เรื่องไว้ผมยาว
[๑๓] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ไว้ผมยาว ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน
โพนทะนาว่า... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลาย... กราบ
ทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า. .. รับสั่งว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึง
ไว้ผมยาว รูปใดไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ไว้ผมได้สองเดือน หรือยาวสอง
องคุลี.
[๑๔] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์เสยผมด้วยแปรง เสยผมด้วยหวี
เสยผมด้วยนิ้วมือต่างหวี เสยผมด้วยน้ำมันผสมกับขี้ผึ้ง เสยผมด้วยน้ำมันผสม
กับน้ำ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า . . . เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้
บริโภคกาม . . . ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า.... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเสยผม
ด้วยแปรง ไม่พึงเสยผมด้วยหวี ไม่พึงเสยผมด้วยนิ้วมือต่างหวี ไม่พึงเสยผม
ด้วยน้ำมันผสมกับขี้ผึ้ง ไม่พึงเสยผมด้วยน้ำมันผสมกับน้ำ รูปใดเสย ต้อง
อาบัติทุกกฏ.
เรื่องส่องดูเงาหน้า
[๑๕] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ส่องดูเงาหน้าอาทิผิด สระในแว่นบ้าง ในภาชนะ
น้ำบ้าง ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า. ..เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้
บริโภคกาม . . . ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า. . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงดูเงา
หน้าในแว่นหรือในภาชนะน้ำ รูปใดดู ต้องอาบัติทุกกฏ.
๙/๑๕/๖
พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดมาใน
สำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค คือของหญิงมีเครื่องลาด
ของภิกษุไม่มีเครื่องลาด ๑ ของหญิงไม่มีเครื่องลาด ของภิกษุมีเครื่องลาด ๑
ของหญิงมีเครื่องลาด ของภิกษุก็มีเครื่องลาด ๑ ของหญิงไม่มีเครื่องลาด
ของภิกษุก็ไม่มีเครื่องลาด ๑ ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่
แล้ว แต่ยินดีอาทิผิด อักขระการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก.
พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดมาใน
สำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค คือของหญิงมีเครื่องลาด
ของภิกษุไม่มีเครื่องลาด ๑ ของหญิงไม่มีเครื่องลาด ของภิกษุมีเครื่องลาด ๑
ของหญิงมีเครื่องลาด ของภิกษุก็มีเครื่องลาด ๑ ของหญิงไม่มีเครื่องลาด
ของภิกษุก็ไม่มีเครื่องลาด ๑ ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่
แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก.
พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดมาใน
สำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค คือของหญิงมีเครื่องลาด
ของภิกษุไม่มีเครื่องลาด ๑ ของหญิงไม่มีเครื่องลาด ของภิกษุมีเครื่องลาด ๑
ของหญิงมีเครื่องลาด ของภิกษุก็มีเครื่องลาด ๑ ของหญิงไม่มีเครื่องลาด
ของภิกษุก็ไม่มีเครื่องลาด ๑ ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่
แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดีการถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.
๒๐. มนุสสิตถี มตะอักขายิตะจตุกกะ [คร่อม]
พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดมาใน
สำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิดด้วยปัสสาวมรรค คือของหญิงมีเครื่องลาด
ของภิกษุไม่มีเครื่องลาด ๑ ของหญิงไม่มีเครื่องลาด ของภิกษุมีเครื่องลาด ๑
๑/๔๑/๕๐๒
จำนวนพระเถระปัญจวัคคีย์ ไปถึงนครมัจฉิกาสัณฑะ จิตตคฤหบดีเลื่อมใส
ในอิริยาบถของท่าน จึงรับบาตรนำมายังเรือน บูชาด้วยบิณฑบาต
ท่านฉันเสร็จแล้ว ก็นำไปยังสวนชื่ออัมพาตการาม สร้างที่อยู่ถวายพระ-
เถระ ณ ที่นั้น ถือปฏิญญาเพื่อท่านอยู่รับบิณฑบาตในเรือนตนเป็นนิตย์.
แม้พระเถระเห็นอุปนิสัยของจิตตคฤหบดีนั้น เมื่อแสดงธรรมจึงแสดง
เฉพาะสฬายตนวิภังค์เท่านั้น. ไม่ช้านัก จิตตคฤหบดีก็บรรลุพระอนาคามิ-
ผล. เพราะตนมีการพิจารณาเห็นสังขารอันทุกข์บีบคั้นแล้วในภพก่อน.
ต่อมาวันหนึ่ง ท่านพระอิสิทัตตเถระมาอยู่ในที่นั้น เมื่อฉันเสร็จในเรือน
ของเศรษฐีแล้ว ถูกท่านพระเถระ [มหานาม] ผู้ไม่อาจแก้ปัญหา
นิมนต์ไว้จึงวิสัชนาปัญหาแก่อุบาสก เมื่อท่านทราบว่าเป็นสหายคฤหัสถ์
กันมาก่อน คิดว่า บัดนี้ ไม่ควรอยู่ในที่นี้ จึงหลีกไปตามสบาย.
วันรุ่งขึ้น เศรษฐีคฤหบดีจึงอ้อนวอนพระมหากัสสปเถระผู้เฒ่า๑ เพื่อทำ
อิทธิปาฏิหาริย์. แม้พระเถระก็แสดงปาฏิหาริย์ที่สำเร็จด้วยเตโชสมาบัติ
คิดว่า บัดนี้ ไม่สมควรอยู่ในที่นี้ แล้วก็หลีกไปตามสบาย.
ต่อมาวันหนึ่ง พระอัครสาวกทั้งสอง มีภิกษุ ๑,๐๐๐ รูปเป็น
บริวาร ไปยังอัมพาตการาม. เศรษฐีคฤหบดีก็ตระเตรียมสักการะอย่างใหญ่
สำหรับ พระอัครสาวกทั้งสองนั้น. พระสุธัมมเถระ เมื่อระรานจิตตคฤหบดี
นั้น จึงด่าว่าเศรษฐีด้วยวาทะว่านายขนมคลุกงา ถูกเศรษฐีนั้นไล่แล้ว
ไปสำนักพระศาสดา ได้โอวาท ดำรงอยู่ในโอวาทพระทศพล ขอขมา
จิตตคฤหบดีแล้วอยู่ในอัมพาตการามนั้นนั่นแหละ เจริญวิปัสสนาแล้ว
บรรลุพระอรหัต. ครั้งนั้น อุบาสกคิดว่า เราไม่พบพระทศพลอาทิผิด อักขระมาล่วง
๑. ม. พระมหานามเถระ
๓๓/๑๕๑/๖๓
พระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ก่อน ๆ เสด็จมาด้วยอภินิหารใด พระผู้มีพระภาค
เจ้าแม้ของเราทั้งหลาย ก็เสด็จมาด้วยอภินิหารนั้นเหมือนกัน. อีกอย่างหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ก่อน ๆ ทรงบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ :- คือบารมี ๑๐
อุปบารมี ๑๐ ปรมัตถบารมี ๑๐ กล่าวคือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา
วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา และอุเบกขา. ทรงบริจาค
มหาบริจาค ๕ ประการ :- คือ บริจาคอวัยวะ บริจาคนัยน์ตา บริจาคทรัพย์
บริจาคราชสมบัติ และบริจาคบุตรภริยา. ทรงบำเพ็ญบุพประโยค บุพจริยา
การแสดงธรรม และญาตัตถจริยาเป็นต้น. ทรงถึงที่สุดแห่งพุทธจริยาเสด็จ
มาแล้วอย่างใด พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ของเราทั้งหลาย ก็เสด็จมาเหมือน
อย่างนั้น. อนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ก่อน ๆ ทรงเจริญเพิ่มพูนสติปัฏฐาน ๔
สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมี
องค์ ๘ เสด็จมาแล้วอย่างใด พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ของเราทั้งหลาย
ก็เสด็จมาเหมือนอย่างนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต
เพราะเสด็จมาอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ :-
พระมุนีทั้งหลายมีพระทีปังกรพุทธเจ้าเป็นต้น เสด็จ
มาสู่ความเป็นพระสัพพัญญูในโลกนี้อย่างใด แม้อาทิผิด พระศากยมุนีนี้
เสด็จมาเหมือนอย่างนั้น ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีจักษุจึงทรงพระ
นามว่า ตถาคต ดังนี้.
ตถาคต ในอรรถว่าเสด็จไปอย่างนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะเสด็จไปอย่าง
นั้นเป็นอย่างไร ?
๖๕/๖๙/๓๘๙
ต้นสมอ ต้นมะขามป้อม ต้นมะม่วงอาทิผิด อักขระ ต้นหว้า ต้นสมอ-
พิเภก ต้นพุทรา ต้นรกฟ้า ต้นมะตูม มีผลมากอยู่ใกล้อาศรม
ของเรา.
ต้นอ้อย ต้นกล้วย กำลังผลิดอกออกผลใกล้อาศรมของเรา
นั้น ไม้กลิ่นหอมตลบอบอวล ย่อมทำให้อาศรมของเรางาม.
ต้นอโศก ต้นวรี และต้นสะเดา กำลังดอกบานกลิ่นหอม
ตลบหอมอวล ย่อมทำให้อาศรมของเรางาม.
ต้นมะนาว ต้นมะงั่ว ต้นดีหมี มีดอกบาน หอมตลบอบอวล
ย่อมทำให้อาศรมของเรางาม.
ไม้ย่างทราย ต้นคณฑีเขมา และต้นจำปา มีดอกบาน
กลิ่นหอมตลบอบอวล ย่อมทำให้อาศรมของเรางาม.
ในที่ไม่ไกลมีสระบัว มีนกจากพรากส่งเสียงร้องอยู่ ดา-
ดาษด้วยบัวขม บัวเผื่อน บัวหลวง และอุบล มีน้ำใสแจ๋ว
เย็นจืดสนิท มีท่าน้ำราบเรียบน่ารื่นรมย์ใจ น้ำใสสะอาด
เสมอด้วยแก้วผลึก ย่อมทำให้อาศรมของเรางาม.
ในสระนั้น บัวหลวง บัวขาว บัวอุบล บัวขม และ
บัวเผื่อน ดอกบานสะพรั่ง ย่อมทำให้อาศรมของเรางาม.
ปลาสลาด ปลากระบอก ปลาสวาย ปลาเค้า และปลา
ตะเพียนว่ายอยู่ในสระนั้น ย่อมทำอาศรมของเราให้งาม.
จระเข้ ปลาฉลาม เต่า คหา โอคหา และงูเหลือมเป็น
อันมาก ย่อมทำอาศรมของเราให้งาม.
๗๑/๔๑๒/๑๐๐๑
โดยทำนองอาทิผิด สระเดียวกันดังได้กล่าวแล้วนั่นแหละ. อีกอย่างหนึ่ง ความสังเขปในบท
นี้มีดังนี้. ในกาลใดวีติกกมโทษอันนับว่า ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะปรากฏใน
สงฆ์. ในกาลนั้น พระศาสดาจึงทรงบัญญัติแก่สาวกทั้งหลาย. เพราะเหตุไร.
เพราะเพื่อกำจัดวีติกกมโทษ อันได้แก่ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะเหล่านั้นนั่น
แหละ. พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสถึงอกาละแห่งกาลบัญญัติสิกขาบท อันยัง
ไม่เกิดธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะอย่างนี้ และกาละอันเกิดขึ้นแห่งธรรมอันเป็น
ที่ตั้งแห่งอาสวะ แล้วบัดนี้ เพื่อทรงแสดงถึงกาละอันยังไม่เกิดธรรมเหล่านั้น
และกาละอันเกิดธรรมเหล่านั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า น ตาว ภทฺทาลิ อิเธกจฺเจ
คือ ธรรมเป็นที่ตั้งอาทิผิด อักขระแห่งอาสวะบางเหล่า ยังไม่ปรากฏในสงฆ์ในธรรมวินัยนี้.
ในบทเหล่านั้นบทว่า มหตฺตํ คือ ความเป็นใหญ่. จริงอยู่ สงฆ์
เป็นผู้ถึงความเป็นใหญ่ด้วยอำนาจแห่งพระนวกะ พระมัชฌิมะ และพระเถระ
ทั้งหลาย เพียงใด. เสนาสนะย่อมมีธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะบางเหล่า
ยังไม่เกิดขึ้นในศาสนา เพียงนั้น. แต่เมื่อสงฆ์ถึงความเป็นใหญ่ ธรรมเหล่า
นั้นจึงเกิดขึ้น. เมื่อเป็นดังนั้นพระศาสดาย่อมทรงบัญญัติสิกขาบท. เมื่อสงฆ์
ถึงความเป็นใหญ่ พึงทราบสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้โดยนัยนี้ว่า ภิกษุนอน
ร่วมกับอนุปสัมบันเกิน ๒-๓ ราตรีขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์. ภิกษุณียังภิกษุผู้ยังอาทิผิด สระไม่
มีพรรษาให้ลุกออกไป เป็นปาจิตตีย์. ภิกษุณียังภิกษุหนึ่งพรรษา สองพรรษา
ให้ลุกไป เป็นปาจิตตีย์.
บทว่า ลาภคฺคํ คือ ความเป็นผู้เลิศด้วยลาภ. จริงอยู่ สงฆ์ยังไม่
ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภ เพียงใด. ธรรมเป็นที่ตั้งอาทิผิด อักขระแห่งอาสวะยังไม่เกิดขึ้น
เพราะอาศัยลาภเพียงนั้น. แต่เมื่อสงฆ์ถึงแล้ว ธรรมเหล่านั้นจึงเกิด. เมื่อเป็น
เช่นนั้นพระศาสดาจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุให้ของเคี้ยวของฉันแก่อเจลก
๒๐/๑๗๔/๓๔๕
บทว่า นิราสตฺตี ไม่ทะเยอทะยาน คือไม่มีตัณหา. บทว่า วิเวกทสฺสี
ผสฺเสสุ เป็นผู้เห็นความสงัดในผัสสะทั้งหลาย คือเห็นความสงัดจากความเป็น
ตัวตนเป็นต้นในจักขุสัมผัสเป็นต้นอันเป็นปัจจุบัน. บทว่า ทิฏฺฐีสุ น นิยฺยติ
อันใคร ๆ จะนำไปในทิฏฐิทั้งหลายไม่ได้เลย คือจะนำไปในทิฏฐิไร ๆ ใน
ทิฏฐิ ๖๒ ไม่ได้เลย. บทว่า ปฏิลีโน ปราศจากกิเลสอาทิผิด อักขระ คือ ปราศจากกิเลส
นั้น เพราะละราคะเป็นต้นได้แล้ว. บทว่า อกุหโก ไม่หลอกลวง คือ ไม่
หลอกลวง ด้วยวัตถุหลอกลวง ๓. บทว่า อปิหาลุ คือมีปรกติไม่ทะเยอทะยาน.
ท่านอธิบายว่า เว้นจากความปรารถนาและความอยาก. บทว่า อมจฺฉรี ไม่
ตระหนี่ คือเว้นจากความตระหนี่ ๕ อย่าง. บทว่า อปฺปคพฺโภ ไม่คะนอง
คือเว้นจากความเป็นผู้คะนองกายเป็นต้น. บทว่า อเชคุจฺโฉ ไม่เป็นที่น่า
เกลียด คือ ไม่เป็นที่น่ารังเกียจ คือ ชื่นใจชอบใจ ด้วยความเป็นผู้มีศีลสม-
บูรณ์เป็นต้น. บทว่า เปสุเณยฺเย จ โน ยุโต ไม่ประกอบในคำส่อเสียด
คือ ไม่ประกอบในกรรมคือความส่อเสียดอันควรรวบรวมเข้าด้วยอาการทั้งสอง.
บทว่า สาติเยสุ อนสฺสาวี เว้นจากความชมเชยด้วยความอยากในกามคุณ
ทั้งหลายอันเป็นวัตถุน่ายินดี. บทว่า สณฺโห เป็นผู้ละเอียดอ่อน คือ เป็นผู้
ประกอบด้วยกายกรรมเป็นต้นอันละเอียดอ่อน. บทว่า ปฏิภาณวา มีปฏิภาณ
คือประกอบด้วยปฏิภาณในการเรียน การถามและการบรรลุ. บทว่า น สทฺโธ
ไม่เชื่อใคร ๆ คือไม่เชื่อใคร ๆ ถึงธรรมที่ตนบรรลุแล้วด้วยตนเอง. บทว่า
น วิรชฺชติ ไม่กำหนัด คือ ไม่กำหนัด เพราะสิ้นราคะ เพราะไม่ยินดี. บทว่า
ลาภกมฺยา น สิกฺขต ไม่ศึกษาเพราะใคร่ลาภ คือ ไม่ศึกษาพระสูตรเป็นต้น
๔๗/๔๑๗/๗๘๔
อย่างไร ๆ กระผมจึงจะรู้ทั่วอาทิผิด ถึงธรรมที่พระคุณเจ้าแสดงแล้ว อันบุคคลที่ยัง
ครองเรือนอยู่จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียว ให้บริสุทธิ์โดย
ส่วนเดียวดุจสังข์ที่ขัดแล้ว ทำไม่ได้ง่าย กระผมปรารถนาจะปลงผมและหนวด
ครองผ้ากาสายะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ขอพระคุณเจ้ากรุณาโปรดให้
กระผมบวชเถิด ขอรับ.
ครั้งนั้น ท่านพระมหากัจจานะให้อุบาสกโสณกุฏิกัณณะอาทิผิด อักขระบรรพชาแล้ว.
ก็สมัยนั้น อวันตีชนบทอันตั้งอาทิผิด อยู่แถบใต้ มีภิกษุน้อยรูป ท่านพระ
มหากัจจานะจัดหาพระภิกษุสงฆ์แต่ที่นั้น ๆ ให้ครบองค์ประชุมทสวรรคได้ยาก
ลำบากต่อล่วงอาทิผิด ไปถึง ๓ ปี จึงอุปสมบทให้ท่านพระโสณะได้.
พระโสณเถระรำพึงแล้วอำลาเข้าเฝ้า
ครั้งนั้น ท่านพระโสณะจำพรรษาแล้ว ไปในที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ได้
มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เราได้
ยินมาอย่างชัดเจนว่า เป็นผู้เช่นนี้และเช่นนี้ แต่เรามิได้เฝ้าต่อพระพักตร์ เรา
ควรไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น. หากพระ
อุปัชฌายะจะพึงอนุญาตแก่เรา ครั้นเวลาสายัณห์ ท่านออกจากที่หลีกเร้นแล้ว
จึงเข้าไปหาท่านพระมหากัจจานะ ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้ว
กราบเรียนว่าท่านขอรับ กระผมไปในที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ณ ตำบลนี้ได้มีความ
ปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เราได้ยินมา
อย่างชัดเจนว่า เป็นผู้เช่นนี้และเช่นนี้ แต่เรามิได้เฝ้าต่อพระพักตร์ เราควร
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น หากพระ-
อุปัชฌายะจะพึงอนุญาตแก่เรา ท่านขอรับ กระผมจะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น หากท่านพระอุปัชฌายะจะอนุญาตแก่
กระผม.
๗/๒๐/๓๒
[๒๒๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุเจริญปฐวีกสิณแม้ชั่วกาลเพียง
ลัดนิ้วมือไซร้ ภิกษุนี้เรากล่าวว่าอยู่ไม่เหินห่างจากฌาน ทำตามคำสอนของ
พระศาสดา ปฏิบัติตามโอวาท ไม่ฉันบิณฑบาตของชาวแว่นแคว้นเปล่าก็จะ
ป่วยกล่าวไปไยถึงผู้กระทำให้มากซึ่งปฐวีกสิณนั้นเล่า ถ้าภิกษุเจริญ
อาโปกสิณ . . . เจริญเตโชกสิณ . . . เจริญวาโยกสิณ. . . เจริญนีลกสิณ.. .
เจริญปีตกสิณ. . . เจริญโลหิตกสิณ. . . เจริญโอทาตกสิณ. . . เจริญ
อากาสกสิณ. . . เจริญวิญาณกสิณ. . . เจริญอสุภสัญญา. . เจริญมรณ-
สัญญา. . . เจริญอาหาเรปฏิกูลสัญญา. . . เจริญสัพพโลเกอนภิรตสัญญา. . .
เจริญอนิจจสัญญา . . . เจริญอนิจเจทุกขสัญญา... เจริญทุกเขอนัตตสัญญา...
เจริญปหานสัญญา. . . เจริญวิราคสัญญา . . . เจริญนิโรธสัญญา . . เจริญ
อนิจจสัญญา. . .เจริญอนัตตสัญญา. . . เจริญมรณสัญญา . . .เจริญอาหาเร-
ปฏิกูลสัญญา... เจริญสัพพโลเกอนภิรตสัญญา. . . เจริญอัฏฐิกสัญญา. . .
เจริญปุฬุวกสัญญา. . . เจริญวินีลกสัญญา . . . เจริญวิจฉิททกสัญญา. . .
เจริญอุทธุมาตกสัญญา . . . เจริญพุทธานุสสติ . . . เจริญธัมมานุสสติ . . .
เจริญสังฆานุสสติ . . . เจริญอานาปานสติ . . . เจริญมรณสติ . . . เจริญ
เทวตานุสสติ. . . เจริญอานาปานสติ . . . เจริญมรณสติอาทิผิด อักขระ. . . เจริญกายคตาสติ
. . . เจริญอุปสมานุสสติ.. . เจริญสัทธินทรีย์อันสหรคตด้วยปฐมฌาน. . .
เจริญวิริยินทรีย์. . .เจริญสตินทรีย์. . .เจริญสมาธินทรีย์. . . เจริญปัญญิน-
ทรีย์. . . เจริญสัทธาพละ . . . เจริญวิริยพละ . . . เจริญสติพละ. . . เจริญ
สมาธิพละ.. .. เจริญปัญญาพละ. . . เจริญสัทธินทรีย์อันสหรคตด้วยทุติย-
ฌาน ฯลฯ เจริญสัทธินทรีย์อันสหรคตด้วยตติยฌาน ฯลฯ เจริญสัทธิน-
ทรีย์อันสหรคตด้วยจตุตถฌาน ฯ ล ฯ เจริญสัทธินทรีย์อันสหรคตด้วย
๓๓/๒๒๔/๒๑๘
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แล สงฆ์ไม่พึง
ระงับนิยสกรรม.
วัตรที่ไม่ควรระงับ ๑๘ ข้อ ๓ หมวด จบ
วัตรที่ควรระงับ ๑๘ ข้อ ๓ หมวด
หมวดที่ ๑
[๘๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงฆ์พึงระงับนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้
ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ:-
๑. ไม่ให้อุปสมบท
๒. ไม่ให้นิสัย
๓. ไม่ให้สามเณรอุปัฏฐาก
๔. ไม่รับสมมติเป็นผู้สั่งสอนภิกษุณี
๕. แม้ได้รับสมมติแล้ว ก็ไม่สั่งสอนภิกษุณี
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล สงฆ์พึงระงับ
นิยสกรรม.
หมวดที่ ๒
[๘๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงฆ์พึงระงับนิยสกรรมแก่ภิกษุผู้
ประกอบด้วยองค์ ๕อาทิผิด แม้อื่นอีก คือ :-
๑. ถูกสงฆ์ลงนิยสกรรมเพราะอาบัติใด ไม่ต้องอาบัตินั้น
๒. ไม่ต้องอาบัติอื่นอัน เช่นกัน
๘/๘๑/๔๑
มนุษย์ผู้มีสติอยู่ทุกเมื่อ รู้จักประ-
มาณในโภชนะที่ได้มา ย่อมมีเวทนาเบา
บาง เขาย่อมแก่ช้า อายุยืน.
[๓๖๗] ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงดำรงอยู่โดยมีพระกระ-
ยาหารหนึ่งทะนานข้าวอาทิผิด อักขระสุกเป็นอย่างมากเป็นลำดับมา.
ในลำดับต่อมา พระเจ้าปเสนทิโกศลมีพระวรกายกระปรี้กระเปร่าดี
ทรงลูบพระวรกายด้วยฝ่าพระหัตถ์ ทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า พระผู้
มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงอนุเคราะห์เราด้วยประโยชน์ทั้ง ๒ คือประโยชน์
ปัจจุบันและประโยชน์ภายหน้าหนอ.
อรรถกถาโทณปากสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในโทณอาทิผิด อักขระปากสูตรที่ ๓ ต่อไป :-
บทว่า โทณปากสุทํ ได้แก่ พระกระยาหาร คือข้าวสุกแห่งข้าว
สารทะนานหนึ่ง. อธิบายว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลเสวยข้าวสุกแห่งข้าวสาร
ทะนานหนึ่ง และแกงกับที่เหมาะแก่ข้าวสุกนั้น. บทว่า ภุตฺตาวี ความว่า
ทรงบรรเทาความเมาในพระกระยาหารก่อนแล้วพักผ่อนครู่หนึ่งแล้วจึงเสด็จไป
เฝ้าพระพุทธองค์ แต่วันนั้น ท้าวเธอกำลังเสวย ระลึกถึงพระทศพล ก็ล้าง
พระหัตถ์แล้วเสด็จไป. บทว่า มหสฺสาสี ความว่า ท้าวเธอกำลังเสด็จไปก็
เกิดความกระวนกระวายเพราะพระกระยาหาร อย่างรุนแรง เพราะฉะนั้น จึง
ทรงหายใจ ด้วยพระอัสสาสะอย่างแรง หยาดพระเสโทก็ไหลอาทิผิด อักขระออกจากพระวรกาย
ของพระองค์ พวกราชบุรุษต้องยืนประคองทั้งสองข้าง พัดวีพระองค์ด้วยขั้วใบ
๒๔/๓๖๗/๔๖๖
ออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัย
กระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้
เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่
เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว
ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ฉะนั้น การสลัดออกซึ่ง
ธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว
ปรุงแต่งอาทิผิด อักขระแล้วจึงปรากฏ.
จบตติยนิพพานสูตรที่ ๓
อรรถกถาตติยนิพพานสูตร
ตติยนิพพานสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อถ โข ภควา เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ได้ยินว่า ในกาล
นั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประกาศโทษในสงสารโดยอเนกอาทิผิด ปริยาย
แล้ว ทรงแสดงพระธรรมเทศนา อันเกี่ยวด้วยพระนิพพาน โดยการ
แสดงเทียบเคียงเป็นต้นแล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า พระผู้มี-
พระภาคเจ้า ทรงประกาศสงสารนี้ พร้อมด้วยเหตุ มีอวิชชาเป็นต้น
อันชื่อว่า สเหตุกะ แต่ไม่ตรัสถึงเหตุอะไร ๆ แห่งพระนิพพานซึ่งเป็น
เหตุสงบสงสารนั้น พระนิพพานนี้นั้นจัดเป็นอเหตุกะ อเหตุกะนั้นจะ
เกิดได้ เพราะอรรถว่า มีการกระทำให้แจ้ง และมีอรรถเป็นอย่างไร.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอรรถนี้ ตามที่กล่าวแล้ว ของภิกษุ
เหล่านั้น. บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า พระองค์ทรงเปล่งอุทานนี้ อัน
เป็นเหตุ ประกาศอมตมหานิพพาน อันมีอยู่โดยปรมัตถ์ เพื่อกำจัดความ
สงสัยของภิกษุเหล่านั้น และเพื่อหักรานมิจฉาวาทะ ของสมณพราหมณ์
ในโลกนี้ ผู้ปฏิบัติผิด ผู้มีทิฏฐิคติหนาแน่น ในภายนอกทีเดียว เหมือน
บุคคลผู้ยึดโลกเป็นใหญ่ว่า คำว่า นิพพาน นิพพาน เป็นเพียงแต่เรื่อง
๔๔/๑๖๐/๗๒๓
ถ้อยคำอันเป็นสุภาษิตของพระเถระผู้เป็นฤๅษีแล้ว พากัน
วางศาสตราและอาวุธ บางพวกก็งดเว้นจากโจรกรรม บาง
พวกก็ขอบรรพชา โจรเหล่านั้นครั้นได้บรรพชาในศาสนา
ของพระสุคตแล้ว ได้เจริญโพชฌงค์และพลธรรม เป็น
บัณฑิต มีจิตเฟื่องฟู เบิกบาน มีอินทรีย์อันอบรมดีแล้ว
ได้บรรลุสันตบท คือนิพพานอันหาปัจจัยปรุงแต่งมิได้.
จบอธิมุตตเถรคาถา
อรรถกถาเถรคาถาอาทิผิด วีสตินิบาต
อรรถกถาอธิมุตตเถรคาถาที่ ๑
ใน วีสตินิบาต คาถาของท่านพระอธิมุตตเถระ มีคำเริ่มต้นว่า
ยญฺญตฺถํ วา ธนตฺถํ วา ดังนี้. เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าแต่ปาง
ก่อน สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าอัตถทัสสีอาทิผิด
บังเกิดในตระกูลที่มั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติ รู้เดียงสาแล้ว เมื่อพระศาสดา
ปรินิพพานไป ได้อุปัฏฐากภิกษุสงฆ์ ยังมหาทานให้เป็นไปแล้ว.
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในท้องของน้องสาวท่านพระสังกิจจเถระ ได้
มีชื่อว่า อธิมุตตะ ท่านเจริญวัยแล้ว ได้บวชในสำนักของพระเถระผู้เป็น
ลุง บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ทั้งๆ ที่ดำรงอยู่ในภูมิของสามเณรก็ได้
๕๓/๓๘๕/๔
คิดเพื่อความประกอบ เราแสดงเพื่อความไม่ถือมั่น เธอยังจักคิดเพื่อ
มีความถือมั่น
ดูก่อนโมฆบุรุษ ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยอเนกปริยาย เพื่อ
เป็นที่สำรอกแห่งราคะ เพื่อเป็นที่สร่างแห่งความเมา เพื่อเป็นที่
บรรเทาความระหาย เพื่อเพิกถอนอาลัย เพื่อเข้าไปตัดวัฏฏะ เพื่อสิ้น
แห่งตัณหา เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับทุกข์ เพื่อความไม่มี
กิเลสเครื่องร้อยรัด มิใช่หรือ
ดูก่อนโมฆบุรุษ การละกาม การกำหนดรู้ความหมายในกาม
การกำจัดความระหายในกาม การเพิกถอนความตรึกอันเกี่ยวด้วยกาม
การระงับความกลัดกลุ้มเพราะกาม เราบอกไว้แล้วโดยอเนกปริยาย
มิใช่หรือ
ดูก่อนโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความ
เลื่อมใสของชุมชนที่ไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของ
ชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้การกระทำอาทิผิด สระของเธอนั่น เป็นไปเพื่อ
ความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่าง
อื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว
(พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงติเตียนท่านพระเสยยสกะโดยอเนกปริยาย
ดังนี้แล้ว) ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก
ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความ
เกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย
ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่า
๓/๓๐๑/๔
บุพเพนิวาสานุสติญาณ
เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจาก
อุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิต
ไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสติญาณ เรานั้นย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ
ระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง
สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติ ห้าสิบชาติบ้าง
ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง
ตลอดวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ว่า
ในภพนั้นเราได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหาร
อย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้น ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพ
นั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพโน้นนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น
มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่าง
นั้น ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพโน้นนั้นแล้ว ได้มาเกิดใน
ภพนี้ ย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอุเทศ พร้อมทั้งอาการ
ด้วยประการฉะนี้ พราหมณ์ วิชชาที่หนึ่งนี่แล เราได้บรรลุแล้วในปฐมยาม
แห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราอาทิผิด แล้ว ความมืด เรา
กำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท
มีความเพียร เผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ฉะนั้น ความชำแรกออกครั้งที่หนึ่ง
ของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น.
จุตูปปาตญาณ
เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจาก
อุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิต
๑/๓/๗
อานุภาพมากถึงเพียงนี้ พระศาสดาต้องอัศจรรย์แน่ ดังนี้ แล้วพากัน สนใจต่อ
พระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น หาสนใจต่อท่านพระสาคตะไม่.
ทรงแสดงอนุปุพพิกถาและจตุราริยสัจ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของพวก
เขาด้วยพระทัย แล้วทรงแสดงอนุปุพพิกถา คือ ทรงประกาศ ทานกถา
ศีลกถา สัคคกถา ซึ่งโทษแห่งกามอันต่ำทรามอันเศร้าหมอง และ
อานิสงส์ในการออกบรรพชา เมื่อพระองค์ทรงทราบว่า พวกเขามีจิตสงบ
มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรง
ประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง
คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาอาทิผิด อักขระเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจาก
มลทิน ได้เกิดแก่พวกเขา ณ ที่นั่งนั้นเองว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็น
ธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับอาทิผิด อักขระเป็นธรรมดา ดุจผ้าที่สะอาด ปราศจากมลทิน
ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี ฉะนั้นพวกเขาได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรม
แล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว
ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นใน
คำสอนของพระศาสดา ได้กราบทูลคำนี้ ต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ภาษิตของ
พระองค์แจ่มแจ้งนัก พระพุทธเจ้าข้า ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธ
เจ้าข้า พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงาย
ของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด
ด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ข้าพระพุทธเจ้าเหล่านี้ขอถึงพระผู้มี-
พระอาทิผิด อักขระภาคเจ้า พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรง
๗/๑/๔
เท้าข้างหนึ่งไว้ โดยอาการที่ถูกหนีบอยู่นั่นแล ยกเท้าที่ ๒ ขึ้น เหยียบ
กระดองหลังปูนั้น ทำให้แหลกอาทิผิด สระละเอียด กระชากปูนั้นเหวี่ยงขึ้นบนฝั่ง.
ลำดับนั้น ช้างทั้งหมดชุมนุมกันทำปูนั้นให้แหลกละเอียดด้วยคิดว่า
มันเป็นไพรีของพวกเรา. เสียงของหญิง ครอบงำจิตของปูทองด้วย
ประการฉะนี้ก่อน.
ฝ่ายนกยูงทอง เข้าไปยังป่าหิมพานต์ อาศัยชัฏแห่งภูเขาใหญ่อยู่
แลดูดวงอาทิตย์ ในเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นตลอดกาลเป็นนิตย์ เมื่อจะ
กระทำการรักษาตนจึงกล่าวอย่างนี้ว่า
พระอาทิตย์ เป็นดวงตาโลก เป็นราชาเอก
มีสีเหลืองดังทอง ทำพื้นแผ่นดินให้สว่างไสว
อุทัยขึ้นมา ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้า ขอนอบอาทิผิด อักขระน้อม
พระอาทิตย์นั่นซึ่งมีสีเหลืองดังทอง ทำพื้น
แผ่นดินให้สว่างไสว ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นผู้
อันท่านคุ้มครองแล้วในวันนี้ พึงอยู่เป็นสุข
ตลอดวัน พราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใด ผู้จบเวท
ในธรรมทั้งปวง ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมพราหมณ์
เหล่านั้น และพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น โปรด
รักษาข้าพเจ้าด้วย ความนอบน้อมของข้าพเจ้า จง
มีแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ความนอบน้อมของ
ข้าพเจ้า จงมีแด่พระโพธิญาณ ความนอบน้อม
ของข้าพเจ้า จงมีแด่ท่านผู้หลุดพ้นแล้ว ความ
๓๒/๑๑/๓๘
ให้เที่ยวไปข้างนั่นและข้างนี้ว่า จักเป็นไปอย่างนั้น จักเป็นไปอย่างนี้ ย่อม
ทรงแสดงธรรมคล้อยตามพระวิมังสา. ห้ามความที่พระสมณโคดมนั้น ทรง
ประจักษ์ในธรรมทั้งหลาย ด้วยบทนี้ว่า สยํ ปฏิภานํ. ก็สุนักขัตตะนั้นมีความ
คิดอย่างนี้ว่าวิปัสสนา หรือมรรค หรือผล อันเป็นลำดับแห่งธรรมอันละเอียด
ของพระสมณโคดมนั้น ชื่อว่า ประจักษ์ย่อมไม่มี ก็สมณโคดมนี้ ทรงได้
บริษัท วรรณ ๔ ย่อมแวดล้อมพระองค์เหมือนพระจักรพรรดิ ก็ไรพระทนต์
ของพระองค์เรียบสนิท พระชิวหาอ่อน พระอาทิผิด อักขระสุรเสียงอ่อนหวาน พระวาจา
ไม่มีโทษ พระองค์ทรงถือเอาสิ่งที่ปรากฏแก่เทพแล้ว ตรัสพระดำรัสตาม
ไหวพริบของพระองค์ทรงยังมหาชนให้ยินดี. บทว่า ยสฺส จ ขฺวสฺส อตฺถาย
ธมฺโม เทสิโต ความว่า ก็ธรรมนี้พระองค์ทรงแสดง เพื่อประโยชน์แก่
บุคคลใดแล. อย่างไร. คือ อสุภกรรมฐาน เพื่อประโยชน์แก่การกำจัดราคะ
เมตตาภาวนา เพื่อประโยชน์แก่การกำจัดโทสะ ธรรม ๕ ประการ เพื่อ
ประโยชน์แก่การกำจัดโมหะ อานาปานัสสติ เพื่อตัดวิตก. บทว่า โส นิยฺยาติ
ตกฺกรสฺส สมฺมาทุกฺขกฺขยาย ความว่า สุนักขัตตะแสดงว่า ธรรมนั้น
ย่อมนำออก คือ ไป เพื่อความสิ้นไปแห่งวัฏฏทุกข์โดยชอบ คือ โดยเหตุ
โดยนัย โดยการณ์ แก่ผู้ปฏิบัติตามธรรมที่ทรงแสดงนั้น คือ ยังประโยชน์นั้น
ให้สำเร็จ. แต่อาทิผิด อักขระสุนักขัตตะไม่กล่าวถึงเนื้อความนี้นั้น ด้วยอัธยาศัยของตน.
