ดังนี้ ในบทนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้เมื่อจะยังพระอานนท์ให้เลิกละจึงตรัสว่า
ดูก่อนอานนท์ เธอเป็นผู้มีปัญญามากมีความฉลาด เพราะเหตุนั้นปฏิจจสมุปบาท
ลึกซึ้งและปรากฏเป็นของลึกซึ้งอาทิผิด อาณัติกะ เธอไม่ควรเข้าใจว่า ปฏิจจสมุปบาทแม้ลึกซึ้ง
ก็ปรากฏเป็นของง่ายแก่เธอ ทั้งเป็นของง่ายแก่ผู้อื่นด้วยดังนี้.
ในเรื่องนั้นอาจารย์ทั้งหลายย่อมกล่าวถึงอุปมา ๔ ข้อ ชนทั้งหลายมองดู
หินของนักมวยปล้ำ ในระหว่างนักมวยปล้ำใหญ่ผู้สูงใหญ่ ผู้สัมผัสกับรสอาหาร
ที่ดีตลอด ๖ เดือน กระทำการออกกำลังสะสมหินของนักมวยปล้ำซึ่งแสดง
คราวมีมหรสพ ผู้ไปสู่ยุทธภูมินักมวยปล้ำกล่าวว่า นี่อะไร หินของนักมวยปล้ำ
พวกท่านจงนำหินนั้นมา เมื่อชนทั้งหลายพูดว่า พวกเราไม่สามารถอาทิผิด อักขระยกขึ้นได้ เขาไป
ด้วยตนเอง กล่าวว่าที่หนักของหินนี้อยู่ที่ไหน แล้วยกหิน ๒ แผ่นขึ้นด้วยมือ
ทั้ง ๒ แล้วเหวี่ยงไปดุจเล่นลูกกลมแล้วก็ไป ในเรื่องนั้นควรพูดได้ว่า หินของ
นักมวยปล้ำ เป็นของเบาแก่นักมวยปล้ำไม่เบาแก่คนพวกอื่น จริงอยู่ ท่านพระ-
อานนท์ถึงพร้อมแล้วด้วยอภินิหารตลอดแสนกัป ดุจนักมวยปล้ำผู้สัมผัสกับรส
อาหารที่ดีตลอด ๖ เดือน หินของนักมวยปล้ำเป็นของเบาเพราะนักมวยปล้ำ
เป็นผู้มีกำลังมากฉันใด ปฏิจจสมุปบาทเป็นของง่าย เพราะพระเถระเป็นผู้มี
ปัญญามากฉันนั้น ไม่ควรกล่าวว่าปฏิจจสมุปบาทง่ายแก่คนเหล่าอื่นด้วย.
อนึ่ง ในมหาสมุทร ปลาชื่อติมิใหญ่ ๒๐๐ โยชน์ ชื่อติมิงคลใหญ่ ๓๐๐
โยชน์ ชื่อติมิติมิงคลใหญ่ ๔๐๐ โยชน์ ชื่อติมิรมิงคลใหญ่ ๕๐๐ โยชน์ ปลา
๔ ชนิดนี้คือ ปลาอานันทะ ปลาติมินทะ ปลาอัชฌาโรหะ ปลามหาติมิใหญ่
๑,๐๐๐ โยชน์ ในบทนั้น อาจารย์ทั้งหลายแสดงถึงปลาชื่อติมิรมิงคละอย่างเดียว
เล่ามาว่า เมื่อปลาติมิรมิงคละนั้นกระดิกหูขวา น้ำกระเพื่อมไปถึง ๕๐๐ โยชน์
กระดิกหูซ้าย หาง หัว ก็เหมือนกัน แต่ถ้าปลาชื่อติมิรมิงคละนั้นกระดิกหู
ทั้งสองข้าง เอาหางฟาดน้ำ ส่ายหัวไปมาปรารภเพื่อจะเล่นน้ำในที่ ๗-๘ ร้อย
๑๓/๖๖/๑๙๒
วรรคที่ ๒
อรรถกถาสูตรที่ ๑-๒
ประวัติพระจุลลปัณฐกเถระ และพระมหาปัณฐกเถระ
วรรคที่ ๒ สูตรที่ ๑ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า มโนมยํ ความว่า กายที่บังเกิดขึ้นด้วยใจ ในอาคตสถาน
ที่ตรัสไว้ว่า “เข้าไปหาแล้วด้วยมโนมยิทธิทางกาย” ชื่อว่ากาย-
มโนมัย. กายที่บังเกิดขึ้นด้วยใจในอาคตสถานที่กล่าวไว้ว่า “ย่อม
เข้าถึงกายอาทิผิด อันสำเร็จด้วยใจอย่างใดอย่างหนึ่ง” ก็ชื่อว่ากายมโนมัย.
ในที่นี้ ประสงค์เอากายมโนมัยนี้.
ในกายทั้ง ๒ อย่างนี้ ภิกษุทั้งหลายเหล่าอื่น เมื่อทำมโนมัย-
กายให้เกิดขึ้น ก็ทำให้เกิดขึ้น ๓ บ้าง ๔ บ้าง แต่ทำคนมากให้
บังเกิดเป็นเหมือนคนเดียวกันไม่ได้, ชื่อว่ากระทำกรรมได้อย่าง
เดียวเท่านั้น. ส่วนพระเถระชื่อว่าจุลลปัณฐก นิรมิตพระ ๑,๐๐๐ รูป
ได้ด้วยอาวัชชนะเดียว แต่กระทำแก่ ๒ คนให้เสมือนเป็นคน ๆ เดียว
กันไม่ได้ ชื่อว่ากระทำกรรมอย่างเดียวไม่ได้. เพราะฉะนั้น ท่าน
ชื่อว่า เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้นิรมิตมโนมัยกาย. พระจุลลปัณฐก
นับว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุ คือภิกษุผู้ฉลาดในเจโตวิวัฏฏะ. ส่วน
พระมหาปัณฐกเถระท่านกล่าวว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้ฉลาด
ในปัญญาวิวัฏฏะ. บรรดาทั้งสองรูปนั้น พระจุลลปัณฐกเถระท่าน
กล่าวว่าเป็นผู้ฉลาดในเจโตวิวัฏฏะ เพราะได้รูปาวจรฌาน ๔.
พระมหาปัณฐกเถระท่านกล่าวว่า เป็นผู้ฉลาดในปัญญาวิวัฏฏะ
๓๒/๑๔๖/๓๓๙
มารดาและพระบิดาทั้งสองผู้เป็นที่เคารพด้วย
หิริและโอตตัปปะ แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน
เขาสิเนรุอาทิผิด สระราช และป่าหิมพานต์ ก็หวั่นไหว
อีกครั้งหนึ่ง เรากับบรรดาพระญาติของเราออก
จากป่าใหญ่ จักเข้าสู่พระนครเชตุดร อันเป็น
นครน่ารื่นรมย์ แก้ว ๗ ประการตกลงแล้ว
มหาเมฆยังฝนให้ตก (มหาเมฆยังฝนแก้ว
๗ ประการให้ตกลง) แม้ในกาลนั้นแผ่นดิน
เขาสิเนรุอาทิผิด สระราช และป่าหิมพานต์ ก็หวั่นไหว
แม้แผ่นดินนี้ไม่มีจิตใจ ไม่รู้สุขและทุกข์
ก็หวั่นไหวถึง ๗ ครั้ง เพราะกำลังแห่งทาน
ของเรา ฉะนั้นแล.
จบ เวสสันตรจริยาอาทิผิด อักขระที่ ๙
อรรถกถาเวสสันตรจริยาที่ ๙
พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถาอาทิผิด สระเวสสันตรจริยาที่ ๙ ดังต่อไปนี้. บทว่า
เม ในบทนี้ว่า ยา เม อโทสิ ชนิกา นางกษัตริย์พระนามว่าผุสดี
พระชนนีของเรา พระศาสดาตรัสหมายถึงพระองค์ครั้งเป็นพระเวสสันดร
๗๔/๙/๑๖๒
เพราะเหตุที่ ธรรมดาว่า ความเพียรของภิกษุเหล่าอื่น ย่อมต้อง
ทำให้เจริญ แต่ของพระเถระ พึงอบรมเท่านั้น เพราะฉะนั้น
พระเถระนี้ ชื่อว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภ
แล้ว ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องที่จะพึงกล่าวตามลำดับดังต่อไปนี้
ได้ยินว่า ในอดีตกาล ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ
พระเถระนี้บังเกิดในตระกูลเศรษฐี พวกญาติขนานนามของท่าน
ว่า สิริวัฑฒกุมาร ท่านเจริญวัยแล้วไปวิหารโดยนัยก่อนนั้นแล
ยืนฟังธรรมอยู่ท้ายบริษัท เห็นพระศาสดา ทรงสถาปนาภิกษุ
รูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีความ
เพียรอันปรารภแล้ว จึงคิดว่า แม้อาทิผิด อาณัติกะเราก็ควรเป็นอย่างภิกษุนี้ใน
อนาคต จบเทศนา จึงนิมนต์พระทศพล ถวายมหาทาน ๗ วัน ได้
กระทำความปรารถนา โดยนัยที่กล่าวแล้วนั้นแล พระศาสดาทรง
เห็นว่า ความปรารถนาของท่านสำเร็จ จึงทรงพยากรณ์โดยนัย
ก่อนนั่นแล เสด็จกลับพระวิหาร ฝ่ายสิริวัฑฒเศรษฐีนั้น กระทำ
กุศลตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ล่วงไปแสนกัป
เมื่อพระกัสสปทศพลปรินิพพานแล้วในกัปนี้ ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้า
ของเรายังไม่ทรงบังเกิด ก็มาถือปฏิสนธิในครอบครัวกรุงพาราณสีอาทิผิด
ท่านไปเล่นน้ำในแม่น้ำคงคา พร้อมกับหมู่สหายของตน ครั้งนั้น
พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งมีจีวรเก่า เข้าอาศัยกรุงพาราณสี
สร้างบรรณศาลาอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา ตั้งใจว่าจะเข้าจำพรรษา
จึงไปดึงท่อนไม้และเถาวัลย์ที่ถูกน้ำอาทิผิด พัดมาติดอยู่ออก กุมารนี้กับ
สหายเดินไปยืนอภิวาทอยู่ถามว่า ทำอะไรเจ้าข้า ป. พ่อเด็กจวน
๓๒/๑๔๖/๓๖๘
มนสิการฌานนั้นโดยความสงบแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น การคำนึง การประมวลมา
มนสิการนั้นย่อมไม่มีแก่พระโยคีนั้นว่า เราจักนึกถึง เราจักเข้า เราจักอธิฐาน
เราจักออก เราจักพิจารณาฌานนั้น ดังนี้.
ถามว่า เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า เพราะเนวสัญญานาสัญญายตนะเป็นธรรมสงบกว่า ประณีต
กว่าอากิญจัญญายตนะ.
เหมือนอย่างว่า พระราชาเสด็จขึ้นทรงบนคอช้างตัวประเสริฐ เสด็จ
เที่ยวไปในทางพระนคร โดยอานุภาพแห่งพระราชาผู้เป็นใหญ่ ทรงทอด
พระเนตรคนมีศิลปะมีช่างแกะสลักงาเป็นต้นนุ่งผ้าผืนหนึ่ง โพกอาทิผิด อักขระผ้าผืนหนึ่งที่
ศีรษะทะมัดทะแมงมีตัวเกลื่อนกล่นด้วยผงงาเป็นต้นกำลังทำศิลปะแกะสลักงา
เป็นต้นมิใช่น้อย ก็ทรงพอพระทัยในความฉลาดของช่างเหล่านั้น อย่างนี้ว่า
น่าอัศจรรย์หนอ อาจารย์ผู้ฉลาดสามารถกระทำศิลปะทั้งหลายชื่อแม้เช่นนี้ได้
ดังนี้ แต่มิได้มีพระดำริอย่างนี้ว่า โอหนอ ตัวเราก็พึงสละราชสมบัติแล้วเป็น
นักศิลปะเช่นนี้ ดังนี้ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เพราะความที่ราชสมบัติมีค่ามาก
พระองค์ก็ทรงเสด็จผ่านนักศิลปะทั้งหลายไป ฉันใด พระโยคาวจร ก็ฉันนั้น
เหมือนกัน ย่อมมนสิการสมาบัตินั้นโดยสงบแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น ท่านก็ไม่
คำนึง ไม่ประมวลมา ไม่มนสิการว่า เราจักนึกถึง จักเข้าสมาบัติ จักอธิษฐาน
จักออก จักพิจารณาสมาบัตินี้ ดังนี้ เมื่อมนสิการสมาบัตินั้นโดยสงบอยู่
ย่อมบรรลุสัญญาถึงอัปปนาอันละเอียดอย่างยิ่งนั้นโดยนัยที่กล่าวไว้ในกาลก่อน
นั่นแหละ ชื่อว่า เนวสัญญีนาสัญญี ย่อมมีด้วยสมาบัติใด ตรัสเรียกสมาบัติ
นั้นว่า พระโยคีย่อมเจริญสมาบัติมีสังขารที่เหลือเป็นอารมณ์ ดังนี้.
๗๕/๑๙๒/๕๕๙
อรรถกถาอุปัชฌายอาทิผิด อักขระวัตตกถา
บทว่า อนุปชฺฌายกา มีความว่า เว้น จากครูผู้คอยสอดส่องโทษน้อย
โทษใหญ่.
บทว่า อนากปฺปสมฺปนฺนา ได้แก่ ผู้ไม่ถึงพร้อมด้วยมารยาท.
อธิบายว่า ปราศจากมารยาทซึ่งสมควรแก่สมณะ.
บทว่า อุปริโภชเน ได้แก่ เบื้องบนแห่งโภชนะ.
บทว่า อุตฺติฏฺฐปตฺตํ ได้แก่ บาตรสำหรับเที่ยวไปเพื่อบิณฑะ จริง
อยู่ มนุษย์ทั้งหลายมีความสำคัญในบาตรนั้นว่าเป็นแดน เพราะอาทิผิด อักขระเหตุนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า อุตฺติฏฺฐปตฺตํ อีกอย่างหนึ่ง ผู้ศึกษาพึงเห็นความในบทว่า
อุตฺติฏฺฐปตฺตํ นี้อย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลายยืนขึ้นน้อมบาตรเข้าไป.
ข้อว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว อุปชฺฌายํ มีความว่า เราอนุญาต
บัดนี้ เพื่อให้ภิกษุถืออุปัชฌาย์.
สองบทว่า ปุตฺตจิตฺตํ อุปฏฺฐเปสฺสติ มีความว่า พระอุปัชฌาย์จัก
เข้าไปตั้งจิตไว้ด้วยอำนาจความรักฉันบิดากับบุตรอย่างนี้ว่า ผู้นี้เป็นบุตรของ
เรา แม้ในบทที่สองก็นัยนี้.
สองบทว่า สคาวา สปฺปติสฺสา มีความว่า อุปัชฌาย์กับสัทธิ-
วิหาริก จักเข้าไปตั้งความเป็นผู้หนัก และความเป็นผู้ใหญ่ กะกันและกัน.
บทว่า สภาควุตฺติกา ได้แก่ มีความเป็นอยู่ถูกส่วนกัน.
๕ บท มีบทว่า สาหูติ วา เป็นต้น เป็นไวพจน์แห่งคำรับเป็น
อุปัชฌาย์.
๖/๘๑/๑๔๕
๓. ปฐมกุลปุตตสูตร
ผู้ออกบวชโดยชอบเพื่อรู้อริยสัจ ๔
[๑๖๕๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็กุลบุตรเหล่าใดเหล่าหนึ่งในอดีตกาล
ออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ กุลบุตรเหล่านั้นทั้งหมด ออกบวชแล้วเพื่อรู้
อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง กุลบุตรเหล่าใดเหล่าหนึ่งในอนาคตกาล จัก
ออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ กุลบุตรเหล่านั้นทั้งหมด จักออกบวชเพื่อรู้
อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง กุลบุตรเหล่าใดเหล่าหนึ่งในปัจจุบันกาล ออก
บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบกุลบุตรเหล่านั้นทั้งหมดออกบวชอยู่ เพื่อรู้อริยสัจ ๔
ตามความเป็นจริง อริยสัจ ๔ เป็นไฉน คือ ทุกขอริยสัจ ทุกขสมุทัย
อริยสัจ ทุกขนิโรธอริยสัจ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ก็กุลบุตรเหล่าใด
เหล่าหนึ่งในอดีตกาล... ในอนาคตกาล... ในปัจจุบันกาล ออกบวชเป็น
บรรพชิตโดยชอบ กุลบุตรเหล่านั้นทั้งหมดออกอาทิผิด อักขระบวชเพื่อรู้อริยสัจ ๔ นี้แล
ตามความเป็นจริง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึง
กระทำความเพียรเพื่อรู้ความความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินี
ปฏิปทา.
จบปฐมกุลปุตตสูตรที่ ๓
๓๑/๑๖๕๖/๔๐๗
พุทธอุทานคาถาที่ ๒
เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่
พราหมณ์ ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความ
สงสัยทั้งปวง ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป
เพราะได้รู้ความสิ้นแห่งอาทิผิด ปัจจัยทั้งหลาย.
[๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท เป็น
อนุโลมและปฏิโลม ตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้:-
ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัสอาทิผิด สระ อุปายาส.
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.
๖/๓/๕
ก็เพราะเหตุที่ในพระนิพพาน จะมีภัยมาแต่ไหน ฉะนั้น พระนิพพานนั้น
พระองค์จึงตรัสว่า จะมีภัยมาแต่ไหน. บทว่า อนิโฆ ได้แก่ ทรงไม่มีทุกข์.
บทว่า สพฺพโลกวิสํยุตฺโต ความว่า ทรงถึงความสิ้นไป คือ ความสิ้นสุด
ได้แก่ ความไม่มีโดยส่วนเดียว แห่งกรรมทั้งมวล. บทว่า วิมุตฺโตอุปธิสํขเย
ความว่า ทรงหลุดพ้นแล้ว ด้วยอาทิผิด ผลวิมุตติ ที่มีพระนิพพานนั้นเป็นอารมณ์ใน
พระนิพพาน กล่าวคือ ธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิ. บทว่า เอส โส เท่ากับ
เอโส โส (แปลว่า นั้นนั่น). บทว่า สีโห อนุตฺตโร ความว่า พระ
ตถาคตเจ้า ทรงพระนามว่า เป็นยอดสีหะ เพราะความหมายว่า ทรงอด
กลั้นอันตรายทั้งหลายได้ และเพราะความหมายว่า ทรงฆ่ากิเลสได้. บทว่า
พฺรหฺมํ ความว่า ประเสริฐสุด. บทว่า จกฺกํ ได้แก่ พระธรรมจักร.
บทว่า ปวตฺตติ ความว่า ทรงหมุน (แสดง) พระธรรมจักรให้ได้ ๓ รอบ
มีอาการ ๑๒. บทว่า อิติ ความว่า ทราบพระคุณของพระตถาคตอย่างนี้
แล้ว. บทว่า สงฺคมฺม ได้แก่ มาชุมนุมกัน. บทว่า ตํ นมสฺสนฺติ
ความว่า เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น ผู้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
พากันนมัสการพระตถาคตเจ้า พระองค์นั้น ผู้ชื่อว่า มีพระคุณใหญ่
เพราะทรงประกอบด้วยคุณความดี มีศีลเป็นต้นมากมาย ผู้ชื่อว่า ทรงปราศ
จากความครั่นคร้าม เพราะทรงประกอบด้วยพระธรรมที่ทำให้ทรงแกล้วกล้า
๔ อย่าง.
บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีเทวดาและ
มนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น พากันเอ่ยถึงพลาง นมัสการไปพลาง จึงได้ตรัสคำมี
อาทิไว้ว่า ทนฺโต. คำนั้นมีเนื้อความง่ายอยู่แล้วแล.
จบอรรถกถาโลกสูตรที่ ๑๓
๔๕/๒๙๓/๗๓๙
ด้วยโคนต้นตาล บุคคลผู้ต้องปาราชิก
เหล่านั้น ย่อมไม่งอกงามเปรียบเหมือนใบ
ไม้เหลือง ศิลาอาทิผิด สระหนา คนศีรษะขาด ต้นตาล
ยอดด้วน ฉะนั้น.
อาบัติที่ระงับได้
[๑,๐๓๒] สังฆาทิเสส ๒๓ อนิยต ๒
นิสสัคคิยะ ๔๒ ปาจิตตีย์ ๑๘๘ ปาฏิเทสนียะ
๑๒ เสขิยะ ๗๕ ระงับด้วยสมถะอาทิผิด อักขระ ๓ คือ
สัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณ-
วัตถารกะ ๑.
ส่วนที่ทรงจำแนก
[๑,๐๓๓] อุโบสถ ๒ ปวารณา ๒
กรรม ๔ อันพระชินเจ้าทรงแสดงแล้ว
อุเทศ ๕ และอุเทศ ๔ ย่อมไม่มีโดยประการ
อื่น และกองอาบัติมี ๗.
อธิกรณ์
[๑,๐๓๔] อธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะ
๗ คือ ระงับด้วยสมถะ ๒ ด้วยสมถะ ๔
ด้วยสมถะ ๓ แต่กิจจาธิกรณ์ระงับด้วย
สมถะ ๑.
๑๐/๑๐๓๒/๖๐๕
เธอจงเบื่อหน่าย พิจารณาดูรูปนั้นด้วยปัญญาของ
ตน.
ลำดับนั้น ดิฉันได้ฟังคาถาเป็นสุภาษิต
แล้วมีความสลดใจ ตั้งอยู่ในธรรมนั้น ได้บรรลุ
ซึ่งอรหัตผล
ในกาลนั้น ดิฉันนั่งอยู่ในที่ไหน ๆ ก็มี
ฌานเป็นเบื้องหน้า พระพิชิตมารทรงพอพระทัย
ในคุณสมบัตินั้น จึงทรงตั้งดิฉันไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะ
ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว.. . คำสอน
ของพระพุทธเจ้าดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระนันทาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้แล.
จบนันทาเถรีอปทาน
โสณาเถรีอปทานที่ ๖ [๒๖]
ว่าด้วยบุพจริยาของพระโสณาเถรี
[๑๖๖] ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้
พระพิชิตมารอาทิผิด ผู้เป็นนายกของโลกพระนามว่า
ปทุมุตตระ ผู้ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง เสด็จอุบัติขึ้น
แล้ว
๗๒/๑๖๖/๖๒๗
เป็นวัตรแต่ไม่เป็นศีล เป็นไฉน ? ธุดงค์ ๘ คือ อารัญญิกังค-
ธุดงค์ ปิณฑปาติกังคธุดงค์ ปังสุกูลิกังคธุดงค์ เตจีวริกังคธุดงค์ สปทาน-
จาริกังคธุดงค์ ขลุปัจฉาภัตติกังคธุดงค์ เนสัชชิกังคธุดงค์ ยถาสันถติกังค-
ธุดงค์ นี้เรียกว่า เป็นวัตรแต่ไม่เป็นศีล.
แม้การสมาทานความเพียร ก็เรียกว่า เป็นวัตรแต่ไม่เป็นศีล.
กล่าวว่า พระมหาสัตว์ทรงประคองตั้งพระทัยว่า จะอาทิผิด สระเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น
และกระดูก ก็ตามที เนื้อและเลือด ในสรีระจงเหือดแห้งไปเถิด อิฐผล
ใดอัน จะพึงบรรลุด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยกำลังของบุรุษ ด้วยความ
เพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นอาทิผิด อักขระของบุรุษ ไม่บรรลุอิฐผลนั้นแล้วจักไม่
หยุดความเพียร ดังนี้. แม้การสมาทานความเพียรเห็นปานนี้ ก็เรียกว่า เป็น
วัตรแต่ไม่เป็นศีล.
พระมหาสัตว์ทรงประคองตั้งพระทัยว่า จิตของเราจักยังไม่หลุดพ้น
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่นเพียงใด เราจักไม่ทำลายบัลลังก์อาทิผิด อักขระนี้เพียง
นั้น แม้การสมาทานความเพียรเห็นปานนี้ ก็เรียกว่า เป็นวัตรแต่ไม่
เป็นศีล.
ภิกษุประคองตั้งจิตว่า :-
เมื่อลูกศรคือตัณหาอันเรายังถอนไม่ได้แล้ว เราจัก
ไม่กิน เราจักไม่ดื่ม ไม่ออกจากวิหาร ทั้งจักไม่เอนข้าง
ดังนี้.
แม้การสมาทานความเพียรเห็นปานนี้ ก็เรียกว่า เป็นวัตรแต่ไม่
เป็นศีล.
๖๕/๘๑/๔๑๘
ด้วยไฟแล้วกิน บางพวกก็กินดิบๆ นั่นเอง บางพวกเอาฟัน
แทะเปลือกออกแล้วอาทิผิด อาณัติกะจึงกิน.
บางพวกซ้อมด้วยครกแล้วกิน บางพวกทุบด้วยหินกิน
บางพวกกินผลไม้ที่หล่นเอง บางพวกชอบสะอาด ลงอาบน้ำ
ทั้งเวลาเย็นและเช้า บางพวกเอาน้ำราดตัว ศิษย์ของเราหา
ผู้ทัดเทียมได้ยาก.
ศิษย์ของเราปล่อยเล็บมือ เล็บเท้า และขนรักแร้ออกยาว
ขี้ฟันเขลอะ มีธุลีบนเศียร หอมด้วยกลิ่นศีล หาผู้ทัดเทียม
ได้ยาก.
ชฏิลทั้งหลายมีตบะแรงกล้า ประชุมกันในเวลาเช้า
แล้วไปประกาศลาภมากในอากาศในกาลนั้น. เมื่อดาบส
เหล่านี้หลีกไป เสียงอันดังย่อมเป็นไป เทวดาทั้งหลายย่อม
ยินดีด้วยเสียงหนังเสือ.
ฤๅษีเหล่านั้นกล้าแข็งด้วยกำลังของตน เหาะไปในอากาศ
ไปสู่ทิศน้อยทิศใหญ่ตามปรารถนา.
ปวงฤๅษีนี้แลทำแผ่นดินให้หวั่นไหว เที่ยวไปในอากาศ
มีเดชแผ่ไป ยากที่จะข่มขี่ได้ อันคนอื่นให้กระเพื่อมไม่ได้
ดังสาครอันใคร ๆ ให้กระเพื่อมไม่ได้ฉะนั้น.
ฤๅษีศิษย์ของเรา บางพวกประกอบการยืนและเดิน บาง
พวกไม่นอน บางพวกกินผลไม้ที่หล่นเอง หาผู้อื่นเสมอ
ได้ยาก.
๗๐/๓/๔๐๔
สัตว์เห็นโทษ ๘ เหล่านี้คือ การที่สร้างให้สำเร็จจำต้องใช้เครื่องสัมภาระมาก ๑
จำต้องบำรุงอยู่เป็นนิตย์ด้วยหญ้าใบไม้และดินเหนียวเป็นต้น ๑ จำต้องออกไป
โดยเข้าใจว่า ไม่มีเอกัคคตาจิตสำหรับผู้จำต้องออกไปในเวลาไม่สมควร ด้วย
คิดว่า ขึ้นชื่อว่าเสนาสนะ จักทรุดโทรมไป ๑ ต้องทะนุถนอมอาทิผิด สระกาย เพราะกระ-
ทบเย็นร้อน ๑ ต้องปกปิดคำครหาที่ว่า ผู้เข้าไปบ้านเรือนอาจทำชั่วอย่างใดอย่าง
หนึ่งได้ ๑ ต้องหวงแหนว่านี้ของเรา ๑ ต้องนึกอยู่เสมอว่า นี้บ้านเรือน มีอยู่
อย่างผู้มีเพื่อน ๑ ต้องเป็นของทั่วไปเป็นอันมาก เพราะต้องทั่วไปแก่สัตว์ทั้ง
หลายมีเล็น เลือด จิ้งจกเป็นต้น ๑ ดังนี้แล้วจึงละบรรณศาลาเสีย.
บทว่า คุเณหิ ทสหุปาคตํ ความว่า เราปฏิเสธที่กำบัง เข้าไปยัง
โคนไม้อันประกอบด้วยคุณ ๑๐ ประการ คุณ ๑๐ ประการอะไรบ้าง. ตรัสว่า
เราเห็นคุณ ๑๐ เหล่านี้ คือ มีความริเริ่มขวนขวายน้อย ๑ ได้ความไม่มีโทษ
โดยง่ายว่าเพียงเข้าไปโคนไม้นั้นเท่านั้น ๑ ทำอนิจจสัญญาให้ตั้งขึ้นอาทิผิด สระด้วยการเห็น
ความแปรปรวนของต้นไม้และใบไม้ ๑ ไม่ตระหนี่เสนาสนะ ๑ เมื่อจะทำ
ชั่ว ณ โคนไม้นั้นย่อมละอาย เพราะฉะนั้น จึงไม่มีที่ลับทำชั่ว ๑ ไม่ทำความ
หวงแหน ๑ อยู่กับเทวดาทั้งหลาย ๑ ปฏิเสธที่กำบัง ๑ ใช้สอยสะดวก ๑ ไม่
ห่วงใยเพราะเสนาสนะคือโคนไม้ หาได้ง่าย ในทุกสถานที่ไป ๑ แล้วจึงเข้า
ไปยังโคนไม้ และตรัสว่า
โคนไม้ พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสรรเสริญแล้ว
และตรัสว่า เป็นนิสสัย ที่อาศัย ที่อยู่ของผู้สงัด เสมอ
ด้วยโคนไม้ จะมีแต่ไหน.
แท้จริง ผู้อยู่โคนไม้อันสงัด อันกำจัดความ
ตระหนี่ที่อยู่ อันเทวดารักษาแล้ว ชื่อว่าผู้มีวัตรดี.
๗๓/๑/๑๘๔
ดอกกระดึงทอง ๓,๐๐๐ ดอกมาบูชา เราเป็นผู้มีความ
อิ่มใจ ประนมกรอัญชลี นมัสการทั้งเวลาเย็นเวลาเช้า
ไหว้พระเจดีย์ทราย เหมือนถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้า
ในที่เฉพาะพระพักตร์ ฉะนั้น ในเวลาที่กิเลสและความ
ตรึก เกี่ยวด้วยกามเกิดขึ้น เราย่อมนึกถึง เพ่งดูสถูป
ที่ได้ทำไว้ เราอาศัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้นำสัตว์
ออกจากที่กันดาร ผู้นำชั้นพิเศษตักเตือนตนว่า ท่าน
ควรระวังกิเลสไว้ ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ การยังกิเลส
ให้เกิดขึ้นไม่สมควรแก่ท่าน ครั้งนั้น เมื่อเราคำนึงถึง
พระสถูป ย่อมเกิดความเคารพขึ้นพร้อมกัน เราบรร-
เทาวิตกที่น่าเกลียดเสียได้ เปรียบเหมือนช้างตัว
ประเสริฐ ถูกเครื่องแทงหูเบียดเบียน ฉะนั้น เรา
ประพฤติอยู่เช่นนี้ ได้ถูกพระยามัจจุราชย่ำยี เราทำ
กาลกิริยา ณ ที่นั้นแล้ว ได้ไปยังพรหมโลก เราอยู่ใน
พรหมโลกนั้นตราบเท่าหมดอายุ แล้วมาบังเกิดใน
ไตรทิพย์ ได้เป็นจอมเทวดาเสวยราชสมบัติในเทวโลก
๘๐ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓๐๐ ครั้ง และได้
เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ โดยคณานับมิได้
เราได้เสวยผลของดอกกระดึงทองเหล่านั้น ดอก
กระดึงทอง ๒๒,๐๐๐ ดอก แวดล้อมเราทุกภพ เพราะ
เราเป็นผู้บำเรอพระสถูป ฝุ่นละอองย่อมไม่ติด
ที่ตัวเรา เหงื่อไม่ไหล เรามีรัศมีซ่านออกจากตัว โอ
พระสถูปเราได้สร้างไว้ดีแล้ว แม่น้ำอมริกาอาทิผิด สระ เราได้
๕๑/๒๖๗/๔๓
ท่านได้ระลึกถึงบุพกรรมของตน เกิดความโสมนัส เมื่อจะประกาศ
ถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า
ชายมาเน วิปสฺสิมฺหิ ดังนี้. ในคาถานั้นมีอธิบายว่า เมื่อพระวิปัสสี
สัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว คือประสูติจากพระครรภ์มารดา เราได้กล่าว
พยากรณ์ตามเครื่องหมายที่ปรากฏ คือเหตุที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า, ความ
อัศจรรย์มากมายได้ปรากฏมีขึ้นแล้ว. คำที่เหลือบัณฑิตพอจะรู้ได้โดยง่าย
ตามลำดับแห่งเนื้อความตามที่ได้กล่าวแล.
จบอรรถกถาสัมมุขาถวิกเถราอาทิผิด สระปทาน
๗๑/๑๒๗/๔๓๐
ธรณีประตู ดังได้กล่าวแล้วในพรหมายุสูตร. ในที่นี้ท่านประสงค์ตั้งแต่ เสา
เขื่อน. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ไม่ควรกล่าวว่า พระศาสดาไม่ทรงสันโดษ ด้วย
บิณฑบาตสันโดษ. ทั้งหมดพึงพิสดารโดยทำนองเดียวกับที่กล่าวแล้ว เพราะ
ความเป็นผู้มีอาหารน้อย. แม้ในที่นี้พระองค์ก็ทรงแสดงความนี้ไว้ว่า เราไม่
ยินดีรับนิมนต์ในเวลาเดียวเท่านั้น. แต่สาวกทั้งหลายของเรา ไม่ทำลายธุดงค์
ตลอดชีวิต ตั้งแต่สมาทานธุดงค์.
บทว่า รุกฺขมูลิกา ถือการอยู่โคนไม้เป็นวัตร คือ ปฏิเสธที่มุงบัง
สมาทานรุกขมูลิกังคธุดงค์. บทว่า อพฺโภกาสิกา ถืออยู่กลางแจ้งเป็นวัตร
คือ ปฏิเสธที่มุงบังและโคนไม้แล้วสมาทานอัพโภกาสิกังคธุดงค์. บทว่า อฏฺฐ-
มาเส ตลอด ๘ เดือน คือ ตลอดเดือนในฤดูเหมันต์และคิมหันต์. แต่ในภาย
ในฤดูฝนเข้าไปสู่ที่มุงบังเพื่อรักษาจีวร. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ไม่ควรกล่าวว่าพระ-
ศาสดาไม่ทรงสันโดษด้วยเสนาสนสันโดษ. แต่พึงแสดงเสนาสนสันโดษของ
พระองค์ ด้วยมหาปธานตลอด ๖ ปี และด้วยปาริไลยกไพรสณฑ์อาทิผิด อักขระ แต่ในที่นี้
พระองค์ทรงแสดงความนี้ไว้ว่า เราไม่เข้าไปสู่ที่มุงบังในกาลหนึ่งเท่านั้น. แต่
สาวกของเราไม่ทำลายธุดงค์ตลอดชีวิตตั้งแต่สมาทานธุดงค์.
