วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 22, 2567

Mahapurisalaksana

 
ทั้งหลายก็จักสามารถรู้แจ้งแทงตลอดได้ เพราะฉะนั้น เราจักเนรมิตพระ-
พุทธนิมิต แล้วทรงเข้าฌานมีอภิญญาเป็นบาท ทรงกระทำบริกรรมด้วย
กามาวจรจิตว่า การถือบาตรและจีวร การดู การเหลียว การคู้ การเหยียด
จงเหมือนเราเถิด. แล้วทรงอธิษฐานด้วยรูปาวจรจิตว่า ขอพระพุทธนิมิต
จงมา ดุจแหวกมณฑลพระจันทร์ซึ่งโผล่ขึ้นจากการล้อมของภูเขายุคนธร
ด้านทิศปราจีนเถิด. หมู่เทพเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า ดูอาทิผิด โน่นท่านทั้งหลาย
พระจันทร์โผล่ขึ้นอีกดวงแล้ว. พอใกล้เข้ามา หมู่เทพละพระจันทร์กล่าวว่า
ไม่ใช่พระจันทร์ พระอาทิตย์ขึ้น พอใกล้เข้ามาอีก ไม่ใช่พระอาทิตย์ เป็น
เทพวิมานองค์หนึ่ง พอใกล้เข้ามา ไม่ใช่เทพวิมาน เป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง
พอใกล้เข้ามาอีก ไม่ใช่เทพบุตร เป็นมหาพรหมองค์หนึ่ง พอใกล้เข้ามา
อีก ไม่ใช่มหาพรหม เป็นพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งเสด็จมา ดังนี้. บรรดา
ทวยเทพเหล่านั้น เทพที่เป็นปุถุชนคิดกันว่า การประชุมเทวดานี้จักมี
พระพุทธเจ้าองค์เดียวหรือมีถึงสององค์. พวกเทพที่เป็นอริยะคิดกันว่า
โลกธาตุหนึ่งมิได้มีพระพุทธเจ้าถึงสองพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าคงจะ
ทรงเนรมิตพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นให้คล้ายพระองค์เป็นแน่.
ลำดับนั้น เมื่อหมู่เทพกำลังดูอยู่นั้นเอง พระพุทธนิมิตเสด็จมาถึง
มิได้ไหว้พระทศพล ทำเสมอ ๆ กันในที่เฉพาะพระพักตร์แล้วประทับนั่ง ณ
อาสนะที่เนรมิตไว้. พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระมหาปุริสอาทิผิด สระลักษณะ ๓๒ แม้
พระพุทธนิมิตก็มี ๓๒ เหมือนกัน. พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระฉัพพรรณ-
รังสีซ่านออกจากพระวรกาย แม้พระพุทธนิมิตก็เหมือนกัน. พระรัศมีใน
พระวรกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมกระทบในพระวรกายของพระ-
พุทธนิมิต. พระรัศมีของพระพุทธนิมิตก็ย่อมกระทบในพระวรกายของ
 
๖๖/๔๔๑/๖๖

ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก