วันจันทร์, กรกฎาคม 22, 2567

Kiriya

 
สรภัญญะ ในกาลนั้น กุศลจิตนั้น ย่อมเป็นวจีกรรม. ในกาลใด บุคคลไม่
ให้ส่วนแห่งกาย แห่งวาจาไหว สละวัตถุอันมีอยู่ด้วยใจว่า เราจักให้เสียง
เป็นทาน ดังนี้ ในกาลนั้น กุศลจิตก็เป็นมโนกรรม.
กุศลจิตแม้ที่เป็นภาวนามัย ในกาลใด บุคคลกำลังเดิน เริ่มตั้งความ
สิ้นไป เสื่อมไปในเสียง ในกาลนั้น กุศลจิตนั้นก็เป็น กายกรรม. ก็หรือว่า
เมื่อบุคคลไม่ยังส่วนแห่งกายให้ไหวพิจารณาอยู่ตามวาจา กุศลจิตที่เป็นภาวนา-
มัยก็เป็นวจีกรรม. เมื่อบุคคลไม่ให้กายและวาจาไหว พิจารณาอยู่ซึ่งสัททาย-
ตนะด้วยใจเท่านั้น กุศลจิตที่เป็นภาวนามัยนั้นก็เป็น มโนกรรม. พระธรรม-
ราชาทรงจำแนกแสดงแล้วซึ่งกุศลจิตแม้มีเสียงเป็นอารมณ์ ด้วยกรรมและทวาร
๙ ด้วยสามารถแห่งบุญกิริยาอาทิผิด วัตถุ ๓ อย่าง ดังพรรณนามาฉะนี้.
กุศลจิตนี้กระทำกลิ่นอันน่าชอบใจแม้ในกลิ่นที่เกิดแต่รากไม้เป็นต้น
ให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้นโดยการกำหนด ๓ อย่าง โดยนัยที่กล่าวแล้วหนหลัง
นั่นแหละ ในกาลใด บุคคลได้กลิ่นหอมอย่างใดอย่างหนึ่ง ในกลิ่นทั้งหลาย
มีกลิ่นที่เกิดแต่รากไม้เป็นต้นแล้วคำนึงถึงด้วยอำนาจแห่งกลิ่น คิดว่า เราจัก
ถวายกลิ่นของเราให้เป็นทาน ดังนี้ จึงบูชาพระพุทธรัตนะเป็นต้น ในกาลนั้น
กุศลจิตก็เป็นทานมัย. บัณฑิตพึงทราบคำทั้งหมดโดยพิสดาร โดยนัยที่กล่าว
ไว้ในการให้สีเป็นทานนั่นแหละ พระธรรมราชา ทรงจำแนกแสดงซึ่งกุศลจิต
แม้มีกลิ่นเป็นอารมณ์ ด้วยกรรมและทวาร ๙ ด้วยสามารถแห่งบุญกิริยาวัตถุ
๓ อย่าง ด้วยประการฉะนี้.
ก็กุศลจิตที่ทำรสอันน่าชอบใจในรสทั้งหลายมีรสเกิดจากรากเป็นต้น
ให้เป็นอารมณ์ ย่อมเกิดขึ้นด้วยการกำหนด ๓ อย่าง โดยนัยที่กล่าวแล้วใน
หนหลังนั่นแหละ ในกาลใด บุคคลได้รสที่น่ายินดีอย่างใดอย่างหนึ่งในรส
 
๗๕/๑๖/๒๕๖

ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก