พระวินัยปิฎก
เล่ม ๒
มหาวิภังค์ ทุติยภาค
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปาจิตติยกัณฑ์อาทิผิด อักขระ
ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๑
มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๑
เรื่องพระหัตถกะ ศากยบุตร
[๑๗๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นพระ
หัตถกะ ศากยบุตรเป็นคนพูดสับปลับ ท่านเจรจาอยู่กับพวกเดียรถีย์ กล่าว
ปฏิเสธแล้วรับ กล่าวรับแล้วปฏิเสธ เอาเรื่องอื่นกลบเกลื่อนเรื่องอื่น กล่าวเท็จ
ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ พูดนัดหมายไว้แล้ว ทำให้คลาดเคลื่อน.
พวกเดียรถีย์พากันเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน พระหัตถกะ
ศากยบุตรเจรจาอยู่กับพวกเรา จึงได้กล่าวปฏิเสธแล้วรับ กล่าวรับแล้วปฏิเสธอาทิผิด อักขระ
เอาเรื่องอื่นกลบเกลื่อนเรื่องอื่น กล่าวเท็จทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ พูดนัดหมายไว้แล้ว
ทำให้คลาดเคลื่อนเล่า.
๔/๑๗๓/๑
ตติยสมันตปาสาทิกา อรรถกถาพระวินัยปิฎก
มหาขันธกวรรณนา มหาวรรค
อปโลกถา
พระมหาเถระทั้งหลาย ผู้รู้เนื้อความในขันธกะ ได้สังคายนาขันธกะ
อันใด เป็นลำดับแห่งการสังคายนาปาติโมกข์ทั้ง ๒. บัดนี้ถึงลำดับอาทิผิด อักขระสังวรรณนา
แห่งขันธกะนั้นแล้ว, เพราะฉะนั้น สังวรรณนานี้จึงเป็นแต่อธิบายความยังไม่
ชัดเจนแห่งขันธกะนั้น, เนื้อความเหล่าใด แห่งบทเหล่าใด ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ได้ประกาศแล้วในบทภาชนีย์ ถ้าว่าข้าพเจ้าจะต้องกล่าวซ้ำเนื้อความเหล่านั้น
แห่งบทเหล่านั้นอีกไซร้, เมื่อไรจักจบ. ส่วนเนื้อความเหล่าใดชัดเจนแล้ว จะมี
ประโยชน์อะไรด้วยการสังวรรณนาเนื้อความเหล่านั้น. ก็แลเนื้อความเหล่าใด
ยังไม่ชัดเจน ด้วยอธิบายและอนุสนธิ และด้วยพยัญชนะ เนื้อความเหล่านั้น
ไม่พรรณนาไว้ใคร ๆ ก็ไม่สามารถจะทราบได้. เพราะฉะนั้น จึงมีสังวรรณนา
นัยเนื้อความเหล่าอาทิผิด อักขระนั้น ดังนี้:-
อรรถกถาโพธิกถา
ในคำว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา อุรุเวลายํ วิหรติ นชฺชา
เนรญฺชราย ตีเร โพธิรุกฺขมูเล ปฐมาภิสมฺพุทฺโธ นี้.
ถึงจะไม่มีเหตุพิเศษเพราะตติยาวิภัตติ เหมือนในคำที่ว่า เตน สม-
เยน พุทฺโธ ภควา เวรญฺชยํ เป็นต้น ก็จริงแล, แต่โวหารนี้ ท่านยก
ขึ้นด้วยตติยาวิภัตติเหมือนกัน เพราะเพ่งวินัย เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาพึง
๖/๓/๗
บทว่า มีสัมปชัญญะ มีนิเทศว่า สัมปชัญญะ เป็นไฉน ?
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า มีสัมปชัญญะ.
บทว่า มีสติ มีนิเทศว่า สติ เป็นไฉน ?
สติ ความตามระลึก ฯลฯ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า มีสติ.
บทว่า กำจัดอภิชฌาและโทมนัสเสียได้ในโลก มีนิเทศว่าโลก
เป็นไฉน ?
เวทนานั้นเอง ชื่อว่าโลก แม้อุปาทานขันธ์อาทิผิด ๕ ก็ชื่อว่า โลก
นี้เรียกว่าโลก.
อภิชฌา เป็นไฉน ?
ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ ความกำหนัดนักแห่งจิต อัน
ใดนี้เรียกว่า อภิชฌา.
โทมนัส เป็นไฉน ?
ความไม่สบายทางใจ ความทุกข์ทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สบาย
เป็นทุกข์อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาที่เสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์อันเกิด
แต่เจโตสัมผัส อันใด นี้เรียกว่า โทมนัส.
อภิชฌาและโทมนัสดังกล่าวมานี้ ถูกกำจัด ถูกกำจัดราบคาบ สงบ
ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่างราบคาบ ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำ
ให้พินาศไปอย่างราบคาบ ถูกทำไห้เหือดแห้งด้วยดี ถูกทำให้มีที่สุดปราศไป
แล้ว ในโลกนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า กำจัดอภิชฌาและโทมนัสเสียได้ในโลก.
เวทนานุปัสสนานิทเทส จบ
๗๘/๔๔๔/๙
ทุติยวรรคที่ ๒
๑. กูปนิมุคคสูตร
ว่าด้วยบุรุษจมหลุมคูถ
[๖๕๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน กลัน-
ทกนิวาปสถาน กรุงราชคฤห์ ฯ ล ฯ ท่านมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า
เมื่อผมลงมาจากภูเขาคิชฌกูฏได้เห็นบุรุษจมอยู่ในหลุมคูถจนมิดศีรษะอาทิผิด สระ ฯลฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์นี้ได้เป็นคนทำชู้กับภรรยาของผู้อื่น อยู่ใน
กรุงราชคฤห์นี้เอง ฯ ล ฯ.
จบกูปนิมุคคสูตรที่ ๑
[พึงทำเปยยาลอย่างนั้น]
ทุติยวรรคที่ ๒
อรรถกถากูปนิมุคคสูตรที่ ๑
วรรคที่ ๒ สูตรที่ ๑ เรื่องชายทำชู้กับภรรยาของผู้อื่น มีวินิจฉัย
ดังต่อไปนี้.
สัตว์นั้นถูกต้องผัสสะหญิงมีสามี ซึ่งคนอื่นรักษาคุ้มครอง มีจิตยินดี
๒๖/๖๕๐/๗๑๖
มโนรถปูรณี อรรถกถาอังคุตตรนิกาย
อรรถกถาเอกนิบาต
อารัมภกถา
ข้าพเจ้า (พระพุทธโฆสาจารย์) ขอไหว้
พระสุคต ผู้หลุดพ้นจากคติ ผู้มีพระทัยเยือกเย็น
ด้วยพระกรุณา ผู้มีมืดคือโมหะ อันแสงสว่าง
แห่งปัญญาขจัดแล้ว ผู้เป็นครูของชาวโลก
พร้อมทั้งมนุษย์และเทวดา
พระพุทธเจ้าทรงเจริญและทำให้แจ้งคุณ
เครื่องเป็นพระพุทธเจ้า เข้าถึงธรรมใดอัน
ปราศจากมลทิน ข้าพเจ้าขอไหว้ธรรมนั้น อัน
ยอดเยี่ยม.
ข้าพเจ้าขอไหว้ ด้วยเศียรเกล้าซึ่งพระ
อริยสงฆ์ทั้ง ๘ ผู้เป็นโอรสของพระตถาคตเจ้า
ผู้ย่ำยีเสียอาทิผิด สระซึ่งกองทัพมาร.
บุญใดสำเร็จด้วยการไหว้พระรัตนตรัย ของข้าพเจ้าผู้มีจิต
เลื่อมใสดังกล่าวมาฉะนี้ ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่อานุภาพแห่งบุญนั้น ช่วยขจัด
อันตรายแล้ว จักถอดภาษาสีหลออกจากคัมภีร์อรรถกถา ซึ่งพระ
๓๒/๑๑/๔
ชาวบ้านพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ทรงบัญญัติห้ามว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวมรองเท้าสีเขียวล้วน ไม่พึงสวมรองเท้าสี
เหลืองล้วน ไม่พึงสวมรองเท้าสีแดงล้วน ไม่พึงสวมรองเท้าสีบานเย็นล้วน
ไม่พึงสวมอาทิผิด อักขระรองเท้าสีดำล้วน ไม่พึงสวมรองเท้าสีแสดล้วน ไม่พึงสวมรองเท้า
สีชมพูล้วน รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธบัญญัติห้ามสวมรองเท้ามีหูไม่สมควร
สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สวมรองเท้ามีหูสีเขียว . . . สวมรองเท้ามีหูสี
เหลือง . . . สวมรองเท้ามีหูสีแดง . . . สวมรองเท้ามีหูสีบานเย็น . . . สวมรองเท้า
มีหูสีดำ . . . สวมรองเท้ามีหูสีแสด . . .สวมรองเท้ามีหูสีชมพู ชาวบ้านพากัน
เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลาย
จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ทรงบัญญัติห้ามว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวมรองเท้ามีหูสีเขียว ไม่พึงสวมรองเท้ามีหูสีเหลือง ไม่
พึงสวมรองเท้ามีหูสีแดง ไม่พึงสวมรองเท้ามีหูสีบานเย็น ไม่พึงสวมอาทิผิด อาณัติกะรองเท้ามี
หูสีดำ ไม่พึงสวมรองเท้ามีหูสีแสด ไม่พึงสวมรองเท้ามีหูสีชมพู รูปใดสวม
ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธบัญญัติทรงห้ามสวมรองเท้าบางชนิด
สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สวมรองเท้าติดแผ่นหนังหุ้มส้น. . . สวมรอง
เท้าหุ้มแข้ง . . .สวมรองเท้าปกหลังเท้า . . . สวมรองเท้ายัดนุ่น. . . สวมรองเท้ามี
หูลายคล้ายขนปีกนกกระทา. . .สวมรองเท้าที่ทำหูงอนมีสัณฐานดุจเขาแกะ. . .
สวมรองเท้าที่ทำหูงอนมีสัณฐานดุจเขาแพะ . . . สวมรองเท้าที่ทำประกอบหูงอน
๗/๖/๑๔
แม้บทว่า จีวรํ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ เป็นต้น ก็ฉันนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า
ไม่ได้ตรัสบทภาชนะไว้ เพราะมีอรรถตื้นทั้งนั้น.
บทว่า อาภฏํ แปลว่า นำมาแล้ว .
สองบทว่า กาเลน กปฺปิยํ คือ โดยกาลอันถึงความสมควร.
ความว่า พวกเราจะรับจีวรที่ควรในเวลาพวกเรามีความต้องการ.
บทว่า เวยฺยาวจฺจกโร ได้แก่ ผู้ทำกิจ, ความว่า กัปปิยการก
(ผู้ทำของให้สมควร).
ข้อว่า สญฺญตฺโต โส มยา มีความว่า คนที่ท่านแสดงเป็น
ไวยาวัจกรอาทิผิด นั้น ข้าพเจ้าสั่งให้เข้าใจแล้ว คือ สั่งโดยประการที่เมื่อท่านมี
ความต้องการด้วยจีวรเขาจะถวายจีวรแก่ท่าน.
คำว่า อตฺโถ เม อาวุโส จีวเรน นี้ เป็นคำแสดงลักษณะแห่ง
การทวง (ด้วยวาจา). จริงอยู่ คำสำนวนนี้ ควรกล่าว, อีกอย่างหนึ่ง
อรรถแห่งคำว่า อาวุโส ! รูปมีความต้องการด้วยจีวรนั้น ควรกล่าวด้วย
ภาษาหนึ่ง. ลักษณะนี้ ชื่อว่าลักษณะแห่งการทวง. ส่วนคำว่า จงให้
จีวรแก่รูป เป็นต้น ตรัสไว้เพื่อแสดงอาการที่ไม่ควรกล่าว. จริงอยู่
คำเหล่านี้ หรือเนื้อความของคำเหล่านี้ไม่ควรกล่าวด้วยภาษาใดภาษาหนึ่ง.
ข้อว่า ทุติยํปิ วตฺตพฺโพ ตติยํปิ วตฺตพฺโพ มีความว่า ไวยาวัจกร
นั้น อันภิกษุพึงกล่าวคำนี้แลถึง ๓ ครั้งว่า อาวุโส ! รูปมีความต้อง
การจีวร.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงกำหนดการทวง ที่ยกขึ้นแสดง
ในคำว่า พึงทวงพึงเตือนสองสามครั้ง อย่างนี้แล้ว บัดนี้เมื่อจะทรง
แสดงใจความโดยสังเขปแห่งบทเหล่านี้ว่า ทฺวิตฺติกฺขตฺตุํ โจทยมาโน
๓/๗๓/๘๕๖
ภูตญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ สุขมีสมาธิเป็นผล มีสมาธิเป็นอานิสงส์
ปัสสัทธิมีสุขเป็นผล มีสุขเป็นอานิสงส์ ปีติมีปัสสัทธิเป็นผล มีปัสสัทธิ
เป็นอานิสงส์ ปราโมทย์มีปีติเป็นผล มีปีติเป็นอานิสงส์ อวิปปฏิสารอาทิผิด อักขระ
มีปราโมทย์เป็นผล มีปราโมทย์เป็นอานิสงส์ ศีลที่เป็นกุศลมีอวิปปฏิสาร
เป็นผล มีอวิปปฏิสารเป็นอานิสงส์ ด้วยประการดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้ง-
หลาย ธรรมทั้งหลายย่อมหลั่งไหลไปสู่ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายย่อม
ยังธรรมทั้งหลายให้บริบูรณ์ เพื่อจากเตภูมิกวัฏอันมิใช่ฝั่ง ไปถึงฝั่งคือ
นิพพาน ด้วยประการดังนี้แล.
