[๓๐๙] อัสสาททิฏฐิมีความถือผิดด้วยอาการ ๓๕ เป็นไฉน ? ทิฏฐิ
คือ ความลูบคลำด้วยถือความผิดว่า สุขโสมนัสอาศัยรูปใดเกิดขึ้น นี้เป็น
อัสสาทะ (ความยินดี) แห่งรูป ทิฏฐิไม่ใช่อัสสาทะ อัสสาทะมิใช่ทิฏฐิ ทิฏฐิ
เป็นอย่างหนึ่ง อัสสาทะเป็นอย่างหนึ่ง ทิฏฐิและอัสสาทะ นี้ท่านกล่าวว่า
อัสสาททิฏฐิ อัสสาททิฏฐิเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นทิฏฐิวิบัติ บุคคลผู้ประกอบด้วย
ทิฏฐิวิบัตินั้น เป็นผู้มีทิฏฐิวิบัติ บุคคลผู้มีทิฏฐิวิบัติ ไม่ควรเสพ ไม่ควรคบ
ไม่ควรนั่งใกล้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะบุคคลนั้นมีทิฏฐิลามก ทิฏฐิใด
ราคะใด ราคะไม่ใช่ทิฏฐิ ทิฏฐิไม่ใช่ราคะ ทิฏฐิเป็นอย่างหนึ่ง ราคะเป็น
อย่างหนึ่ง ทิฏฐิและราคะ นี้ท่านกล่าวว่า ทิฏฐิราคะ บุคคลผู้ประกอบด้วย
ทิฏฐินั้นและราคะนั้น เป็นผู้ยินดีในทิฏฐิราคะ ทานที่ให้ในบุคคลผู้ยินดีใน
ทิฏฐิราคะ เป็นทานไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะบุคคลนั้นมีทิฏฐิลามก อัสสาททิฏฐิเป็นมิจฉาทิฏฐิ บุรุษบุคคลผู้ประกอบ
ด้วยมิจฉาทิฏฐิ มีคติเป็น ๒ คือ นรกหรือกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อนึ่ง บุรุษ
บุคคลผู้ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ สมาทาน กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม
ให้บริบูรณ์ตามที่ทิฏฐิ ธรรมทั้งปวง คือ เจตนา ความปรารถนา ความตั้งใจ
และสังขารเหล่านั้น ย่อมเป็นไปเพื่อผลที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่า
พอใจ เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะ
บุคคลนั้นมีทิฏฐิลามก เปรียบเหมือนพืชสะเดา พืชบวบขม หรือพืชน้ำเต้าขม
ที่อาทิผิด อาณัติกะ เขา ฝังอาทิผิด อาณัติกะ ลงในแผ่นดินเปียก อาศัยรสแผ่นดินและรสน้ำ พืชทั้งปวงนั้นย่อม
เป็นไปเพื่อความเป็นของมีรสขม รสปร่า ไม่เป็นสาระ ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะสะเดาเป็นต้นนั้นมีพืชเลว ฉันใด บุรุษบุคคลผู้ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน สมาทานกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ให้บริบูรณ์
คือ ความลูบคลำด้วยถือความผิดว่า สุขโสมนัสอาศัยรูปใดเกิดขึ้น นี้เป็น
อัสสาทะ (ความยินดี) แห่งรูป ทิฏฐิไม่ใช่อัสสาทะ อัสสาทะมิใช่ทิฏฐิ ทิฏฐิ
เป็นอย่างหนึ่ง อัสสาทะเป็นอย่างหนึ่ง ทิฏฐิและอัสสาทะ นี้ท่านกล่าวว่า
อัสสาททิฏฐิ อัสสาททิฏฐิเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นทิฏฐิวิบัติ บุคคลผู้ประกอบด้วย
ทิฏฐิวิบัตินั้น เป็นผู้มีทิฏฐิวิบัติ บุคคลผู้มีทิฏฐิวิบัติ ไม่ควรเสพ ไม่ควรคบ
ไม่ควรนั่งใกล้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะบุคคลนั้นมีทิฏฐิลามก ทิฏฐิใด
ราคะใด ราคะไม่ใช่ทิฏฐิ ทิฏฐิไม่ใช่ราคะ ทิฏฐิเป็นอย่างหนึ่ง ราคะเป็น
อย่างหนึ่ง ทิฏฐิและราคะ นี้ท่านกล่าวว่า ทิฏฐิราคะ บุคคลผู้ประกอบด้วย
ทิฏฐินั้นและราคะนั้น เป็นผู้ยินดีในทิฏฐิราคะ ทานที่ให้ในบุคคลผู้ยินดีใน
ทิฏฐิราคะ เป็นทานไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะบุคคลนั้นมีทิฏฐิลามก อัสสาททิฏฐิเป็นมิจฉาทิฏฐิ บุรุษบุคคลผู้ประกอบ
ด้วยมิจฉาทิฏฐิ มีคติเป็น ๒ คือ นรกหรือกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อนึ่ง บุรุษ
บุคคลผู้ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ สมาทาน กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม
ให้บริบูรณ์ตามที่ทิฏฐิ ธรรมทั้งปวง คือ เจตนา ความปรารถนา ความตั้งใจ
และสังขารเหล่านั้น ย่อมเป็นไปเพื่อผลที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่า
พอใจ เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะ
บุคคลนั้นมีทิฏฐิลามก เปรียบเหมือนพืชสะเดา พืชบวบขม หรือพืชน้ำเต้าขม
เป็นไปเพื่อความเป็นของมีรสขม รสปร่า ไม่เป็นสาระ ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะสะเดาเป็นต้นนั้นมีพืชเลว ฉันใด บุรุษบุคคลผู้ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน สมาทานกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ให้บริบูรณ์
๖๙/๓๐๙/๖
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น