วันเสาร์, เมษายน 30, 2565

Bida

 
อรรถกถาทสรถชาดก

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระ
ปรารภกุฎุมพีผู้บิดาตายแล้วคนหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า เอถ ลกฺขณสีตา จ ดังนี้.
ความพิสดารว่า กุฎุมพีนั้น เมื่อบิดาถึงแก่กรรมแล้วถูกความเศร้า
โศกครอบงำ จึงทอดทิ้งหน้าที่การงานเสียทุกอย่าง ครุ่นแต่ความเศร้าโศกอยู่
แต่ถ่ายเดียว. พระศาสดา ทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทอดพระเนตร
เห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของเขา รุ่งขึ้นจึงเสด็จโปรดสัตว์ในกรุงสาวัตถี
เสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว ทรงส่งภิกษุทั้งหลายกลับ ทรงชวนไว้เป็นปัจฉา
สมณะเพียงรูปเดียว เสด็จไปยังเรือนของเขา เมื่อตรัสเรียกเขาผู้นั่งถวายบังคม
ด้วยพระดำรัสอันไพเราะ จึงตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก เจ้าเศร้าโศกไปทำไม เมื่อ
เขากราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเศร้าโศกถึงบิดากำลัง
เบียดเบียนข้าพระองค์ จึงตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก บัณฑิตในปางก่อน ทราบ
โลกธรรม ๘ ประการ ตามความเป็นจริง เมื่อบิดาอาทิผิด สระถึงแก่กรรมแล้ว ก็มิได้
ประสบความเศร้าโศก แม้สักน้อยหนึ่งเลย เขากราบทูลอาราธนา จึงทรงนำ
อดีตนิทานมาตรัสว่า
ในอดีตกาล พระเจ้าทสรถมหาราช ทรงละความถึงอคติ เสวย-
ราชสมบัติโดยธรรม ในกรุงพาราณสี พระอัครมเหสีผู้เป็นใหญ่กว่าสตรี
๑๖,๐๐๐ นางของท้าวเธอ ประสูติพระโอรส ๒ พระองค์ พระธิดา ๑ พระองค์
พระโอรสองค์ใหญ่ทรงพระนามว่า รามบัณฑิต องค์น้องทรงพระนามว่า ลัก-
ขณกุมาร พระธิดาทรงพระนามว่าสีดาเทวี. ครั้นจำเนียรกาลนานมา พระอัคร
 
๖๐/๑๕๗๖/๗๔

วันศุกร์, เมษายน 29, 2565

Samphutthachao

 
ทรงพระนามว่าโกนาคมนะ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระผู้มีพระภาค-
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอาทิผิด อักขระพระนามว่าโกนาคมนะ มีพระสาวกคู่หนึ่ง
เป็นคู่เลิศ เป็นคู่เจริญ ชื่อว่าภิยโยสะและอุตตระ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอจงดูเถิด ชื่อแห่งภูเขานี้นั้นแลอันตรธานไปแล้ว มนุษย์เหล่านั้น
ทำกาละไปแล้ว และพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นก็ปรินิพพานแล้ว
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงอย่างนี้ ฯ ล ฯ พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้.
[๔๕๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว เวปุลลบรรพต
นี้มีชื่อว่า สุปัสสะ. สมัยนั้นแล หมู่มนุษย์ชื่อสุปปิยา มีอายุประมาณ
๒ หมื่นปี หมู่มนุษย์ที่ชื่อว่าสุปปิยา ขึ้นสุปัสสะบรรพตเป็นเวลา ๒ วัน
ลงก็เป็นเวลา ๒ วัน สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนามว่ากัสสปะ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระผู้มีพระภาคอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ได้มีพระสาวกคู่หนึ่ง เป็นคู่เลิศ
เป็นคู่เจริญ ชื่อว่าติสสะและภารทวาชะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ
จงดูเถิด ชื่อแห่งภูเขานี้นั้นแลอันตรธานไปแล้ว มนุษย์เหล่านั้นกระทำ
กาละไปแล้ว และพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นก็ปรินิพพานแล้ว
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงอย่างนี้ ฯ ล ฯ พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้.
[๔๖๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บัดนี้แล ภูเขาเวปุลละนี้มีชื่อว่า
เวปุลละทีเดียว ก็บัดนี้หมู่มนุษย์เหล่านี้มีชื่อว่ามาคธะ หมู่มนุษย์ที่ชื่อมาคธะ
มีอายุน้อย นิดหน่อย ผู้ใดมีชีวิตอยู่นาน ผู้นั้นมีอายุเพียงร้อยปี น้อย
กว่าก็มี เกินกว่าก็มี หมู่มนุษย์ชื่อมาคธะ ขึ้นเวปุลลบรรพตเพียงครู่เดียว
และบัดนี้ พระอรหันตสัมมาสัมพุพธเจ้าพระองค์นี้ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
ในโลก ก็เราแลมีสาวกคู่หนึ่ง เป็นคู่เลิศ เป็นคู่เจริญ ชื่อสารีบุตรและ
 
๒๖/๔๕๘/๕๓๔

วันพฤหัสบดี, เมษายน 28, 2565

Salang

 
ตั้งอยู่ในที่เดิมนั่นเทียว. พระศาสดาเสด็จถึงฝั่ง อันภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปราสาทนี้ พระภัททชิเถระเคยอยู่เมื่อไร พระเจ้าข้า
จึงตรัสมหาปนาทชาดก แล้วยังมหาชนให้ดื่มน้ำอมฤต คือ พระธรรม. ก็พระ-
เถระครั้นแสดงปราสาททอง อันตนเคยอยู่อาศัยแล้ว พรรณนาด้วยคาถาทั้ง ๒
พยากรณ์พระอรหัตผลว่า
พระเจ้าปนาทะ มีปราสาททอง กว้างโยชน์กึ่ง
สูง ๒๕ โยชน์ มีชั้นพันชั้น ร้อยพื้น สล้างอาทิผิด อักขระสลอนไป
ด้วยธง แวดล้อมไปด้วยแก้วมณีสีเขียวเหลือง ใน
ปราสาทนั้น มีคนธรรพ์ ประมาณหกพัน แบ่งเป็น
๗ พวก พากันฟ้อนรำอยู่ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปนาโท นาม โส ราชา ความว่า
พระเถระแสดงตนเหมือนคนอื่น เพราะความเป็นผู้มีอัตภาพอันตรธานแล้วว่า
ในอดีตกาลได้มีพระราชาทรงพระนามว่า ปนาทะ อธิบายว่าพระราชาพระ-
องค์นั้นแหละ ปรากฏพระนามว่า พระเจ้ามหาปนาทะ เพราะมีราชานุภาพมาก
และเพราะเป็นผู้ประกอบไปด้วยกิตติศัพท์ อันเกรียงไกรโดยนัยมีอาทิว่า
จำเดิมแต่เสวยราชย์ ทรงมีสมบัติคือพระอุตสาหะทุกเมื่อ ดังนี้.
บทว่า ยสฺส ยูโป สุวณฺณิโย ความว่า ปราสาทสำเร็จด้วยทองนี้
ของพระราชาใด.
บทว่า ตีริยํ โสฬสุพฺเพโธ ความว่า กว้างประมาณชั่วลูกศรตก
๑๖ ครั้ง ก็ปราสาทนั้นกว้างประมาณกึ่งโยชน์.
 
๕๑/๒๗๙/๑๐๘

วันพุธ, เมษายน 27, 2565

Santimeseyya

 
อันมาก มีความเป็นผู้มีตระกูลสูงเป็นต้นเหล่านั้น ไม่พึงกำหนดตนดำรง
อยู่โดยนัยมีอาทิว่า เราบวชแล้วจากตระกูลสูง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดง แม้ด้วยการละมานะอย่างนี้ บัดนี้
เพื่อจะทรงแสดงด้วยการสงบกิเลสทั้งปวง จึงตรัสคาถาว่า อชฺฌตฺตเมว
กิเลสภายในนี้แล ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อชฺฌตฺตเมว อุปสเม ภิกษุพึงสงบกิเลส
ภายในนี้แล คือพึงสงบกิเลสทั้งหมดมีราคะเป็นต้นในตนนั่นแล. บทว่า
น อญฺญโต ภิกฺขุ สนฺติเมเสยฺยอาทิผิด สระ ภิกษุไม่พึงแสวงหาความสงบโดยทางอื่น
คือไม่พึงแสวงหาความสงบโดยอุบายอื่น นอกจากสติปัฏฐานเป็นต้น.
บทว่า กุโต นิรตฺตํ วา ความว่า ความไม่มีด้วยตนย่อมไม่มีแต่ที่ไหน ๆ.
บทว่า น เอเสยฺย คือ ไม่พึงแสวงหาด้วยศีลและพรตเป็นต้น. บทว่า
น คเวเสยฺย ไม่พึงค้นหา คือ ไม่พึงมองดู. บทว่า น ปริเยเสยฺย
ไม่พึงเข้าหา คือไม่พึงเห็นบ่อย ๆ.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงความเป็นผู้คงที่ของ
พระขีณาสพผู้สงบแล้วในภายใน จึงตรัสคาถาว่า มชฺเฌ ยถา เหมือน
คลื่นย่อมไม่เกิดในท่ามกลางสมุทร ดังนี้เป็นต้น.
บทนั้นมีความดังนี้ คลื่นย่อมไม่เกิดในท่ามกลางประมาณ ๔,๐๐๐
โยชน์ คืออยู่ระหว่างกลางส่วนบนและส่วนล่างของมหาสมุทร หรือใน
ท่ามกลางสมุทรที่ตั้งอยู่ในระหว่างภูเขา สมุทรนั้นสงบไม่หวั่นไหวฉันใด
ภิกษุผู้เป็นพระขีณาสพพึงเป็นผู้หยุดอยู่ ไม่มีความหวั่นไหวฉันนั้น ภิกษุ
เช่นนั้นไม่พึงทำกิเลสเครื่องฟูขึ้นมีราคะเป็นต้นในที่ไหน ๆ.
บทว่า อุพฺเพเธน คือ โดยส่วนเบื้องล่าง บทว่า คมฺภีโร คือ
 
๖๖/๗๘๘/๓๗๑

วันอังคาร, เมษายน 26, 2565

Chit

 
สัญญานั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าหากว่าเมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้ว
ด้วยสัพพโลเกอนภิรตสัญญาอยู่โดยมาก จิตอาทิผิด อักขระย่อมหวนกลับ งอกลับ
ถอยกลับจากความวิจิตรแห่งโลก ไม่ยื่นไปรับความวิจิตรแห่งโลก
อุเบกขาหรือความเป็นของปฏิกูลย่อมตั้งอยู่ไซร้ ภิกษุพึงทราบข้อนั้น
ดังนี้ว่า สัพพโลเกอนภิรตสัญญาอันเราเจริญแล้ว คุณวิเศษทั้ง
เบื้องต้น และเบื้องปลายของเรามีอยู่ ผลแห่งภาวนาของเราถึงที่แล้ว
เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นจึงเป็นผู้รู้ทั่วถึงในสัพพโลเกอนภิรตสัญญานั้น
ข้อที่กล่าวดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัพพโลเกอนภิรตสัญญา
อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยข้อนี้.
ก็ข้อที่กล่าวดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนิจจสัญญาอัน
ภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยอะไร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีใจอันอบรมแล้วด้วยอนิจจสัญญาอยู่
โดยมาก จิตย่อมหวนกลับ งอกลับ ถอยกลับ ไม่ยื่นไปรับในลาภ
สักการะ และความสรรเสริญ อุเบกขาหรือความเป็นของปฏิกูล
ย่อมตั้งอยู่ เปรียบเหมือนขนไก่ หรือเส้นเอ็นที่เขาใส่ลงในไฟ
ย่อมหดงอเข้าหากัน ไม่คลี่ออก ฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อ
ภิกษุมีใจอันอบรมแล้วด้วยอนิจจสัญญาอยู่โดยมาก จิตย่อมไหลไป
ในลาภสักการะ และความสรรเสริญ หรือความเป็นของไม่ปฏิกูล
ย่อมตั้งอยู่ไซร้ ภิกษุพึงทราบข้อนั้นดังนี้ว่า อนิจจสัญญาอันเรา
ไม่เจริญแล้ว คุณวิเศษทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลายของเราไม่มี ผล
 
๓๗/๔๖/๑๒๕

วันจันทร์, เมษายน 25, 2565

Duai

 
คาถาที่หนึ่งนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงด้วยอาทิผิด อักขระยอด คือ พระอรหัต
ด้วยประการฉะนี้แล.
บัดนี้ ถึงลำดับการพรรณนาเนื้อความแห่งคาถาที่ ๒ ในคาถาที่ ๒ นั้น
มีมาติกา (หัวข้อ) ดังนี้เหมือนกันว่า
คาถานี้ใครกล่าว ? กล่าวที่ใด ?
กล่าวเมื่อใด ? กล่าวเพราะเหตุไร ? ข้าพเจ้า
จักประกาศวิธีนี้ แล้วทำการอธิบายความ
แห่งพระคาถานั้น.
ต่อแต่นั้นไป ก็เพราะกลัวความพิสดารเกินไปในคาถาทั้งปวง นับ
แต่นี้ไป ข้าพเจ้าจะไม่ยกมาติกามาแสดง แสดงอยู่ซึ่งเนื้อความแห่งคาถานั้นๆ
โดยนัยแสดงเหตุเกิดขึ้นเท่านั้น จักกระทำการอธิบายเนื้อความ คือ คาถาที่ ๒
นี้ว่า โย ราคมุทจฺฉิทา อเสสํ เป็นต้น. คาถาที่ ๒ นั้น มีเหตุเกิดขึ้น
ดังต่อไปนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในพระเชตวัน อารามของ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้เมืองสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล บุตรช่างทองคนหนึ่ง
ซึ่งเป็นอุปัฏฐากของพระสารีบุตรเถระ ได้บวชในสำนักของพระเถระ พระเถระ
คิดว่า อสุภกรรมฐานเหมาะสำหรับคนหนุ่มทั้งหลาย จึงได้ให้อสุภกรรมฐาน
แก่พระหนุ่มนั้น เพื่อกำจัดราคะ. จิตแม้สักว่า เสพคุ้นในกรรมฐานนั้น ก็ไม่
เกิดแก่พระภิกษุนั้น ท่านจึงได้บอกแก่พระเถระว่า กรรมฐานนี้ไม่เป็นอุปการะ
แก่ผม พระเถระคิดว่า กรรมฐานนี้เหมาะสำหรับคนหนุ่มทั้งหลาย จึงได้ให้
กรรมฐานนั้นนั่นแลซ้ำอีก ๔ เดือนผ่านไปอย่างนี้ ภิกษุนั้นไม่ได้คุณวิเศษแม้
 
๔๖/๒๙๔/๓๒

วันอาทิตย์, เมษายน 24, 2565

Haeng

 
มารดา พระพุทธบิดา พุทธอุปัฏฐากและพระพุทธชิโนรส ก็เหมือนกัน (คือ
ใช้เวลาเพิ่มพูนโพธิสมภารแสนกัป). ในอธิการนั้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้
เมื่อพระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้ตั้งปณิธานโดยรวบรวมธรรม ๘
ประการ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ว่า
เพราะประชุมแห่งอาทิผิด อักขระธรรม ๘ ประการ คือ ความ-
เป็นมนุษย์ ๑ ความสมบูรณ์ด้วยเพศ ๑ เหตุ ๑ การพบ
พระศาสดา ๑ บรรพชา ๑ คุณสมบัติ ๑ อธิการ ๑
ความเป็นผู้มีฉันทะ ๑ อภินิหารจึงสำเร็จได้ ดังนี้.
จำเดิมแต่บำเพ็ญมหาภินิหาร ขวนขวายแล้ว ๆ เล่า ๆ ในทานเป็นต้นเป็น
พิเศษถวายมหาทานเช่นกับทานของพระเวสสันดร ทุกๆวัน แม้สั่งสมอยู่ซึ่งบารมี
ธรรมทุกอย่าง มีศีลอันสมควรแก่มหาทานนั้นเป็นต้น ขึ้นชื่อว่าการบังเกิดขึ้น
แห่งพระพุทธเจ้า ย่อมไม่มีในระหว่างได้เลย เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาตามที่
กล่าวแล้ว. เพราะเหตุไร ? เพราะพระญาณยังไม่สุกเต็มที่. อธิบายว่า พระญาณ
ของพระพุทธเจ้า ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ตั้งท้อง ย่อมถึงความ
สุกงอม ดุจข้าวกล้าที่ให้สำเร็จแล้วในเวลาที่กำหนด ฉันใด ดังนั้น การบรรลุ
ปัจเจกสัมโพธิญาณและสาวกสัมโพธิญาณ ในระหว่างนั้น แหละโดยยังไม่ถึง
กำหนดเวลาตามที่กล่าวแล้วในที่นั้นๆ ย่อมไม่มีแก่พระปัจเจกโพธิสัตว์ ผู้กระทำ
อภินิหาร ประมวลธรรม ๕ ประการเหล่านั้น คือ
ความเป็นมนุษย์ ๑ ความสมบูรณ์ด้วยเพศ ๑
การเห็นท่านผู้ปราศจากอาสวะ ๑ อธิการ ๑ ความ
เป็นผู้มีฉันทะ ๑ เหล่านี้ รวมเป็นเหตุแห่งอาทิผิด อักขระอภินิหาร.
 
๕๐/๑๓๗/๑๙

วันเสาร์, เมษายน 23, 2565

Kae

 
ทั้งหลาย ความอดกลั้นและความสงบเสงี่ยม. เห็นปานนั้น ยังได้มีแล้ว
แก่พระราชาเหล่านั้น ผู้มีไม้อันถือไว้แล้ว ผู้มีศัสตราอันถือไว้แล้ว;
ข้อที่ท่านทั้งหลายผู้บวชแล้วในธรรมวินัยที่กล่าวชอบแล้วอย่างนี้ ควรเป็น
ผู้อดกลั้นเป็นผู้สงบเสงี่ยม, จะพึงงามในธรรมวินัยนี้แล ภิกษุทั้งหลาย”
ดังนี้แล้ว ก็ไม่สามารถจะทำเธอทั้งหลาย ให้พร้อมเพรียงกันได้เลย.

พระศาสดาทรงระอาจึงเสด็จหนีไปจำพรรษาอยู่ป่ารักขิตวัน
พระองค์ทรงระอาพระทัย เพราะความอยู่อาเกียรณนั้น ทรงพระ-
ดำริว่า “เดี๋ยวนี้เราอยู่อาเกียรณเป็นทุกข์. และภิกษุเหล่านั้นไม่ทำ (ตาม)
คำของเรา ถ้าอย่างไร เราพึงหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว” ดังนี้
เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในเมืองโกสัมพี ไม่ตรัสบอกพระภิกษุสงฆ์ ทรงถือ
บาตรจีวรของพระองค์ เสด็จไปพาลกโลณการาม แต่พระองค์เดียว
ตรัสเอกจาริกวัตร แก่พระภคุเถระที่พาลกโลณการามนั้นแล้ว ตรัส
อานิสงส์แห่งสามัคคีรสแก่อาทิผิด สระกุลบุตร ๓ คน ในมิคทายวัน ชื่อปาจีนวังสะ
แล้ว เสด็จไปทางบ้านปาริเลยยกะ. ดังได้สดับมา ครั้งนั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ทรงอาศัยบ้านปาริเลยยกะ เสด็จจำพรรษาอยู่ที่ควงไม้สาละใหญ่
ในราวป่ารักขิตวัน อันช้างปาริเลยยกะอุปัฏฐากอยู่เป็นผาสุก.

พวกอุบาสกทรมานพระภิกษุ
ฝ่ายพวกอุบาสก ผู้อยู่ในเมืองโกสัมพีแล ไปสู่วิหาร ไม่เห็น
พระศาสดา จึงถามว่า “พระศาสดาเสด็จอยู่ที่ไหน ? ขอรับ.” ภิกษุ

๑. ภวิสฺสติ เป็นกิริยาอาขยาต บอกอนาคตกาล แต่ในประโยคนี้มี หิ นาม จึงแปล
ภวิสฺสติ เป็นอดีตกาล. ๒. ได้แก่ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้อยู่แต่ผู้อยู่แต่ผู้เดียว. ๓. ป่าซึ่งประทาน
ให้หมู่เนื้ออาศัย ป่าชนิดนี้ใครจะทำอันตรายแก่หมู่สัตว์ไม่ได้.
 
๔๐/๑๑/๘๒

วันศุกร์, เมษายน 22, 2565

Kham

 
บาตรใหม่. พวกเขากำลังจับข้างบนบาตรของภิกษุใด, เมื่อหยดน้ำผักดองตก
ลงไปในบาตรของภิกษุนั้น ไม่มีโทษ เพราะเขาน้อมเข้ามาด้วยความเป็นผู้
ประสงค์จะถวาย.
พวกชาวบ้านถวายบาตรเต็มด้วยข้าวปายาส, ภิกษุไม่อาจจับข้างล่างได้
เพราะมันร้อน จะจับแม้ที่ขอบปาก ก็ควรเหมือนกัน. ถ้าแม้นอย่างนั้นก็ไม่อาจ
(จับได้) พึงรับด้วยเชิงรองบาตร (ตีนบาตร)
ภิกษุผู้นั่งถือบาตรหลับอยู่ที่หอฉัน. เธอไม่รู้ว่าเขากำลังนำโภชนะ
มาเลย เขาถวายอยู่ก็ไม่รู้, โภชนะจัดว่ายังไม่ได้รับประเคน. แต่ถ้าเธอเป็นผู้
นั่งใส่ใจไว้ (แต่ต้น ) ควรอยู่. ถ้าแม้นเธอวางมือจากเชิงบาตรแล้วเอาเท้า
หนีบไว้ม่อยหลับไป สมควรเหมือนกัน. แต่เมื่อเธอเอาเท้าเหยียบเชิงบาตรไว้
รับประเคน ถึงจะตื่นอยู่ ก็เป็นการรับประเคนโดยไม่เอื้อเฟื้อ. เพราะฉะนั้น
จึงไม่ควรทำ.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า การรับประเคนด้วยเชิงรองบาตรอย่างนี้
ชื่อว่า เป็นการรับประเคนด้วยของเนื่องกับบาตรซึ่งเนื่องด้วยกาย เพราะฉะนั้น
จึงไม่ควร. คำนั้นเป็นแค่เพียงคำอาทิผิด อักขระพูดเท่านั้น. แต่โดยอรรถ ทั้งหมดนั่น ก็เป็น
ของเนื่องด้วยกายทั้งนั้น. และแม้ในกายสังสัคคสิกขาบท ก็ได้แสดงนัยนี้ไว้แล้ว.
ถึงจะหยิบแม้ของตกที่เขากำลังถวายแก่ภิกษุ ขึ้นมาฉันเอง ก็ควร.
ในการหยิบเอาของตกฉันนั้น มีพระสูตรเป็นเครื่องสาธกดังต่อไปนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เราอนุญาตให้ภิกษุหยิบเอาของตกที่เขากำลังถวายฉัน
เองได้. ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เพราะของนั้น
พวกทายกเขาสละถวาย แล้ว. ก็แล พระสูตรนี้ มีอรรถควรอธิบาย เพราะฉะนั้น
ในพระสูตรนี้ พึงทราบอธิบายอย่างนี้:- ของใดที่เขากำลังถวาย พลัดหลุด
จากมือของผู้ถวาย ตกลงไปบนพื้นที่สะอาด หรือบนใบบัว ผ้า เสื่อลำแพน
วิ จุลฺล. ๗/๔๙
 
๔/๕๒๖/๕๖๖

วันพฤหัสบดี, เมษายน 21, 2565

Suta Yuk

 
พระเถระเมื่อจะแสดงถึงกาลนั้นนั่นแหละ โดยสรุป จึงกล่าวคำ
เป็นต้นว่า ปตฺเต กาลมฺหิ ปจฺฉิเม ในกาลภายหลังแต่ตติยสังคายนา
ดังนี้.
ก็ปัจฉิมกาลในคำนั้นเป็นไฉน ? อาจารย์บางพวกตอบว่า ตั้งแต่
ตติยสังคายนามา จัดเป็นปัจฉิมกาล, อาจารย์บางพวกไม่รู้คำนั้นเลย.
จริงอยู่ ยุคแห่งพระศาสนามี ๕ ยุค คือวิมุตติยุค สมาธิยุค ศีลยุค สุตยุคอาทิผิด อักขระ
และทานยุค. บรรดายุคเหล่านั้น ยุคแรกจัดเป็นวิมุตติยุค, เมื่อวิมุตติยุค
นั้น อันตรธานแล้ว สมาธิยุคก็เป็นไป, แม้เมื่อสมาธิยุคนั้น อันตรธาน
แล้ว ศีลยุคก็เป็นไป, แม้เมื่อศีลยุคนั้น อันตรธานแล้ว สุตยุคก็เป็นไป
ทีเดียว. ก็ผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ ประคับประคอง ปริยัตติธรรมและพาหุสัจจะ
ให้ดำรงอยู่ได้ โดยอย่างเดียวหรือสองอย่าง เพราะค่าที่คนมุ่งถึงลาภ
เป็นต้น. ก็ในคราวใด ปริยัตติธรรมมีมาติกาเป็นที่สุด ย่อมอันตรธาน
ไปทั้งหมด ตั้งแต่นั้นมา จักเหลือก็เพียงเพศเท่านั้น ในคราวนั้นคน
ทั้งหลายจะพากันรวบรวมเอาทรัพย์ตามมีตามได้แล้ว เสียสละโดยมุ่งให้
ทาน, เล่ากันว่า การปฏิบัตินั้น จัดเป็นสัมมาปฏิบัติครั้งสุดท้ายของคน
เหล่านั้น. บรรดายุคเหล่านั้น ตั้งแต่สุตยุคมา จัดเป็นปัจฉิมกาล, อาจารย์
พวกอื่นกล่าวว่า ตั้งแต่ศีลยุคมา จึงจัดเป็นปัจฉิมกาลก็มี.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุรา อาคจฺฉเต เอตํ ความว่า ภัย
อย่างใหญ่หลวงที่จะทำอันตรายต่อข้อปฏิบัติ ที่เรากล่าวแล้วแก่พวกท่าน
ทั้งหลายนั้น ย่อมมาในอนาคตอย่างนี้ก่อน คือจักมาจนถึงในกาลนั้น
นั่นแล.
 
๕๓/๓๙๕/๒๒๖

วันพุธ, เมษายน 20, 2565

Binthabat

 
ถ้าอันเตวาสิกอาพาธ อาจารย์ลุกแต่เช้าตรู่อาทิผิด อักขระ แล้วพึงให้ไม้ชำระฟันให้
น้ำล้างหน้า ปูอาสนะไว้.
ถ้ายาคูมี พึงล้างภาชนะ แล้วนำยาคูเข้าไปให้ เมื่ออันเตวาสิกดื่มยาคู
แล้วพึงให้น้ำ รับภาชนะมาถือต่ำ ๆ อย่าให้กระทบกัน ล้างให้สะอาดแล้วเก็บ
ไว้ เมื่ออันเตวาสิกลุกแล้ว พึงเก็บอาสนะ ถ้าที่นั้นรก พึงกวาดที่นั้นเสีย.
ถ้าอันเตวาสิกประสงค์จะเข้าบ้าน พึงให้ผ้านุ่ง พึงรับผ้านุ่งผลัดมา
พึงให้ประคดเอว พึงพับผ้าสังฆาฏิเป็นชั้นให้ พึงล้างบาตรแล้วให้พร้อมทั้งน้ำ
ด้วยพึงปูผ้าอาสนะที่นั่งฉันไว้ ด้วยกำหนดในใจว่า เพียงเวลาเท่านี้อันเตวาสิก
จักกลับมา น้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบื้องเช็ดเท้า พึงเตรียมตั้งไว้ พึงลุก
ขึ้นรับบาตรและจีวร พึงรับผ้านุ่งมา.
ถ้าจีวรชุ่มเหงื่อ พึงผึ่งแดดไว้ครู่หนึ่ง แต่ไม่พึงผึ่งทิ้งไว้ที่แดด.
พึงพับจีวร เมื่อพับจีวร พึงพับให้เหลื่อมมุมกัน ๔ นิ้ว ด้วยตั้งใจ
มิให้มีรอยพับตรงกลาง พึงทำประคดเอวไว้ในขนดอันตรวาสก.
ถ้าบิณฑบาตมี และอันเตวาสิกประสงค์จะฉัน พึงให้น้ำแล้ว นำ
บิณฑบาตอาทิผิด อักขระเข้าไปให้ พึงถามอันเตวาสิกด้วยน้ำฉัน เมื่ออันเตวาสิกฉันแล้วพึง
ให้น้ำ รับบาตรมาถือต่ำ ๆ อย่าให้กระทบ ล้างให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วผึ่ง
ไว้ที่แดดครู่หนึ่ง แต่ไม่พึงผึ่งทิ้งไว้ที่แดด.
พึงเก็บบาตรจีวร เมื่อเก็บบาตร พึงเอามือข้างหนึ่งจับบาตร เอามือ
ข้างหนึ่งลูบคลำใต้เตียงหรือใต้ตั่ง แล้วเก็บบาตร แต่ไม่พึงเก็บบาตรไว้บนพื้น
ที่ไม่มีสิ่งใดรอง.
เมื่อเก็บจีวร เอามือข้างหนึ่งถือจีวร เอามือข้างหนึ่งลูบราวจีวรหรือ
สายระเดียง แล้วทำชายไว้ข้างนอก ทำขนดไว้ข้างใน แล้วจึงเก็บจีวร.
 
๖/๙๔/๑๘๗

วันอังคาร, เมษายน 19, 2565

Kaem

 
แห่งพระนางนั้น ทีนั้น พระราชาก็จะทรงระลึกถึงพระนางนั้น ก็จักไม่ทำอะไร ๆ
แก่เราด้วยทรงรักใคร่ในพระมเหสีของพระองค์ ด้วยทรงคะนึงว่า ถ้าเราฆ่า
มโหสถเสีย เราก็จักไม่ได้สตรีรัตนะเห็นปานนี้ มโหสถคิดฉะนี้แล้ว ยืนอยู่
บนปราสาทเพื่อการรักษาตัว ได้นำแขนซึ่งมีวรรณะดุจวรรณะแห่งทองคำออกใน
ระหว่างรัตกัมพลเมื่อจะสรรเสริญพระนางนั้น ด้วยสามารถแห่งอันกราบทูล
บรรดาที่พระนางนั้นเสด็จไป จึงทูลว่า
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระนางนันทาเทวีเสด็จ
ไปแล้วจากอุโมงค์นี้ เป็นผู้มีพระสรีราพยพอันงาม
สรรพ มีพระโสณีควรเปรียบกับแผ่นทองคำธรรมชาติ
มีปกติตรัสประภาษไพเราะเสนาะดังเสียงลูกหงส์ ข้า
แต่พระมหาราชเจ้า พระนางนันทาเทวี อันข้าพระองค์
นำเสด็จออกไปจากอุโมงค์นี้ เป็นผู้มีสรรพางค์อาทิผิด งามน่า
ทัศนา ทรงพระภูษาโกไสยมีพระรูปอำไพดุจสุวรรณ
สายรัดพระองค์นั้นก็งามทำด้วยกาญจนวิจิตรมีพระบาท
สดใสพระโลหิตขึ้นแดงอันแถลงเบญจกัลยาณี ชี้ไว้
เป็นแบบด้วยสามารถแห่งพระฉวี พระมังสา พระเกศา
พระเส้นเอ็น และพระอัฐิงามดี มีสายรัดพระองค์
แก้วมณีแกมอาทิผิด อักขระสุวรรณ ดวงพระเนตรนั้นเปรียบกับตา
นกพิราบ มีพระสรีรภาพอันโสภณ ริมพระโอฐแดง
ดุจผลตำลึงสุกก็ปานกัน มีบั้นพระองค์บางอย่างประ-
หนึ่งจะรวบกำรอบทีเดียว มีบั้นพระองค์เล็กเรียวดุจ
เถานาคลดาเกิดแล้วดี แลดุจกาญจนไพที พระศกของ
พระนางนันทาเทวียาวดำปลายช้อยเล็กน้อยดุจปลายมีด
 
๖๓/๖๘๖/๕๒๙

วันจันทร์, เมษายน 18, 2565

Kuman

 
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
แต่นั้น พราหมณ์ชูชกนั้นก็ตกใจกลัว ตกอยู่ใน
อำนาจของนางอมิตตตาปนาพราหมณี ถูกกามอาทิผิด อักขระราคะ
บีบคั้น ได้กล่าวกะนางว่า แน่ะนางพราหมณี เจ้าจง
จัดเสบียงเดินทางเพื่อฉัน คือจัดขนมที่ทำด้วยงา ขนม
ที่ปรุงด้วยน้ำตาล ขนมที่ทำเป็นก้อนด้วยน้ำผึ้ง ทั้ง
สัตตุก้อนสัตตุผงและข้าวผอก จัดให้ดี ฉันจักนำ
พี่น้องสองกุมารมาให้เป็นทาส กุมารกุมารีทั้งสองนั้น
จักไม่เกียจคร้านบำเรอปฏิบัติเจ้าตลอดคืนตลอดวัน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อทฺทิโต ได้แก่ เบียดเบียน คือบีบคั้น.
บทว่า สํกุโล ได้แก่ ขนมที่ทำด้วยงา. บทว่า สงฺคุฬานิ จ ได้แก่ ขนม
ที่ปรุงด้วยน้ำตาล. บทว่า สตฺตุภตฺตํ ได้แก่ ข้าวสัตตุก้อนอาทิผิด ข้าวสัตตุผง
และข้าวผอก. บทว่า เมถุนเก ได้แก่ ผู้เช่นเดียวกันด้วยชาติโคตรสกุลและ
ประเทศ. บทว่า ทาสกุมารอาทิผิด สระเก ได้แก่ สองกุมาร เพื่อประโยชน์เป็นทาส
ของเจ้า.
นางอมิตตตาปนารีบตระเตรียมเสบียงแล้วบอกแก่พราหมณ์ชูชก. ชูชก
ซ่อมประตูเรือน ทำที่ชำรุดให้มั่นคง หาฟืนแต่ป่ามาไว้ เอาหม้อตักน้ำใส่ไว้ใน
ภาชนะทั้งปวงในเรือนจนเต็ม แล้วถือเพศเป็นดาบสในเรือนนั้นนั่นเอง สอน
นางอมิตตตาปนาว่า แน่ะนางผู้เจริญ จำเดิมแต่นี้ไป ในเวลาค่ำมืดเจ้าอย่าออก
ไปนอกบ้าน จงเป็นผู้ไม่ประมาท จนกว่าฉันจะกลับมา สอนฉะนั้นแล้วสวม
รองเท้า ยกถุงย่ามบรรจุเสบียงขึ้นสะพายบ่า ทำประทักษิณนางอมิตตตาปนา
มีนัยน์ตาเต็มด้วยน้ำตาร้องไห้หลีกไป.
 
๖๔/๑๒๖๙/๖๗๘

วันอาทิตย์, เมษายน 17, 2565

Ao

 
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเหล่าใดเป็นพหูสูต เล่าเรียนนิกาย ทรงธรรม
ทรงวินัย ทรงมาติกา ภิกษุเหล่านั้นเอาอาทิผิด อักขระใจใส่บอกสอนสูตรแก่ผู้อื่น เมื่อภิกษุ
เหล่านั้นล่วงไป สูตรก็ไม่ขาดมูล (อาจารย์) มีที่อาศัยสืบกันไป นี้ธรรม
ประการที่ ๓ เป็นเหตุให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ไม่เลอะเลือนอันตรธานไป
อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้ใหญ่ ๆ ไม่เป็นผู้สะสมบริขาร ไม่ปฏิบัติ
ย่อหย่อน เป็นผู้ทอดธุระในการลาสิกขา มุ่งหน้าไปทางปวิเวก ทำความเพียร
เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรม
ที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง หมู่ชนผู้เกิดมาภายหลัง ได้เยี่ยงอย่างภิกษุผู้ใหญ่เหล่านั้น
ก็พากันเป็นผู้ไม่สะสมบริขาร ไม่ปฏิบัติย่อหย่อน เป็นผู้ทอดธุระในการลาสิกขา
มุ่งหน้าไปทางปวิเวก ทำความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรม
ที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้งไปตามกัน นี้ธรรม
ประการที่ ๔ เป็นเหตุให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ไม่เลอะเลือนอันตรธานไป
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลธรรม ๔ ประการ เป็นเหตุให้พระสัทธรรม
ตั้งอยู่ ไม่เลอะเลือนอันตรธาน.
จบสุคตสูตรที่ ๑๐
จบอินทริยวรรคที่ ๑
อรรถกถาสุคตสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสุคตสูตรที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ทุคฺคหิตํ ได้แก่ ถือกันมานอกลำดับ. บทว่า ปริยาปุณนฺติ
ได้แก่ ถ่ายทอดมาคือกล่าว. ก็ในบทว่า ปทพฺยญฺชเนหิ นี้ ท่านกล่าวว่า
 
๓๕/๑๖๐/๓๘๓

วันเสาร์, เมษายน 16, 2565

Chapphakkhi

 
บทว่า ปาทํ ได้แก่ แข้ง.
บทว่า ปาทโกจฺฉํ ได้แก่ หลังเท้า. การไล้หน้าเป็นต้น มีนัยดัง
กล่าวแล้วนั้นแล.
สองบทว่า อวงฺคํ กโรนฺติ มีความว่า ภิกษุณีพวกฉัพพัคคีย์อาทิผิด อักขระเขียน
ลวดลายหันหน้าลงล่างที่หางตา ด้วยไม้ป้ายยาตา.
บทว่า วิเสสกํ มีความว่า ภิกษุณีเหล่านั้น ทำรูปสัตว์แปลก ๆ มี
ทรวดทรงงดงาม ที่แก้ม.
บทว่า โอโลกนเกน มีความว่า เปิดหน้าต่างแลดูถนน.
สองบทว่า สาโลเกอาทิผิด อักขระ ติฏฺฐนฺติ มีความว่า เปิดประตู ยืนเยี่ยมอยู่
ครึ่งตัว.
บทว่า สนจฺจํ มีความว่า ให้ทำการมหรสพด้วยนักระบำ.
สองบทว่า เวสึ วุฏฺฐเปนฺติ มีความว่า ได้ทั้งหญิงนครโสเภณี.
สองบทว่า ปานาคารํ ฐเปนฺติ มีความว่า ย่อมขายสุรา.
สองบทว่า สูนํ ฐเปนฺติ มีความว่า ย่อมขายเนื้อ.
บทว่า อาปณํ มีความว่า ย่อมออกร้านสินค้าต่าง ๆ หลายอย่าง.
สองบทว่า ทาสํ อุปฏฺฐาเปนฺติ มีความว่า ย่อมรับทาสแล้วยัง
ทาสนั้น ให้ทำการรับใช้สอยของตน. แม้ในทาสีเป็นต้น ก็มีนัยเหมือนกัน .
สองบทว่า หริตกปตฺติกํ ปกีณนฺติ มีความว่า ย่อมขายของสด
และของแห้ง. มีคำอธิบายว่า ย่อมออกร้านขายของเปิดแล้วแล.
กถาว่าด้วยจีวรเขียวทั้งปวงเป็นต้น ได้กล่าวแล้วแล.
[ว่าด้วยการปลงบริขาร]
ในข้อว่า ภิกฺขุนี เจ ภิกฺขเว กาลํ กโรนฺติ เป็นอาทิ มี
วินิจฉัยนอกพระบาลี ดังต่อไปนี้ :-
 
๙/๖๑๓/๕๐๓

วันศุกร์, เมษายน 15, 2565

Mun

 
อัพยากตนิเทศ (บาลีข้อ ๓)
อธิบายความ
อัพยากฤต ทรงจำแนกไว้โดยลำดับที่มาในจิตตุปปาทกัณฑ์ ในหน
หลังแล้วนั้นแหละ ในวาระทั้งหมด ทรงลดนัยมีอวิชชาเป็นมูล เพราะเหตุไร ?
เพราะไม่มีธรรมที่ควรตั้งไว้ในฐานะแห่งอวิชชา จริงอยู่ ในกุศลจิตทั้งหลาย
มีกุศลมูลพึงตั้งในฐานะแห่งอวิชชา ในอเหตุกจิตมีจักขุวิญญาณเป็นต้น ก็ไม่มี
แต่ในสเหตุกจิตทั้งหลายมีกุศลมูลอาทิผิด อักขระอยู่โดยแท้ แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น พระองค์จึง
ทรงตัดออกเสียในสเหตุกจิตนี้ ไม่ทรงถือเอาในอเหตุกจิตนั้น ในกระแสแห่ง
วิญญาณ ๕ พึงทราบว่า ทรงทำเทศนาเป็นสภาพให้ตกไปในกระแสเดียว
(คือแสดงโดยลำดับ ).
อนึ่ง ว่าโดยต่างกัน ในอัพยากฤตนี้ทรงลดฐานะแห่งตัณหา และอุปา-
ทานในอเหตุกจิตมีจักขุวิญญาณเป็นต้น เพราะเหตุไร ? เพราะไม่มีธรรมที่มี
กำลังอันควรแก่ฐานะแห่งตัณหา และเพราะเว้นจากอธิโมกข์ แต่ในอเหตุกจิตที่
เหลือ ทรงลดฐานะแห่งตัณหาโดยแท้.
ในสเหตุกจิตทั้งหลาย ทรงเพิ่มบทปสาทะ ในที่แห่งตัณหา เพราะ
เป็นสภาพแห่งความผ่องใส. บรรดาอัพยากฤตเหล่านี้ ในอเหตุกจิตมีจักขุวิญ-
ญาณเป็นต้นที่เป็นกุศลวิบาก และอกุศลวิบาก พึงทราบนัยอย่างละ ๖ ซึ่งมี
สังขาร วิญญาณ นาม สฬายตนะ ผัสสะ และเวทนาเป็นมูล ในอเหตุกจิต
ที่เหลือ พึงทราบว่า มีนัยอย่างละ ๗ กับนัยที่มีอธิโมกข์เป็นมูล. ส่วนใน
สเหตุกจิตทั้งหลาย พึงทราบนัยอย่างละ ๘ กับปสาทะเป็นมูล.
 