จบเจตนาสูตรที่ ๒
อรรถกถาเจตนาสูตรที่ ๒
เจตนาสูตรที่ ๒ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า น เจตนาย กรณียํ ได้แก่ไม่คิด กะ กำหนดกระทำ. บทว่า
ธมฺมตา เอสา ได้แก่ นั่นเป็นสภาวธรรม นี้เป็นนิยมแห่งเหตุ. บทว่า
อภิสนฺเทนฺติ ได้แก่ให้เป็นไป. บทว่า ปริปูเรนิติ ได้แก่ ทำให้บริบูรณ์.
บทว่า อปราปรํ คมนาย ได้แก่ เพื่อประโยชน์แก่การไปยังฝั่งโน้น
คือพระนิพพาน จากวัฏฏะที่เป็นไปในภูมิ ๓ ซึ่งเป็นฝั่งนี้.
จบอรรถกถาเจตนาสูตรที่ ๒
๓. สีลสูตร
ว่าด้วยอวิปปฏิสารไม่มีแก่ผู้ทุศีล มีแก่ผู้มีศีลสมบูรณ์
[๓] พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อวิปปฏิสารชื่อว่ามีเหตุอันบุคคล
ผู้ทุศีลมีศีลวิบัติขจัดเสียแล้ว เมื่ออวิปปฏิสารไม่มี ปราโมทย์ไม่มี ปีติชื่อว่า
๓๘/๓/๖
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้การกระทำของ
โมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของผู้ที่ยังไม่เลื่อมใส
และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของคนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
ทรงแสดงโทษและคุณแล้วให้ทำตัชชนียกรรม
[๓] ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงติเตียนภิกษุพวกพระปัณฑุกะ
และพระโลหิตกะ โดยอเนกปริยายแล้ว จึงตรัสโทษแห่งความเป็นคน
เลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่
สันโดษ ความคลุกคลีความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย
ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความ
กำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภอาทิผิด ความเพียร โดย
อเนกปริยาย แล้วทรงทำธรรมมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่
เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล สงฆ์จงทำตัชชนียกรรมแก่ภิกษุพวกพระ
ปัณฑุกะและพระโลหิตกะ.
วิธีทำตัชชนียกรรม
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลวิธีทำตัชชนียกรรม พึงทำอย่างนี้ คือ
ชั้นต้นพึงโจทภิกษุพวกพระปัณฑุกะและพระโลหิตกะ ครั้นแล้ว พึงให้พวก
เธอให้การ แล้วพึงปรับอาบัติ ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึง
ประกาศให้สงฆ์ทราบ ด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
๘/๓/๔
ที่กลางแจ้ง เรากั้นร่มขาวเดินทางไป ได้เห็นพระสัม-
พุทธเจ้าเข้าไปกลางแจ้งนั้น แล้วเกิดความคิดขึ้นว่า ภูมิ-
ภาคถูกพยับแดดแผ่คลุม แผ่นดินนี้จึงเป็นเหมือนถ่าน
เพลิง พายุใหญ่ทำสรีรกายให้ลอยขึ้นได้ตั้งขึ้นอยู่ หนาว
ร้อน ย่อมทำให้ลำบาก ขอได้โปรดรับร่มนี้อันเป็นเครื่อง
ป้องกันลมและแดดเถิด ข้าพระองค์จักสัมผัสพระนิพพาน
พระชินเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตระ ผู้ทรงอนุเคราะห์
ประกอบด้วยพระกรุณา มีพระยศใหญ่ ทรงทราบความ
ดำริของเราแล้ว ทรงรับไว้ในกาลนั้น เราจักเป็นจอม
เทวดา เสวยราชสมบัติในเทวโลก ๓๐ กัป ได้เป็นพระ-
เจ้าจักรพรรดิราช ๕๐๐ ครั้ง และได้เป็นเจ้าประเทศราช
อันไพบูลย์โดยคณานับมิได้ เราได้เสวยกรรมของตนซึ่ง
ก่อสร้างไว้ดีแล้วในปางก่อน นี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา
ภพที่สุดกำลังเป็นไปอยู่ ถึงทุกวันนี้ชนทั้งหลายก็พากัน
กั้นเศวตฉัตรให้เราตลอดกาลทุกเมื่อ ในแสนกัปแต่ภัทร-
กัปนี้ เราได้ถวายร่มนั้นไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง
การถวายร่ม เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว... ฯลฯ ... พระ-
พุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ก็แลครั้นท่านบรรลุอาทิผิด พระอรหัตแล้ว ได้พยากรณ์พระอรหัตผล โดย
ระบุข้อปฏิบัติของตนขึ้นเป็นประธานด้วย ๔ คาถาว่า
เราเดินทางเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร ได้เห็นหญิง
ฟ้อนรำคนหนึ่ง ตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องอาภรณ์นุ่งห่ม
๕๒/๓๒๓/๓
มัน ทั้งไม่เค็มให้หมด พร้อมกับภาชนะ.
ครั้นได้ให้หมากเม่าแก่อินทพราหมณ์นั้นแล้ว
เราจึงคว่ำภาชนะ ละการแสวงหาใบหมากเม่าอาทิผิด
ใหม่ เข้าไปยังบรรณศาลา แม้ในวันที่ ๒
แม้ในวันที่ ๓ อินทพราหมณ์ก็เข้ามายังสำนัก
ของเรา เราไม่หวั่นไหว ไม่อาลัยในชีวิต ได้
ให้หมดสิ้นเช่นวันก่อนเหมือนกัน ในสรีระ
ของเราไม่มีความหมองศรีเพราะการอดอาหาร
นั้นเป็นปัจจัย เรายังวันนั้น ๆ ให้น้อมล่วง
ไปด้วย ปีติ สุข และความยินดี ถ้าเรา
พึงได้ทักขิไณยบุคคลผู้ประเสริฐ แม้เดือน
หนึ่งสองเดือนเราก็ไม่หวั่นไหว ไม่ท้อแท้ใจ
พึงให้ทานอันอุดม เมื่อให้ทานแก่ อินทพราหมณ์
นั้น เราจะได้ปรารถนายศและลาภก็หามิได้
เราปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณเท่านั้น จึง
ได้ประพฤติกรรมเหล่านั้น ฉะนี้.
จบอกิตติจริยาที่ ๑
๗๔/๑/๒
ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่าน
ผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
ข้าพเจ้ากล่าวความนี้แม้ครั้งที่สาม ท่านเจ้าข้า ขอ
สงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุพวกพระปัณฑุกะและพระโลหิตกะ
นี้ เป็นผู้ก่อความบาดหมาง.... ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ ด้วยตน
เอง ได้เข้าไปหาภิกษุพวกอื่นที่ร่วมก่อความบาดหมาง.......
ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ด้วยกัน แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้ง
หลาย ผู้นั้นอย่าได้ชนะพวกท่าน พวกท่านจงโต้ตอบถ้อย
คำให้แข็งแรง เพราะพวกท่านเป็นผู้ฉลาด เฉียบแหลม
คงแก่เรียน และสามารถว่าเขา อย่ากลัวเขาเลย แม้พวก
ผมจักเป็นฝักฝ่ายของพวกท่าน โดยวิธีนั้น ความบาด
หมาง ที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็น
ไปเพื่อความเพิ่มพูนแผ่กว้างออกไป สงฆ์ทำตัชชนียกรรม
แก่ภิกษุพวกพระปัณฑุกะและพระโลหิตกะ การทำตัชชนีย
กรรมแก่ภิกษุพวกพระปัณฑุกะและพระโลหิตกะ ชอบแก่
ท่านผู้ใด ท่านผู้อาทิผิด อาณัติกะนั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่าน
ผู้นั้นพึงพูด.
ตัชชนียกรรม สงฆ์ทำแล้วแก่ภิกษุพวกพระปัณฑุ-
กะและพระโลหิตกะ ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้า
ทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
๘/๓/๗
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปมาในเทวโลกและมนุษยโลก มา
ในพุทธุปบาทกาลนี้ จึงได้เกิดเป็นบุตรของชาวประมง ผู้เป็นหัวหน้าของคนอาทิผิด อักขระ
๕๐๐ สกุล ในหมู่บ้านของชาวประมง ใกล้ประตูพระนครสาวัตถี. มารดาบิดา
ได้ขนานนามท่านว่า ยโสชะ. ท่านเจริญวัยแล้ว ได้ไปลงอวนที่แม่น้ำอจิรวดี
เพื่อจะเอาปลาพร้อมกับลูกชาวประมง ที่เป็นเพื่อนของตน. บรรดาปลาเหล่านั้น
ปลาใหญ่ตัวหนึ่ง มีสีเหมือนทองเข้าอวน. ชาวประมงเหล่านั้น พากันเอาปลา
ไปให้พระเจ้าปเสนทิโกศล ทอดพระเนตร. พระองค์ตรัสว่า พระผู้มี-
พระภาคเจ้า (เท่านั้น) จึงจะทรงทราบเหตุแห่งสีของปลาสีทองตัวนี้ แล้ว
ทรงให้พวกเขาเอาปลาไปให้พระผู้มีพระภาคเจ้า ทอดพระเนตร. พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสว่า ปลาตัวนี้ เมื่อพระศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า
เสื่อมถอยลง บวชแล้วปฏิบัติผิด ทำให้ศาสนาเสื่อมถอยลง (มรณภาพแล้ว)
ไปเกิดในนรก ไหม้อยู่ในนรกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง จุติจากนรกนั้นแล้ว จึงมา
เกิดเป็นปลาในแม่น้ำอจิรวดี แล้วทรงให้ปลานั้นนั่นเอง บอกความที่เขาและ
น้องของเขาเกิดในนรก และบอกความที่พระเถระผู้เป็นพี่ชายของเขาปรินิพพาน
แล้ว จึงทรงแสดงกบิลสูตร เพราะเกิดเรื่องนี้ขึ้น.
นายยโสชะ ครั้นได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว เกิด
สังเวชสลดใจ จึงได้บวชในสำนักของพระศาสดา พร้อมด้วยสหายของตน
พักอยู่ ณ ที่ ๆ สมควร อยู่มาวันหนึ่ง เป็นผู้มีบริวารได้ไปยังพระเชตวัน
เพื่อถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า. ในการมาของท่าน ได้มีเสียงอึกทึกคึก
โครมไปด้วยการปูเสนาสนะเป็นต้น ในวิหาร ผู้ศึกษาควรทราบเรื่องทั้งหมด
โดยนัยที่มีมาแล้วในคัมภีร์อุทานว่า พระศาสดาครั้นได้ทรงสดับเสียงนั้นแล้ว
ได้ทรงประณามท่านยโสชะ พร้อมด้วยบริวาร ส่วนท่านยโสชะผู้ถูกประณาม
๕๑/๓๑๕/๒๗๓
งามรุ่งเรือง ลงนั่งอยู่ในเรือ ท่านมีคิ้วโก่งอาทิผิด อาณัติกะดำดี
มีหน้ายิ้มแย้ม พูดจาน่ารักใคร่ มีอวัยวะทั้งปวง
งามรุ่งเรืองยิ่งนัก. วิมานนี้ปราศจากละอองธุลี
ตั้งอยู่ที่ภาคพื้นอันราบเรียบ มีสวนนันทนวันอัน
ให้เกิดความยินดี เพลิดเพลินเจริญใจ ดูก่อน
นารีผู้มีร่างน่าดูน่าชม เราปรารถนาเพื่อจะอยู่
บันเทิงกับท่าน ในสวนนันทนวันของท่านนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตตฺถ ประโยคว่าในวิมานนั้น. บทว่า
อจฺฉสิ ได้แก่ ท่านนั่งอยู่ในเวลาที่ปรารถนาแล้ว ๆ. มาณพเรียก
นางเปรตนั้นว่า เทวิ. บทว่า มหานุภาเว ได้แก่ ผู้ประกอบด้วย
อานุภาพทิพย์อันใหญ่. บทว่า ปถทฺธนิ ได้แก่ ทางไกลอันเป็น
ทางของตน อธิบายว่า ทางพื้นอากาศ. บทว่า ปณฺณรเสว จนฺโท
ความว่า โชติช่วงอยู่ ดุจพระจันทร์อันมีดวงบริบูรณ์ในวันเพ็ญ.
บทว่า วณฺโณ จ เต กนกสฺส สนฺนิโก ความว่า ก็ผิวพรรณ
ของท่านดุจทองสิงคีอาทิผิด อักขระอันสุกปลั่ง น่ารื่นรมย์ใจยิ่งนัก. ด้วยเหตุนั้น
มาณพจึงกล่าวว่า มีรูปอันอุดมน่าดูน่าชมยิ่งนัก. บทว่า อตุเล
ได้แก่ อันควรค่ามาก. อีกอย่างหนึ่ง คำว่า อตุเล เป็นคำเรียก
เทวดา อธิบายว่า มีรูปไม่มีใครเหมือน. บทว่า นตฺถิ จ ตุยฺห สามิโก
ความว่า ก็สามีของท่านไม่มีหรือ.
บทว่า ปหูตมลฺยา ได้แก่ มีดอกไม้หลายชนิด มีดอกบัวเป็นต้น.
บทว่า สุวณฺณจุณฺเณหิ แปลว่า ด้วยทรายทอง. บทว่า สมนฺตโมตฺถตา
๔๙/๑๑๓/๓๘๘
๔. รุกขธัมมชาดก
ต้นไม้โดดเดี่ยวย่อมแพ้ลม
[๗๔] “หมู่ญาติยิ่งมีมากได้ ยิ่งดี แม้ถึงไม้เกิด
ในป่า เป็นหมวดหมู่ได้เป็นดี (เพราะ) ต้นไม้ที่
ตั้งอยู่โดดเดี่ยว แม้จะใหญ่โต เป็นเจ้าป่า ย่อม
ถูกลมแรง โค่นลงได้”
จบ รุกขธัมมชาดกที่ ๔
อรรถกถารุกขธัมมชาดกอาทิผิด อักขระที่ ๔
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงทราบความพินาศใหญ่ กำลังจะเกิดแก่พระญาติทั้งหลาย
ของพระองค์ เพราะทะเลาะกันเรื่องน้ำ ก็เสด็จเหาะไปในอากาศ
ประทับนั่งโดยบัลลังก์ เบื้องบนแม่น้ำโรหิณี ทรงเปล่งรัศมี
สีขาบ ให้พระญาติทั้งหลายสลดพระทัย แล้วเสด็จลงจากอากาศ
ประทับนั่ง ณ ฝั่งแม่น้ำ ทรงปรารภการทะเลาะนั้น ตรัสพระ-
ธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า สาธุ สมฺพหุลา ญาตี ดังนี้.