จึงกล่าวอย่างนี้ว่า ก็ธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นเครื่องไม่นำออกจาก
ทุกข์ ดังนี้. แต่ไม่สามารถจะกล่าวได้. เพราะเหตุไร. เพราะกลัวแต่การถูก
ตำหนิ. จริงอยู่ ในเมืองเวสาลี มีอุบาสกเป็นโสดาบัน สกทาคามีและอนาคามี
จำนวนมาก. อุบาสกเหล่านั้น พึงกล่าวอย่างนี้ว่า แนะสุนักขัตตะ ท่านกล่าวว่า
ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วไม่เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ได้ ดังนี้
ผิว่า ธรรมนี้ไม่เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ได้ไซร้ เพราะเหตุไร ในนครนี้
๑๘/๑๙๓/๖๙
ต. พระเสกขะและกัลยาณปุถุชนศึกษา
ถ. พวกไหนมีสิกขาอันศึกษาแล้ว
ต. พระอรหันต์มีสิกขาอันศึกษาแล้ว
ถ. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น ตั้งอยู่ในใคร
ต. ตั้งอยู่ในสิกขากามบุคคล
ถ. พวกไหนย่อมทรงไว้
ต. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ ย่อมเป็นไปแก่พระเถระพวกใด พระเถระ
พวกนั้นย่อมทรงไว้
ถ. เป็นถ้อยคำของใคร
ต. เป็นพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ. ใครนำมา
ต. พระเถระทั้งหลายนำสืบ ๆ กันมา.
รายนามพระเถระ
[๓] พระเถระเหล่านี้ คือ พระอุบาลี
พระทาสกะ พระโสณกะอาทิผิด อักขระ พระสิคควะ รวม
เป็นห้าทั้งพระโมคคัลลีบุตร นำพระวินัยมา
ในทวีปชื่อว่าชมพู อันมีสิริ แต่นั้น พระ-
เถระผู้ประเสริฐมีปัญญามากเหล่านี้ คือ พระ
มหินทะ ๑ พระอิฏฏิยะ ๑ พระอุตติยะ ๑
พระสัมพละ ๑ พระเถระชื่อภัททะผู้เป็น
บัณฑิต ๑ มาในเกาะสิงหฬนี้ แต่ชมพูทวีป
๑๐/๓/๕
๒. เรื่องกุฎุมพีคนใดคนหนึ่ง [๑๖๖]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภกุฎุมพีคนใด
คนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่าอาทิผิด อาณัติกะ “ ปิยโต ชายตี๑ ” เป็นต้น.
พระศาสดาเสด็จไประงับความโศกของพราหมณ์
ความพิสดารว่า กุฏุมพีนั้น ครั้นบุตรของตนทำกาละแล้ว. อัน
ความโศกถึงบุตรครอบงำ ไปสู่ป่าช้า ร้องไห้อยู่, ไม่อาจที่จะหักห้าม
ความโศกถึงบุตรได้.
พระศาสดาทรงพิจารณาดูสัตว์โลก ในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นอุปนิสัย
โสดาปัตติมรรคของกุฎุมพีนั้น กลับจากบิณฑบาตแล้ว ได้ทรงพาภิกษุผู้
เป็นปัจฉาสมณะรูปหนึ่ง เสด็จไปประตูเรือนของกุฎุมพีนั้น กุฎุมพีนั้น
ได้ฟังความที่พระศาสดาเสด็จมา คิดว่า “ พระศาสดาจักทรงประสงค์เพื่อ
ทำปฏิสันถารกับด้วยเรา ” จึงอัญเชิญพระศาสดาให้เสด็จไปสู่เรือน ปู
อาสนะไว้ในท่ามกลางเรือน เมื่อพระศาสดาประทับนั่งแล้ว, ก็มาถวาย
บังคมเเล้วนั่ง ส่วนข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามกุฎุมพีนั้นว่า “ อุบาสก ท่านต้อง
ทุกข์เพราะเหตุอะไรหนอแล ? ” เมื่อกุฎุมพีนั้น กราบทูลทุกข์เพราะพลัด
พรากจากบุตรแล้ว. ตรัสว่า “ อย่าคิดเลย อุบาสก. ชื่อว่าความตายนี้
มิใช่มีอยู่ในที่เดียว. และมิใช่มีจำเพาะแก่บุคคลผู้เดียว, ก็ชื่อว่าความเป็น
ไปแห่งภพ ยังมีอยู่เพียงใด. ความตายก็ย่อมมีแก่สรรพสัตว์เพียงนั้น
เหมือนกัน; แม้สังขารอันหนึ่ง ที่ชื่อว่าเที่ยงย่อมไม่มี; เพราะเหตุนั้น
๑. โบราณว่า ชายเต.
๔๒/๒๖/๓๙๗