๗๗/๓๙๙/๖๘๕

วันพฤหัสบดี, เมษายน 14, 2565

Mai Khaem

 
ตนเอง เอามาทำบรรณศาลาอยู่. ตั้งแต่นั้น ดาบสนั้นจึงมีสมัญญานามว่า
สรภังคะ.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ได้
ทรงเห็นอุปนิสัยพระอรหัตของดาบสนั้น จึงเสด็จไปในที่นั้น ทรงแสดง
ธรรม. ดาบสนั้นได้ศรัทธาจึงบวช บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นาน
นักก็บรรลุพระอรหัต แล้วอยู่ในที่นั้นนั่นแหละ. ครั้งนั้น บรรณศาลา
ที่พระเถระนั้นสร้างไว้ในคราวเป็นดาบส ได้ชำรุดพะเยิบพะยาบ. พวก
มนุษย์เห็นดังนั้นจึงกล่าวกันว่า ท่านขอรับ พวกกระผมจะซ่อมแซมกุฎีนี้
เพื่อใคร. พระเถระเมื่อจะประกาศกิจทั้งปวงนั้นว่า บัดนี้ เราไม่อาจทำ
กุฎีเหมือนในคราวเป็นดาบส จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า
เราหักต้นแขมด้วยมือทั้งสองทำกระท่อมอยู่ เพราะ-
ฉะนั้น เราจึงมีชื่อโดยสมมติว่า สรภังคะ วันนี้ เราไม่ควร
หักต้นแขมด้วยมือทั้งสองอีก เพราะพระสมณโคดมผู้
เรืองยศ ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่เราทั้งหลายไว้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สเร หตฺเถหิ ภญฺชิตฺวา ความว่า ใน
กาลก่อน คือในคราวเป็นดาบส เราเอามือทั้งสองหักไม้แขมอาทิผิด และหญ้า
สร้างเป็นกุฎีหญ้าอาศัย คืออยู่นั่งและนอน.
บทว่า เตน ได้แก่ ด้วยการหักไม้แขมทั้งหลายมาสร้างกุฎี.
บทว่า สมฺมุติยา ความว่า ได้มีชื่อว่า สรภังคะ ตามสมมติเรื่อง
ราวโดยลำดับ.
๑. ขุ. เถร. ๒๖/ข้อ ๓๖๕.
 
๕๒/๓๖๕/๒๗๑

วันพุธ, เมษายน 13, 2565

Samabat

 
ประตูด้านทิศอุดรในเวลาตะวันบ่าย แห่ไปโดยท่ามกลางพระนคร ออกทาง
ประตูด้านทิศทักษิณ แล้วทรงให้ตั้งต้นมหาโพธิ์ไว้บนฐานซุ้มพระทวารแห่ง
ราชอุทยาน ที่ทำบริกรรมพื้นไว้แต่แรกทีเดียว ตามคำของสุมนสามเณร ซึ่ง
เป็นใจกลาง (จุดเด่น) แห่งราชอุทยานมหาเมฆวัน อันเป็นสถานที่ที่สมเด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลายประทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติ และสมเด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ ๓ พระองค์ เคยประทับนั่งเข้าสมาบัติอาทิผิด อักขระ. ทั้ง
เป็นสถานที่มีต้นซึกใหญ่ ซึ่งเป็นต้นไม้ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรง
พระนามว่ากกุสันธะ, ต้นอุทุมพร (ต้นมะเดื่อ) ซึ่งเป็นต้นไม้ตรัสรู้ของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่าโกนาคมน์ และต้นนิโครธ (ต้นไทร)
ซึ่งเป็นต้นไม้ตรัสรู้ของสมเด็จพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ประดิษฐานอยู่ในที่
ประมาณ ๕๐๐ ชั่วธนู วัดจากประตูด้านทิศทักษิณ.
ถามว่า พระราชาทรงรับสั่งให้ตั้งต้นมหาโพธิ์นั้นไว้อย่างไร ?
แก้ว่า ทรงรับสั่งให้พักไว้อย่างนี้ คือ :- ได้ยินว่า ตระกูลที่สมบูรณ์
ด้วยชาติทั้ง ๑๖ ตระกูล ที่มาแวดล้อมต้นโพธิ์เหล่านั้น ถือเอาเพศเป็นพระราชา
พระราชาก็ทรงถือเอาเพศเป็นนายทวารบาล. ตระกูลทั้ง ๑๖ ตระกูลเอาต้น
มหาโพธิ์ลงปลูกแล้ว (ที่ปูชนียสถาน ๔ แห่งดังกล่าวแล้วนั้น)
[ต้นมหาโพธิ์แสดงอิทธิปาฏิหาริย์]
ในขณะที่พอพ้นจากมือของตระกูลทั้ง ๑๖ เหล่านั้นนั่นแล ต้นมหาโพธิ์
ก็ลอยขึ้นไปสู่เวหาสอาทิผิด สูงประมาณ ๘๐ ศอก แล้วเปล่งรัศมีซึ่งมีพรรณะ ๖ ประการ
ออก. รัศมีทั้งหลายก็แผ่ปกคลุมไปทั่วเกาะ ได้ตั้งอยู่จดถึงพรหมโลกเบื้องบน.
บุรุษประมาณหมื่นคน เห็นปาฏิหาริย์ต้นมหาโพธิ์แล้วเกิดความเลื่อมใส เริ่ม
 
๑/๙/๑๖๒

วันอังคาร, เมษายน 12, 2565

Khon

 
แห่งความพิสดารนั้น ข้าพเจ้าก็กล่าวไว้แล้วในสมันตปาสาทิกา. คำเป็นต้น
ว่า อิเม โข อาวุโส บัณฑิตพึงประกอบโดยนัย อันข้าพเจ้ากล่าวแล้ว
นั่นเทียว. พระเถระกล่าว ๙๘ ปัญหา ด้วยสามารถแห่งหมวดเจ็ด ๑๔ หมวด
แสดงสามัคคีรส ด้วยประการฉะนี้ ดังนี้แล.
จบหมวด ๗

ว่าด้วยธรรมหมวด ๘

พระเถระครั้นแสดงสามัคคีรส ด้วยสามารถแห่งหมวดเจ็ด ด้วย
ประการฉะนั้นแล้ว บัดนี้ เพื่อจะแสดงสามัคคีรสด้วยสามารถแห่งหมวดแปด
จึงเริ่มปรารภพระธรรมเทศนาต่อไปอีก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มิจฺฉตฺตา คือ ไม่แน่นอน ได้แก่
มีสภาพที่ผิด. บทว่า สมฺมตฺตา คือ แน่นอน ได้แก่ มีสภาพที่ถูกโดยชอบ.
บทว่า กุสีตวตฺถูนิ ได้แก่ เรื่อง คือ ที่พึ่งของคนอาทิผิด อักขระเกียจคร้าน คือของ
คนขี้เกียจ อธิบายว่า เหตุของความเกียจคร้าน. หลายบท ว่า กมฺมํ
กตฺตพฺพํ โหติ ความว่า พึงกระทำกรรมมีการกะจีวรเป็นต้น. หลาย
บทว่า น วิริยํ อารภติ ความว่า ไม่ปรารภ ความเพียร แม้ทั้ง ๒ อย่าง.
บทว่า อปฺปตฺตสฺส ความว่า เพื่อบรรลุธรรม คือ ฌาน วิปัสสนา มรรค
และผล ที่ตนยังไม่บรรลุ. บทว่า อนธิคตสฺส ความว่า เพื่อประโยชน์
คือการบรรลุธรรมคือ ฌาน วิปัสสนา มรรคและผลนั้นนั่นแหละ อันตน
ยังมิได้บรรลุ. บทว่า อสจฺฉิกตสฺส ความว่า เพื่อประโยชน์คือการกระทำ
ให้แจ้งธรรม คือ ฌาน วิปัสสนา มรรค และผลนั้น ที่ตนยังไม่
 
๑๖/๓๖๓/๓๘๗

วันจันทร์, เมษายน 11, 2565

Khwam

 
พยาบาท ย่อมปฏิบัติผิดโดยฐานะ ๓ คือ กาย วาจา ใจ. วิหิงสาสัญญา
บังเกิดขึ้นเพราะอาศัยวิหิงสาธาตุ ความดำริในวิหิงสาบังเกิดขึ้นเพราะ
อาศัยวิหิงสาสัญญา ความพอใจในวิหิงสาบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความดำริ
ในวิหิงสา ความเร่าร้อนเพราะวิหิงสาบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความพอใจใน
วิหิงสา การแสวงหาวิหิงสาบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความอาทิผิด อักขระเร่าร้อนเพราะ
วิหิงสา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ เมื่อแสวงหาวิหิงสา
ย่อมปฏิบัติผิดโดยฐานะ ๓ คือ กาย วาจา ใจ.
[๓๕๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษวางคบหญ้าที่ไฟติดแล้วในป่า
หญ้าแห้ง ถ้าหากเขาไม่รีบดับด้วยมือและเท้าไซร้ ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ สัตว์
มีชีวิตทั้งหลาย บรรดาที่อาศัยหญ้าและไม้อยู่ พึงถึงความพินาศฉิบหาย
แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง ก็
ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่รีบละ ไม่รีบบรรเทา ไม่รีบทำให้สิ้นสุด ไม่รีบ
ทำให้ไม่มีซึ่งอกุศลสัญญาที่ก่อกวนอันบังเกิดขึ้นแล้ว สมณะหรือพราหมณ์
นั้น ย่อมอยู่เป็นทุกข์ มีความอึดอัด คับแค้น เร่าร้อน ในปัจจุบัน
เบื้องหน้าแต่มรณะ เพราะกายแตก พึงหวังทุคติได้.
[๓๕๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เนกขัมมวิตกย่อมมีเหตุบังเกิดขึ้น
มิใช่ไม่มีเหตุบังเกิดขึ้น อัพยาบาทวิตกย่อมมีเหตุบังเกิดขึ้น มิใช่ไม่มีเหตุ
บังเกิดขึ้น อวิหิงสาวิตกย่อมมีเหตุบังเกิดขึ้น มิใช่ไม่มีเหตุบังเกิดขึ้น.
[๓๕๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เนกขัมมวิตกย่อมมีเหตุบังเกิดขึ้น
มิใช่ไม่มีเหตุบังเกิดขึ้น อัพยาบาทวิตกย่อมมีเหตุบังเกิดขึ้น มิใช่ไม่มีเหตุ
บังเกิดขึ้น อวิหิงสาวิตกย่อมมีเหตุบังเกิดขึ้น มิใช่ไม่มีเหตุบังเกิดขึ้น
อย่างไร ภิกษุทั้งหลาย เนกขัมมสัญญาบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยเนกขัมมธาตุ
 
๒๖/๓๕๖/๔๓๑

วันอาทิตย์, เมษายน 10, 2565

Winyan

 
บทว่า มตฺตโส นิชฺฌานํ ขมนฺติ ความว่า ควรซึ่งการตรวจตราดู
โดยประมาณ.
บทที่เหลือในที่ทุกแห่ง มีความหมายง่ายทั้งนั้นแล.
จบ อรรถกถาโอกกันตสังยุต

รวมพระสูตรที่มีในสังยุตนี้คือ
๑. จักขุสูตร ๒. รูปสูตร ๓. วิญญาณอาทิผิด อักขระสูตร ๔. ผัสสสูตร
๕. เวทนาสูตร ๖. สัญญาสูตร ๗. เจตนาสูตร ๘. ตัณหาสูตร ๙. ธาตุสูตร
๑๐. ขันธสูตร.
 
๒๗/๔๗๘/๕๒๘

วันเสาร์, เมษายน 09, 2565

Anapattiwan

 
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอนุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวารอาทิผิด สระ
[๒๘๓] ภิกษุไม่ต้องการจะให้เขาชอบ ๑ ภิกษุไม่ประสงค์จะให้เขา
แตกกัน ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ
มุสาวาทวรรค เปสุญญาวาทสิกขาบทที่ ๓
พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๓ ดังต่อไปนี้:-
[แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์]
บทว่า ภณฺฑนชาตานํ ได้แก่ ผู้เกิดบาดหมางกันแล้ว. ส่วนเบื้องต้น
แห่งความทะเลาะกัน ชื่อว่า ภัณฑนะ (ความบาดหมาง). คือ การปรึกษา
กันในฝักฝ่ายของตน อาทิว่า เมื่อเขากล่าวคำอย่างนี้ว่า กรรมอย่างนี้ อัน
คนนี้และคนนี้กระทำแล้ว พวกเราจักกล่าวอย่างนี้ (ชื่อว่า ภัณฑนะ ความ
บาดหมาง). การล่วงละเมิดทางกายและวาจา ให้ถึงอาบัติ ชื่อว่า กลหะ
(การทะเลาะ). การกล่าวขัดแยงกัน ชื่อว่า วิวาทะ. พวกภิกษุผู้ถึงความวิวาท
กันนั้น ชื่อว่า วิวาทาปันนะ.
บทว่า เปสุญฺญํ ได้แก่ ซึ่งวาจาส่อเสียด. มีคำอธิบายว่า ซึ่งวาจา
ทำให้สูญเสียความเป็นที่รักกัน.
 
๔/๒๘๓/๑๕๓

วันศุกร์, เมษายน 08, 2565

Mai Kwat

 
๔. กรรมสูตร
[๒๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗
ประการ แก่เธอทั้งหลาย ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อปริหานิยธรรม
๗ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุทั้งหลายจักไม่ยินดีการงาน จักไม่
ขวนขวายความยินดีการงาน เพียงใด ภิกษุทั้งหลายก็พึงหวัง
ความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น ภิกษุ
ทั้งหลายจักไม่ยินดีการคุย ฯลฯ จักไม่ยินดีความหลับ ฯลฯ จักไม่
ยินดีการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ฯลฯ จักไม่เป็นผู้มีความปรารถนา
ลามก จักไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งความปรารถนาลามก ฯลฯ จักไม่
คบมิตรชั่ว จักไม่มีสหายชั่ว จักไม่มีเพื่อนชั่ว ฯลฯ จักไม่ถึงความ
ท้อถอยเสียในระหว่างที่บรรลุคุณวิเศษเพียงเล็กน้อยเพียงใด ภิกษุ
ทั้งหลายพึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย
เพียงนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อปริหานิยธรรม ๗ ประการนี้ จัก
ตั้งอยู่ในภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายจักปรากฏอยู่ในอปริหา-
นิยธรรม ๗ ประการนี้ เพียงใด ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญ
ได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น.
จบ กรรมสูตรที่ ๔

อรรถกถากรรมสูตรที่ ๔
กรรมสูตรที่ ๔ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า น กมฺมารามา ความว่า ภิกษุเหล่าใดกระทำกิจกรรม
มีจีวร, ประคดเอว, ผ้ากรองน้ำ, ธมกรก, ไม้กวาดอาทิผิด , ที่รองเท้าเป็นต้น
 
๓๗/๒๒/๗๒

คลังบทความของบล็อก