ในชาดกที่ยกมานี้เป็นสังเขปนัย ส่วนวิตถารอาทิผิด อักขระนัยจักปรากฏ
แจ้งในกุณาลชาดก ก็และในครั้งนั้น พระศาสดาตรัสเรียก
พระญาติทั้งหลายมาตรัสว่า มหาบพิตรทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย
๕๖/๗๔/๑๙๙
ในการที่แม่โค ของคนเลี้ยงโค เที่ยววิ่งไปมา
หรือร่ำร้องอยู่นี้ เป็นความผิดอะไร ของพระเจ้า
พรหมทัตเล่า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปพฺภเมยฺย รเวยฺย วา ความว่า
(สัตว์เลี้ยง) ก็ต้องวิ่งไปมาได้ หรือร่ำร้องได้ อธิบายว่า พ่อเอย ธรรมดา
สัตว์เลี้ยง เมื่อเจ้าของพิทักษ์รักษาอยู่ มันก็วิ่งได้ ไม่กินหญ้าได้ ในข้อนี้
จะเป็นความผิดอะไรของพระราชาเล่า.
ลำดับนั้น เด็กชาวบ้าน ได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า
ดูก่อนมหาพราหมณ์ ความผิดของพระเจ้าพรหม-
ทัต มีแน่ เพราะชาวชนบท พระเจ้าพรหมทัตมิได้
พิทักษ์รักษา ถูกเจ้าหน้าที่กดขี่ ด้วยภาษีอันไม่ชอบ
ธรรม.
กลางคืนก็ถูกโจรปล้น กลางวันถูกเจ้าหน้าที่กด
ขี่ ด้วยภาษีอาทิผิด สระอันไม่ชอบธรรม ในแคว้นของพระราชา
โกง มีคนอาธรรม์มากนาย ลูกโคของพวกเรายังดื่ม
นมอยู่ ก็ต้องถูกฆ่าตาย เพราะต้องการฝักดาบอย่าง
ไรล่ะ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหาพฺรเหฺม ได้แก่ มหาพราหมณ์.
บทว่า ราชิโน ได้แก่ ของพระราชา. บทว่า กถํ โน ความว่า อย่าง
ไรเล่า คือ เพราะเหตุชื่อไร ? บทว่า ขีรปา หญฺญเต ปชา ความว่า
เด็กทั้งหลายด่าพระราชาว่า ลูกโคที่ยังดื่มนมอยู่ ถูกพวกเจ้าหน้าที่เหล่านั้นฆ่า
ด้วยอำนาจของพระราชาลามก แม่โคนมนั้นร่ำร้องหาลูกอยู่เดี๋ยวนี้ ขอพระ
ราชานั้น จงปริเทวนาการ เหมือนแม่โคนมเถิด.
๖๑/๒๔๓๗/๕๓๓
สมควร. ก็บรรดาเครื่องประดับ ภัณฑะที่เป็นกัปปิยะ มีเครื่องประดับศีรษะ
เป็นต้น อันมาตุคามถวายว่า ท่านเจ้าคะ ขอพระคุณท่านโปรดรับสิ่งนี้
เถิด ภิกษุควรรับไว้ เพื่อเป็นเครื่องใช้ มีฝักมีดโกนและเข็มเป็นต้น.
ส่วนภัณฑะที่ทำด้วยทอง เงิน และแก้วมุกดาเป็นต้น เป็นอนามาสแท้
ถึงแม้เขาถวาย ก็ไม่ควรรับ.
อนึ่ง มิใช่แต่เครื่องประดับที่สวมร่างกาย ของหญิงเหล่านั้น
อย่างเดียวเท่านั้น จะเป็นอนามาส. ถึงรูปไม้ก็ดี รูปงาก็ดี รูปเหล็กก็ดี
รูปดีบุกก็ดี รูปเขียนก็ดี รูปที่สำเร็จด้วยรัตนะทุกอย่างก็ดี ที่เขากระทำ
สัณฐานแห่งหญิง ชั้นที่สุดแม้รูปที่ปั้นด้วยแป้ง ก็เป็นอนามาสทั้งนั้น.
แต่ได้ของที่เขาถวายว่า สิ่งนี้จงเป็นของท่าน เว้นของที่สำเร็จด้วยรัตนะ
ทุกอย่าง ทำลายรูปที่เหลือ น้อมเอาสิ่งที่อาทิผิด อักขระควรเป็นเครื่องอุปกรณ์เข้าใน
เครื่องอุปกรณ์ และสิ่งที่ควรใช้สอย เข้าในของสำหรับใช้สอยเพื่อ
ประโยชน์แก่การใช้สอย ควรอยู่.
อนึ่ง แม้ธัญชาติ ๗ ชนิด ก็เป็นอนามาสเช่นเดียวกับรูปสตรี
ฉะนั้น. เพราะฉะนั้น เมื่อเดินไปกลางทุ่งนา อย่าเดินจับต้องเมล็ด
ธัญชาติแม้ที่เกิดอยู่ในทุ่งนานั้นไปพลาง. ถ้ามีธัญชาติที่เขาตากไว้
ที่ประตูเรือน หรือที่หนทาง และด้านข้างมีทางเดิน อย่าเดินเหยียบ
ย่ำไป. เมื่อทางเดินไม่มี พึงอธิษฐานให้เป็นทางแล้วเดินไปเถิด. คน
ทั้งหลายปูลาดอาสนะถวายบนกองธัญชาติในละแวกบ้าน จะนั่งก็ควร.
ชนบางพวกเทธัญชาติกองไว้ในโรงฉัน ถ้าอาจจะให้นำออกได้ ก็พึง
ให้นำออก ถ้าไม่อาจ อย่าเหยียบย่ำธัญชาติ พึงตั้งตั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง
๓/๓๙๖/๑๗๔
พระศาสดาผู้เป็นเยี่ยมในโลก ทรงทราบ
ความดำริของเราแล้ว ได้เข้ามาหาเราด้วยฤทธิ์
ทางพระกายอันสำเร็จแต่พระหฤทัย พระองค์ได้
ทรงแสดงธรรมอันยิ่งกว่าความดำริของเราเท่าที่
ดำริไว้ พระพุทธเจ้าผู้ยินดีแล้วในธรรมอันไม่เป็น
เหตุให้เนิ่นช้า ได้ทรงแสดงซึ่งธรรมอาทิผิด อักขระอันเป็นเหตุ
ให้เนิ่นช้า เราได้รู้ทั่วถึงธรรมของพระองค์แล้ว
ยินดีในศาสนาอยู่ เราได้บรรลุวิชชา ๓ แล้วโดย
ลำดับ คำสอนของพระพุทธเจ้าเรากระทำแล้ว
จบ อนุรุทธะอาทิผิด สระสูตรที่ ๑๐
จบ คหปติวรรคที่ ๓
อรรถกถาอนุรุทธสูตรที่ ๑๐
อนุรุทธสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า เจตีสุ ความว่า ในรัฐอันได้ชื่ออย่างนั้น เพราะรัฐนั้น
เป็นที่ประทับอยู่ของเจ้าทั้งหลาย พระนามว่าเจตี. บทว่า ปาจีนวํสทาเย
ความว่า ที่ป่าวังสทายะ อันตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก แต่ที่ประทับ
อยู่ของพระทศพล อันเป็นราวป่าดารดาษอาทิผิด อักขระไปด้วยไม้ไผ่มีสีเขียว.
๓๗/๑๒๐/๔๖๕
๒. ทุททุภายชาดก
ว่าด้วยพวกกระต่ายตื่นตูม
[๕๘๖] ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน ข้าพเจ้าอยู่
ในประเทศใด ประเทศนั้นทำเสียงว่าทุททุภะ
แม้ข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้เสียงลั่นนั้นว่า อะไรทำ
ให้เกิดเสียงว่าทุททุภะ.
[๕๘๗] กระต่ายได้ยินผลมะตูมสุกหล่นมีเสียง
ว่า ทุททุภะ ก็วิ่งหนีไป หมู่เนื้อได้ฟังถ้อยคำ
ของกระต่ายแล้ว พากันตกใจวิ่งหนีไปด้วย.
[๕๘๘] ชนเหล่าใดมักเชื่อตามเสียงคนอื่น ยัง
ไม่ทันได้ถึงร่องรอยแห่งวิญญาณเลย ชน
เหล่านั้นนับว่าเป็นพาล มีความประมาทเป็น
อย่างยิ่ง ดีแต่เชื่อผู้อื่น.
[๕๘๙] ส่วนชนเหล่าใดสมบูรณ์ด้วยศีล ด้วย
ปัญญา ยินดีในความสงบ ชนเหล่านั้นนับ
ว่าเป็นบัณฑิต งดเว้นความชั่วห่างไกล ย่อม
ไม่เชื่อคนอื่นเลย.
จบ ทุททุภายอาทิผิด สระชาดกอาทิผิด สระที่ ๒
๕๘/๕๘๙/๕๓๐