม
สงบและโดยเป็นธรรมเกษมอาทิผิด อักขระ เพราะเหตุไร ? เพราะความเป็นปฏิปักษ์ต่อความ
ฉิบหายทั้งมวล. มโนวิญญาณธาตุ พึงเห็นเหมือนลิงในป่าใหญ่เพราะแม้
ปล่อยอารมณ์ที่ตนจับไว้แล้วก็ยืดอารมณ์อื่นเป็นไปอีก เป็นเหมือนม้ากระจอก
เพราะฝึกได้ยาก เป็นเหมือนท่อนไม้ที่โยนไปในอากาศ เพราะจะตกไปใน
อารมณ์ที่มันชอบ และเป็นเหมือนนักเต้นรำบนเวทีเพราะประกอบด้วยกิเลส
มีประการต่าง ๆ โดยมีโลภะและโทสะเป็นต้น.
พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศวาร ต่อไป :-
คำว่า จกฺขญฺจ ปฏิจฺจ รูเป จ (อาศัยจักขุประสาทและรูปารมณ์)
อธิบายว่า เพราะอาศัยจักขุประสาทและรูปารมณ์ทั้ง ๒ นี้ด้วย เพราะอาศัย
ธรรมอื่น คือ กิริยามโนธาตุและขันธ์ ๓ (เวทนา สัญญา สังขารขันธ์) ที่
สัมปยุตด้วย เพราะจักขุ (ประสาท) เป็นนิสสยปัจจัย รูปเป็นอารัมมณปัจจัย
กิริยามโนธาตุ (อาวัชชนจิต) เป็นวิคตปัจจัย อรูปขันธ์ ๓ (เวทนา สัญญา
สังขารขันธ์) เป็นสหชาตปัจจัยของจักขุวิญญาณธาตุ เพราะฉะนั้น จักขุวิญญาณ
ธาตุนี้ จึงชื่อว่า ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัย ๔ เหล่านี้. แม้ในคำว่า อาศัย
โสตประสาทเป็นต้นก็นัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า นิรุทฺธสมนนฺตรา ตัดบทเป็น นิรุทฺธาย สมนนฺตรา
แปลว่า ในลำดับแห่งการดับของจักขุวิญญาณธาตุ.
บทว่า ตชฺชา มโนธาตุ (มโนธาตุที่สมกัน) ได้แก่ มโนธาตุ ๒
อย่าง โดยเป็นกุศลวิบาก และอกุศลวิบาก ซึ่งเกิดในอารมณ์นั้นทำหน้าที่รับ
อารมณ์.
๑. บาลีข้อ ๑๒๕ หน้า ๘๐๘ ๒. บาลีข้อ ๑๓๐ หน้า ๑๑๐
 
๗๗/๑๓๐/๒๖๔

วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 24, 2565

Yang

 
ปรับด้วยย่างอาทิผิด อักขระเท้า. สำหรับช้างที่นอนอยู่ มีฐานเดียวเท่านั้น. เมื่อภิกษุไล่ให้
ช้างลุกขึ้น ด้วยไถยจิต พอช้างลุกขึ้นแล้ว เป็นปาราชิก, ถึงในม้า ก็มี
วินิจฉัยเหมือนกันนี้แล. แม้ถ้าม้านั้นถูกเขาล่ามไว้ที่เท้าทั้ง ๔ เทียว พึงทราบ
ว่ามีฐาน ๘. ถึงในอูฐก็มีนัยเช่นนี้. แม้โคบางตัวเป็นสัตว์ที่เขาผูกขังไว้ใกล้
เรือน. บางตัวยืนอยู่ไม่ได้ผูกไว้เลย, แต่บางตัว เขาผูกไว้ในคอก, บางตัว
ก็ยืนอยู่ไม่ได้ผูกไว้เลย.
บรรดาโคเหล่านั้น โคที่เขาผูกขังไว้ใกล้เรือน มีฐาน ๕ คือ เท้าทั้ง ๔
และเครื่องผูก. เรือนทั้งสิ้น เป็นฐานของโคที่ไม่ได้ผูก. โคที่เขาผูกไว้ในคอก
ก็มีฐาน ๕. คอกทั้งสิ้น เป็นฐานของโคที่ไม่ได้ผูก. ภิกษุให้โคนั้นล่วงเลย
ประตูคอกไป ต้องปาราชิก. เมื่อเธอทำลายคอกลักไปให้ล่วงเลยประตูคอกไป
เป็นปาราชิก เธอเปิดประตูออก หรือทำลายคอกแล้ว ยืนอยู่ข้างนอก แล้ว
ร้องเรียกออกชื่อ บังคับให้โคออกมา ต้องปาราชิก. แม้สำหรับภิกษุผู้แสดง
กิ่งไม้ที่หักได้ ให้โคเห็นแล้วเรียกมา ก็มีนัยเหมือนกันนั่นแหละ. เธอไม่ได้
เปิดประตู คอกก็ไม่ได้ทำลาย เป็นแต่สั่นกิ่งไม้ที่หักได้แล้วเรียกโคมา. โค
กระโดดออกมาเพราะความหิวจัด เป็นปาราชิกเหมือนกัน. แต่ถ้าเมื่อเธอเปิด
ประตูออก หรือทำลายคอกแล้ว โคก็ออกมาเสียเอง เป็นภัณฑไทย. เธอ
เปิดประตู หรือไม่ได้เปิดก็ตาม ทำลายคอก หรือไม่ได้ทำลายก็ตาม เป็น
แต่สั่นกิ่งไม้ที่หักได้อย่างเดียว ไม่ได้เรียกโค. โคเดินออกมาหรือกระโดดออก
มา เพราะความหิวจัด เป็นภัณฑไทยเหมือนกัน. โคที่เขาล่ามไว้กลางบ้าน
ยืนอยู่ตัวหนึ่ง นอนอยู่ตัวหนึ่ง. โคตัวที่ยืนอยู่มีฐาน ๕. ตัวที่นอนอยู่มีฐาน ๒.
พึงทราบการทำให้ไหว และให้เคลื่อนจากฐาน ด้วยอำนาจแห่งฐานเหล่านั้น.
 
๒/๑๗๕/๒๐๕

วันพุธ, กุมภาพันธ์ 23, 2565

Luep

 
เสธที่พึ่งอย่างอื่น. ความจริง คนอื่นจะเป็นที่พึ่งแก่คนอื่นหาได้ไม่ เพราะ
คนอื่นบริสุทธิ์ด้วยความพยายามของคนอื่นไม่ได้.
สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ตนแลเป็นที่พึ่งของตน
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง
ตรัสว่า อนญฺญสรณา. ถามว่า ก็ในคำว่า อตฺตทีปา นี้ อะไรเล่า
ชื่อว่าตน. แก้ว่า โลกิยธรรมและโลกุตรธรรม. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา มีธรรม
เป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ดังนี้.
คำว่า กาเย กายานุปสฺสี เป็นต้น ได้กล่าวพิสดารไว้แล้วใน
มหาสติปัฏฐานสูตร. บทว่า โคจเร ได้แก่ ในสถานที่ควรเที่ยวไป. บทว่า
สเก คือที่อันเป็นของมีอยู่แห่งตน. บทว่า เปตฺติเก วิสเย คือในถิ่นที่มา
จากพ่อแม่. บทว่า จรตํ คือเที่ยวไปอยู่ บาลีว่า จรนฺตํ ดังนี้ก็มี. เนื้อความก็
เช่นนี้แหละ. บทว่า น ลจฺฉติ ความว่า จักไม่ได้ คือ จักไม่เห็น.
บทว่า มาโร ได้แก่เทวบุตรมารบ้าง กิเลสมารบ้าง. บทว่า โอตารํ
ได้แก่ ร่องรอย คือช่องทางเปิด. ก็ความนี้บัณฑิตพึงแสดงด้วยเรื่องเหยี่ยว
นกเขา ซึ่งโฉบเฉี่ยวเอานกมูลไถตัวบินออกจากที่ (หลืบอาทิผิด สระ) ก้อนดิน โผ
จับอยู่บนเสาระเนียด (เสาค่าย) กำลังผึ่งแดดอ่อนไป. สมจริงดังคำที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว เหยี่ยวนก
เขา เข้าโฉบเฉี่ยวเอานกมูลไถโดยฉับพลันเอาไป ภิกษุทั้งหลาย ครั้ง
นั้นแล นกมูลไถถูกเหยี่ยวนกเขานำไปอยู่คร่ำครวญอย่างนี้ว่า พวกเรา
นั่นแล เที่ยวไปในที่อโคจร อันเป็นถิ่นของปรปักษ์ นับว่าไม่มีบุญ
มีบุญน้อย. ถ้าหากวันนี้เราพึงเที่ยวไปในที่โคจรอันเป็นถิ่นของพ่อแม่
ของตนไซร้ เหยี่ยวนกเขาจักไม่อาจ (จับ) เราด้วยการต่อสู้เช่นนี้.
เหยี่ยวนกเขาถามว่า ดูก่อนนกมูลไถ ก็สำหรับท่าน อะไรเล่า เป็นถิ่น
 
๑๕/๕๐/๑๒๖

วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 22, 2565

Mak Noi

 
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถูกแล้ว สารีบุตร เมื่อเธอถูกเขา
ถามอย่างนี้ แก้อย่างนี้ นับว่าเป็นผู้กล่าวตามพุทธพจน์ที่เรากล่าว
แล้วทีเดียว ไม่ชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริง ชื่อว่าแก้ไปตามธรรม
สมควรแก่ธรรม ทั้งการโต้ตอบอันมีเหตุอย่างไร ๆ ก็มิได้มาถึงสถานะ
อันควรติเตียน.

พระอุทายีสรรเสริญพระพุทธองค์

[๙๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายี
ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา
ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา มีอยู่แก่พระตถาคต
ผู้ทรงมีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้ แต่ไม่ทรงแสดงพระองค์ให้ปรากฏ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก ได้เห็นธรรม
แม้สักข้อหนึ่งจากธรรมของพระองค์นี้ในตนแล้ว พวกเขาจะต้องยก
ธงเที่ยวประกาศ ด้วยเหตุเพียงเท่านั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่า
อัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา
มีอยู่แก่พระตถาคตผู้ทรงมีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้ แต่ไม่ทรงแสดง
พระองค์ให้ปรากฏ.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อนอุทายี เธอจงดูความมักอาทิผิด อักขระน้อย
ความสันโดษ ความขัดเกลาของตถาคตผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้
แต่ไม่แสดงตนให้ปรากฏ เพราะเหตุนั้น ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ปริ-
พาชก ได้เห็นธรรมแม้สักข้อหนึ่งจากธรรมของเรานี้ในตนแล้ว
พวกเขาจะต้องยกธงเที่ยวประกาศ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ดูก่อนอุทายี
เธอจงดูความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลาของตถาคตผู้มี
ฤทธิ์มีอานุภาพอย่างนี้ แต่ไม่แสดงตนให้ปรากฏ.
 
๑๕/๙๓/๒๐๗

วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 21, 2565

Sunakhamangsang

 
ในทวารหนัก กรวยใบไม้และเกลียวชุดที่ทายาแล้วก็ดี หลอดไม้ไผ่
ก็ดี ซึ่งสำหรับหยอดน้ำด่าง และกรอกน้ำมัน ย่อมควร.

ว่าด้วยเนื้อที่ควรและไม่ควร
บทว่า ปวตฺตมํสํ ได้แก่ เนื้อของสัตว์ที่ตายแล้วนั้นเอง.
บทว่า มาฆาโต มีความว่า วันนั้น ใคร ๆ ไม่ได้เพื่อจะปลงสัตว์
น้อยหนึ่งจากชีวิต.
มีดสำหรับเชือดเนื้อเรียกว่า โปตถนิกะ.
บทว่า กิมฺปิมาย พึงตัดว่า กิมฺปิ อิมาย.
คำว่า น ภควา อุสฺสหติ มีความว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้านาง
ไม่สามารถจะมาได้.
บทว่า ยตฺร หิ นาม มีความว่า ชื่อเพราะเหตุไร ?
บทว่า ปฏิเวกฺขิ ได้แก่ วิมํสิ แปลว่า เธอพิจารณาแล้วหรือ
มีคำอธิบายว่า เธอสอบถามแล้วหรือ ?
บทว่า อปฺปฏิเวกฺขิตฺวา ได้แก่ อปฺปฏิปุจฺฉิตฺวา แปลว่าไม่
สอบถามแล้ว. ก็ถ้า ภิกษุรู้อยู่ว่า นี้เป็นเนื้อชนิดนั้น กิจที่จะสอบถาม ย่อม
ไม่มี แต่เมื่อไม่รู้ ต้องถามก่อนจึงฉัน.
วินิจฉัยในคำว่า สุนขมํสํอาทิผิด นี้ พึงทราบดังนี้:-
สุนัขป่าย่อมเป็นเหมือนสุนัขบ้าน. เนื้อสุนัขป่านั้นควร.
ฝ่ายสุนัขใด เกิดด้วยแม่สุนัขบ้านกับพ่อสุนัขป่าผสมกัน หรือด้วยแม่
สุนัขป่ากับพ่อสุนัขบ้านผสมกัน เนื้อของสุนัขนั้น ไม่ควร. เพราะสุนัข

นั้นซ่องเสพทั้งสองฝ่าย.
๑. น่าจะไม่ควร.
 
