ก็ปฏิสังขานพละเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมพิจารณาดังนี้ว่า
วิบากของกายทุจริตแล ชั่วช้าทั้งในชาตินี้และในภพเบื้องหน้า วิบาก
ของมโนทุจริต ชั่วช้าทั้งในชาตินี้และในภพเบื้องหน้า ครั้นเขาพิจารณา
ดังนี้แล้ว ย่อมละกายทุจริต เจริญกายสุจริต ย่อมละวจีทุจริต เจริญ
วจีสุจริต ย่อมละมโนทุจริต เจริญมโนสุจริต บริหารตนให้บริสุทธิ์
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าปฏิสังขานพละ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภาวนาพละเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อม
ไปในการสละ ย่อมเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์. . . ย่อมเจริญวิริย-
สัมโพชฌงค์... ย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์... ย่อมเจริญปัสสัทธิ-
สัมโพชฌงค์. . . ย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์. . . ย่อมเจริญอุเบกขาอาทิผิด สระ-
สัมโพชฌงค์อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าภาวนาพละ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พละ ๒
อย่างนี้แล.
จบสูตรที่ ๒
อรรถกถาสูตรที่ ๒
ในสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ในบทว่า สติสมฺโพชฺฌงฺคํ ภาเวติ เป็นต้น มีพรรณนาความ
ของบทที่ยังมิได้มีมาในหนหลัง ดังนี้ . บทว่า วิเวกนิสฺสิตํ ได้แก่ อาศัย
วิเวก. ความสงัด ชื่อว่าวิเวก. วิเวกดังกล่าวนี้ มี ๕ อย่าง คือ ตทังค-
วิเวก วิกขัมภนวิเวก สมุจเฉทวิเวก ปฏิปัสสัทธิวิเวก และนิสสรณวิเวก.
๓๓/๒๕๘/๓๐๙
แผ่นดิน ตั้งอยู่บนแผ่นดิน จึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้อย่างนี้ มี
อุปมาแม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีล เจริญ
โพชฌงค์ ๗ กระทำให้มากซึ่งโพชฌงค์ ๗ ย่อมถึงความเป็นใหญ่หรือ
ความไพบูลย์ในธรรมทั้งหลาย ก็อุปไมยฉันนั้นเหมือนกัน ดังนี้ พระสูตร
แม้อื่น ๆ อีกไม่น้อย ก็พึงเห็นอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสศีล
ทรงกระทำให้ยิ่งใหญ่ทีเดียวในพระสูตร หลายร้อยสูตรอย่างนี้มิใช่หรือ
เหตุไฉน ในที่นี้จึงตรัสศีลนั้นว่ามีประมาณน้อยเล่า ?
ตอบว่า เพราะทรงเทียบเคียงคุณชั้นสูง. ด้วยว่า ศีลยังไม่ถึงสมาธิ
สมาธิยังไม่ถึงปัญญา ฉะนั้น ทรงเทียบเคียงคุณสูง ๆ ขึ้นอาทิผิด ไป ศีลอยู่เบื้อง
ล่าง จึงชื่อว่า ยังต่ำนัก.
ศีลยังไม่ถึงสมาธิ เป็นอย่างไร ?
คือว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ในปีที่ ๗ นับแต่ตรัสรู้ ได้ประทับ
นั่งบนรัตนบัลลังก์ประมาณโยชน์หนึ่ง ในรัตนมณฑปประมาณ ๑๒ โยชน์
ณ ควงต้นคัณฑามพฤกษ์ ใกล้ประตูนครสาวัตถี เมื่อเทพยดากางกั้น
ทิพยเศวตฉัตรประมาณ ๓ โยชน์ ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ย่ำยีเดียรถีย์
ซึ่งแสดงการทรงถือเอาเป็นส่วนพระองค์ ในบริษัทประมาณ ๑๒ โยชน์
คือ ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ อันเป็นไปโดยนัยมีอาทิว่า ท่อไฟพวยพุ่ง
ออกจากพระวรกายส่วนบน สายน้ำไหลออกจากพระวรกายส่วนล่าง ฯลฯ
ท่อไฟพวยพุ่งออกจากขุมอาทิผิด อักขระพระโลมาแต่ละขุม ๆ สายน้ำไหลออกจากขุม
พระโลมาแต่ละขุมอาทิผิด อักขระ มีวรรณะ ๖ ประการ ดังนี้ . พระรัศมีมีวรรณะดุจ
๑๑/๙๐/๑๖๗
คำว่า เสนาสนํ ปญฺญาเปตฺวา ปุนเทว เวฬุวนํ ปจฺจาคจฺฉติ
มีความว่า ท่านย่อมไม่นั่งคุยเรื่องชนบทกับภิกษุเหล่านั้น กลับมาอาทิผิด อักขระสู่ที่อยู่
ของตนทันที.
[แก้อรรถเรื่องพระเมตติยะและพระภุมมชกะ]
บทว่า เมตฺติยภุมฺมชกา ได้แก่ ภิกษุเหล่านี้ คือ ภิกษุชื่อเมตติยะ ๑
ภิกษุชื่อภุมมชกะ ๑ เป็นบุรุษชั้นหัวหน้าแห่งพวกภิกษุฉัพพัคคีย์.
สองบทว่า ลามกานิ จ ภตฺตานิ ได้แก่ ข้อนี้ คือ เสนาสนะ
อันเลวทราม ถึงแก่พวกภิกษุใหม่ก่อน ไม่เป็นข้อที่น่าอัศจรรย์เลย. แต่
ภิกษุทั้งหลายใส่สลากไว้ในกระเช้า หรือขนดจีวร เคล้าคละกันแล้วจับ
ขึ้นทีละอัน ๆ แจกภัตให้ไป, ภัตแม้เหล่านั้นเป็นของเลวด้อยกว่าเขาทั้งหมด
ย่อมถึงแก่ภิกษุเมตติยะและภุมมชกะนั้น เพราะเป็นผู้มีบุญน้อย.
