วันอังคาร, กรกฎาคม 02, 2567

Phuttha Wachana

 
บทว่า อนุวิจฺจ วิญฺญู สพฺรหฺมจารี ความว่า เหล่าสพรหมจารีผู้
ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกับผู้เป็นบัณฑิต พิจารณาใคร่ครวญแล้ว. ด้วยว่า
บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ โอตตัปปะ ความเกรงกลัวบาปภายนอก
ย่อมตั้งขึ้น. โอตตัปปะนั้น ย่อมให้สำเร็จความสำรวมในทวารทั้ง ๓.
ดังนั้น จึงควรทราบโดยนัยในลำดับถัดมานั้นแล.
บทว่า นานาภาโว วินาภาโว ความว่า ความเป็นต่าง ๆ เพราะ
เกิดมา ความพลัดพราก เพราะมรณะ. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่าง
นี้ ชื่อว่าไม่มีอาการคือประมาทในทวารทั้ง ๓. มรณัสสติ ความระลึก
ถึงความตาย ก็เป็นอันตั้งลงด้วยดี.
ในบทว่า กมฺมสฺสโกมฺหิ เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัย ดังนี้. กรรม
เป็นของเรา คือเป็นสมบัติของตน เหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีกรรมเป็น
ของของเรา. ผลที่กรรมพึงให้ ชื่อว่าผลทายะ ผลแห่งกรรม ชื่อว่า
กรรมทายะ ผลแห่งกรรม เราย่อมรับผลแห่งกรรมนั้น เหตุนั้น เราจึงเป็น
ผู้รับผลแห่งกรรม. กรรมเป็นกำเนิด คือเหตุของเรา เหตุนั้น เราจึงเป็น
ผู้มีกรรมเป็นกำเนิด. กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เป็นญาติของเรา เหตุนั้น เราจึง
เป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์. กรรมเป็นที่พึ่งอาศัยของเรา เหตุนั้น เราจึงเป็น
ผู้มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย. บทว่า ตสฺส ทายาโท ภวิสฺสามิ ได้แก่ เราจัก
เป็นทายาท คือเป็นผู้รับผลที่กรรมนั้นให้แล้ว. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณา
ถึงความที่เรามีกรรมเป็นของของตนอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่ชื่อว่ากระทำบาป.
บทว่า กถมฺภูตสฺส เม รตฺตินฺทิวา วีติปตนฺติ ความว่า คืนวัน
ล่วงไป เปลี่ยนแปลงไป เราเป็นอย่างไร คือเรากำลังทำวัตรปฏิบัติอยู่
หรือ ๆ ว่าไม่ทำ ท่องบ่นพระพุทธอาทิผิด อักขระวจนะอยู่หรือ ๆ ว่าไม่ท่องบ่น กำลัง
 
๓๘/๔๘/๑๖๐

ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก