
อภิชฌาและโทมนัสดังกล่าวมานี้ ถูกกำจัด ถูกกำจัดราบคาบ สงบระงับ
เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่างราบคาบ ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศ
ไปด้วยดี ถูกอาทิผิด อักขระทำให้เหือดแห้ง ถูกทำให้เหือดแห้งด้วยดี ถูกทำให้มีที่สุดปราศไป
แล้วในโลกนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า กำจัดอภิชฌาและโทมนัสเสียได้ในโลก.
กายานุปัสสนานิทเทส จบ
เวทนานุปัสสนานิทเทส
พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาภายใน
[๔๔๑] ก็ภิกษุ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาภายในเนือง ๆ อยู่
เป็นอย่างไร ?
ภิกษุในศาสนานี้ เมื่อเสวยสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนา
เมื่อเสวยทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนา เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา
ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา เมื่อเสวยสุขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า เรา
เสวยสุขเวทนามีอามิส หรือเมื่อเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวย
สุขเวทนาไม่มีอามิส เมื่อเสวยทุกขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนา
มีอามิส หรือเมื่อเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนาไม่
มีอามิส เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา
มีอามิส หรือเมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขม-
สุขเวทนาไม่มีอามิส.
๗๘/๔๔๑/๖
กราบทูลว่า พระองค์ให้จำขังพระราชาผู้มีศีลไว้ในเรือนจำ ด้วย
เหตุนั้น ทุกข์อันนี้จักเกิดขึ้นแก่พระองค์. ราชาโจรนั้นจึงเสด็จไป
ขอขมาพระโพธิสัตว์ ตรัสว่า ราชสมบัติของพระองค์. จะเป็นของ
พระองค์เถิด แล้วทรงมอบราชสมบัติแก่พระเจ้าพาราณสีนั้นแล แล้ว
ทูลว่า ตั้งแต่นี้ไปข้าศึกของพระองค์จงเป็นภาระของหม่อมฉัน ให้ลง
อาญาแก่อำมาตย์ผู้ประทุษร้ายแล้วเสด็จไปยังพระนครของพระองค์เอง
พระโพธิสัตว์ประทับนั่งบนบัลลังก์ซึ่งยกเศวตฉัตรอาทิผิด อักขระขึ้นแล้วในท้อง
พระโรงอันอลงกต เมื่อจะทรงปราศัยกับหมู่อำมาตย์ที่นั่งห้อมล้อมอยู่
จึงได้ตรัสคาถา ๒ คาถาแรกว่า :-
ผู้ใดคบหากับบุคคลผู้ประเสริฐ ผู้นั้น
ชื่อว่าเป็นส่วนอันประเสริฐด้วย เราสมาน-
ไมตรีกับพระยาโจรคนเดียว ก็ปลดเปลื้อง
ท่านทั้งหลายผู้ต้องโทษได้ตั้งร้อยคน.
เพราะฉะนั้น บุคคลคนเดียวสมาน
ไมตรีกับโลกทั้งมวล สิ้นชีพแล้วก็พึงเข้าถึง
สวรรค์ ท่านชาวกาสิกรัฐทั้งหลายจงฟังคำ
ของเราเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เสยฺยํโส เสยฺยโส โหติ โย
เสยฺยมุปเสวติ ความว่า บุคคลชื่อว่าผู้มีส่วนอันประเสริฐ เพราะ
มีส่วน คือโกฏฐาสอันประเสริฐกล่าวคือธรรมสูงสุดอันหาโทษมิได้
๕๘/๔๔๗/๒๕๘

๑๗. ภูมิจาลสูตร
[๑๖๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคาร-
ศาลา ป่ามหาวัน ใกล้นครเวสาลี ครั้งนั้นแล เวลาเช้า พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จ
เข้าไปบิณฑบาตยังนครเวสาลี ครั้นเที่ยวบิณฑบาตในนครเวสาลี
แล้ว ในเวลาปัจฉาภัต เสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว ตรัสกะท่าน
พระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ จงถือผ้านิสีทนะ เราจะเข้าไปยัง
ปาวาลเจดีย์ เพื่อพักกลางวัน ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าแล้ว ถือผ้านิสีทนะตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไปข้างหลัง.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปยังปาวาลเจดีย์
ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูไว้ แล้วตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อน
อานนท์ นครเวสาลีเป็นที่น่ารื่นรมย์ อุเทนเจดีย์ก็น่ารื่นรมย์
โคตมกเจดีย์ พหุปุตตกเจดีย์ สัตตัมพเจดีย์ สารันททเจดีย์ ปาวาล-
เจดีย์ ล้วนน่ารื่นรมย์ ดูก่อนอานนท์ ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญทำให้มาก
ซึ่งอิทธิบาท ๔ ทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้มั่นคง สั่งสม
ปรารภดีแล้ว ผู้นั้นหวังอยู่ พึงดำรงอยู่ได้กัปอาทิผิด อักขระหนึ่ง หรือเกินกว่ากัป
ดูก่อนอานนท์ ตถาคตเจริญ กระทำให้มากซึ่งอิทธิบาท ๔ ทำให้
เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้มั่นคง สั่งสม ปรารภดีแล้ว ตถาคต
หวังอยู่ พึงดำรงอยู่ได้กัปหนึ่งหรือเกินกว่ากัป เมื่อพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงกระทำนิมิตอาทิผิด อักขระแจ้งชัด ทรงกระทำโอภาสแจ้งชัดแม้
๓๗/๑๖๗/๖๑๔

บทว่า เทเวสุ มหิทฺธิกา อหุมฺห ความว่า เรามีฤทธิมากมีอานุ-
ภาพมาก ในหมู่เทพนั้น ๆ เวลาเกิดในเทวดาทั้งหลาย. บทว่า มานุสกมฺหิ
โก ปน วาโท ได้แก่ ไม่มีถ้อยคำที่จะกล่าวถึงความที่เรามีฤทธิ์มาก ใน
เวลาได้อัตภาพเป็นมนุษย์. บัดนี้ พระนางเมื่อทรงแสดงความอุกฤษฏ์
ความมีฤทธิ์มาก ในเวลาได้อัตภาพเป็นมนุษย์นั้นนั่นแล จึงตรัสว่า
สตฺตรตนสฺส มเหสี อิตฺถิรตนํ อหํ อาสึอาทิผิด สระ เป็นต้น ในคำนั้น รัตนะ ๗
ประการ มีจักรรัตนะเป็นต้น มีแก่พระราชานั้น เหตุนั้น พระราชานั้นชื่อ
ว่า สัตตรัตนะ มีรัตนะ ๗ ประการ คือพระเจ้าจักรพรรดิ ของพระเจ้า
จักรพรรดิผู้มีรัตนะ ๗ ประการนั้น ข้าพระองค์ได้เป็นรัตนะในอิตถีทั้งหลาย
เพราะประกอบด้วยคุณมีเป็นต้นอย่างนี้คือ เว้นจากโทษ ๖ มีความงาม ๕ มี
ผิวพรรณเกินผิวพรรณมนุษย์ มีพรรณะดังทิพย์ที่มนุษย์ไม่เคยพบ.
บทว่า โส เหตุ ความว่า กุศลคือวิหารทานที่ข้าพระองค์กระทำ
แด่พระสงฆ์ ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ เป็นเหตุแห่ง
ทิพยสมบัติตามที่กล่าวแล้ว. คำว่า โส ปภโว ตํ มูลํ เป็นคำบรรยายของคำ
ว่า โส เหตุ นั้นนั่นแหละ. บทว่า สาว สาสเน ขนฺติ ความว่า นั้นนั่นแล
เป็นความอดทนในการเพ่งธรรมในพระศาสนาของพระศาสดานี้. บทว่า ตํ
ปฐมสโมธานํ ได้แก่ นั้นนั่นแล เป็นที่ชุมนุมครั้งแรก คือเป็นปฐมสมาคม
โดยศาสนอาทิผิด สระธรรมของพระศาสดา. พระนางตรัสเหตุโดยใกล้ชิดผลว่า นั้นนั่น
แหละเป็นนิพพานในที่สุด สำหรับข้าพระองค์ ซึ่งยินดีอย่างยิ่งในศาสนธรรม
ของพระศาสดา. ก็ ๔ คาถานี้ พระสังคีติกาจารย์ยกขึ้นสู่สังคายนาไว้แม้ใน
อปทานบาลี เพราะเป็นไปด้วยการชี้แจงอปทาน จริตที่ไม่ขาดสายของพระเถรี.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาสุดท้ายดังนี้. บทว่า เอวํ กโรนฺติ ความ
ว่า ข้าพระองค์ทำการปฏิบัติในอัตภาพก่อน ๆ และในอัตภาพนี้ฉันใด
๕๔/๔๗๔/๕๓๐

อรูปาวจรบ้าง ดังนั้น ท่านจึงเรียกว่า เป็นโลกุตตระอันเกิดขึ้นแล้วเท่านั้น.
สมาธิสัมโพชฌงค์ ก็ย่อมได้ในกามาวจร โดยทำนองเดียวกัน. อนึ่ง
สมาธิที่เป็นอวิตักกอวิจาระ ย่อมไม่ได้. สมาธิอันเป็นอวิตักกอวิจาระ ย่อมได้
ในรูปาวจรและอรูปาวจร. ส่วนสมาธิสัมโพชฌงค์ ย่อมไม่ได้. ก็แต่ในอธิการนี้
ท่านหมายเอาสภาวะที่ยังไม่ได้ จึงปฏิเสธสมาธิแม้อันบุคคลได้อยู่ สมาธินี้
อย่างนี้ ออกไปจากกามาวจรบ้าง จากรูปาวจรบ้าง จากอรูปาวจรบ้าง ฉะนั้น
ท่านจึงเรียกว่า เป็นโลกุตตระที่เกิดขึ้นแล้วทีเดียว.
อีกอย่างหนึ่ง บัณฑิตพึงถือเอาโลกิยะแล้วทำโลกุตตระ พึงถือเอา
โลกุตตระแล้วทำโลกิยะ ก็ได้. เพราะว่า แม้เวลาเจริญโลกุตตระของสติ ปวิจยะ
อุเบกขาในอัชฌัตตธรรม มีอยู่. ในอธิการนี้ มีพระสูตรเป็นอุทาหรณ์ว่า
ผู้มีอายุ เราแล ย่อมกล่าวอัชฌัตตวิโมกข์ว่า เป็นธรรมอาทิผิด อักขระสิ้น
ไปแห่งความยึดมั่นในที่ทั้งปวง อาสวะทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมไม่นอน
เนื่องแก่ธรรมเหล่านั้นด้วยประการฉะนี้ ดังนั้น โลกุตตระทั้งหลาย
จึงชื่อว่ามีอยู่โดยพระสูตรนี้. ก็แต่ว่า ในกาลใด เมื่อความเพียรอัน
เป็นไปทางกายซึ่งเกิดขึ้นด้วยจังกมประโยค อันยังไม่สงบนั่นแหละ
วิปัสสนาย่อมสืบต่อไปสู่มรรค ในกาลนั้น ความเพียรนั้นจึงเป็น
โลกุตตระ.
อนึ่ง พระเถระเหล่าใด ย่อมกล่าวว่า โพชฌงค์ที่ยกขึ้นมิได้เว้น
กสิณฌานทั้งหลาย อานาปานฌานทั้งหลาย และพรหมวิหารฌานทั้งหลาย ใน
วาทะของพระเถระเหล่านั้น ปีติสมาธิสัมโพชฌงค์อันเป็นอวิตักกอวิจาระ ย่อม
เป็นโลกีย์ แล.
ทุติยนัย จบ
๗๘/๕๖๘/๒๕๒

จับอยู่ ในสองตัวนั้น กาตัวหนึ่ง พูดกับอีกตัวหนึ่งว่า สหาย เรา
จักขี้รดหัวพราหมณ์นี้ อีกตัวหนึ่งค้านว่า เจ้าอย่านึกสนุกอย่างนั้น
เลย พราหมณ์นี้เป็นคนใหญ่คนโต ขึ้นชื่อว่าการก่อเวรกับ
อิสสรชน ละก็ร้ายนัก เพราะแกโกรธขึ้นมาแล้วพึงทำกาแม้
ทั้งหมดให้ฉิบหายได้ กาตัวนั้นพูดว่า เราไม่อาจยับยั้งเปลี่ยนใจ
ได้เสียแล้ว อีกตัวหนึ่งกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น เจ้าจักได้รู้ดอก
แล้วบินหนีไป กาตัวหนึ่ง เวลาพราหมณ์ลอดส่วนล่างแห่งเสาค่าย
ก็ทำเป็นย่อตัวลงขี้รดหัวพราหมณ์นั้น พราหมณ์โกรธ ผูกเวร
ในฝูงกา.
ครั้งนั้น หญิงทาสีรับจ้างอาทิผิด อักขระซ้อมข้าวคนหนึ่ง เอาข้าวเปลือก
ผึ่งแดดไว้ที่ประตูเรือน นั่งคอยเฝ้าอยู่นั่นแล หลับไป แพะขนยาว
ตัวหนึ่งรู้ว่าหญิงนั้นประมาท มากินข้าวเปลือกเสีย นางตื่นขึ้น
เห็นมันก็ไล่ไป แพะแอบมากินข้าวเปลือกในเวลาที่นางหลับ
อย่างนั้นนั่นเหละ สอง-สามครั้ง แม้นางก็ไล่มันไป ทั้งสามครั้ง
แล้วคิดว่า เมื่อมันกินบ่อยครั้ง จักกินข้าวเปลือกไปตั้งครึ่งจำนวน
เราต้องเข้าเนื้อไปมากมาย คราวนี้ต้องทำไม่ให้มันมาได้อีก
นางจึงถือไต้อาทิผิด อักขระนั่งทำเป็นหลับ เมื่อแพะเข้ามากินข้าวเปลือก ก็ลุก
ขึ้นขว้างแพะด้วยไต้ ขนแพะก็ติดไฟ เมื่อร่างกายถูกไฟไหม้
มันคิดจักให้ไฟดับ จึงวิ่งไปโดยเร็ว เอาตัวสีที่กระท่อมหญ้า
แห่งหนึ่งใกล้โรงช้าง กระท่อมนั้นก็ลุกโพลงไป เปลวไฟที่เกิด
จากกระท่อมนั้น ลามไปติดโรงช้าง เมื่อโรงช้างไหม้ หลังช้าง
๕๖/๑๔๐/๕๕๖

สู่วิหาร. ” ส่งพระเถระไปแล้ว ให้ประชุมพวกญาติ กล่าวว่า “ ในเวลา
ที่ลูกชายของฉันเป็นคฤหัสถ์ พวกเราจักทำกิจที่ควรทำในวันนี้แหละ. ”
ดังนี้แล้ว จึงแต่งตัวลูกชายนำไปวิหาร ด้วยสิริโสภาคอันใหญ่ แล้วมอบ
ถวายแก่พระเถระอาทิผิด สระ. ฝ่ายพระเถระกล่าวกะสุขกุมารนั้นว่า “ พ่อ ธรรมดา
บรรพชา ทำได้โดยยาก. เจ้าจักอาจเพื่อภิรมย์หรือ ? ” เมื่อตอบว่า “ ผม
จักทำตามโอวาทของท่าน ขอรับ ” จึงให้กัมมัฏฐาน ให้บวชแล้ว. แม้
มารดาบิดาของสุขกุมารนั้น เมื่อทำสักการะในการบรรพชา ก็ถวายโภชนะ
มีรส ๑๐๐ ชนิดแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ในภายใน
วิหารนั่นเองตลอด ๗ วัน ในเวลาเย็น จึงได้ไปสู่เรือนของตน. ใน
วันที่ ๘ พระสารีบุตรเถระ เมื่อภิกษุสงฆ์เข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต. ทำ
กิจที่ควรทำในวิหารแล้ว จึงให้สามเณรถือบาตรและจีวร เข้าไปสู่บ้าน
เพื่อบิณฑบาต.
สามเณรฝึกตน
สามเณรเห็นเหมืองน้ำเป็นต้นในระหว่างทาง จึงถามพระเถระ
ดุจสามเณรบัณฑิต. แม้พระเถระก็พยากรณ์แก่สามเณรนั้นอย่างนั้นเหมือน
กัน. สามเณรฟังเหตุนั้นแล้ว จึงเรียนพระเถระว่า “ ถ้าท่านพึงรับ
บาตรและจีวรของท่านไซร้. กระผมพึงกลับ. ” เมื่อพระเถระไม่ทำลาย
อัธยาศัยของสามเณรนั้น กล่าวว่า “จงเอาบาตรและจีวรของฉันมา” รับ
บาตรและจีวรไปแล้ว. ก็ไหว้พระเถระ เมื่อจะกลับ จึงเรียนสั่งว่า “ ท่าน
ขอรับ ท่านเมื่อนำอาหารมาเพื่อผม พึงนำเอาโภชนะมีรส ๑๐๐ ชนิดมา. ”
พระเถระ. “จักได้โภชนะนั้น จากไหน ?”
๔๒/๒๐/๑๓๖

๒๔. เสยผมด้วยน้ำมันผสมน้ำ ๒๕อาทิผิด . ส่องเงาหน้าในแว่น ในขันน้ำ ๒๖. แผล
เป็นที่หน้า ๒๗. ผัดหน้า ๒๘. ทาหน้า ถูหน้า ผัดหน้า เจิมหน้า ย้อมตัว
ย้อมหน้า ย้อมอาทิผิด อาณัติกะทั้งหน้าทั้งตัว ๒๙. โรคนัยน์ตา ๓๐. มหรสพ ๓๑. สวดเสียง
ยาว ๓๒. สวดสรภัญญะ ๓๓. ห่มผ้าขนสัตว์ มีขนข้างอาทิผิด อักขระนอก ๓๔. มะม่วงทั้ง
ผล ๓๕. ชิ้นมะม่วง ๓๖. มะม่วงล้วน ๓๗. เรื่องงู ๓๘. ตัดองค์กำเนิด
๓๙. บาตรไม้จันทน์ ๔๐. เรื่องบาตรต่าง ๆ ๔๑. บังเวียนรองบาตร ๔๒
บังเวียนทองรองบาตร หนาไป ทรงอนุญาตให้กลึง ๔๓. บังเวียนรองบาตร
วิจิตร ๔๔. บาตรเหม็นอับ ๔๕. บาตรมีกลิ่นเหม็น ๔๖. วางบาตรไว้ในที่อาทิผิด อาณัติกะ
ร้อน ๔๗. บาตรกลิ้งตกแตก ๔๘. เก็บบาตรไว้ที่กระดานเลียบ ๔๙. เก็บ
บาตรไว้ริมกระดานเลียบนอกฝา ๕๐. หญ้ารองบาตร ๕๑. ท่อนผ้ารองบาตร
๕๒. แท่นเก็บบาตร หม้อ เก็บบาตร ๕๓. ถุงบาตรและสายโยกเป็นด้ายถัก
๕๔. แขวนบาตรไว้ ที่ไม้เดือย ๕๕. เก็บบาตรไว้บนเตียง ๕๖. เก็บบาตรไว้
บนตั่ง ๕๗. วางบาตรไว้บนตักอาทิผิด อักขระ ๕๘. เก็บบาตรไว้บนกลด ๕๙. ถือบาตรอยู่ผลัก
ประตูเข้าไป ๖๐. ใช้กะโหลกน้ำเต้าอาทิผิด อักขระแทนบาตร ๖๑. ใช้กระเบื้องหม้อแทน
บาตร ๖๒. ใช้กะโหลกผีแทนบาตร ๖๓. ใช้บาตรต่างกระโถน ๖๔. ใช้มีด
ตัดจีวร ๖๕. เรื่องใช้มีดมีด้าม ๖๖. ใช้ด้ามมีดทำด้วยทอง ๖๗. ใช้ขนอาทิผิด ไก่และ
ไม้กลัดเย็บจีวร กล่องเข็ม แป้งข้าวหมาก ฝุ่นหิน ขี้ผึ้ง ผ้ามัดขี้ผึ้ง ๖๘. จีวร
เสียมุม ผูกสะดึง ขึงสะดึงในที่ไม่เสมอ ขึงสะดึงที่พื้นดิน ขอบสะดึงชำรุด
และไม่พอ ทำเครื่องหมายและตีบรรทัด ๖๙. ไม่ล้างเท้าเหยียบสะดึง ๗๐.
เท้าเปียกเหยียบสะดึง ๗๑. สวมรองเท้าเหยียบสะดึง ๗๒. ใช้นิ้วมือรับเข็ม
๗๓. ปลอกนิ้วมือ ๗๔. กล่องสำหรับเก็บเครื่องเย็บผ้า และสายโยก เป็นด้ายถัก
๗๕. เย็บจีวรในที่แจ้ง โรงไม้อาทิผิด สระสะดึงต่ำ ถมพื้นให้สูง ขึ้นลงลำบาก ๗๖. ผง
๙/๑๙๗/๗๔
๕. สัทธิยสูตร
[๒๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗
ประการ แก่เธอทั้งหลาย ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อปริหานิยธรรม
๗ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุทั้งหลายจักเป็นผู้มีศรัทธาอยู่ เพียงใด
ภิกษุทั้งหลายก็พึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อม
เลย เพียงนั้น ภิกษุทั้งหลายจักเป็นผู้มีหิริ ฯลฯ จักเป็นผู้มีโอตตัปปะ
ฯลฯ จักเป็นพหูสูตร ฯลฯ จักปรารภความเพียร ฯลฯ จักเป็นผู้มีสติ ฯลฯ
จักเป็นผู้มีปัญญา เพียงใด ภิกษุทั้งหลายก็พึงหวังความเจริญได้
แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย. เพียงนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อปริหานิยธรรม ๗อาทิผิด ประการนี้ จักตั้งอยู่ในภิกษุทั้งหลาย และภิกษุ
ทั้งหลายจักปรากฏอยู่ในอปริหานิยธรรม ๗ ประการนี้ เพียงใด
ภิกษุทั้งหลายก็พึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อม
เลย เพียงนั้น.
จบ สัทธิยสูตรที่ ๕
๓๗/๒๓/๗๕
๙. ปฐมสุกกาสูตร
ว่าด้วยยักษ์สรรเสริญสุกกาภิกษุณี
[๘๓๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน
อันเป็นที่ให้เหยื่อแก่กระแต กรุงราชคฤห์.
สมัยนั้นแล ภิกษุณีชื่อสุกกา อันอาทิผิด สระบริษัทใหญ่แวดล้อมแสดงธรรมอยู่.
[๘๓๓] ครั้งนั้นแล ยักษ์ผู้เลื่อมใสยิ่งในสุกกาภิกษุณีจากถนนนี้ไปยัง
ถนนโน้น จากตรอกนี้ไปยังตรอกโน้น ในกรุงราชคฤห์ ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้
ในเวลานั้นว่า
มนุษย์ทั้งหลายในกรุงราชคฤห์ ไม่
เข้าไปนั่งใกล้สุกกาภิกษุณี ผู้แสดงอมต-
บทอยู่ มัวทำอะไรกัน เป็นผู้ประดุจดื่ม
น้ำผึ้งหอมแล้วก็นอน ก็แลอมตบทนั้น
ใครจะคัดค้านไม่ได้ เป็นของไม่ได้เจือ
ปรุง แต่มีโอชา ผู้มีปัญญาคงได้ดื่ม
อมตธรรม เหมือนคนเดินทางได้ดื่มน้ำฝน
ฉะนั้น.
๒๕/๘๓๒/๔๑๙

๒๐. มตฺถลุงฺคํ (มันสมอง)๑
คำว่า มตฺถลุงฺคํ คือ กองเยื่อที่ตั้งอยู่ภายในกะโหลกอาทิผิด อักขระศีรษะ. มัน
สมองนั้นว่าโดยสี มีสีขาวดังดอกเห็ด แม้จะกล่าวว่า มีสีดังนมสดที่ยังไม่เปลี่ยน
เป็นนมส้มก็ควร. ว่าโดยสัณฐาน มีสัณฐานตามที่ตั้งอยู่. ว่าโดยทิศ เกิดในทิศ
เบื้องบน. ว่าโดยโอกาส อาศัยแนวประสาน ๔ แห่ง ตั้งรวมกันอยู่ภายใน
กะโหลกอาทิผิด อักขระศีรษะ ดุจก้อนแป้ง ๔ ก้อนที่เขาตั้งไว้รวมกัน. ว่าโดยปริจเฉท
กำหนดด้วยพื้นภายในกะโหลกอาทิผิด อักขระศีรษะ และโดยส่วนที่เป็นมันสมอง. นี้เป็น
สภาคปริจเฉทของมัตถลุงคัง ส่วนวิสภาคปริจเฉท เช่นกับผมนั่นแหละ.
๒๑. ปิตฺตํ (น้ำดี)
คำว่า ปิตฺตํ ได้แก่ น้ำดี ๒ ชนิด คือ น้ำดีที่อยู่ในถุงน้ำดี (พทฺธ-
ปิตฺตํ) และน้ำดีที่ไม่อยู่ในถุง (อพทฺธปิตฺตํ). ในน้ำดีทั้ง ๒ นั้น น้ำดีที่อยู่
ในถุง ว่าโดยสี มีสีดังน้ำมันมะซางข้น ๆ น้ำดีที่ไม่อยู่ในถุง มีสีดังดอกพิกุล
แห้ง ว่าโดยสัณฐาน น้ำดีแม้ทั้ง ๒ มีสัณฐานตามที่ตั้งอยู่. ว่าโดยทิศ น้ำดี
ในถุงเกิดในทิศเบื้องบน น้ำดีนอกนี้เกิดในทิศทั้ง ๒. ว่าโดยโอกาส เว้นผม.
ขน เล็บ ฟัน และหนังที่แห้งกระด้างแล้ว ตั้งอยู่เอิบอาบซึมซาบ ในสรีระที่
เหลือ ดุจหยาดน้ำมันในน้ำเอิบอาบซึมซาบแผ่ไปฉะนั้น เมื่อน้ำดีนี้กำเริบ
นัยน์ตาของสัตว์ย่อมเหลือง ย่อมวิงเวียนศีรษะ ร่างกายย่อมหวั่นไหว
ย่อมคัน. น้ำดีที่ขังอยู่ในถุงน้ำดี ตั้งอยู่ในฝัก (ถุง) ของน้ำดี เช่นกับ
ฝักของบวบใหญ่ มันติดอยู่ที่เนื้อตับในระหว่างหัวใจกับปอด. เมื่อน้ำดีนี้
กำเริบ สัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นบ้า มีจิตวิปลาส ละทิ้งหิริโอตตัปปะ
ย่อมกระทำสิ่งที่ไม่ควรกระทำ ย่อมกล่าวสิ่งที่ไม่ควรกล่าว ย่อมคิด
สิ่งที่ไม่ควรคิด.
๑. บาลีกล่าวรวมไว้ใน อฏฺฐิมิญฺชํ เยื่อในกระดูก
๗๘/๔๖๔/๘๓

ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ พร้อมกับพระ-
อินทร์อาทิผิด อาณัติกะถวายนมัสการพระตถาคตและความ
ที่พระธรรมเป็นธรรมดีเห็นเหตุนี้แล้ว
ย่อมบันเทิง ดังนี้.
[๑๙๘] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สนังกุมารพรหมได้กล่าวเนื้อความนี้
เสียงของสนังกุมารพรหมผู้กล่าวเนื้อความนี้ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ คือ
แจ่มใส ๑ ชัดเจน ๑ นุ่มนวล ๑ น่าฟัง ๑ กลมกล่อม ๑ ไม่พร่า ๑ ลึก ๑ มี
กังวาน ๑. ก็สนังกุมารพรหม ย่อมยังบริษัทเท่าใดให้ทราบเนื้อความด้วยเสียง
ของตน กระแสเสียงก็ไม่แพร่ไปในภายนอกบริษัทเท่านั้น. เสียงของผู้ใด
ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอย่างนี้ ผู้นั้นท่านเรียกว่า มีเสียงเพียงดังเสียง
พรหม. ครั้งนั้นแล สนังกุมารพรหม นิรมิตอัตภาพ ๓๓ อัตภาพ นั่งอยู่บน
บัลลังก์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์ทุก ๆ บัลลังก์แล้ว เรียกเทวดาชั้นดาวดึงส์มา
กล่าวว่า เทวดาชั้นดาวดึงส์ จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ก็พระผู้มีพระภาค
พระองค์นี้ ทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนมาก เพื่อสุขแก่ชนมาก เพื่ออนุเคราะห์
โลก เพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูล เพื่อสุข แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเพียงไร.
ชนเหล่าใดถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง ถึงพระสงฆ์เป็น
ที่พึ่ง กระทำบริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย ชนเหล่านั้นเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกาย
แตก บางพวกเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี บางพวก
เข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาชั้นนิมมานรดี บางพวกเข้าถึงความเป็นสหาย
ของเทวดาชั้นดุสิต บางพวกเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาชั้นยามา บางพวก
เข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์ บางพวกเข้าถึงความเป็นสหายของ
เทวดาชั้นจาตุมมหาราช พวกที่ยังกายที่เลวกว่าเขาทั้งหมดให้บริบูรณ์ ย่อมไป
เพิ่มจำนวนหมู่เทพคนธรรพ์ ดังนี้.
๑๓/๑๙๘/๕๓๙

และยาจกทั้งหลาย เข้าไปสู่เชิงเขา บวชเป็นฤษีแล้ว. ชนทั้งหลายบวช
ตามสรทะนั้นด้วยอาการอย่างนี้คือ ๑ คน ๒ คน ๓ คน จนมีชฎิลประ-
มาณอาทิผิด อักขระเจ็ดหมื่นสี่พันคน. สรทชฎิลนั้นยังอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ให้เกิด
แล้ว บอกกสิณบริกรรมแก่ชฎิลเหล่านั้น. แม้ชฎิลทั้งหลายเหล่านั้น ก็ยัง
อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ให้เกิดขึ้นแล้ว.
โดยสมัยนั้น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าอโนมทัสสี เสด็จอุบัติ
ขึ้นแล้วในโลก พระนครได้มีชื่อว่า จันทวดี. กษัตริย์พระนามว่ายสวันตะ
เป็นพระบิดา, พระเทวีพระนามว่ายโสธราอาทิผิด อักขระ เป็นพระมารดา. ไม้รกฟ้า
เป็นที่ตรัสรู้, พระอัครสาวกทั้งสอง ชื่อ นิสภะ ๑ ชื่อ อโนมะ ๑, อุปัฏ-
ฐากชื่อวรุณะ, อัครสาวิกาทั้งสอง นามว่า สุนทรา ๑ สุมนา ๑, พระ-
ชนมายุได้มีถึงแสนปี, พระสรีระสูงถึง ๕๘ ศอก, พระรัศมีแห่งพระสรีระ
แผ่ไปตลอด ๑๒ โยชน์. ภิกษุแสนหนึ่งเป็นบริวาร. วันหนึ่ง ในเวลา
ใกล้รุ่ง พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าอโนมทัสสีนั้น เสด็จออกจากมหา-
กรุณาสมาบัติ ทรงพิจารณาดูสัตว์โลกอยู่ ทอดพระเนตรเห็นสรทดาบส
แล้ว ทรงพระดำริว่า “เพราะเราไปสู่สำนักสรทดาบสในวันนี้เป็นปัจจัย
พระธรรมเทศนาจักมีคุณใหญ่ และสรทดาบสนั้น จักปรารถนาตำแหน่ง
พระอัครสาวก, สิริวัฑฒกุฎุมพีผู้สหายดาบสนั้น จักปรารถนาตำแหน่ง
อัครสาวกที่ ๒ ทั้งในกาลจบเทศนา ชฎิลเจ็ดหมื่นสี่พันบริวารของดาบสนั้น
จักบรรลุพระอรหัต; เราควรไปในที่นั้น.” ดังนี้แล้ว ถือบาตรและจีวร
ของพระองค์ ไม่ตรัสเรียกใคร ๆ อื่น เสด็จไปพระองค์เดียวเหมือนพระยา
ราชสีห์ เมื่ออันเตวาสิกทั้งหลายของสรทดาบสไปแล้วเพื่อต้องการผลา-
ผล, ทรงอธิษฐานว่า “ขอสรทดาบสจงทราบความที่เราเป็นพระพุทธเจ้า.”
๔๐/๑๑/๑๔๓

พระศาสดาทรงสถาปนาอุบาสกผู้หนึ่งในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวก
อุบาสกผู้ถวายทาน จึงกระทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น.
เขาเวียนว่ายไปในเทวดาและมนุษย์ตลอดแสนกัป ในพุทธุปบาทกาลนี้มา
บังเกิดในเรือนของสุมนเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ชนทั้งหลายตั้งชื่อให้แก่เขาว่า
สุทัตตะ ต่อมาเขาดำรงอยู่ในฆราวาสวิสัย เป็นผู้ให้ทาน เป็นทานบดี
จึงได้มีชื่อว่า อนาถปิณฑิกะ อันเป็นชื่อที่เขาได้ปรารถนาไว้ เพราะ
คุณนั้นนั่นแหละ เขาใช้เกวียนอาทิผิด อักขระ ๕๐๐ เล่มบรรทุกสินค้า ไปยังเรือนของ
เศรษฐีผู้เป็นสหายรักของตนในกรุงราชคฤห์ ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาค-
พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแคว้นในที่นั้น ในเวลาจวนจะใกล้รุ่งเข้าไปเฝ้า
พระศาสดาทางประตูที่เปิดไว้ด้วยอำนาจของเทวดา ฟังธรรมแล้วตั้งอยู่ใน
โสดาปัตติผล ในวันที่ ๒ ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็น
ประมุข ถือปฏิญญาของพระศาสดา เพื่อเสด็จมาสู่กรุงสาวัตถีอาทิผิด สระ ในทาง
๕๔ โยชน์ ในระหว่างทางให้ทานทรัพย์นับแสน ๆ ให้สร้างวิหารในระยะ
ทุกโยชน์ ปูลาดพระเชตวันด้วยเครื่องปูลาดราคานับโกฏิ ซื้อที่ดินด้วย
ทรัพย์ ๑๘ โกฏิ สร้างวิหารด้วยทรัพย์ ๑๘ โกฏิ เมื่อวิหารเสร็จแล้ว
ให้ทานตามที่ต้องการแก่บริษัท ในเวลาก่อนอาหารและหลังอาหาร
กระทำการฉลองวิหารด้วยทรัพย์ ๑๘ โกฏิ. การฉลองวิหารเสร็จสิ้นใน
เวลา ๙ เดือน. อาจารย์พวกอื่นอีกกล่าวว่า ในเวลา ๕ เดือน. แต่ข้อ
ทุ่มเถียงกันของอาจารย์ทั้งปวงเหล่านั้นไม่มี. เขาสละทรัพย์ ๕๔ โกฏิ โดย
อาการอย่างนี้ ทำทานเห็นปานนี้ให้เป็นไปในเรือนของตนตลอดกาลเป็น
นิตย์. ทุก ๆ วัน มีสลากภัต ๕๐๐ ที่ มีปักขิกภัต ๕๐๐ ที่ มีสลากยาคู
๕๐๐ ที่ มีปักขิยยาคู ๕๐๐ ที่ มีธุวภัต ๕๐๐ ที่ มีสลากภัตสำหรับ
๓๓/๑๕๑/๖๐

พรรณนา โดยความสัมพันธ์แห่งบทในทวัตติงสาการกรรมฐานนี้เท่านี้
ก่อน.
อสุภภาวนา
พึงทราบการพรรณนาทวัตติงสาการกรรมฐานนั้น เป็นอสุภภาวนา
ดังต่อไปนี้.
ก่อนอื่น อันดับแรก กุลบุตรผู้เริ่มบำเพ็ญกรรมฐาน เป็นผู้ตั้งอยู่ใน
ศีล ต่างโดยปาณาติปาตาเวรมณีสิกขาบทเป็นต้นอย่างนี้แล้ว มีประโยคอัน
บริสุทธิ์ ประสงค์จะประกอบเนืองอาทิผิด อาณัติกะ ๆ ซึ่งอนุโยคะคือ การบำเพ็ญกรรมฐานส่วน
ทวัตติงสาการ เพื่อบรรลุความบริสุทธิ์แห่งอาสยญาณ กุลบุตรนั้น ย่อมมี
กังวล ๑๐ ประการ คือ กังวลด้วยที่อยู่ ด้วยตระกูล ด้วยลาภ ด้วยคณะ
ด้วยการงาน ด้วยการเดินทาง ด้วยญาติ ด้วยการเรียนคัมภีร์ ด้วยโรคและ
ด้วยอิทธิฤทธิ์ หรือด้วยการกังวลด้วยเกียรติ เมื่อเป็นดังนั้น กุลบุตรผู้นี้ก็ต้อง
ตัดกังวล ๑๐ เหล่านั้นเสีย ด้วยวิธีอย่างนี้ คือ ด้วยการละความเกี่ยวข้องใน
อาวาส ตระกูล ลาภ คณะ ญาติและเกียรติเสีย ด้วยการไม่ขวนขวายใน
การงาน, การเดินทางและการเรียนคัมภีร์เสีย ด้วยการเยียวยาโรค เมื่อเป็น
ดังนั้น กุลบุตรผู้นี้ตัดกังวลได้แล้ว ไม่ตัดความยินดียิ่งในเนกขัมมะ กำหนด
ความปฏิบัติขัดเกลาอันถึงบั้นปลาย ไม่ละเลยอาจาระทางวินัยแม้เล็กน้อย ก็พึง
เข้าไปหาพระอาจารย์ผู้ให้กรรมฐาน ซึ่งเป็นผู้ประกอบด้วยอาคม [ การปริยัติ ]
และอธิคม [ ปฏิบัติปฏิเวธ ] หรือประกอบด้วยคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งจาก
อาคมและอธิคมนั้น ด้วยวิธีที่เหมาะแก่พระวินัย และพึงแจ้งความประสงค์
ของตนแก่พระอาจารย์นั้น ซึ่งตนทำให้ท่านมีจิตยินดีด้วยข้อวัตรสัมปทา พระ-
๓๙/๓/๕๐

ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ดูก่อนพราหมณ์ ไม่มีเลยแม้สักรูปหนึ่งผู้
ถึงพร้อมด้วยธรรมทุก ๆ ข้อ และทุก ๆ ประการ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระ-
องค์นั้นผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธทรงถึงพร้อมแล้ว เพราะพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงให้มรรคที่ยังไม่อุบัติได้อุบัติ ที่ยังไม่เกิดได้เกิด
ตรัสบอกมรรคที่ยังไม่มีใครบอก ทรงทราบมรรค ทรงรู้มรรค และทรงฉลาด
ในมรรค ส่วนเหล่าสาวกในบัดนี้ เป็นผู้ดำเนินตามมรรค จึงถึงพร้อมใน
ภายหลังอยู่ ก็แหละคำพูดระหว่างท่านพระอานนท์กับพราหมณ์โคปกโมคคัล
ลานะได้ค้างอยู่เพียงนี้
[๑๐๗] ขณะนั้น วัสสการพราหมณ์มหาอำมาตย์แห่งมคธรัฐ เที่ยว
ตรวจงานในกรุงราชคฤห์ ได้เข้าไปยังที่ทำงานของพราหมณ์โคปกโมคคัล-
ลานะ ที่มีท่านพระอานนท์อยู่ด้วย แล้วได้ทักทายปราศรัยกับท่านพระอานนท์
ครั้นผ่านคำทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้าง
หนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ดังนี้ว่า ข้าแต่ท่าน
อานนท์ผู้เจริญ ณ บัดนี้ พระคุณท่านนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ และ
พระคุณท่านพูดเรื่องอะไรค้างอยู่ในระหว่าง.
ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ดูก่อนพราหมณ์ ในเรื่องที่พูดกันอยู่นี้
พราหมณ์โคปกโมคคัลลานะ ได้ถามอาตมภาพอาทิผิด อักขระอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านพระ
อานนท์ มีภิกษุสักรูปหนึ่งบ้างไหมหนอ ผู้ถึงพร้อมด้วยธรรมทุกๆข้อและทุกๆ
ประการที่ท่านพระโคดมพระองค์นั้น ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธทรงถึง
พร้อมแล้ว เมื่อพราหมณ์โคปกโมคคัลลานะถามแล้วอย่างนี้ อาตมภาพอาทิผิด สระได้
ตอบ ดังนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ ไม่มีเลยแม้สักรูปหนึ่งผู้ถึงพร้อมด้วยธรรม
ทุก ๆ ข้อ และทุก ๆ ประการ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นพระ
๒๒/๑๐๗/๑๕๔

ก็อวรุทธกยักษ์ตนหนึ่งบำรุงท้าวเวสวัณ ๑๒ ปี เมื่อจะได้พรจาก
สำนักท้าวเวสวัณนั้น ได้กล่าวว่า “ในวันที่ ๗ จากวันนี้ ท่านพึงจับ
เอาเด็กนี้”; เพราะฉะนั้น ยักษ์ตนนั้นจึงได้มายืนอยู่. ก็เมื่อพระศาสดา
เสด็จไปในมณฑปนั้น, เมื่อพวกเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ประชุมกัน. พวก
เทวดาผู้มีศักดิ์น้อยถดถอยไป ไม่ได้โอกาส หลีกไปตลอด ๑๒ โยชน์
ถึงอวรุทธกยักษ์ก็ได้หลีกไปยืนอย่างนั้นเหมือนกัน.
เด็กพ้นอันตรายกลับมีอายุยืน
แม้พระศาสดาได้ทรงทำพระปริตรตลอดคืนยังรุ่ง. เมื่อ ๗ วัน
ล่วงแล้ว, อวรุทธกยักษ์ไม่ได้เด็ก. ก็ในวันที่ ๘ เมื่ออาทิผิด อรุณพอขึ้นเท่านั้น,
สองสามีภรรยานำเด็กมาให้ถวายบังคมพระศาสดา. พระศาสดาตรัสว่า
“ ขอเจ้าจงมีอายุยืนเถิด.”
พราหมณ์. พระโคดมผู้เจริญ ก็เด็กจะดำรงอยู่นานเท่าไร ?
พระศาสดา. ๑๒๐ ปี พราหมณ์.
ลำดับนั้น ๒ สามีภรรยาขนานนามเด็กนั้นว่า “อายุวัฒนกุมาร.”
อายุวัฒนกุมารนั้น เติบโตแล้ว อันอุบาสก ๕๐๐ คนแวดล้อมเที่ยวไป.
การกราบไหว้ท่านผู้มีคุณทำให้อายุยืน
ภายหลังวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า “ผู้มี
อายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงดู, ได้ยินว่า อายุวัฒนกุมารพึงตายใน
วันที่ ๗, บัดนี้อายุวัฒนกุมารนั้น (ดำรงอยู่ ๑๒๐ ปี) อันอุบาสก ๕๐๐
คนแวดล้อมเที่ยวไป; เหตุเครื่องเจริญอายุของสัตว์เหล่านี้ เห็นจะมี.”
๔๑/๑๘/๔๖๒

อธิบายทิฏฐอาทิผิด สระธรรมเวทนียกรรม
บรรดากรรม ๑๑ อย่างนั้น ในบรรดา (ชวนะ) จิต ๗ ชวนะ
ชวนเจตนาดวงแรก ที่เป็นกุศลหรืออกุศล ในชวนวิถีแรก ชื่อว่า ทิฏฐธรรม
เวทนียกรรม.
ทิฏฐธรรมเวทนียกรรมนั้น ให้วิบากในอัตภาพนี้เท่านั้น ที่เป็นกุศล
อำนวยวิบากในอัตภาพนี้ เหมือนกรรมของกากวฬิยเศรษฐีและปุณณกเศรษฐี
เป็นต้น ส่วน ที่เป็นอกุศล (อำนวยผลในอัตภาพนี้) เหมือนกรรมของ
นันทยักษ์ นันทมาณพ นันทโคฆาต ภิกษุโกกาลิกะ พระเจ้าสุปปพุทธะ
พระเทวทัต และนางจิญจมาณวิกา เป็นต้น. แต่เมื่อไม่สามารถให้ผล
อย่างนั้น จะเป็นอโหสิกรรมไป คือ ถึงความเป็นกรรมที่ไม่มีผล กรรมนั้น
พึงสาธกด้วยข้อเปรียบกับพรานเนื้อ.
อุปมาด้วยนายพรานเสือ
เปรียบเหมือนลูกศรที่นายพรานเนื้อ เห็นเนื้อแล้วโก่งธนูยิงไป ถ้า
ไม่พลาด ก็จะทำให้เนื้อนั้นล้มลงในที่นั้นเอง ลำดับนั้น นายพรานเนื้อก็จะ
ถลกหนังเนื้อนั้นออก เฉือนให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ ถือเอาเนื้อไปเลี้ยงลูกเมีย
แต่ถ้าพลาด เนื้อจะหนีไป ไม่หันกลับมาดูทิศนั้นอีก ฉันใด ข้ออุปไมยนี้
ก็พึงทราบฉันนั้น. อธิบายว่า การกลับได้วาระแห่งวิบากของทิฏฐอาทิผิด สระธรรม
เวทนียกรรม เหมือนกับลูกศรที่ยิงถูกเนื้อโดยไม่พลาด การกลับกลายเป็น
กรรมที่ไม่มีผล เหมือนลูกศรที่ยิงพลาดฉะนั้น ฉะนี้แล.
อธิบายอุปปัชชเวทนียกรรม
ส่วนชวนเจตนาดวงที่ ๗ ที่ยังประโยชน์ให้สำเร็จ ชื่อว่า อุปปัชช
เวทนียกรรม. อุปปัชชเวทนียกรรมนั้น อำนวยผลในอัตภาพต่อไป แต่
๓๔/๔๗๓/๑๒๒
แล้ว จะพึงทำนิพพานให้แจ้งได้หรือ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อจะ
พยากรณ์โดยชอบพึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุ ภิกษุไม่ละธรรมนี้แล้ว
จะพึงทำนิพพานให้แจ้งไม่ได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุอื่น ๆ พึงถามเธออย่างนี้ว่า ท่านให้
ภิกษุเหล่านี้ของพวกเรา ออกจากอกุศล ดำรงอยู่ในกุศลแล้วหรือ ภิกษุเมื่อ
จะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุ ในเรื่องนี้ ข้าพเจ้า
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าฟังอาทิผิด ธรรมของพระองค์แล้ว ได้กล่าวแก่ภิกษุเหล่านั้น ภิกษุเหล่านั้น
ฟังธรรมแล้ว ออกจากอกุศล และดำรงอยู่ในกุศลได้แล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเมื่อพยากรณ์อย่างนี้แล ชื่อว่าไม่ยกตน ไม่ข่มคนอื่น พยากรณ์ธรรม
สมควรแก่ธรรมด้วย ทั้งวาทะของศิษย์อะไร ๆ อันชอบด้วยเหตุ ย่อมไม่
ประสบข้อน่าตำหนิด้วย.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี
ภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล.
จบ กินติสูตรที่ ๓
๒๒/๕๐/๗๑

อยู่ในบึงในกาลนั้น ฝูงจระเข้ ปลาฉลาม ปลาฉนาก
ผีเสื้อน้ำ และงูเหลือมใหญ่ที่สุดอยู่ในบึงนั้น.
ในกาลนั้น ฝูงนกคับแค นกเป็ดน้ำ นกจากพราก
(ห่าน) นกกาน้ำ นกดุเหว่า และสาลิกา อาศัยเลี้ยง
ชีวิตอยู่ใกล้สระนั้น ฝูงนกกวัก ไก่ป่า ฝูงนกกะลิงป่า
นกต้อยตีวิด นกแขกเต้า ย่อมอาศัยเลี้ยงชีวิตอยู่ใกล้
สระนั้น ฝูงหงส์ นกกระเรียน นกยูง นกแขกเต้า ไก่งวง
นกค้อนหอย และนกออก ย่อมอาศัยเลี้ยงชีวิตอยู่ใกล้
สระนั้น ฝูงนกแสก นกหัวขวาน นกเขา เหยี่ยวมีมาก
และฝูงนกกาน้ำ ย่อมอาศัยเลี้ยงชีวิต อยู่ใกล้สระนั้น.
ฝูงเนื้อฟาน กวาง หมู หมาป่า หมาจิ้งจอกมีอยู่มาก
ละมั่ง และเนื้อทราย ย่อมอาศัยเลี้ยงชีวิตอยู่ใกล้สระ
นั้น ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี หมาใน
กับเสือดาว โขลงช้างแยกเป็นสามพวก อาศัยเลี้ยงชีวิตอาทิผิด
อยู่ใกล้สระนั้น เหล่ากินนร วานร และแม้คนทำการงาน
ในป่า หมาไล่เนื้อ และนายพราน ก็อาศัยเลี้ยงชีวิต
อยู่ใกล้สระนั้น.
ต้นมะพลับ มะหาด มะซางอาทิผิด อักขระ หมากเม่า เผล็ดผล
ทุกฤดู อยู่ ณ ที่ใกล้อาศรมของเรา ต้นคำ ต้นสน
กระทุ่ม สะพรั่งด้วยผลรสหวาน เผล็ดผลทุกฤดู อยู่
ณ ที่ใกล้อาศรมของเรา ต้นสมอ มะขามป้อม ต้นหว้า
สมอพิเภก กระเบา ไม้รกฟ้า และมะตูม เผล็ดผล
๕๓/๓๙๖/๒๔๖