วันเสาร์, กรกฎาคม 06, 2567

Phannana

 
ทั้งหลายมีรสเกิดแต่รากเป็นต้นนั้น แล้วรำพึงด้วยสามารถแห่งรส ย่อมให้
ย่อมสละด้วยคิดว่า เราจักให้รสของเราเป็นทาน ดังนี้ ในกาลนั้น กุศลจิต
เป็นทานมัย ดังนี้. พึงทราบข้อความทั้งปวง โดยพิสดารตามนัยที่กล่าวไว้
ในการให้สีเป็นทาน. ก็ในกุศลจิตที่มีสีลมัยนี้ มีเรื่องทั้งหลายมาในมหาอรรถ-
กถา ตั้งแต่เรื่องพระเจ้าทุฏฐคามนิอภัย ทรงพระดำริว่า ธรรมดาว่า การไม่
ถวายสังฆทานแล้วบริโภค เราไม่เคยประพฤติ ดังนี้ จึงให้ถวายทานแก่ภิกษุ
ประมาณ ๑,๒๐๐ รูป แล้วจึงเสวยพระกระยาหารมีรสดี. ข้อความที่แตกต่าง
กันมีเพียงเท่านี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ธรรมราชา ทรงจำแนกแสดงกุศลจิต
แม้มีรสเป็นอารมณ์ ด้วยกรรมและทวาร. โดยบุญกิริยาวัตถุ ๓ นั่นแหละ.
แม้ในโผฏฐัพพารมณ์ มหาภูตรูป ๓ คือ ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ
วาโยธาตุ ชื่อว่า โผฏฐัพพารมณ์. ในฐานะนี้ บัณฑิตไม่ทำการประกอบ
ด้วยอำนาจแห่งธาตุทั้ง ๓ เหล่านั้น พึงทำการประกอบด้วยสามารถแห่งเตียงและ
ตั่งเป็นต้น. จริงอยู่ ในกาลใด บุคคลได้วัตถุอันควรถูกต้องน่าปรารถนา
อย่างใดอย่างหนึ่ง ในวัตถุทั้งหลายมีเตียงและตั่งเป็นต้น แล้วคำนึงถึงด้วย
อำนาจแห่งการถูกต้อง ย่อมให้ ย่อมบริจาค ด้วยคิดว่า เราจักให้โผฏฐัพพะ
เป็นทานของเรา ดังนี้ ในกาลนั้น กุศลจิตก็ย่อมเป็นทานมัย ดังนี้. บัณฑิต
พึงทราบข้อความทั้งปวง โดยพิสดารตามนัยที่กล่าวไว้ในการให้สีเป็นทาน
นั่นแหละ พระธรรมราชา ทรงจำแนกแสดงกุศลจิตแม้มีโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์
ด้วยกรรมและทวาร ๙ ด้วยบุญกิริยาวัตถุ ๓ อย่างดังพรรณนาอาทิผิด มาฉะนี้.
แต่ว่า ในธรรมารมณ์ ได้แก่ ธรรมทั้งหลายที่เป็นปริยาปันนะและ
อปริยปันนะในธรรมายตนะเหล่านี้ คือ อายตนภายใน ๖ ลักษณะ ๓ อรูปขันธ์ ๓
สุขุมรูป ๑๕ นิพพาน และบัญญัติ ชื่อว่า ธรรมารมณ์ แต่ในฐานะนี้ บัณฑิต
 
๗๕/๑๖/๒๕๗

ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก