วันอังคาร, กรกฎาคม 16, 2567

Lao Nan

 
มิให้เหลือ ด้วยสามารถแห่งภาษิตในที่แม้นี้ว่า นี้เป็นอรรถแห่งภาษิตนี้
นี้เป็นอรรถแห่งภาษิตนี้ ดังนี้ ว่า เป็นอัตถปฏิสัมภิทา ดังนี้แล.
สุตตันตภาชนีย์ จบ

วรรณนาอภิธรรมภาชนีย์
บรรดาปฏิสัมภิทา ๔ เหล่าอาทิผิด อาณัติกะนั้น ปฏิสัมภิทา ๓ คือ ธัมมะ,
นิรุตติ, ปฏิภาณปฏิสัมภิทา เป็นโลกียะ. อัตถปฏิสัมภิทา เป็น
มิสสกะ คือ เป็นโลกิยะก็มี เป็นโลกุตตระก็มี. จริงอยู่ อัตถปฏิ-
สัมภิทานั้น เป็นโลกุตตระด้วยสามารถแห่งญาณในมรรคและผล อัน
มีพระนิพพานเป็นอารมณ์.
ในอภิธรรมภาชนีย์ ท่านจำแนกปฏิสัมภิทาเหล่านั้นโดยวาระทั้ง ๔
ด้วยสามารถแห่ง กุศล อกุศล วิบาก และกิริยา. ในธรรมเหล่านั้น บัณฑิต
พึงทราบว่า กุศลจิตท่านจำแนกไว้ในจิตตุปปาทกัณฑ์ในหนหลัง มีประมาณ
เท่าไร พึงทราบปฏิสัมภิทาอย่างละ ๔ ในจิตตนิทเทสหนึ่งๆ ด้วยสามารถแห่ง
ธรรมเหล่านั้นแม้ทั้งหมด. แม้ในอกุศลจิตทั้งหลาย ก็นัยนี้แหละ.

ปฏิสัมภิทา ๓ (เว้นธัมมะ)
ในวาระว่าด้วยวิบากและกิริยา ท่านเว้นธัมมปฏิสัมภิทาเสีย
เพราะความที่วิบากและกิริยาทั้งหลายท่านสงเคราะห์ด้วยอัตถปฏิ-
สัมภิทา. ในวิปากจิตก็ดี ในกิริยาจิตก็ดี อย่างหนึ่ง ๆ ท่านจำแนก
ปฏิสัมภิทาไว้อย่างละ ๓ เท่านั้น.

๑. ธัมมะ ได้แก่ กามาวจรกุศลจิต รูปาวจรกุศลจิต อรูปาวจรกุศลจิต โลกุตตรจิต และอกุศลจิต ๒. อัตถะ ได้แก่ อเหตุกกุศลวิปากจิต กามาวจรวิปากจิต รูปาวจรวิปากจิต อรูปาวจรวิปากจิต โลกุตตรวิปากจิต และอกุศลวิปากจิต.
 
๗๘/๗๙๔/๕๕๒

ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก