
ภิกษุณีเมตติยาถามว่า ดิฉันผิดอย่างไรต่อพระคุณเจ้า ๆ ไม่ทักทาย
ปราศรัยกับดิฉัน เพื่อประสงค์อะไร
ภิกษุทั้งสองตอบว่า ก็จริงอย่างนั้นแหละ น้องหญิง พวกเราถูก
พระทัพพมัลลบุตรเบียดเบียนอยู่ เธอยังเพิกเฉยได้
เม. ดิฉันจะช่วยเหลืออย่างไร เจ้าคะ
ภิ. น้องหญิง ถ้าเธอเต็มใจช่วย วันนี้แหละพระผู้มีพระภาคเจ้า
ต้องให้พระทัพพมัลลบุตรสึก
เม. ดิฉันจะทำอย่างไร ดิฉันสามารถจะช่วยเหลือได้ด้วยวิธีไหน
ภิ. มาเถิด น้องหญิง เธอจงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่
ประทับ ครั้นแล้วจงกราบทูลอย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า กรรมนี้ไม่มิด
เม้น ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร ไม่มีอันตราย บัดนี้กลับมามีภัย
มีอาทิผิด จัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้ กลับมามีลมแรงขึ้น หม่อมฉัน
ถูกพระคุณเจ้าทัพพมัลลบุตรประทุษร้าย คล้ายน้ำถูกไฟเผา พระพุทธ
เจ้าข้า
ภิกษุณีเมตติยา รับคำพระเมตติยะและพระภุมมชกะว่า ตกลงเจ้าคะ
แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นถวายบังคมแล้ว ได้
ยืนอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่งกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า กรรมนี้ไม่มิดเม้น
ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร ไม่มีอันตราย บัดนี้กลับมามีภัย มี
จัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้กลับมามีลมแรงขึ้น หม่อมฉัน
ถูกพระคุณเจ้าทัพพมัลลบุตรประทุษร้าย คล้ายน้ำถูกไฟเผา พระพุทธเจ้าข้า.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
[๕๔๕] ลำดับนั้น พระผู้มีอาทิผิด พระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมสงฆ์ ใน
๓/๕๔๕/๔๕๓

บทว่า สฺวาชฺชอาทิผิด อักขระ ธมฺเมสุ อุกฺกฏฺโฐ ความว่า พระโสณะนั้นเป็นผู้
สูงสุดในโลกุตรธรรมในวันนี้ คือในบัดนี้ แม้ในกาลเป็นคฤหัสถ์ ท่าน
ก็เป็นผู้สูงสุดกว่าใครๆ ทีเดียว บัดนี้แม้ในเวลาเป็นบรรพชิต ท่านก็เป็น
ผู้สูงสุดเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ท่านจึงแสดงตนให้เหมือนคนอื่น.
บทว่า ทุกฺขสฺส ปารคู ความว่า ท่านถึงฝั่ง คือถึงที่สุดแห่งทุกข์
ในวัฏฏะทั้งสิ้น, ด้วยคำนั้นท่านจึงยังความเป็นผู้สูงสุดที่กล่าวแล้ว โดย
ไม่แปลกกันให้แปลกกัน เพราะแสดงถึงการบรรลุพระอรหัต.
บัดนี้ท่านเป็นผู้ถึงฝั่งแห่งทุกข์ด้วยข้อปฏิบัติใด เมื่อจะแสดงข้อ
ปฏิบัตินั้น โดยอ้างถึงพระอรหัตผล จึงกล่าวคาถาว่า ปญฺจ ฉินฺเท ตัด
สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕.
คำแห่งคาถานั้นมีอธิบายว่า บุรุษพึงตัดสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำ
๕ อย่าง อันให้ถึงอบายและกามสุคติ ด้วยมรรค ๓ เบื้องต่ำ เหมือนตัด
เชือกที่ผูกไว้ที่เท้าด้วยศัสตราฉะนั้น. บุรุษพึงละสังโยชน์อัน เป็นส่วนเบื้อง
สูง ๕ อัน ให้ถึงรูปภพและอรูปภพ ด้วยอรหัตมรรค เหมือนตัดเชือกที่ผูก
ไว้ที่คอฉะนั้น, ก็แลครั้นละสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องสูงเหล่านั้นได้แล้ว
พึงเจริญ คือพึงทำอินทรีย์ ๕ มีสัทธินทรีย์อาทิผิด สระเป็นต้น ให้เกิดยิ่ง ๆ ขึ้นไป,
ก็ภิกษุผู้เป็นอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ก้าวล่วงธรรมเป็นเครื่องข้อง ๕ คือธรรม
เครื่องข้องคือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ และทิฏฐิ ท่านจึงเรียกว่า
ผู้ข้ามโอฆะได้แล้ว เพราะข้ามโอฆะ ๔ คือ กามโอฆะ ภวโอฆะ ทิฏฐิโอฆะ
และอวิชชาโอฆะ.
เมื่อแสดงว่า ก็ปฏิปทานี้ชื่อว่าเป็นความบริบูรณ์แห่งศีล อันข้อ
ปฏิบัติเครื่องข้ามโอฆะนั่นแล และศีลเป็นต้น ย่อมถึงความบริบูรณ์
๕๒/๓๘๐/๔๕๗

ในบทเหล่านั้น บทว่า สนฺติ ปกฺขา อปตนา ความว่า ปีกของ
เรามีอยู่แต่ยังบินไปไม่ได้ เพราะไม่สามารถจะกระโดดไปทางอากาศด้วยปีก
นั้นได้. บทว่า สนฺติ ปาทา อวญฺจนา คือแม้เท้าของเราก็มียู่ แต่ยัง
เดินไม่ได้ เพราะไม่สามารจะอาทิผิด อักขระก้าวไปด้วยเท้าอาทิผิด อาณัติกะนั้นได้. บทว่า มาตาปิตาอาทิผิด สระ จ
นิกฺขนฺตา ความว่า แม้มารดาบิดาของเราที่ควรจะนำเราไปในที่อื่น ก็ออก
ไปเสียแล้ว เพราะกลัวตาย. บทว่า ชาตเวท เป็นคำเรียกไฟ. เพราะว่า
ไฟนั้นเกิดให้รู้ ปรากฏด้วยเปลวควันพลุ่งขึ้น. ฉะนั้นท่านจึงเรียกว่า ชาต-
เวทะ. บทว่า ปฏิกฺกม คือขอร้องไฟว่า ท่านจงไปคือจงกลับไป.
พระมหาสัตว์ ได้นอนทำสัจจกิริยาว่า หากความที่เรามีปีก. ความที่
เหยียดปีกบินไปในอากาศไม่ได้ ความที่เรามีเท้า. ความที่เรายกเท้าเดินไป
ไม่ได้. และความที่มารดาบิดาทิ้งอาทิผิด เราไว้ในรังแล้วหนีไป เป็นความสัตย์จริง.
แน่ะไฟด้วยความสัตย์นี้ ขอท่านจงหลีกไปเสียจากที่นี้. พร้อมด้วยสัจจกิริยา
ของพระมหาสัตว์นั้น ไฟได้หลีกไปในที่ประมาณ ๑๖ กรีส. และเมื่อไฟ
หลีกไปก็มิได้ไหม้กลับเข้าป่าไป. ดับ ณ ที่นั้น ดุจคบเพลิงที่จุ่มลงไปในน้ำ
ฉะนั้น. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
พร้อมกับเมื่อเราทำสัจจกิริยา ไฟที่ลุก
รุ่งโรจน์ใหญ่หลวง เว้นไว้ ๑๖ กรีส ไฟดับ
ณ ที่นั้นเหมือนจุ่มลงในน้ำ.
๗๔/๒๙/๔๗๙

จาก ๗ หลังคาเรือน เข้าไปในฉางเปล่าของพราหมณ์นั้น กระโดดโลดเต้น
เหมือนเล่นกีฬาในสวน เขาอาทิผิด กำหนดเรื่องนั้น จึงกล่าวอย่างนี้.
บทว่า อุปฺปาทเกหิ สญฺฉนฺนโน ความว่า ดาดาษไปด้วยสัตว์เล็ก ๆ
ที่เกิดขึ้น ได้ยินว่าเครื่องปูลาดที่ทำด้วยหญ้าและใบไม้ ที่ปูลาดไว้ให้พราหมณ์
นั้นนอน ไม่มีใคร ๆ ปัดกวาดเป็นครั้งคราวเลย. พราหมณ์ทำงานในป่าตลอด
วัน มาในเวลาเย็น นอนบนเครื่องปูลาดนั้น. ลำดับนั้น แมลงเล็ก ๆ ที่เกิด
ขึ้น ย่อมเกาะกินสรีระของพราหมณ์นั้นเต็มไปหมด เขาถือเอาเรื่องนั้นจึงกล่าว
อย่างนี้
บทว่า วิธวา ได้แก่หญิงสามีตาย. ได้ยินว่า หญิงทั้งหลายแม้เป็น
หม้าย ก็ยังได้อยู่ในตระกูลสามีชั่วเวลาที่ยังมีสมบัติอยู่ในเรือนของพราหมณ์นั้น
แต่เมื่อใดเขาไร้ทรัพย์ เมื่อนั้นหญิงทั้งหลายที่ถูกแม่ผัวพ่อผัวเป็นต้นขับไล่ว่า
จงไปเรือนบิดา ดังนี้ ย่อมมาอยู่เรือนของพราหมณ์นั้นแหละ. ในเวลาพราหมณ์
บริโภค ชนเหล่าใดส่งบุตรไปว่า พวกเจ้าจงไปบริโภคร่วมกับพระผู้เป็นเจ้า
เมื่อชนเหล่านั้นหย่อนมือลงในถาด พราหมณ์ใดไม่ได้โอกาสจะใช้มือ (หยิบ
อาหาร) เขาหมายถึงพราหมณ์นั้นจึงอาทิผิด สระกล่าวคาถานี้.
บทว่า ปิงฺคลา ได้แก่มดดำมดแดงมดเหลือง. บทว่า ติลกาหตา
ได้แก่ มีตัวตกกระ มีสีดำและขาวเป็นต้น. บทว่า โสตฺตํ ปาเทน โปเถติ
ได้แก่ ใช้เท้าไต่ตอมปลุกผู้ที่นอนหลับให้ตื่น. ได้ยินว่าพราหมณ์นี้รำคาญด้วย
เสียงหนูและถูกแมลงเล็ก ๆ กัด ไม่ได้หลับตลอดคืน มาหลับได้เมื่อใกล้สว่าง
ลำดับนั้น พราหมณ์พอลืมตาขึ้นเท่านั้น เจ้าหนี้คนหนึ่งก็กล่าวกะพราหมณ์นั้น
ว่าจะทำอย่างไรละพราหมณ์ หนี้ที่ท่านกู้ในภายหลังและเมื่อก่อน ดอกเบี้ยเพิ่ม-
พูนขึ้น ท่านยังจะต้องเลี้ยงธิดา ๗ คน บัดนี้ พวกเจ้าหนี้มาล้อมเรือน ท่าน
๒๕/๖๗๐/๒๓๙
ช้าง ๑๐ ตระกูลเหล่านี้คือ กาฬาวกะ ๑
คังเคยยะ ๑ ปัณฑระ ๑ ตัมพะ ๑ ปิงคละ ๑ คันธะ ๑
มังคละ ๑ เหมะ๑ ๑ อุโปสถะ ๑ ฉัททันตะ ๑.
บรรดาช้าง ๑๐ ตระกูลเหล่านั้น พึงเห็นว่า ตระกูลช้างโดยปกติ
ชื่อว่า กาฬาวกะ.
กำลังกายของบุรุษ ๑๐ คน เป็นกำลังช้างตระกูลกาฬาวกะ ๑ เชือก
กำลังของช้างตระกูลกาฬาวกะ ๑๐ เชือก เป็นกำลังช้างตระกูล
คังเคยยะ ๑ เชือก.
กำลังช้างตระกูลคังเคยยะ ๑๐ เชือก เป็นกำลังช้างตระกูลปัณฑระ
๑ เชือก.
กำลังช้างตระกูลปัณฑระ ๑๐ เชือก เป็นกำลังช้างตระกูลตัมพะ ๑
เชือก.
กำลังช้างตระกูลตัมพะ ๑๐ เชือก เป็นกำลังช้างตระกูลปิงคละ ๑
เชือก.
กำลังช้างตระกูลปิงคละ ๑๐ เชือก เป็นกำลังช้างตระกูลคันธะ ๑
เชือก.
กำลังช้างตระกูลคันธะ ๑๐ เชือก เป็นกำลังช้างตระกูลมังคละ ๑
เชือก.
กำลังช้างตระกูลมังคละ ๑๐ เชือก เป็นกำลังช้างตระกูลเหมวตะ๒ ๑
เชือก.
กำลังช้างตระกูลเหมวตะ๓ ๑๐ เชือก เป็นกำลังช้างตระกูลอุโปสถะ ๑
เชือก.
๑. ๒. ๓. คาถาเป็น เหมะอาทิผิด สระ แก้อรรถเป็น เหมวตะ.
๒๖/๖๗/๑๐๗

หนึ่งว่า พวกเธอจงตรึกอย่างนี้ อย่าได้ตรึกอย่างนั้น จงทำในใจอย่างนี้
อย่าได้ทำในใจอย่างนั้น จงละส่วนนี้ จงเข้าถึงส่วนนี้อยู่เถิด ดังนี้ ลำดับนั้นแล
จิตของภิกษุประมาณพันรูปนั้น อันพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนามเวสสภูทรงสั่งสอนอยู่อย่างนั้น ทรงพร่ำสอนอยู่อย่างนั้น ได้หลุดพ้น
แล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ในเพราะความที่ไพรสณฑ์อันน่า
พึงกลัวนั้นซิ เป็นถิ่นที่น่าสยดสยองจึงมีคำนี้ว่า ผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งยังไม่ปราศจาก
ราคะเข้าไปสู่ไพรสณฑ์นั้น โดยมากโลมชาติย่อมชูชัน.
ดูก่อนสารีบุตร อันนี้แลเป็นเหตุ อันนี้แลเป็นปัจจัย ให้พระศาสนา
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภูไม่ดำรง
อยู่นาน.
ส. อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า พระนามกกุสันธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะ ดำรง
อยู่นาน พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูก่อนสารีบุตร พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามกกุสันธะ พระนาม
โกนาคมนะ และพระนามกัสสปะ มิได้ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรงแสดงธรรม
โดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย อนึ่ง สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน
อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งสาม
พระองค์นั้นมีมาก สิกขาอาทิผิด อักขระบทก็ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็ทรงแสดงแก่สาวก
เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่ง
สาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน
ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงดำรงพระศาสนานั้นไว้ได้ตลอด
ระยะกาลยืนนาน ดูก่อนสารีบุตร ดอกไม้ต่างพรรณที่เขากองไว้บนพื้นกระดาน
๑/๗/๑๔

เข้ามาบวช พวกเธอจะทำพระพุทธวจนะให้ผิดเพี้ยนจากภาษาเดิม มิฉะนั้น
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะขอยกพระพุทธวจนะขึ้นโดยภาษาสันสกฤต.
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอจึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า มิฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะยกพระพุทธ-
วจนะขึ้นโดยภาษาสันสกฤตดังนี้เล่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำของ
พวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ...ครั้นแล้ว
ทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงยก
พุทธวจนะขึ้นโดยภาษาสันสกฤต รูปใดอาทิผิด อักขระยกขึ้น ต้องอาบัติทุกกฏ.
เราอนุญาตให้เล่าเรียนพุทธวจนะตามภาษาเดิม.
เรื่องเรียนคัมภีร์โลกายตะ
[ ๑๘๑] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์เรียนคัมภีร์โลกายตะ ชาวบ้าน
เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า...เหมือนคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลาย
ได้ยินชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ . . . จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า. . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่เห็นคัมภีร์
โลกายตะ ว่ามีสาระจะพึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้หรือ.
ภิ. ไม่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. อันผู้ที่เห็นธรรมวินัยนี้ว่ามีสาระ จะพึงเล่าเรียนคัมภีร์โลกายตะ
หรือ.
ภิ. ไม่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเรียนคัมภีร์โลกายตะ รูปใดเรียน
ต้องอาบัติทุกกฏ.
๙/๑๘๑/๖๕