ภัตที่ควรแจกให้ถึงตามลำดับคราวหนึ่งแม้ใด ชื่อว่า เอกวาริกภัต
เป็นของประณีตแสนจะประณีต พึงประมวลให้แจกตั้งแต่พระเถระจนถึง
พระนวกะ, แม้ภัตนั้น ในวันที่ถึงแก่ภิกษุเมตติยะและภุมมชกะนี้กลายเป็น
ของเลว หรือพวกชาวบ้านพอเห็นภิกษุ ๒ รูปนั้น ไม่ถวายของประณีต
กลับถวายของเลว ๆ.
บทว่า อภิสงฺขริกํ ได้แก่ อันเขาปรุงผสมด้วยเครื่องปรุงต่าง ๆ.
อธิบายว่า อันเขาตระเตรียมด้วยดี คือให้สำเร็จด้วยดี.
บทว่า กาณาชกํ ได้แก่ ข้าวปนรำ.
บทว่า พิลงฺคทุติยํ ได้แก่ คู่กับน้ำผักดอง.
บทว่า กลฺยาณภตฺติโก มีความว่า ภัตอย่างดี คือที่อร่อยแสน
๓/๕๖๓/๔๘๔
สามารถให้ภวังค์ไหว ย่อมมีในขณะเดียวกันนั่นแหละไม่ก่อนไม่หลังกันฉันนั้น.
ลำดับนั้น มหาจิตนี้ก็เกิดขึ้นในอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งแห่งอารมณ์เหล่านั้น
อันติดต่อกันไปแห่งอาวัชชนจิตเป็นต้น ที่ตัดภวังค์แล้วเกิดขึ้นในจักขุทวาร
เป็นต้น มีโวฏฐานจิต๑เป็นที่สุด แต่ว่าในมโนทวารล้วน ๆ ไม่มีกิจกระทบกับ
ประสาท โดยปกติอารมณ์เหล่านี้ ย่อมมาสู่คลองด้วยสามารถแห่งรูปที่เห็นแล้ว
เสียงที่ฟังแล้ว กลิ่นที่ดมแล้ว รสที่ลิ้มแล้ว กายที่กระทบแล้วเท่านั้น.
ถามว่า อารมณ์เหล่านี้มาสู่คลอง (มโนทวาร) อย่างไร.
ตอบว่า บุคคลบางคนในโลกนี้ กระทำประทักษิณมหาเจดีย์ประดับ-
ตกแต่งแล้ว ฉาบทาด้วยปูนขาว วิจิตรด้วยสีมีหรดาลและมโนศิลาอาทิผิด อักขระเป็นต้น มีการ
ปักธงชัยและธงแผ่นผ้ามีประการต่าง ๆ ผูกพวงดอกไม้ล้อมประทีปและมาลัย
รุ่งโรจน์อยู่ด้วยสิริอันรื่นรมย์ใจอย่างยิ่ง ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษที่ฐานพระ-
เจดีย์ ๑๖ ชั้น แล้วยืนประคองอัญชลี แลดูอยู่ถือปีติพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
เมื่อบุคคลนั้นเห็นพระเจดีย์ ยังปีติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ให้เกิดขึ้นอย่าง
นี้แล้ว ภายหลังไปในที่ใดที่หนึ่ง นั่งในที่พักเป็นที่พักในเวลากลางคืนและกลางวัน
รำพึงอยู่ มหาเจดีย์ที่ประดับตกแต่งแล้ว เช่นเดียวกับที่มาสู่คลองในจักขุทวาร
นั่นแหละ เป็นเหมือนเวลาที่กระทำประทักษิณแล้วไหว้พระเจดีย์ฉะนั้น
รูปารมณ์ย่อมมาสู่คลองด้วยสามารถแห่งรูปที่ตนเห็นมาก่อน ด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง เมื่อบุคคลฟังเสียงพระธรรมกถึกผู้กล่าวธรรมกถาด้วยเสียงอัน
ไพเราะ หรือฟังเสียงนักสวดซึ่งสวดอยู่ด้วยเสียงไพเราะ ภายหลังไปนั่งใน
ที่ใดที่หนึ่ง แล้วรำพึงอยู่ ธรรมกถา หรือเสียงสรภัญญะ เป็นเหมือนมาสู่คลอง
ในโสตทวาร และเหมือนเวลาให้สาธุการแล้วฟังธรรม ฉะนั้น สัททารมณ์
ย่อมมาสู่คลองด้วยสามารถแห่งเสียงที่ฟังแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
๑ โวฏฐัพพนจิต
๗๕/๑๖/๒๔๔
๑๐. อุโปสถสูตร
[๑๑๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ บุพพาราม
ปราสาทของมิคารมารดา ใกล้กรุงสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นพระผู้มี-
พระภาคเจ้ามีภิกษุสงฆ์แวดล้อม ประทับนั่งในวันอุโบสถอาทิผิด สระ ครั้งนั้น
เมื่อราตรีล่วงไปแล้ว ปฐมยามผ่านไปแล้ว ท่านพระอานนท์ลุกจาก
ที่นั่ง กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประณมอัญชลีไปทาง
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ได้กราบ พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีล่วงไปแล้ว ปฐมยามผ่านไปแล้ว
ภิกษุสงฆ์นั่งมานานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระกรุณา
โปรดแสดงปาติโมกข์เถิด เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนิ่งอยู่.
แม้วาระที่ ๒ เมื่อราตรีล่วงไปแล้ว มัชฌิมยามผ่านไปแล้ว
ท่านพระอานนท์ลุกจากที่นั่ง กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง
ประณมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้กราบทูลพระผู้มี-
พระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีล่วงไปแล้ว มัชฌิมยาม
ผ่านไปแล้ว ภิกษุสงฆ์นั่งมานานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
พระกรุณาโปรดแสดงปาติโมกข์เถิด แม้วาระที่ ๒ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ทรงนิ่งอยู่.
แม้วาระที่ ๓ เมื่อราตรีล่วงไปแล้ว ปัจฉิมยามผ่านไปแล้ว
แสงเงินแสงทองขึ้นแล้ว ราตรีสว่างอาทิผิด อักขระแล้ว ท่านพระอานนท์ลุกจาก
ที่นั่ง กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประณมอัญชลีไปทาง
๓๗/๑๑๐/๔๑๔
กำแพง เพื่อจะรักษากำแพงเมืองนั้น. เพราะเหตุนั้น เมืองนั้นจึงมีชื่อว่า
เวฬุกัณฏกะนั่นแล. บทว่า ปารายนํ ความว่า ซึ่งธรรม อันได้โวหารว่า
ปารายนะ. เพราะเป็นที่ดำเนินไปถึงฝั่งคือพระนิพพาน. บทว่า
สเรน ภาสติ ความว่า นันทมารดาอริยสาวิกา นั่งในที่มีอารักขา
อันเขาจัดแจงไว้ดีแล้ว บนพื้นชั้นบนแห่งปราสาท ๗ ชั้น ให้ครึ่งราตรีอาทิผิด อักขระ
ผ่านล่วงไปด้วยกำลังแห่งสมาบัติ ครั้นออกจากสมาบัติแล้วคิดว่า
เราจักให้ราตรีที่เหลือเพียงเท่านี้ ผ่านล่วงไปด้วยความยินดีเพียงไหน ?
แล้วกระทำความตกลงว่า จะให้ผ่านล่วงไปด้วยความยินดีในธรรม
ดังนี้แล้วนั่งบรรลุผล ๓ จึงกล่าวปารายนสูตร ประมาณ ๒๕๐ คาถา
โดยทำนองสรภัญญะอันไพเราะ
บทว่า อสฺโสสิ โข ความว่า ท้าวเวสสวัณมหาราชทรงตรวจ
ดูวิมานอันตั้งอยู่ในอากาศแล้ว ขึ้นสู่ยานนาริวาหนะ เสด็จออกไป
โดยทางอันผ่านส่วนเบื้องบนปราสาทนั้น ได้ยินเสียง (ปารายนสูตร)
แล้ว. บทว่า กถาปริโยสานํ อาคมยมาโน อฏฺฐาสิ ความว่า ท้าว-
เวสวัณมหาราชนั้น ครั้นตรัสถามว่า พนาย นั่นเสียงอะไร เมื่อ
ยักขบริษัททูลว่า นั่นคือเสียงสวดโดยทำนองสรภัญญะ ของนันท-
มารดาอุบาสิกา ดังนี้แล้ว เสด็จลงรอคอยการจบเทศนานี้ว่า อิทมโวจ
แล้วประทับยืนบนอากาศในที่ไม่ไกลนัก. บทว่า สาธุ ภคินิ สาธุ
ภคินิ ความว่า ท้าวเวสวัณมหาราช ตรัสว่า พี่ท่าน พระธรรม-
เทศนาท่านรับมาดีแล้ว กล่าวดีแล้ว เราไม่เห็นอะไรที่จะต่างกัน
ระหว่างวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับที่ปาสาณกเจดีย์ ตรัสแก่
ปารายนิกพราหมณ์ ๑๖ คน และที่นี้ท่านกล่าววันนี้ คำที่นี่
๓๗/๕๐/๑๕๓
แหละ ยังโลกให้เดือดร้อน ในกาลเป็นไป และในกาลแห่งผล. โลก
สันนิวาสเดือดร้อน ด้วยความเดือดร้อน เพราะตัณหานั้น.
บทว่า ตณฺหาปริฬาเหน ปริฑยฺหติ - โลกสันนิวาสเร่าร้อน
ด้วยความเร่าร้อนเพราะตัณหา ชื่อว่า เร่าร้อนเพราะตัณหา เพราะ
ตัณหานั่นแหละ มีกำลังเร่าร้อนมาก ด้วยความเร่าร้อนในกาลเป็นไป
และในกาลแห่งผลโดยรอบ. โลกสันนิวาสเร่าร้อน ด้วยความเร่าร้อน
เพราะตัณหานั้นโดยรอบ.
พึงประกอบบทมี ทิฏฺฐิสงฺฆาฏาทโย - กองทิฏฐิเป็น ไว้ด้วย
บทตัณหานี้แหละ.
บทว่า อนุคโต - โลกสันนิวาสไปตามชาติ คือ เข้าไป
บทว่า อนุสโฏ - โลกสันนิวาสซมซานไปเพราะชรา คือ แล่นไป
บทว่า อภิภูโต - โลกสันนิวาสถูกพยาธิครอบงำ คือ ถูกบีบคั้น.
บทว่า อภิหโต - โลกสันนิวาสถูกมรณะห้ำหั่น คือ ถูกกำจัด
ถูกทำลายอย่างหนักเฉพาะหน้า.
บทว่า ทุกฺเข ปติฏฺฐิโต - โลกสันนิวาสตั้งอยู่ในกองทุกข์ คือ
ตั้งอยู่อาศัยขันธปัญจกอันเป็นทุกข์อาทิผิด สระ ด้วยเข้าใจผิดว่าเป็นสุข.
บทว่า ตณฺหาย อุฑฺฑิโต - โลกสันนิวาสถูกตัณหามัดไว้ คือ
ถูกตัณหาบุกรุก. ด้วยว่าจักษุถูกร้อยไว้ด้วยเชือกคือตัณหา แล้วมัดไว้
ที่หลัก คือ รูป. หูเป็นต้นถูกร้อยไว้ด้วยเชือกคือตัณหา แล้วมัดไว้
๖๘/๒๘๕/๑๑๑๖
อัฏฐิกสัญญา) อธิบายว่า เจริญอัฏฐิกสัญญาได้เฉพาะแล้ว เพราะอาศัยอัฏฐิก-
สัญญา. ใช้ในความหมายว่า อารมณ์ เหมือนในประโยคว่า ลาภี โหติ
รูปสหคตานํ วา สมาปตฺตีนํ อรูปสหคตานํ วา (ภิกษุมีปกติได้
สมาบัติทั้งหลายมีรูปเป็นอารมณ์ หรือมีอรูปเป็นอารมณ์) อธิบายว่า มีรูป
หรืออรูปเป็นอารมณ์. ใช้ในความหมายว่า ความเกี่ยวข้อง เหมือนใน
ประโยคว่า อิทํ สุขํ อิมาย ปีติยา สหคตํ โหติ สหชาตํ สํสฏฺฐํ
สมฺปยุตฺตํ (สุขนี้เป็นธรรมชาติอาทิผิด สระสหรคตแล้ว เกิดพร้อมแล้ว เกี่ยวข้องแล้ว
สัมปุตแล้วด้วยปีตินี้) ในบทว่า สังสัฏฐะนี้ ท่านประสงค์เอาความหมายนี้
เท่านั้น. จริงอยู่ จิตที่เกี่ยวข้องกับโสมนัสในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
โสมนัสสสหคตะ ดังนี้.
ว่าด้วยสังสัฏฐศัพท์
อนึ่ง แม้สังสัฏฐศัพท์นี้ ก็ใช้ในอรรถมากอย่าง คือ ในความหมายว่า
เช่นเดียวกัน (สทิเส) กิเลสรั่วรด (อวสฺสุเต) ความสนิทสนมฉันท์มิตร
(มิตฺตสนฺถเว) เกิดพร้อมกัน (สหชาเต).
จริงอยู่ สังสัฏฐศัพท์นี้มาในความหมายว่า เช่นเดียวกัน ดังในประโยค
นี้ว่า กีเส ถูเล จ วิวชฺเชตฺวา สํสฏฺฐา โยชิตา หยา (ม้าทั้งหลาย
ที่เทียมแล้ว ยกเว้นม้าผอมทั้งหลาย และม้าอ้วนทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน). มา
ในความหมายว่า กิเลสรั่วรด ดังในประโยคว่า สํสฏฺฐา จ ตุมเห อยฺเย
วิหรถ (แม่เจ้าทั้งหลาย พวกท่านจงชุ่มด้วยกิเลสเถิด). มาในความหมายว่า
สนิทสนมฉันท์มิตร ดังในประโยคว่า คิหิสํสฏฺโฐ วิหรติ (ภิกษุสนิทสนม
ฉันท์มิตรกับคฤหัสถ์). มาในความหมายว่า เกิดพร้อมกัน ดังในประโยคว่า
๗๕/๑๖/๒๓๙
บุคคล ๖ จำพวก จักเจริญอัญญินทรีย์ แต่ไม่ใช่เคยละโทม-
นัสสินทรีย์ พระอนาคามีจักเจริญอัญญินทรีย์ และก็เคยละโทมนัส-
สินทรีย์.
จบ โทมนัสสินทริยมูละ อัญญินทริยมูลี
โทมนัสสินทริยมูละ อัญญาตาวินทริยมูลี:-
[๑๔๔๑] บุคคลใดเคยละโทมนัสสินทรีย์อาทิผิด อาณัติกะ, บุคคลนั้นก็จักกระทำ
ให้แจ้งอัญญาตาวินทรีย์ ใช่ไหม ?
พระอรหันต์เคยละโทมนัสสินทรีย์ แต่ไม่ใช่จักกระทำให้แจ้ง
อัญญาตาวินทรีย์ บุคคล ๒ จำพวก เคยละโทมนัสสินทรีย์ และก็จัก
กระทำให้แจ้งอัญญาตาวินทรีย์.
ก็หรือว่า บุคคลใดจักกระทำให้แจ้งอัญญาตาวินทรีย์, บุคคล
นั้นก็เคยละโทมนัสสินทรีย์ ใช่ไหม ?
บุคคล ๖ จำพวก จักกระทำให้แจ้งอัญญาตาวินทรีย์ แต่ไม่ใช่
เคยละโทมนัสสินทรีย์ บุคคล ๒ จำพวก จักกระทำให้แจ้งอัญญา-
ตาวินทรีย์ และก็เคยละโทมนัสสินทรีย์.
จบ โทมนัสสินทริยมูละ อัญญาตาวินทริยมูลี
โทมนัสสินทริยมูล จบ
๘๔/๑๔๔๑/๑๑๑๕
นี้ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์แม้เพราะเหตุนี้
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้เพราะเหตุนี้ พระธรรมอันพระองค์ตรัสดี
แล้วแม้เพราะเหตุนี้ เป็นพระธรรมที่ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นเองแม้เพราะเหตุนี้
พระสงฆ์ปฏิบัติดีแล้วแม้เพราะเหตุนี้ ปฏิบัติตรงแม้เพราะเหตุนี้ ดังนี้
แม้ถูกถามว่า ท่านมีศีลหรือ ? ถ้ามีศีลก็พึงยืนยันว่า เราเป็นผู้มีศีล ดังนี้
ทีเดียว แม้ถูกถามว่า ท่านเป็นผู้ได้ปฐมฌานหรือ ? ฯลฯอาทิผิด ท่านเป็น
พระอรหันต์หรือ ? ดังนี้ พึงยืนยันเฉพาะแก่ภิกษุทั้งหลายที่เป็นสภาคกัน
เท่านั้น. ก็ด้วยการปฏิบัติตามที่กล่าวมานี้ ย่อมเป็นอันละเว้นความเป็นผู้
ปรารถนาลามก และย่อมเป็นอันแสดงความที่พระศาสนาไม่เป็นโมฆะ
ดังนี้. คำที่เหลือพึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล.
พรรณนาอนุสนธิเริ่มต้น
อนุสนธิเริ่มต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต
จะพึงกล่าวด้วยประการใด นั่นมีประมาณน้อยนัก ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีล
ดังนี้.
พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่มด้วยบทสองบท คือ การ
สรรเสริญและการติเตียน. ในสองประการนั้น การติเตียนต้องยับยั้งอาทิผิด อาณัติกะไว้
เหมือนไฟ พอถึงน้ำก็ดับฉะนั้น อย่างในคำนี้ว่า นั่นไม่จริงเพราะเหตุนี้
นั่นไม่แท้แม้เพราะเหตุนี้ ดังนี้ . ส่วนการสรรเสริญก็ควรยืนยันที่เป็นจริง
ว่า เป็นจริง คล้อยตามไปอย่างนี้ทีเดียวว่า นั่นเป็นจริงแม้เพราะเหตุนี้.
ก็คำสรรเสริญนั้นมีสองอย่าง คือ คำสรรเสริญที่พรหมทัตมาณพกล่าว
อย่างหนึ่ง คำสรรเสริญที่ภิกษุสงฆ์ปรารภโดยนัยมีอาทิว่า ท่านทั้งหลาย
๑๑/๙๐/๑๖๔
หลังจากนั้น พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ทรงแวดล้อมด้วย
พราหมณ์คหบดีชาวมคธ ๑๒ นหุต เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้น
ถึงจึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ส่วนพราหมณ์คหบดีชาวมคธ ๑๒ นหุต นั้นแล บางพวกถวายบังคมพระผู้มี-
พระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกได้ทูลปราศรัยกับพระผู้มี
พระภาคเจ้า ครั้นผ่านการทูลปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิง เป็นที่ระลึกถึงกันไป
แล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวก ประคองอัญชลีไปทางที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าประทับ แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประกาศนามและ
โคตรในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวก
นั่งนิ่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้งนั้น พราหมณ์คหบดีชาวมคธ ๑๒ นหุต
นั้นได้มีความดำริว่า พระมหาสมณะประพฤติพรหมจรรย์ในท่านอุรุเวลกัสสป
หรือว่าท่านอุรุเวลกัสสปประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ ลำดับนั้น พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าทั้งทราบความดำริในใจของพราหมณ์คหบดีชาวมคธ ๑๒ นหุต
นั้น ด้วยพระทัยของพระองค์ ได้ตรัสกะท่านพระอุรุเวลกัสสปด้วยพระคาถาว่า
ดังนี้.
ดูก่อนท่านผู้อยู่ในอุรุเวลามานาน เคยเป็นอาจารย์สั่งสอนหมู่ชฎิลผู้
ผอม เพราะกำลังพรต ท่านเห็นเหตุอะไรจึงยอมละเพลิงเสียเล่า ?
ดูก่อนกัสสป เราถามเนื้อความนี้กะท่าน ท่านละเพลิงที่บูชาเสียทำ
ไมเล่า ?
ท่านพระอุรุเวลกัสสปทูลตอบว่า ยัญทั้งหลายกล่าวยกย่องรูปเสียงและ
รสที่น่าปราถนา และสตรีทั้งหลาย ข้าพระพุทธเจ้ารู้ว่านั้น เป็นมลทินในอุปธิ
ทั้งหลายแล้ว เพราะเหตุนั้น จึงไม่ยินดี ในการเซ่นสรวง ในการบูชาอาทิผิด สระ.
๖/๕๗/๑๑๑
กามราคานุสย - ปฏิฆานุสย - มานานุสย - ทิฏฐานุสย-
วิจิกิจฉานุสย - ภวราคานุสยมูล
ฉักกมูลกะ - กามราคานุสย - ปฏิฆานุสย - มานานุสย - ทิฏฐานุสย
-วิจิกิจฉานุสย - ภวราคานุสยมูละอาทิผิด สระ อวิชชานุสย -
มูลี :-
[๑๓๓๑] บุคคลใดไม่มีความนอนเนื่องอยู่ด้วยกามราคานุสัย
ปฏิฆานุสัย มานานุสัย ทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย และภวราคานุสัย
บุคคลนั้นก็ไม่มีความนอนเนื่องอยู่ด้วยอวิชชานุสัย ใช่ไหม ?
ใช่.
ก็หรือว่า บุคคลใดไม่มีความนอนเนื่องอยู่ด้วยอวิชชานุสัย บุคคล
นั้นก็ไม่มีความนอนเนื่องอยู่ด้วยกามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย มานานุสัย
ทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย และภวราคานุสัย ใช่ไหม ?
ใช่.
จบ กามราคานุสย - ปฏิฆานุสย - มานานุสย - ทิฏฐานุสย -
วิจิกิจฉานุสย - ภวราคานุสยมูละ อวิชชานุสยมูลี
กามราคานุสย - ปฏิฆานุสย - มานานุสย - ทิฏฐานุสย -
วิจิกิจฉานุสย - ภวราคานุสยมูล จบ
ฉักกมูลกะ จบ
อุปปัตติฐาน ปุคคลวาระ ปัจจนิก จบ
๘๓/๑๓๓๑/๒๒๘
กระดูกเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ว่าโดยสี มีสีขาว. ว่าโดยสัณฐาน มี
สัณฐานต่าง ๆ จริงอยู่ บรรดากระดูกเหล่านั้น กระดูกนิ้วเท้าท่อนปลาย มี
สัณฐานดังเมล็ดบัว กระดูกท่อนกลางถัดจากท่อนปลาย มีสัณฐานดังเมล็ดขนุน
กระดูกท่อนโคน มีสัณฐานดังบัณเฑาะว์. กระดูกหลังเท้า มีสัณฐานดังหมู่
ต้นอาทิผิด อาณัติกะคล้าที่ถูกทุบ. กระดูกส้นเท้า มีสัณฐานดังจาวตาลลอนเดียว. กระดูก
ข้อเท้า มีสัณฐานดังลูกสะบ้าคู่. กระดูกแข้งในที่เป็นที่ตั้งจดข้อเท้า มีสัณฐาน
ดังหน่อไม้อ่อนที่ปอกเปลือก กระดูกแข้งท่อนเล็ก มีสัณฐานดังคันธนู ท่อน
ใหญ่ มีสัณฐานดังหลังงูที่แห้งแล้ว. กระดูกเข่า มีสัณฐานดังต่อมน้ำที่แหว่ง
ไปข้างหนึ่ง ตรงที่เป็นกระดูกแข้งจดกระดูกเข่านั้น มีสัณฐานดังเขาโคปลายทู่.
กระดูกขาอ่อน มีสัณฐานดังด้ามพร้า หรือด้ามขวานที่เขาทำหยาบ ๆ ที่ตรง
กระดูกขาอ่อนจดอยู่ที่กระดูกสะเอวนั้น มีสัณฐานดังลูกสะบ้ากีฬา ตรงที่กระดูก
สะเอวจดกระดูกขานั้น มีสัณฐานดังผลมะงั่วใหญ่ปลายปาด. กระดูกสะเอวแม้
๒ อัน มีสัณฐานดังเตาของนายช่างหม้อ แยกแต่ละอันมีสัณฐานดังคีมของ
นายช่างทอง. กระดูกตะโพกตอนปลาย มีสัณฐานดังพังพานงูที่เขาจับคว่ำหน้า
มีช่องน้อยช่องใหญ่ ๗ แห่ง. กระดูกสันหลังข้างหน้า มีสัณฐานดังห่วงแผ่น
ตะกั่วที่วางซ้อน ๆ กันไว้ ข้างนอกมีสัณฐานดังลูกประคำ ในระหว่าง ๆ แห่ง
กระดูกเหล่านั้น มีเดือยสองสามอันเช่นกับฟันเลื่อย. บรรดากระดูกซี่โครง
๒๔ ซี่ ซี่ที่ไม่เต็มมีสัณฐานดังเคียวที่ไม่เต็มเล่ม ซี่ที่เต็มมีสัณฐานดังเคียว
เต็มเล่ม กระดูกซี่โครงแม้ทั้งหมดมีสัณฐานดังปีกกางของไก่ขาว. กระดูกอก
๑๔ ชิ้น มีสัณฐานดังลูกกรงคานหามเก่า. กระดูกใกล้หัวใจ มีสัณฐานดัง
จวัก. กระดูกไหปลาร้า มีสัณฐานดังด้ามมีดโลหะเล่มเล็ก. กระดูกสะบัก มี
สัณฐานดังจอบชาวสีหฬที่เหี้ยนไปข้างหนึ่ง. กระดูกต้นแขน มีสัณฐานดังด้าม
๗๘/๔๖๔/๗๔
อรรถกถาสิริมาเถรคาถา
คาถาของท่านพระสิริมาเถระ เริ่มต้นว่า ปเร จ นํ ปสํสนฺติ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ สั่งสมบุญทั้งหลายไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในตระกูลพราหมณ์ในเวลาที่
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามอาทิผิด อักขระว่า ปทุมุตตระ ทรงบำเพ็ญบารมี แล้ว
ประทับอยู่ในภพชั้นดุสิต บรรลุนิติภาวะแล้ว เรียนจบไตรเพท เป็นผู้ชำนาญ
ในบทแห่งพระเวท ของสนิฆัณฑุศาสตร์ เกฏุภศาสตร์ สักขรศาสตร์ ปเภทศาสตร์
มีอิติหาสศาสตร์ เป็นที่ ๕ รู้แจ่มแจ้ง เข้าใจในโลกายศาสตร์ และมหาปุริส-
ลักขณศาสตร์ไม่บกพร่อง ละกามทั้งหลายแล้วบวชเป็นดาบส เพราะความเป็น
ผู้มีอัธยาศัยน้อมไปในเนกขัมมะ อันหมู่ดาบสประมาณ ๘๔,๐๐๐ แวดล้อมแล้ว
ยังฌานและอภิญญาให้เกิด แล้วอยู่ในอาศรม อันเทวดาเนรมิตให้ ระลึกถึง
พระพุทธคุณ เพราะความเป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ และเพราะมีแนวทางอันแน่นอน ที่มาแล้วในลักษณะแห่งมนต์ทั้งหลาย
ก่อพระเจดีย์ทรายที่คุ้งน้ำ อันมีน้ำไหลวนแห่งหนึ่ง อุทิศพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ในอดีต ได้เป็นผู้มีความยินดียิ่งในบูชาและสักการะ.
ดาบสทั้งหลายเห็นดังนั้น จึงถามว่า บูชาสักการะนี้ท่านกระทำเจาะจง
ใคร. เขานำมนต์สำหรับดูลักษณะมาแจกแจงลักษณะของมหาบุรุษ เท่าที่มี
มาในพระคัมภีร์ แจ้งแก่ดาบสเหล่านั้น แล้วตั้งอยู่ในกำลังญาณของตน
ประกาศคุณของพระพุทธเจ้า ตามแบบฉบับแห่งตำราดูมหาปุริสลักษณะ
แม้ดาบสเหล่านั้นฟังดังนั้นแล้ว เป็นผู้มีใจเลื่อมใส จำเดิมแต่นั้น ก็พากัน
บูชาพระสถูป มุ่งเฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่.
๕๑/๒๗๗/๙๐
๒. มัจฉริสูตร
ว่าด้วยเหตุที่ให้ทานไม่ได้
[๘๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยาม
ล่วงไปแล้ว พวกเทวดาสตุลลปกายิกามากด้วยกัน มีวรรณะงาม ยังพระวิหาร
เชตวันทั้งสิ้นให้อาทิผิด สว่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นแล้วจึงถวายอภิวาท
พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๘๗] เทวดาองค์หนึ่ง ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
เพราะความตระหนี่ และความประ-
มาทอย่างนี้ บุคคลจึงให้ทานไม่ได้ บุคคล
ผู้หวังบุญ รู้แจ้งอยู่ พึงให้ทานได้.
[๘๘] ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้กล่าวคาถาทั้งหลายนี้ใน
สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
คนตระหนี่กลัวภัยใดย่อมให้ทานไม่-
ได้ ภัยนั้นนั่นแลย่อมมีแก่คนตระหนี่ผู้ไม่
ให้ทาน คนตระหนี่ย่อมกลัวความหิวและ
ความกระหายใด ความหิวและความกระ-
หายนั้นย่อมถูกต้องคนตระหนี่นั้นนั่นแลผู้
เป็นพาลทั้งในโลกนี้ และในโลกหน้า ฉะนั้น
๒๔/๘๖/๑๖๑
ในขันธ์เหล่านั้น ชื่อว่า ภูมิลัทธะ (มีภูมิอันได้แล้ว) จริงอยู่ ภูมิเหล่านั้น
ชื่อว่า อันกิเลสนั้นได้แล้ว เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ภูมิลัทธะ (มี
ภูมิอันได้แล้ว) บรรดาอุปปันนะ ๔ ตามที่กล่าวมาอย่างนี้ ในคำว่า อุปฺปนฺนํ
โหติ นี้ ท่านประสงค์เอาวัตตมานอุปปันนะ.
ว่าด้วยอุปปันนศัพท์
พึงทราบคำจำกัดความในคำว่า อุปฺปนฺนํอาทิผิด สระ โหติ ต่อไป.
ธรรมที่ชื่อว่า อุปปันนะ เพราะอรรถว่า เคลื่อนจากธรรมส่วน
เบื้องต้น (คืออดีต) มุ่งหน้าต่ออุปปาทขณะเป็นต้น. ก็อุปปันนศัพท์นี้ใช้ใน
อรรถหลายอย่าง คือ ในอดีต (ธรรมที่ล่วงแล้ว) ปฏิลัทธะ (ได้เฉพาะ)
สมุฏฐิตะ (ตั้งขึ้นพร้อม) อวิกขัมภิตะ (ข่มไม่ได้) อสมุจฉินนะ (ตัด
ไม่ได้) ขณัตตยคตะ (ถึงขณะทั้ง ๓).
จริงอยู่ อุปปันนศัพท์นี้มาในความหมายว่า อดีต ดังในประโยคนี้ว่า
เตน โข ปน ภิกฺขเว สมเยน กกุสนฺโธ ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ
โลเก อุปฺปนฺโน (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค-
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า กกุสันธะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก)
ดังนี้ มาในความหมายว่า ได้เฉพาะ ดังในประโยคนี้ว่า อายสฺมโต
อานนฺทสฺส อติเรกจีวรํ อุปฺปนฺนํ โหติ (อติเรกจีวรเป็นของอันท่าน
พระอานนท์ได้เฉพาะแล้ว) มาในความหมายว่า ตั้งขึ้นพร้อม ดังในประโยค
นี้ว่า เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว อุปฺปนฺนํ มหาเมฆํ ตเมนํ มหาวาโต
อนฺตราเยว อนฺตรธาเปติ (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาเมฆตั้งขึ้นพร้อมแล้ว
ลมใหญ่ย่อมพัดมหาเมฆนี้นั้นให้อันตรธานไปในระหว่างนั่นแหละ) มาใน
ความหมายว่า ข่มไม่ได้ ดังในประโยคนี้ว่า อุปฺปนฺนํ คมิยจิตฺตํ ทุปฺปฏิ-
๗๕/๑๖/๒๓๔
๓. ทุติยอิสิทัตตสูตร
ว่าด้วยอิสิทัตตภิกษุพยากรณ์ปัญหา
[๕๔๖] สมัยหนึ่ง ภิกษุผู้เถระมากด้วยกันอยู่ที่อัมพาฏกวัน
ใกล้ราวป่ามัจฉิกาสณฑ์ ครั้งนั้นแล จิตตคฤหบดีได้เข้าไปหาภิกษุผู้เถระ
ทั้งหลายถึงที่อยู่ ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้อาราธนา
ว่า ข้าแต่ท่านทั้งหลายผู้เจริญ ขอพระเถระทั้งหลายโปรดรับภัตตาหารของ
กระผมในวันพรุ่งนี้ ภิกษุผู้เถระทั้งหลายรับอาราธนาโดยดุษณีภาพ ครั้ง
นั้นแล จิตตคฤหบดีทราบการรับอาราธนาของภิกษุผู้เถระทั้งหลายแล้ว
ลุกจากอาสนะ ไหว้กระทำประทักษิณแล้วจากไป.
[๕๔๗] ครั้งนั้นแล พอล่วงราตรีนั้นไปเป็นเวลาเช้า ภิกษุผู้เถระ
ทั้งหลาย นุ่งแล้วถือบาตรและจีวรพากันเข้าไปยังนิเวศน์ของจิตตคฤหบดี
แล้วนั่งบนอาสนะที่ตกแต่งไว้ถวาย ครั้งนั้นแล จิตตอาทิผิด อักขระคฤหบดีเข้าไปหาภิกษุ
ผู้เถระทั้งหลาย ไหว้แล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถาม
พระเถระผู้เป็นประธานว่า ข้าแต่พระเถระผู้เจริญ ทิฏฐิหลายอย่างย่อมเกิด
ขึ้นในโลกดังนี้ว่า โลกเที่ยงบ้าง โลกไม่เที่ยงบ้าง โลกมีที่สุดบ้าง โลกไม่มี
ที่สุดบ้าง ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้นบ้าง ชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่นบ้าง
สัตว์ตายแล้วย่อมเป็นอีกบ้าง สัตว์ตายแล้วย่อมไม่เป็นอีกบ้าง สัตว์ตายแล้ว
ย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มีบ้าง สัตว์ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็หามิได้
ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้บ้าง ( ก็ทิฏฐิ ๖๒ อย่างเหล่านี้ ได้กล่าวไว้ใน
พรหมชาลสูตร ) ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่ออะไรมี ทิฏฐิเหล่านี้จึงมี เมื่ออะไร
ไม่มี ทิฏฐิเหล่านี้ จึงไม่มี.
๒๙/๕๔๗/๑๓๖
๔๐๗. อรรถกถาเหมกเถราปทาน
พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๗ ดังต่อไปนี้ :-
อปทานของท่านพระเหมกเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ปพฺภารกูฏํ นิสฺสาย
ดังนี้.
แม้ในเรื่องนั้น ท่านก็ได้บวชเป็นฤๅษี อยู่ที่ป่าหิมวันต์ ได้พบ
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปิยทัสสี ซึ่งเสด็จเข้าไปหาจึงได้ลาดตั่งที่
ทำด้วยแก้วถวายแล้ว ได้ยืนอยู่แล้ว ท่านได้นำเอาขนมกุมมาส และผล
หว้ามาถวาย แด่พระพุทธเจ้า ซึ่งประทับนั่งบนเครื่องลาดอาทิผิด อักขระนั้น เพื่อจะให้
เขามีใจเลื่อมใส พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเสวยผลไม้นั้น ความแปลกกันมี
เพียงเท่านี้นั้นแล.
จบอรรถกถาเหมกเถราปทาน
๗๑/๔๐๙/๙๘๕
กะ ภาชนะทอง ๑ สิวิกะ (วอหรือเสลี่ยง) ๑
สังขะ (สังข์สำหรับรดน้ำในเวลาอภิเษก) ๑
วฏังสกะ (พระมาลากรองสำหรับประดับ
พระกรรณ หรือกรรเจียกเครื่องประดับหู) ๑
อโธวิวัตถโกฏิกะ พระภูษาคู่หนึ่งที่ไม่ต้อง
ซักฟอก ๑ โสวัณณปาตีถาดทอง ๑ กฏัจฉุ
ทัพพี ๑ มหัคฆหัตถปุณฉนะ ผ้าสำหรับเช็ด
พระหัตถ์ที่มีค่ามาก ๑ อโนตัตโตทกกาชะ
หาบน้ำสระอโนดาต ๑ อุตตมหริจันทนะ
แก่นจันทน์แดงที่ดีเลิศ ๑ อรุณวัณณมัตติกะ
ดินสีอรุณ ๑ อัญชนะยาหยอดพระเนตรที่นาค
นำมาถวาย ๑ หรีตกะพระโอสถสมอ ๑
อามลกะ พระโอสถมะขามป้อม ๑ มหัคฆ
อมโตสถะ พระโอสถแก้โรคที่มีค่ามาก ๑
ข้าวสาลีมีกลิ่นอาทิผิด สระหอม ๖,๐๐๐ เกวียนที่นก
แขกเต้านำมาถวาย ๑.
ก็พระเจ้าอโศก ทรงส่งเครื่องบรรณาการ ที่เป็นอามิสนั้นไปถวาย
อย่างเดียวหามิได้ ได้ยินว่า ยังได้ส่งแม้ธรรมบรรณาการนี้ไปถวายอีก ดังนี้คือ
หม่อมฉัน ได้ถึงพระพุทธเจ้า พระ
ธรรมและพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะที่พึ่งแล้ว
ได้แสดงตนเป็นอุบาสก ในพระศาสนาแห่ง
ศากยบุตร, ข้าแต่พระองค์ผู้สูงสุดกว่า
๑/๙/๑๓๐
๖. เมฬชินเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระเมฬชินเถระ
[๒๖๓] ได้ยินว่า พระเมฬชินเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เมื่อใดเราได้ฟังธรรมของพระศาสดาผู้ทรงแสดง
อยู่ เมื่อนั้น เราไม่รู้อาทิผิด อาณัติกะสึกมีความสงสัย ในพระศาสดาผู้รู้
ธรรมทั้งปวง ผู้อันใคร ๆ ชนะไม่ได้ ผู้นำหมู่ แกล้ว-
กล้าเป็นอันมาก ประเสริฐสุดกว่าสารถีทั้งหลาย หรือ
ว่าความสงสัยในมรรคปฏิปทา ย่อมไม่มีแก่เรา.
อรรถกถาเมฬชินเถรคาถา
คาถาของท่านพระเมฬชินเถระ เริ่มต้นว่า ยทาหํ ธมฺมมสฺโสสึ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ สั่งสมบุญทั้งหลายไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาล
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า สุเมธะ บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่ง
เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาต มีใจเลื่อมใส ได้ถวายผล
อาโมทะ มีรสอร่อย.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปเกิดในตระกูลกษัตริย์ กรุงพาราณสี
ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้นามว่า เมฬชินะ ถึงความสำเร็จในศิลปวิทยา
๕๑/๒๖๓/๒๗
เขามีใจตั้งมั่นในความเพียร เป็นผู้สงบระงับ ไม่มีอุปธิ-
กิเลส จักกำหนดรู้อาสวะทั้งปวง แล้วไม่มีอาสวะ นิพพาน
ดังนี้.
เราจึงลุกขึ้นแล้วสละโภคทรัพย์ออกบวช ความรักใน
โภคสมบัติอันเปรียบด้วยก้อนเขฬะ ไม่มีแก่เรา เรามี
ความเพียรอันนำไปซึ่งธุระ เป็นเครื่องนำเอาธรรมอันเป็น
แดนเกษมจากโยคะมา เราทรงไว้ซึ่งกายอันมีในที่สุด
ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณวิเศษเหล่านี้ คือ
ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราได้ทำให้
แจ้งแล้ว พระพุทธศาสนาเราทำเสร็จแล้ว.
ก็ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว ทูลขออนุญาตพระศาสดา ไปยังถุลล-
โกฏฐิกนิคม เพื่อเยี่ยมบิดามารดา ได้เที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอกใน
นิคมนั้น ได้ขนมกุมมาสบูดที่นิเวศน์ของบิดา ฉันขนมกุมมาสนั้น
ประดุจฉันสิ่งที่เป็นอมฤต อันบิดานิมนต์ จึงรับนิมนต์เพื่อจะฉันในวัน
รุ่งขึ้น ในวันที่ ๒ จึงฉันบิณฑบาตในนิเวศน์ของบิดา เมื่อหญิงในเรือน
ตกแต่งประดับประดาแล้ว เข้าไปหากล่าวคำมีอาทิว่า พระลูกเจ้า นางฟ้า
เหล่านั้นเป็นเช่นไร อันเป็นเหตุให้ท่านประพฤติพรหมจรรย์ ดังนี้แล้ว
เริ่มกระทำการประเล้าประโลม จึงได้เปลี่ยนกลับความประสงค์ของเธอ
เสีย เมื่อจะแสดงธรรมอันปฏิสังยุตด้วยความไม่เที่ยงเป็นต้น จึงได้กล่าว
คาถาเหล่านี้ ความว่า
เชิญดูอัตภาพอาทิผิด อักขระอันธรรมดาตกแต่งให้วิจิตร มีกายเป็น
แผล อันกระดูก ๓๐๐ ท่อนยกขึ้นแล้ว กระสับกระส่าย
๕๓/๓๘๘/๖๑