๗/๙๔/๑๗๓

วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 20, 2565

Rang Dum

 
ก. เที่ยวไปไหนไม่ต้องบอกลา ข. เที่ยวไปไม่ต้องถือไตรจีวรครบ
สำรับ ค. ฉันคณโภชน์ได้ ง. เก็บอดิเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา จ. จีวรลาภ
อันเกิดในที่นั้น เป็นของภิกษุผู้ได้กรานกฐินแล้ว.
๓ ญัตติทุติยกรรมวาจา ๔. อย่างนี้กฐินเป็นอันกราน อย่างนี้ไม่เป็นอันกราน
คือ กฐินกรานด้วยอาการ เพียงขีดรอย ชัก กะ ตัด เนา เย็บ ด้น ทำลูกดุม
ทำรังดุมอาทิผิด อักขระ ประกอบผ้าอนุวาต ประกอบผ้าอนุวาตด้านหน้า ดามผ้า ย้อม ทำ
นิมิต พูดเลียบเคียงผ้าที่ยืมเขามา เก็บไว้ค้างคืน เป็นนิสสัคคิยะ ไม่ได้ทำ
กัปปะพินทุ นอกจากไตรจีวร นอกจากจีวรมีขันธ์ ๕ หรือเกินกว่า ซึ่งตัดดี
แล้วทำให้เป็นจีวรมีมณฑลนอกจากบุคคลกราน กรานโดยไม่ชอบ ภิกษุอยู่
นอกสีมาอนุโมทนากฐินอย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าไม่เป็นอันกราน
๕. กฐินกรานด้วยผ้าใหม่ ผ้าเทียมใหม่ ผ้าเก่า ผ้าบังสุกุล ผ้าตกตามร้าน
ผ้าที่ไม่ได้ทำนิมิต ผ้าที่ไม่ได้พูดเลียบเคียงได้มา ไม่ใช่ผ้าที่ยืมเขามา ไม่ใช่
ผ้าที่ทำค้างคืน ไม่ใช่เป็นผ้านิสสัคคิยะ ผ้าที่ทำกัปปะพินทุแล้ว ผ้าไตรจีวร
ผ้ามีขันธ์ ๕ หรือเกินกว่า ซึ่งตัดดีแล้วทำให้เป็นจีวรมีมณฑลเสร็จในวันนั้น
บุคคลกราน กรานโดยชอบ ภิกษุอยู่ในสีมาอนุโมทนา อย่างนี้ชื่อว่ากราน
กฐิน ๖. มาติกาเพื่อเดาะกฐิน ๘ ข้อ คือ:-
๑. กำหนดด้วยหลีกไป ๒. กำหนดด้วยทำจีวรเสร็จ ๓. กำหนดด้วย
ตกลงใจ ๔. กำหนดด้วยผ้าเสียหาย ๕. กำหนดด้วยได้ยินข่าว ๖. กำหนดด้วย
สิ้นหวัง ๗. กำหนดด้วยล่วงเขต ๘. กำหนดด้วยเดาะพร้อมกัน.
๗. อาทายสัตตกะ ๗ วิธี คือ:-
๑. ถือจีวรที่ทำเสร็จแล้วไปคิดว่าจักไม่กลับ การเดาะกฐินของภิกษุ
นั้นกำหนดด้วยหลีกไป ๒. ถือจีวรไปนอกสีมา คิดว่าจักทำ ณ ที่นี้ จักไม่
กลับละ การเดาะกฐินของภิกษุนั้นกำหนดด้วยทำจีวรเสร็จ ๓. ถือจีวรไปนอก
สีมา คิดว่าจักไม่ให้ทำ จักไม่กลับ การเดาะกฐินของภิกษุนั้นกำหนดด้วยตก-
 
๗/๑๒๗/๒๒๔

วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 19, 2565

Khran Khram

 
ปัญญาที่สำเร็จด้วยความคิดเป็นไฉน ในบ่อเกิดของการงานที่น้อมนำเข้าไป
ด้วยปัญญา หรือในบ่อเกิดของศิลปะ ที่น้อมนำเข้าไปด้วยปัญญา หรือใน
สถานที่ของวิชาที่น้อมนำเข้าไปด้วยปัญญา บุคคลไม่ได้ฟังมาแต่ผู้อื่น กลับ
ได้กัมมัสสกตาญาณ หรือ สัจจานุโลมิกญาณ หรือ อนุโลมิกขันติ ทิฐิ รุจิ
มุนิ เปกขะ ธัมมนิชฌานขันติ เห็นปานนี้ อันใดว่ารูปไม่เที่ยง ฯลฯ
วิญญาณไม่เที่ยง นี้เรียกว่า จินตามยปัญญา ในปัญญา ๓ ประการนั้น
ปัญญาที่สำเร็จด้วยการฟังเป็นไฉน ในบ่อเกิดของการงานที่น้อมนำเข้าไป
ด้วยปัญญา ได้ฟังจากผู้อื่นเท่านั้น จึงกลับได้ ฯลฯ ธัมมนิชฌานขันติ
นี้เรียกว่า สุตมยปัญญา ในปัญญา ๓ ประการนั้น ปัญญาที่สำเร็จด้วย
การเจริญภาวนาเป็นไฉน ปัญญาแม้ทั้งหมดของผู้เข้าสมาบัติชื่อว่า ภาวนา-
มยปัญญา.
บทว่า สุตาวุธํ ได้แก่ อาวุธ คือ สุตะ. อาวุธ คือ สุตะนั้น
โดยใจความได้แก่ พระพุทธพจน์ คือพระไตรปิฎก. เพราะว่า ภิกษุอาศัย
อาวุธนั้น คือ อาศัยอาวุธ ๕ ประการ ย่อมเป็นผู้ไม่ครั่นอาทิผิด อาณัติกะคร้าม ข้ามล่วง
สังสารกันดารได้ เหมือนทหารกล้า ไม่ครั่นอาทิผิด อักขระคร้ามข้ามล่วงมหากันดารได้
ฉะนั้น. เพราะเหตุนั้นแหละ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุทั้ง
หลายอริยสาวกผู้มีสุตะเป็นอาวุธ ย่อมละอกุศล ทำกุศลให้เจริญ ละสิ่งที่
มีโทษ ทำสิ่งที่ไม่มีโทษให้เจริญ บริหารตนให้บริสุทธิ์อยู่ดังนี้ . บทว่า
ปวิเวกาวุธํ ความว่า อาวุธ คือ วิเวก แม้สามประการนี้คือ กายวิเวก
จิตตวิเวก อุปธิวิเวก. วิเวก ๓ ประการนั้นมีการกระทำต่าง ๆ กัน. กายวิเวก
สำหรับบุคคลผู้มีกายหลีกออกไป ยินดีในเนกขัมมะ จิตตวิเวกสำหรับบุคคล
 
๑๖/๓๖๓/๓๑๗

วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 18, 2565

Yak

 
องค์แล้วก็สวรรคต ด้วยประการฉะนี้.
ต่อมาพระราชาได้ทรงนำพระราชธิดาองค์อื่นที่ยังสาวสวยมาอภิเษก
ไว้ในตำแหน่งพระอัครมเหสี. พระนางประสูติพระราชโอรสทรงพระ
นามว่า ชันตุ. ทีนั้น ในวันที่ ๕ พระนางจึงประดับประดาพระโอรสนั้น
แล้ว ทูลแสดงแด่พระราชา. พระราชาทรงดีพระทัย ได้พระราชทาน
พรแก่พระนาง. พระนางทรงปรึกษากับพระญาติทั้งหลายแล้ว จึงทูล
ขอราชสมบัติให้แก่พระราชโอรส. พระราชาทรงตวาดว่า แน่ะหญิงถ่อย
เจ้าจงฉิบหายเสีย เจ้าปรารถนาอันตรายให้แก่บุตรของเรา. พระนาง
พอลับตาคน ก็ทูลให้พระราชาทรงยินดีบ่อย ๆ เข้าแล้ว ทูลคำเป็นต้นว่า
ข้าแต่พระมหาราช ขึ้นชื่อว่าการตรัสคำเท็จหาสมควรไม่ แล้วก็ทูลขอ
อยู่นั่นแหละ.
ลำดับนั้น พระราชาจึงทรงรับสั่งให้เรียกพระราชโอรสทั้งหลายมา
ตรัสว่า แน่ะพ่อทั้งหลาย เราเห็นชันตุกุมารน้องคนเล็กของพวกเจ้า จึง
ให้พรแก่แม่ของเขาไปฉับพลันทันที นางก็อยากอาทิผิด อักขระจะให้ลูกของเขาได้ราช-
สมบัติเว้นพวกเจ้า พวกเจ้าอยากได้ช้างมงคล ม้ามงคล และรถมงคล
มีประมาณเท่าใด จงถือเอาช้างม้าและรถมีประมาณเท่านั้นไปเสีย แล้วพึง
กลับมาครองราชสมบัติ เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว จึงส่งออกไปพร้อมกับ
อำมาตย์ ๘ คน.
ราชโอรสเหล่านั้นร้องคร่ำครวญมีประการต่าง ๆ กราบทูลว่า ข้าแต่
เสด็จพ่อ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดยกโทษแก่พวกข้าพระองค์ด้วยเถิด
แล้วก็ให้พระราชาและนางสนมกำนัลในของพระราชายกโทษให้ แล้ว
กราบทูลว่า พวกข้าพระองค์จะไปพร้อมกับพระเจ้าพี่ด้วย แล้วจึงทูลลา
 
๑๑/๑๗๗/๕๕๖

วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 17, 2565

Bop Cham

 
ขาดสูญ” ดังนี้แล้ว ทุบด้วยอวัยวะทั้งหลายมีศอกและเข่าเป็นต้นให้
บอบช้ำอาทิผิด อักขระแล้ว. หญิงหมันนั้นตายเพราะความเจ็บนั้นแล แล้วได้เกิดเป็น
แม่ไก่ในเรือนนั้นเหมือนกัน.

ผลัดกันสังหารคนละชาติด้วยอำนาจผูกเวร
จำเนียรกาลไม่นาน แม่ไก่ได้ตกฟองหลายฟอง. แม่แมวมากิน
ฟองไก่เหล่านั้นเสีย. ถึงครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ มันก็ได้กินเสียเหมือนกัน.
แม่ไก่ทำความปรารถนาว่า “มันกินฟองของเราถึง ๓ ครั้งแล้ว เดี๋ยวนี้
มันก็อยากกินตัวเราด้วย. เดี๋ยวนี้ เราจุติจากอัตภาพนี้แล้ว พึงได้กินมัน
กับลูกของมัน” ดังนี้แล้ว จุติจากอัตภาพนั้น ได้เกิดเป็นแม่เสือเหลือง.
ฝ่ายแม่แมว ได้เกิดเป็นแม่เนื้อ. ในเวลาแต่เนื้อนั้นคลอดลูกแล้ว ๆ
แม่เสือเหลือง ก็ได้มากินลูกทั้งหลายเสียถึง ๓ ครั้ง. เมื่อเวลาจะตาย
แม่เนื้อทำความปรารถนาว่า “พวกลูกของเรา แม่เสือเหลืองตัวนี้กินเสีย
ถึง ๓ ครั้งแล้ว เดี๋ยวนี้มันจักกินตัวเราด้วย. เดี๋ยวนี้เราจุติจากอัตภาพนี้
แล้ว พึงได้กินมันกับลูกของมันเถิด” ดังนี้แล้ว ได้ตายไปเกิดเป็น
นางยักษิณี. ฝ่ายแม่เสือเหลือง จุติจากอัตภาพนั้นแล้วได้เกิดเป็นกุลธิดา
ในเมืองสาวัตถี. นางถึงความเจริญแล้ว ได้ไปสู่ตระกูลสามีในบ้านริม
ประตู [เมือง]. ในกาลต่อมา นางได้คลอดบุตรคนหนึ่ง. นางยักษิณี
จำแลงตัวเป็นหญิงสหายที่รักของเขามาแล้ว ถามว่า “หญิงสหายของฉัน
อยู่ที่ไหน ?” พวกชาวบ้านได้บอกว่า “เขาคลอดบุตรอยู่ภายในห้อง.”
นางยักษิณีฟังคำนั้น แสร้งพูดว่า “หญิงสหายของฉันคลอดลูกเป็นชาย
หรือหญิงหนอ. ฉันจักดูเด็กนั้น” ดังนี้แล้วเข้าไปทำเป็นแลดูอยู่ จับ

๑. หญิงสาวของตระกูล หญิงสาวในตระกูล หรือหญิงสาวมีตระกูล.
 
