วันจันทร์, ธันวาคม 07, 2563

Sia

 
ข้างหน้าและการแลไปตามทิศนั้น ใครคนหนึ่งแลไปข้างหน้า ใครคนหนึ่ง
เหลียวไปข้างหลัง อสัมโมหสัมปชัญญะในการแลไปข้างหน้าและการแล
ไปตามทิศนี้ พึงทราบด้วยอำนาจพิจารณาเป็นขันธ์ อายตนะ ธาตุ และ
ปัจจัย อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า สมฺมิญฺชิเต ปริสาริเตอาทิผิด ความว่า คู้เข้าหรือเหยียดออกแห่ง
อิริยาปถปัพพะทั้งหลาย.
การใคร่ครวญประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ เพราะการคู้เข้าหรือ
เหยียดออกของมือเท้าเป็นปัจจัย แล้วใคร่ครวญแต่ประโยชน์ โดยมิได้
คู้เข้าหรือเหยียดออกด้วยอำนาจจิตเลย ชื่อว่า สาตถกสัมปชัญญะในการ
คู้เข้าหรือเหยียดออกนั้น. ทุก ๆ ขณะที่ภิกษุยืนคู้หรือเหยียดมือและเท้า
นานเกินไป เวทนาย่อมเกิดขึ้นในการคู้หรือเหยียดนั้น จิตย่อมไม่ได้
อารมณ์เป็นหนึ่ง. กรรมฐานย่อมจะเสียอาทิผิด อักขระไป. ภิกษุนั้นย่อมจะไม่บรรลุคุณ-
วิเศษ. แต่เมื่อเวลาภิกษุคู้เข้าพอดี เหยียดออกพอดี เวทนานั้น ๆ ย่อม
ไม่เกิดขึ้น. จิตย่อมมีอารมณ์เป็นหนึ่ง. กรรมฐานย่อมถึงความสำเร็จ.
เธอย่อมบรรลุคุณวิเศษได้. การใคร่ครวญประโยชน์และมิใช่ประโยชน์
พึงทราบอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง แม้เมื่อมีประโยชน์ การใคร่ครวญถึงอารมณ์สัปปายะและ
อสัปปายะแล้วใคร่ครวญแต่อารมณ์ที่เป็นสัปปายะ ชื่อว่า สัปปายสัมป-
ชัญญะ. ในสัปปายสัมปชัญญะในการคู้เข้าหรือเหยียดออกนั้น มีนัยดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุหนุ่มหลายรูปสวดมนต์อยู่ที่ลานพระมหาเจดีย์. ภิกษุณี
สาวหลายรูปฟังธรรมอยู่ข้างหลังภิกษุเหล่านั้น. บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุ
หนุ่มรูปหนึ่ง เหยียดมือออกไปถูกกายภิกษุณีเข้า จึงต้องเป็นคฤหัสถ์เพราะ
 
๑๑/๑๔๐/๔๓๓

ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก