เป็นเครื่องรองรับเภสัชนั่นแหละ ฉันใด ข้อนี้ก็ฉันนั้นนั่นแหละ ภิกษุใด
ย่อมกำหนด (พิจารณา) จีวร ดุจผ้าพันแผล และกำหนดพิจารณาบาตร ดุจ
กระเบื้องเพื่อใส่เภสัช และกำหนดพิจารณาภิกษาอันได้แล้วในบาตร ดุจเภสัช
ในกระเบื้อง. ภิกษุนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นผู้มีปกติทำสัมปชัญญะอันอุดม
ด้วยอสัมโมหสัมปชัญญะในการทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร แล.
พึงทราบวินิจฉัย ในคำว่า อสิเต เป็นอาทิ.
คำว่า อสิเต ได้แก่ ในการกินอาหาร คือก้อนข้าวที่ตกไปในบาตร
เป็นต้น (อาหารบิณฑบาต).
คำว่า ปีเต ได้แก่ การดื่ม มีข้าวยาคูเป็นต้น.
คำว่า ขายิเต ได้แก่ การกัดเคี้ยวอาหารแข็งอันทำด้วยแป้งเป็นต้น.
คำว่า สายิเต ได้แก่ การเลียลิ้มรสน้ำผึ้งน้ำอ้อยเป็นต้น.
ในการกินอาหารเป็นต้นนั้น ประโยชน์แม้ทั้ง ๘ อย่าง ที่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสไว้โดยนัยว่า เราจักไม่กินเพื่อเล่น เป็นต้น ชื่อว่า ประ-
โยชน์. และพึงทราบสาตถกสัมปชัญญะ ด้วยสามารถแห่งการกินอันเป็น
ประโยชน์นั้น.
ก็บรรดาอาหารทั้งหลาย อันเลว อันประณีต มีรสขม รสหวาน
เป็นต้น ภิกษุใด ไม่มีความผาสุก ด้วยอาหารชนิดใด อาหารนั้นจัดเป็น
อสัปปายะแก่เธอ. อนึ่ง อาหารใด ที่เธอได้มาด้วยสามารถแห่งอาทิผิด อักขระ การทายนิมิต
(หมอดู) เป็นต้นก็ดี ภิกษุฉันอาหารใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเกิด
กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไปก็ดี อาหารนั้น ๆ เป็น อสัปปายะโดยแท้ ๆ
อาหารตรงกันข้ามกับที่กล่าวมา เป็น สัปปายะ. ในที่นี้ พึงทราบว่า เป็น
สัปปายสัมปชัญญะ ด้วยสามารถแห่งการกินอาหารอันเป็นสัปปายะนั้น ๆ และ
ย่อมกำหนด (พิจารณา) จีวร ดุจผ้าพันแผล และกำหนดพิจารณาบาตร ดุจ
กระเบื้องเพื่อใส่เภสัช และกำหนดพิจารณาภิกษาอันได้แล้วในบาตร ดุจเภสัช
ในกระเบื้อง. ภิกษุนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นผู้มีปกติทำสัมปชัญญะอันอุดม
ด้วยอสัมโมหสัมปชัญญะในการทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร แล.
พึงทราบวินิจฉัย ในคำว่า อสิเต เป็นอาทิ.
คำว่า อสิเต ได้แก่ ในการกินอาหาร คือก้อนข้าวที่ตกไปในบาตร
เป็นต้น (อาหารบิณฑบาต).
คำว่า ปีเต ได้แก่ การดื่ม มีข้าวยาคูเป็นต้น.
คำว่า ขายิเต ได้แก่ การกัดเคี้ยวอาหารแข็งอันทำด้วยแป้งเป็นต้น.
คำว่า สายิเต ได้แก่ การเลียลิ้มรสน้ำผึ้งน้ำอ้อยเป็นต้น.
ในการกินอาหารเป็นต้นนั้น ประโยชน์แม้ทั้ง ๘ อย่าง ที่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสไว้โดยนัยว่า เราจักไม่กินเพื่อเล่น เป็นต้น ชื่อว่า ประ-
โยชน์. และพึงทราบสาตถกสัมปชัญญะ ด้วยสามารถแห่งการกินอันเป็น
ประโยชน์นั้น.
ก็บรรดาอาหารทั้งหลาย อันเลว อันประณีต มีรสขม รสหวาน
เป็นต้น ภิกษุใด ไม่มีความผาสุก ด้วยอาหารชนิดใด อาหารนั้นจัดเป็น
อสัปปายะแก่เธอ. อนึ่ง อาหารใด ที่เธอได้มาด้วยสามารถ
(หมอดู) เป็นต้นก็ดี ภิกษุฉันอาหารใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเกิด
กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไปก็ดี อาหารนั้น ๆ เป็น อสัปปายะโดยแท้ ๆ
อาหารตรงกันข้ามกับที่กล่าวมา เป็น สัปปายะ. ในที่นี้ พึงทราบว่า เป็น
สัปปายสัมปชัญญะ ด้วยสามารถแห่งการกินอาหารอันเป็นสัปปายะนั้น ๆ และ
๗๘/๗๔๐/๔๑๑
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น