๔๐/๑๑/๗๑

วันพุธ, กุมภาพันธ์ 16, 2565

Prakop

 
พระพุทธบัญญัติห้ามย้ายเจ้าหน้าที่รักษาเรือนคลัง
สงฆ์สมมติ ภิกษุมีชื่อนี้ ให้เป็นเจ้าหน้าที่รักษาเรือนคลัง
แล้วชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.

พระพุทธบัญญัติห้ามย้ายเจ้าหน้าที่รักษาเรือนคลัง
[๑๔๕] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ย้ายเจ้าหน้าที่รักษาเรือน
คลัง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสห้ามว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงย้ายเจ้าหน้าที่ผู้รักษาเรือนคลัง รูปใดย้าย
ต้องอาบัติทุกกฏ.

องค์ของเจ้าหน้าที่ผู้แจกจีวร
[๑๔๖] ก็โดยสมัยนั้นแล จีวรในเรือนคลังของสงฆ์มีมาก ภิกษุทั้ง
หลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสอนุญาตว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตให้สงฆ์ผู้อยู่พร้อมหน้าแจก.
สมัยต่อมา สงฆ์ทั้งปวงกำลังแจกจีวรได้ส่งเสียงอื้ออึง ภิกษุทั้งหลาย
กราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสอนุญาต ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตให้สมมติภิกษุผู้ประกอบอาทิผิด สระด้วยองค์ ๕ เป็นเจ้าหน้าที่แจกจีวร คือ:-
๑. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความชอบพอ.
๒. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความเกลียดชัง.
๓. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความงมงาย
๔. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความกลัว และ.
๕. รู้จักจีวรจำนวนที่แจกแล้ว และยังมิได้แจก.
 
๗/๑๔๖/๒๗๑

วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 15, 2565

Sarathi

 
ยังไม่ทันจะได้สมใจปองเลย มหาปฐพีได้แหวกช่องให้ ทันใดนั้นเอง เปลวเพลิง
จากอเวจีก็พวยพุ่งขึ้นโอบอุ้มเอาตัวไป พระเทวทัตนั้นคิดว่า บาปกรรมของเรา
ถึงที่สุดกันแล้ว หวนรำลึกถึงพระคุณของพระตถาคตเจ้า ดำรงในสรณะด้วย
คาถานี้ว่า
ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ผู้เป็นบุคคลเลิศ
เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ เป็นสารถีอาทิผิด แห่งคนที่ควรฝึก มี
พระจักษุเห็นรอบด้าน ทรงบุญลักษณ์นับร้อยพระองค์
นั้น ด้วยลมปราณกับกระดูกทั้งหลายเหล่านี้ ดังนี้
ได้บ่ายหน้าไปอเวจี ก็แลสกุลอุปัฏฐากของพระเทวทัต นั้นได้มีถึง ๕๐๐ ตระกูล.
แม้ตระกูลเหล่านั้นพากันเข้าข้างพระเทวทัตนั้นด่าพระทศพล พากันไปใน
อเวจีทั้งนั้นเลย. พระเทวทัตนั้นชักจูงตระกูล ๕๐๐ ไปไว้ในนรกอเวจีด้วย
ประการฉะนี้.
ครั้นวันหนึ่ง พวกภิกษุพากันยกเรื่องขึ้นสนทนาในธรรมสภาว่า ผู้มี
อายุทั้งหลาย เทวทัตคนบาป ผูกความโกรธอันมิใช่ฐานะ ในพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้า เพราะหมกมุ่นในลาภสักการะ ไม่มองดูภัยในอนาคตเลย ต้องบ่ายหน้า
ไปสู่อเวจีกับสกุลทั้ง ๕๐๐ พระศาสดาเสด็จมาถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เมื่อกี้พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรกัน ครั้นพากันกราบทูลให้
ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่เทวทัต
หมกมุ่นในลาภและสักการะ ไม่มองดูภัยในอนาคต แม้ในกาลก่อน ก็ไม่มอง
ดูภัยในอนาคต ถึงความพินาศใหญ่หลวงกับพรรคพวก เพราะแสวงหาความสุข
เฉพาะหน้าดังนี้ แล้วทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้.
 
๖๐/๑๖๓๖/๑๓๔

วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 14, 2565

Banlu

 
สฬายตนะดับผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับ
ตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับอุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับภพจึงดับ
เพราะภพดับชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัสและอุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วย
อาการอย่างนั้น ญายธรรมที่เป็นอริยะนี้ อันอริยสาวกนั้นเห็นแจ้งแทง
ตลอดด้วยปัญญา.
ดูก่อนคฤหบดี เพราะเหตุที่อริยสาวกระงับภัยเวร ๕ ประการนี้
เป็นผู้ประกอบด้วยองค์เครื่องบรรลุอาทิผิด กระแสนิพพาน ๔ ประการนี้ และเป็น
ผู้เห็นแจ้งแทงตลอดญายธรรมที่เป็นอริยะด้วยปัญญา อริยสาวกนั้นเมื่อหวัง
อยู่ พึงพยากรณ์ตนด้วยได้ว่า เรามีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดดิรัจฉานสิ้น
แล้ว มีปิตติวิสัยสิ้นแล้ว มีอบาย ทุคติและวินิบาตสิ้นแล้ว เราเป็นพระ-
โสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในภายหน้า.
จบเวรสูตรที่ ๒

อรรถกถาเวรสูตรที่ ๒
เวรสูตรที่ ๒ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ภยานิ ได้แก่ ภัยคือความสะดุ้งแห่งจิต. บทว่า เวรานิ
ได้แก่ อกุศลเวรและบุคคลเวร. บทว่า อริโย จสฺส ญาโย ได้แก่ มรรค
พร้อมกับวิปัสสนา. บทว่า อิติ อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ ความว่า เมื่อเหตุ
มีอวิชชาเป็นต้นนี้ มีอยู่อย่างนั้น ผลมีสังขารเป็นต้นจึงมี. บทว่า อิมสฺสุปฺ-
ปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ ความว่า สหชาตปัจจัยอันใดมีอยู่ เพราะความ
เกิดขึ้นแห่งสหชาตปัจจัยนั้น ผลนอกนี้ ชื่อว่าย่อมเกิด. บทว่า อิมสฺมึ
อสฺสติ ความว่า เมื่อเหตุมีอวิชชาเป็นต้นไม่มี ผลมีสังขารเป็นต้นก็ไม่มี.
 
