ใจความของปาฐะนั้นว่า วาทะ ของเหล่านิครนถ์อาทิผิด สระ ที่เป็นเหตุเพราะเหตุที่ผู้อื่น
กล่าว ทำวาทะที่ตามมาถึงเหือดแห้งไป ย่อมมาถึงฐานะที่น่าตำหนิ มีเป็น
ผู้ทำกรรมชั่ว เป็นต้น.
บทว่า สงฺคติภาวเหตุ ได้แก่ เพราะเหตุแห่งศุภเคราะห์. บทว่า
อภิชาติเหตุ ได้แก่ เหตุแห่งอภิชาติ ๖. บทว่า ปาปสงฺคติกา ได้แก่
ผู้มีบาปเคราะห์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงว่า ความพยายามของพวก
นิครนถ์เป็นการไร้ผลอย่างนี้แล้ว บัดนี้เพื่อจะทรงแสดงความว่า ความพยายาม
และความเพียรในศาสนาอันเป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์ มีผล จึงตรัสว่า
กถญฺจ ภิกฺขเว ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนทฺธภูตํ คือ
อันทุกข์ไม่ครอบงำ. อัตภาพของมนุษย์ ท่านเรียกชื่อว่า อันทุกข์ไม่ทับถม
อธิบายว่า ทุกข์ย่อมไม่ทับถม คือไม่ครอบงำอัตภาพนั้น. บุคคลประกอบ
อัตภาพแม้นั้น ในการกระทำกิจที่ทำได้ยากมีประการต่างๆ ชื่อว่า เอาทุกข์
ทับถม ส่วนคนเหล่าใดบวชในพระศาสนาแล้ว อยู่ป่าหรืออยู่โคนไม้เป็นต้น
ก็ตามที คนเหล่านั้นได้ชื่อว่า ไม่เอาทุกข์ทับถม. เพราะว่าความเพียรใน
พระศาสนาอันเป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์ ชื่อว่าเป็นสัมมาวายามะ ความ
พยายามชอบ.
ฝ่ายพระเถระกล่าวว่า บุคคลใดเกิดในตระกูลที่ยิ่งใหญ่ พอมีอายุ
ครบ ๗ ขวบ คนใช้ประดับตกแต่งร่างกายให้นั่งบนตักของบิดา เมื่อพระสงฆ์
นั่งฉันภัตตาหารเสร็จแล้วกล่าวอนุโมทนา ครั้นท่านแสดงสมบัติทั้ง ๓ (คือ
มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ) แล้วประกอบอริยสัจ ๔ เขา
บรรลุพระอรหัต. อีกอย่างหนึ่ง ผู้ถูกบิดามารดาถามว่า จักบวชไหม ลูก
กล่าวว่า จักบวช บิดามารดาจึงให้อาบน้ำตบแต่งร่างกายนำไปยังวิหาร นั่ง
กล่าว ทำวาทะที่ตามมาถึงเหือดแห้งไป ย่อมมาถึงฐานะที่น่าตำหนิ มีเป็น
ผู้ทำกรรมชั่ว เป็นต้น.
บทว่า สงฺคติภาวเหตุ ได้แก่ เพราะเหตุแห่งศุภเคราะห์. บทว่า
อภิชาติเหตุ ได้แก่ เหตุแห่งอภิชาติ ๖. บทว่า ปาปสงฺคติกา ได้แก่
ผู้มีบาปเคราะห์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงว่า ความพยายามของพวก
นิครนถ์เป็นการไร้ผลอย่างนี้แล้ว บัดนี้เพื่อจะทรงแสดงความว่า ความพยายาม
และความเพียรในศาสนาอันเป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์ มีผล จึงตรัสว่า
กถญฺจ ภิกฺขเว ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนทฺธภูตํ คือ
อันทุกข์ไม่ครอบงำ. อัตภาพของมนุษย์ ท่านเรียกชื่อว่า อันทุกข์ไม่ทับถม
อธิบายว่า ทุกข์ย่อมไม่ทับถม คือไม่ครอบงำอัตภาพนั้น. บุคคลประกอบ
อัตภาพแม้นั้น ในการกระทำกิจที่ทำได้ยากมีประการต่างๆ ชื่อว่า เอาทุกข์
ทับถม ส่วนคนเหล่าใดบวชในพระศาสนาแล้ว อยู่ป่าหรืออยู่โคนไม้เป็นต้น
ก็ตามที คนเหล่านั้นได้ชื่อว่า ไม่เอาทุกข์ทับถม. เพราะว่าความเพียรใน
พระศาสนาอันเป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์ ชื่อว่าเป็นสัมมาวายามะ ความ
พยายามชอบ.
ฝ่ายพระเถระกล่าวว่า บุคคลใดเกิดในตระกูลที่ยิ่งใหญ่ พอมีอายุ
ครบ ๗ ขวบ คนใช้ประดับตกแต่งร่างกายให้นั่งบนตักของบิดา เมื่อพระสงฆ์
นั่งฉันภัตตาหารเสร็จแล้วกล่าวอนุโมทนา ครั้นท่านแสดงสมบัติทั้ง ๓ (คือ
มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ) แล้วประกอบอริยสัจ ๔ เขา
บรรลุพระอรหัต. อีกอย่างหนึ่ง ผู้ถูกบิดามารดาถามว่า จักบวชไหม ลูก
กล่าวว่า จักบวช บิดามารดาจึงให้อาบน้ำตบแต่งร่างกายนำไปยังวิหาร นั่ง
๒๒/๒๗/๓๒
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น