๓๘/๙๒/๒๙๙

วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 13, 2565

Uttarasong

 
วิธีชักเข้าหาอาบัติเดิม
[๔๑๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงชักเข้าหาอาบัติเดิม
อย่างนี้ ภิกษุอุทายีนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์อาทิผิด อักขระเฉวียงบ่า ไหว้
เท้าภิกษุผู้แก่กว่า นั่งกระโหย่งประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำขอ ว่าดังนี้ :-
คำขอมูลายปฏิกัสสนา
ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าต้องอาบัติตัวหนึ่ง ชื่อสัญ-
เจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ ปิดบังไว้ ๑ ปักษ์ ข้าพเจ้านั้นขอ
ปริวาส ๑ ปักษ์ เพื่ออาบัติตัวหนึ่ง ชื่อสัญเจตนิกาสุกก-
วิสัฏฐิ ปิดบังไว้ ๑ ปักษ์ กะสงฆ์ สงฆ์ได้ให้ปริวาส
๑ ปักษ์ เพื่ออาบัติตัวหนึ่ง ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ
ปิดบังไว้ ๑ ปักษ์ แก่ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้านั้นกำลังอยู่
ปริวาส ได้ต้องอาบัติตัวหนึ่งในระหว่าง ชื่อสัญเจต-
นิกาสุกกวิสัฏฐิ ปิดบังไว้ ๕ วัน ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้า
นั้นขอการชักเข้าหาอาบัติเดิม เพื่ออาบัติตัวหนึ่งใน
ระหว่าง ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ ปิดอาทิผิด อักขระบังไว้ ๕ วัน
กะสงฆ์
พึงขอแม้ครั้งที่สอง พึงขอแม้ครั้งที่สาม.
[๔๒๐] ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วย
ญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้ :-
 
๘/๔๑๙/๓๒๗

วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 12, 2565

Si

 
บ่อน้ำหล่นเกลื่อน. . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลงฉาบ
ด้วยดินทั้งข้างบนข้างล่าง ทำให้มีสีขาว สีอาทิผิด อาณัติกะดำ สีเหลือง จำหลักเป็นพวงดอกไม้
เครือไม้ ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวร สายระเดียงจีวร.
[๙๗] สมัยนั้น บ่อน้ำยังไม่มีฝาปิด ผงหญ้าบ้าง ฝุ่นบ้าง ตกลง
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตฝาปิด.
[๙๘] สมัยต่อมา ภาชนะสำหรับขังน้ำยังไม่มี. .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตรางน้ำ อ่างน้ำ.
[๙๙] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายสรงน้ำในที่นั้น ๆ ในอาราม อาราม
เป็นตม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตลำรางระบายน้ำ ลำราง
โล่งโถง ภิกษุทั้งหลายอายที่จะสรงน้ำ. . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตให้กั้นกำแพง ๓ ชนิด คือกำแพงอิฐ ๑ กำแพงหิน ๑ กำแพงไม้ ๑
ลำรางระบายน้ำเป็นตม. . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเครื่องลาด
๓ ชนิด คืออิฐ ๑ หิน ๑ ไม้ ๑ น้ำขัง...ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตท่อระบายน้ำ
[ ๑๐๐] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายมีเนื้อตัวตกหนาว จึงกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตให้เอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัว.
เรื่องสรงน้ำ
[๑๐๑] สมัยนั้น อุบาสกผู้หนึ่งใคร่จะสร้างสระน้ำถวายสงฆ์ ภิกษุ
ทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสระน้ำ ขอบสระน้ำชำรุด.. .ตรัสว่า ดูก่อน
 
๙/๙๖/๓๕

วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 11, 2565

Supsip

 
ด้วย คหนะ ศัพท์. และท่านได้ประกอบบททั้งสองนั้นมุ่งถึงการบำเพ็ญเพียร
ทางภาวนา. บทว่า ปสกฺกิย แปลว่าเข้าไปแล้ว. บทว่า นิพฺพานํ หทยสฺมึ โอปิย
ความว่า ตั้งพระนิพพานไว้ในหทัย คือ ทำไว้ในจิตว่าเราปฏิบัติอย่างนี้แล้ว
จะพึงบรรลุพระนิพพานได้. บทว่า ฌาย ความว่า จงเพ่งด้วยการเพ่งไตร-
ลักษณะ คือ จงเจริญมรรคภาวนาอันประกอบด้วยวิปัสสนาภาวนา. ท่านเรียก
พระธรรมภัณฑาคาริกโดยโคตรว่า โคตมะ. บทว่า มา จ ปมาโท ความว่า
อย่าถึงความประมาทในกุศลธรรมทั้งปวงเลย. บัดนี้ ความประมาทเช่นใดมีแก่
พระเถระ เมื่อจะแสดงถึงการห้ามความประมาทนั้น ท่านจึงกล่าวว่า กึ เต
พิฬิพิฬิกา กริสฺสติ การพูดซุบซิบอาทิผิด อักขระนินทาคนอื่นจักทำประโยชน์เช่นไรให้
สำเร็จแก่ท่านได้เล่า ดังนี้ไว้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พิฬิพิฬิกา ความ
ว่า กิริยาที่ซุบซิบนินทาคนอื่น ความเป็นไปแห่งเสียงซุบซิบนินทาคนอื่น
ไม่มีประโยชน์อย่างไร การบัญญัติของหมู่ชนอันเช่นกับเสียงซุบซิบอาทิผิด อักขระนินทาคน
อื่นก็อย่างนั้นแล. บทว่า กึ เต กริสฺสติ ความว่า การซุบซิบนินทาคนอื่นจัก
ทำประโยชน์เช่นไรให้สำเร็จแก่ท่านได้เล่า เพราะฉะนั้น ท่านจึงได้ให้โอวาท
ว่า ท่านจงละการบัญญัติว่าคน จงขวนขวายในประโยชน์ของตนเถิด.
พระเถระได้ฟังคำนั้นแล้ว เกิดความสลดใจตามคำอันระบายออกซึ่ง
ความหอมฟุ้งที่ท่านผู้อื่นได้กล่าวแล้ว ทำราตรีโดยมากให้ล่วงไปด้วยการจง-
กรมพยายามเจริญวิปัสสนา เข้าไปสู่ที่นอนและที่นั่ง พอนั่งบนเตียงเท่านั้น
ก็คิดว่า เราจะนอนพักผ่อนสักเล็กน้อย ดังนี้แล้วจึงยกเท้าขึ้นจากพื้นพอศีรษะ
ถึงหมอน ในขณะที่สรีระอยู่ในอากาศนั่นแล (อยู่ในท่าอิริยาบถ) ก็ได้
บรรลุพระอรหัต.
 
๗๒/๑๔๐/๔๖๐

วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 10, 2565

Praphruet

 
หลายย่อมไม่ตกถึงบุคคลนั้น คือว่าวัฏทุกข์ทั้งหลาย ย่อมไม่ตกไปเบื้องบน
บุคคลผู้นั้น. พระเถระชื่อว่า โมฆราชผู้ฉลาดในอนุสนธิ ฟังคาถาว่า ขีณาสว
ภิกษุละบัญญัติเสียแล้ว ดังนี้ มีสติกำหนดคาถาแม้เหล่านั้นแล้วจึงคิดว่า เนื้อ
ความแห่งคาถานี้ ไม่ไปตามอนุสนธิ ดังนี้ เมื่อจะสืบต่อแห่งอนุสนธิตามที่เป็น
ไปอย่างไร จึงกล่าวคำ อย่างนี้ว่า
ก็หากว่า พวกเทวดา พวกมนุษย์
ในโลกนี้ หรือในโลกอื่นก็ดี ไม่ได้เห็น
พระขีณาสพนั้นผู้อุดมกว่านรชน ผู้ประ-
พฤติประโยชน์เพื่อพวกนรชน ผู้พ้นแล้ว
อย่างนั้น เทวดาและมนุษย์เหล่าใด ย่อม
ไหว้พระขีณาสพนั้น เทวดาและมนุษย์
เหล่านั้นย่อมเป็นผู้อันบัณฑิตพึงสรรเสริญ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิธ วา หุรํ วา แปลว่า ในโลกนี้
หรือในโลกอื่น. บทว่า นรุตฺตมํ อตฺถจรํ นรานํ แปลว่า ผู้อุดมกว่านรชน
ผู้ประพฤติอาทิผิด อักขระประโยชน์ เพื่อนรชนทั้งหลายนั้น แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น พระ-
เถระก็มิได้หมายเอาพระขีณาสพอื่น หมายเอาพระทศพลเท่านั้น. บทว่า เย
ตํ นมสฺสนฺติ ปสํสิยา เต แปลว่า พวกเทวดาและมนุษย์เหล่าใด ย่อมไหว้
พระขีณาสพนั้นผู้พ้นแล้วอย่างนั้น อธิบายว่า ย่อมไหว้พระผู้มีพระภาคพระองค์
นั้น ด้วยกายหรือด้วยวาจาหรือว่า ด้วยการปฏิบัติตามโดยแท้ พวกเทวดาและ
มนุษย์เหล่านั้น พึงเป็นผู้อันบัณฑิตควรสรรเสริญหรือไม่ บทว่า ภิกษุ
เป็นคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกพระโมฆราชเถระ. บทว่า อญฺญาย ธมฺมํ
 
๒๔/๑๐๕/๑๘๕

วันพุธ, กุมภาพันธ์ 09, 2565

Chai

 
๗. วนโรปสูตร

ว่าด้วยเจริญบุญได้ทุกเวลา

[๑๔๕] เทวดาทูลถามว่า
ชนพวกไหนมีบุญ เจริญในกาลทุก
เมื่อทั้งกลางวันและกลางคืน ชนพวกไหน
ตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีลเป็นผู้ไป
สวรรค์.
[๑๔๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ชนเหล่าใดสร้างอาราม (สวนไม้
ดอกไม้ผล) ปลูกหมู่ไม้ (ใช้อาทิผิด อาณัติกะร่มเงา) สร้าง
สะพาน และชนเหล่าใดให้โรงน้ำเป็นทาน
และบ่อน้ำทั้งบ้านที่พักอาศัย ชนเหล่านั้น
ย่อมมีบุญ เจริญในกาลทุกเมื่อทั้งกลางวัน
และกลางคืน ชนเหล่านั้นตั้งอยู่ในธรรม
สมบูรณ์ด้วยศีล เป็นผู้ไปสวรรค์.

อรรถกถาวนโรปสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในวนโรปสูตรที่ ๗ ต่อไป ;-
บทว่า ธมฺมฏฺฐา สีลสมฺปนฺนา แปลว่า เทวดา ย่อมทูลถามว่า
ชนพวกไหนตั้งอยู่ในธรรมสมบูรณ์ด้วยศีล ดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อ
จะทรงแสดงปัญหานี้โดยวัตถุก่อน จึงตรัสว่า อารามโรปา เป็นอาทิ. บรรดา
 
๒๔/๑๔๖/๒๕๕

วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 08, 2565

Mahasan

 
ของกษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล หรือคฤหบดีมหาศาล
ไหนจะดีกว่ากัน.
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การยินดีอัญชลีกรรมของ
กษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล หรือคฤหบดีมหาศาลอาทิผิด อักขระ นี้ดีกว่า
ส่วนการที่บุรุษมีกำลังเอาหอกอันคมชะโลมน้ำมัน พุ่งใส่กลางอก
นี้เป็นทุกข์.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจะขอบอกเธอทั้งหลาย จะขอ
เตือนเธอทั้งหลาย การที่บุคคลผู้ทุศีล ฯลฯ เป็นดังหยากเยื่อ ยินดี
อัญชลีกรรมของกษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล หรือคฤหบดี-
มหาศาล จะดีอย่างไร การที่บุรุษกำลัง เอาหอกอันคมชะโลม
น้ำมัน พุ่งใส่กลางอก นั้นดีกว่า ข้อนั้นเพราะเหตุ เพราะเขา
จะพึงถึงความตายหรือทุกข์ปางตาย มีข้อนั้นเป็นเหตุ แต่ผู้นั้น
เมื่อตายไป ไม่พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะข้อนั้น
เป็นปัจจัย ส่วนการที่บุคคลผู้ทุศีล ฯลฯ เป็นดังหยากเยื่อ ยินดี
อัญชลีกรรมของกษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล หรือคฤหบดี-
มหาศาลนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหายมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์
สิ้นกาลนาน แก่บุคคลผู้ทุศีลนั้น และบุคคลผู้ทุศีลนั้น เมื่อตายไป
ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอ
ทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน การที่บุรุษมีกำลังเอาแผ่น
เหล็กแดงไฟกำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงนาบกายตัว กับการบริโภค
จีวรที่เขาถวายด้วยศรัทธา ของกษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล
หรือคฤหบดีมหาศาล ไหนจะดีกว่ากัน.
 
๓๗/๖๙/๒๖๓

วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 07, 2565

Aparantaka

 
พระรักขิตเถระ ผู้มีฤทธิ์มาก ไปยัง
วนวาสีชนบทแล้ว ได้ยืนอยู่บนอากาศ
กลางหาว แล้วแสดงอนมตักคิยกถา (แก่
มหาชน) ในวนวาสีชนบทนั้นแล.
[พระโยนกธรรมรักขิตเถระไปประกาศพระศาสนาที่อปรันตกอาทิผิด อักขระชนบท]
ฝ่ายพระโยนกธรรมรักขิตเถระ ไปยังอปรันตกชนบทแล้ว ให้ชน
ชาวอปรันตกชนบทเลื่อมใส ด้วยอัคคิขันธูปมสุตตันตกถาแล้ว ก็ให้สัตว์
ประมาณสามหมื่นเจ็ดพันดื่มอมตธรรม. บุรุษออกบรรพชา แต่ขัตติยตระกูล
หนึ่งพันคน. และสตรีออกบรรพชาหกพันถ้วน.พระเถระนั้นได้ประดิษฐาน
พระศาสนาให้ดำรงมั่นอยู่ในอปรันตกชนบทนั้นแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
พระโยนกธรรมรักขิตเถระ ย่างเข้า
สู่อปรันตกอาทิผิด อักขระชนบทแล้ว ก็ให้ชนเป็นอันมาก
ในอปรันตกชนบทนั่นเลื่อมใสแล้ว ด้วย
อัคคิขันธูปมสูตร แล.
[พระมหาธรรมรักขิตเถระไปประกาศพระศาสนาที่มหารัฐ]
ส่วนพระมหาธรรมรักขิตเถระ ไปยังมหารัฐชนบทแล้ว ให้ชนชาว
มหารัฐชนบทเลื่อมใส ด้วนมหานารทกัสสปชาดกกถา แล้ว ก็ให้สัตว์ประมาณ
แปดหมื่นสี่พันตั้งอยู่ในมรรคและผล. ประชาชนจำนวนหนึ่งหมื่นสามพันคน
บวชแล้ว. พระเถระนั้น ได้ประดิษฐานพระศาสนาให้ดำรงมั่นอยู่ในมหารัฐ
ชนบทนั้นแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
๑. องฺ สตฺตก. ๒๓/๑๒๙-๑๓๗. ๒-๓. สํ. นิทาน. ๑๖/๒๑๒-๒๒๘.
 
๑/๙/๑๑๖

วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 06, 2565

Khakkhanan

 
เสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว เสด็จประทับนั่งเหนือราชอาสน์ บนพื้นปราสาท
ใหญ่ริมสีหบัญชรไชยมีหมู่อำมาตย์แวดล้อม ทอดพระเนตรดูจันทมณฑลอัน
ทรงกลดอาทิผิด อักขระหมดราคีลอยเด่นอยู่ ณ พื้นคัคนานต์อาทิผิด อักขระอากาศ จึงมีพระราชดำรัสถาม
เหล่าอำมาตย์ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ราตรีอันบริสุทธิ์เช่นนี้น่ารื่นรมย์หนอ
วันนี้เราพึงเพลิดเพลินกันด้วยเรื่องอะไรดี.
พระศาสดาเมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้นได้ตรัสว่า
พระเจ้าอังคติผู้เป็นพระราชาของชนชาววิเทหรัฐ
พระองค์มีช้างม้าพลโยธามากมายเหลือที่จะนับ ทั้ง
พระราชทรัพย์ก็เหลือหลาย ก็คืนหนึ่งในวันเพ็ญขึ้น
๑๕ ค่ำ กลางเดือน ๑๒ ดอกโกมุทบาน ตอนปฐมยาม
พระองค์ทรงประชุมเหล่าอำมาตย์ราชบัณฑิต ผู้เป็น
พหูสูตเฉลียวฉลาด ผู้ทรงเคยรู้จัก ทั้งอำมาตย์ผู้ใหญ่
อีก ๓ นาย คือวิชัยอำมาตย์ ๑ สุนามอำมาตย์ ๑
อลาตอำมาตย์ ๑ แล้วจึงตรัสถามตามลำดับว่า เธอจง
แสดงความเห็นของตนมาว่า ในวันกลางเดือน ๑๒
เช่นนี้ พระจันทร์แจ่มกระจ่าง กลางคืนวันนี้ พวกเรา
จะยังฤดูเช่นนี้ให้เป็นไปด้วยความยินดีอะไร.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปหูตโยโค ความว่า พระองค์ ประกอบ
ด้วยพลช้างมากมายเป็นต้น. บทว่า อนนฺตพลโปริโส ได้แก่ พระองค์มี
พลโยธามากมายเหลือที่นับ. บทว่า อนาคเต ความว่า ยังไม่ถึง คือ ยังไม่ล่วง
ถึงที่สุด. บทว่า จาตุมาสา ได้แก่ ในราตรีอันเป็นวันสุดท้าย แห่งเดือนอัน
 
๖๔/๘๙๒/๒๓๓

วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 05, 2565

Yan

 
[๑๗๑๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดแลพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราได้
ตรัสรู้ทุกขอริยสัจ ...ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ตามความเป็นจริงแล้ว จัก
กระทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ ดังนี้ เป็นฐานะที่จะมีได้ เปรียบเหมือนผู้ใด
พึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราจักเอาใบบัว ใบทองกวาว หรือใบย่านทราย ห่อน้ำ
หรือตาลปัตรนำไป ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ ฉันใด ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า
เราได้ตรัสรู้ทุกขอริยสัจ. ..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ตามความเป็นจริง
แล้ว จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ ดังนี้ เป็นฐานะที่จะมีได้ ฉันนั้น
เหมือนกัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำ
ความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
จบขทิรสูตรที่ ๒

อรรถกถาขทิรสูตร

พึงทราบอธิบายในขทิรสูตรที่ ๒.
คำว่า ไม่ได้ตรัสรู้แล้ว คือไม่บรรลุแล้ว และไม่แทงตลอดแล้ว
ด้วยญาณอาทิผิด อักขระ
จบอรรถกถาขทิรสูตรที่ ๒
 
๓๑/๑๗๑๕/๔๕๑

คลังบทความของบล็อก