บทว่า อารญฺญิกา ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร คือปฏิเสธเสนาสนะท้าย
บ้านแล้วสมาทานอารัญญิกังคธุดงค์อาทิผิด อักขระ. บทว่า สงฺฆมชฺเฌ โอสรนฺติ ย่อม
ประชุมในท่ามกลางสงฆ์ ท่านกล่าวถึงใน อพัทธสีมา (สีมาที่ยังมิได้ผูก).
แต่ สาวกผู้อยู่ในพัทธสีมา ย่อมทำอุโบสถในที่อยู่ของตน. ด้วยเหตุเพียง
เท่านี้ ไม่ควรกล่าวว่าพระศาสดา ไม่ทรงสงัด เพราะความสงัดย่อมปรากฏแก่
พระองค์อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราปรารถนาเพื่อหลีกเร้นอยู่ตลอด ๘
เดือน. แต่ในที่นี้พระองค์ทรงแสดงความนี้ไว้ว่า เราหลีกเร้นอยู่ในกาลเห็น
๒๐/๓๕๕/๕๘๒
รวมชาดกที่มีในขุรปุตวรรคนี้มี ๑๐ คือ :-
๑. ขุรปุตชาดก ๒. สูจิชาดก ๓. ตุณฑิลชาดก ๔. สุวรรณ-
กักกฏกชาดก ๕. มัยหกสกุณชาดก ๖. ปัพพชิตวิเหฐกชาดก ๗. อุป
สิงฆบุปผชาดก ๘. วิฆาสาทชาดก ๙. วัฏฏกชาดก ๑๐. มณิชาดก.
จบ ขุรปุตวรรคที่ ๒
อรรถกถาชาดกนี้ ชื่อว่า อรรถกถาฉักกนิบาต ประดับด้วย
ชาดก ๒๐ ชาดก จบบริบูรณ์แล้วด้วยประการฉะนี้. ปกรณ์นี้ที่พระ-
โอรสองค์เล็กของพระเจ้าอภัยสังคหะ. ผู้มีพระทัยน้อมไปในการบรรพชา
ตั้งแต่เวลามีพระชนม์ ๗ พรรษา มีพระหฤทัยผ่องใส ทรงผนวชแล้ว
โดยพระนามฉายาว่า อคฺคาณะ ทรงมีพรรษา ๒ ตั้งแต่ทรงผนวช
มาสมมุติกันว่าเป็นศิษย์เอกของพระเถระ ชาวบ้านมณีหริตคิรีคาม ผู้
เป็นพระราชาคณะพระนามว่า พระสีลสัมบันตรีปิฎกธร อรรถธรรม
โกศลสาสน์ ทรงลิขิตไว้สำเร็จเสร็จสิ้นในเวลาบ่ายวันที่ ๗ ขึ้น ๑๐ ค่ำ
ศุกลอาทิผิด อักขระปักษ์ เดือนอ้าย.
รวมวรรคที่มีอยู่ในฉักกนิบาตนี้ ๒ วรรค คือ :-
๑. อาวาริยวรรค ๒. ขุรปุตวรรค
จบ ฉักกนิบาตชาดก
๕๙/๙๖๘/๒๐๕
นิคมคาถา
คาถาท้ายอรรถกถาเถรีคาถา
ด้วยกถาพรรณนาความดังกล่าวมาฉะนี้
พระสาวกเหล่านั้นใด มีพระสัทธรรมพรั่งพร้อม
เป็นบุตรเกิดแต่พระอุระ เกิดแต่พระโอษฐ์ ของพระ-
ศาสดาผู้เป็นจอมทัพธรรม เป็นทายาท ถูกอาทิผิด อักขระเนรมิตโดย
ธรรม สมบูรณ์ด้วยคุณมีศีลเป็นต้น เป็นผู้เสร็จกิจแล้ว
ไม่มีอาสวะ เป็นพระเถระก็มี เช่นท่านพระสุภูติเป็น
ต้น เป็นพระเถรีก็มี เช่นพระเถริกาเป็นต้น พระสาวก
เหล่านั้นกล่าวคาถาอาทิผิด อักขระเหล่าใดไว้ ด้วยวิธีพยากรณ์พระ-
อรหัตเป็นต้น.
พระมหาเถระทั้งหลาย [พระสังคีติกาจารย์ผู้
ทำปฐมอาทิผิด อักขระสังคายนา ๕๐๐ องค์] ช่วยกันรวบรวมคาถา
เหล่านั้นทั้งหมด ยกขึ้นสู่บาลีสังคายนา ชื่อว่าเถร-
คาถา เถรีคาถา.
เพื่อประกาศความของเถรคาถาและเถรีคาถาเหล่า
นั้น ข้าพเจ้าอาศัยนัยที่มาในอรรถกถาเดิม จึงเริ่มแต่ง
อรรถสังวรรณนาอันใด อรรถสังวรรณนาอันนั้น
ประกาศอรรถอันยอดเยี่ยมในเถรคาถาและเถรีคาถา
นั้น ตามความเหมาะสมในที่นั้น ๆ โดยชื่อว่าปรมัตถ-
๕๔/๔๗๔/๕๓๘
ให้จงได้.
ครั้นวันหนึ่งในฤดูแล้ง เมื่อฝนตกแล้ว ฝูงแมลงเม่าพากัน
บินออกจากจอมปลวก ฝูงเหี้ยพากันออกจากที่นั้น ๆ กินฝูง
แมลงเม่า พรานเหี้ยผู้หนึ่งถือจอบไปป่ากับฝูงหมา เพื่อขุด
โพรงเหี้ย กิ้งก่าเห็นเขาแล้ว คิดว่า วันนี้ความหวังของเราสำเร็จ
แน่ ดังนี้แล้วเข้าไปหาเขา. หมอบอยู่ในที่ไม่ห่าง ถามว่า ท่าน
ผู้เจริญ ท่านเที่ยวไปในป่าทำไม ? พรานตอบว่า เที่ยวหา
ฝูงเหี้ย กิ้งก่ากล่าวว่า ฉันรู้จักที่อาศัยของเหี้ยหลายร้อยตัว
ท่านจงหาไฟและฟางมาเถิด แล้วนำเขาไปที่นั้น ชี้แจงว่า ท่าน
จงใส่ไฟตรงนี้แล้วจุดไฟ ทำให้เป็นควัน วางหมาล้อมไว้ ตนเอง
ออกไปคอยตีฝูงเหี้ยให้ตาย แล้วเอากองไว้ ครั้นบอกอย่างนี้แล้ว
ก็คิดว่า วันนี้เป็นได้เห็นหลังศัตรูละ แล้วนอนผงกหัวอยู่ ณ ที่
แห่งหนึ่ง แม้นายพรานก็จัดการสุมไฟฟาง ควันเข้าไปในโพรง
ฝูงเหี้ยพากันสำลักควัน ถูกมรณภัยคุกคาม ต่างรีบออกพากันหนี
ลนลานอาทิผิด อักขระ พรานก็จ้องตีตัวที่ออกมา ๆ ให้ตาย ที่รอดพ้นมือพราน
ไปได้ก็ถูกฝูงหมากัด ความพินาศอย่างใหญ่หลวงเกิดแก่ฝูงเหี้ย
พระโพธิสัตว์รู้ว่า เพราะอาศัยกิ้งก่าภัยจึงบังเกิดขึ้น ตัวนี้แล้ว
กล่าวว่า ขึ้นชื่อว่าการคลุกคลีกับคนชั่ว ไม่พึงกระทำ ขึ้นชื่อว่า
ประโยชน์ย่อมไม่มีเพราะอาศัยคนชั่ว ด้วยอำนาจของกิ้งก่าชั่ว
ตัวเดียว ความพินาศจึงเกิดแก่ฝูงเหี้ย มีประมาณเท่านี้ เมื่อจะหนี
ไปทางช่องลม กล่าวคาถานี้ความว่า :-
๕๖/๑๔๑/๕๖๓
คลอง ๑ เพราะทนต่อความย่ำยีได้อย่างวิเศษ ๑ เพราะฟังอยู่ก็เป็นสุข ๑
เพราะใคร่ครวญอยู่ก็มีประโยชน์ ๑ ดังนี้.
[เวรัญชพราหมณ์ชมเชยพระธรรมเทศนาด้วยอุปมา ๔ อย่าง]
แม้เบื้องหน้าแต่นั้นไป เวรัญชพราหมณ์ ย่อมชมเชยเทศนานั่นแล
ด้วยอุปมา ๔ ข้อ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิกฺกุชฺชิตํ คือ ภาชนะที่เขาวางคว่ำ
ปากไว้ หรือมีที่ปากอยู่ภายใต้.
บทว่า อุกฺกุชฺเชยย คือ พึงหงายปากขึ้น.
บทว่า ปฏิจฺฉนฺนํ คือ ที่เขาปิดไว้ด้วยวัตถุมีหญ้าและใบไม้เป็นต้น.
บทว่า วิวเรยฺย คือ พึงเปิดขึ้น
บทว่า มูฬฺหสฺส คือ คนหลงทิศ.
สองบทว่า มคฺคํ อาจิกฺเขยฺย ความว่า พึงจับที่มือแล้วบอกว่า
นี้ทาง.
บทว่า อนฺธกาเร ความว่า ในความมืดมีองค์ ๔ (คือ) เพราะ
วันแรม ๑๔ ค่ำอาทิผิด อาณัติกะในกาฬปักษ์ ๑ กลางคืนอาทิผิด ๑ ไพรสณฑ์อาทิผิด ที่หนาทึบ (ดงทึบ) ๑
กลีบเมฆ ๑. ความหมายแห่งบทที่ยังไม่กระจ่างมีเท่านี้ก่อน :-
ส่วนการประกอบความอธิบาย มีดังต่อไปนี้ :-
(เวรัญชพราหมณ์ ชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า) ท่านพระโคคม
ผู้เจริญ ทรงยังเราผู้เบือนหน้าหนีจากพระสัทธรรม ตกไปในอสัทธรรมแล้ว
ให้ออกจากอสัทธรรม เหมือนใคร ๆ พึงหงายภาชนะที่คว่ำขึ้นไว้ฉะนั้น ทรง
เปิดเผยพระศาสนาที่ถูกรกชัฏคือ มิจฉาทิฏฐิปกปิดไว้ ตั้งต้นแต่พระศาสนา
๑/๙/๓๑๒
ย่อมฆ่า. บทว่า ยชนฺติ อนุกุลํ สทา ความว่า ชนเหล่าใดย่อมบูชายัญ
ตามตระกูล แม้พวกคนเหล่านั้นเกิดในภายหลัง ก็ยังบูชาตาม เพราะบรรพบุรุษ
ทั้งหลายได้บูชากันมาแล้ว. บทว่า เสยฺโย โหติ แปลว่า ย่อมวิเศษ
แน่แท้. บทว่า น ปาปิโย ได้แก่ ไม่เลวทรามอะไรเลย.
จบอรรถกถาอุชชยสูตรที่ ๙
๑๐. อุทายิสูตร
ว่าด้วยอุทายิพราหมณ์ทูลถามปัญหา
[๔๐] ความเหมือนสูตรก่อน ต่างแต่สูตรนี้พราหมณ์ชื่ออุทายิมาเฝ้า
และมีนิคมคาถาดังนี้
พรหมจารีทั้งหลาย ผู้สำรวมอาทิผิด อักขระแล้ว
ย่อมสรรเสริญยัญ (คือทาน) ที่ไม่มีการ
อันจะต้องเป็นธุระริเริ่มมา จัดทำให้เป็น
กัปปิยะ (คือให้เป็นของควร ปราศจาก
การเบียดเบียนสัตว์) ตามกาล เช่นนั้น.
อนึ่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้มีหลังคา
(คือกิเลส) อันเปิดแล้ว ผู้ก้าวล่วงแล้วซึ่ง
ตระกูลและคติ ผู้ฉลาดในเรื่องบุญ ทรง
สรรเสริญยัญอันนั้น
ในยัญ (คือการบริจาคทานปกติ)
ก็ดี ในศราทธะ (คือทำบุญอุทิศผู้ตาย)
๓๕/๔๐/๑๕๒
อยากจะเสวยมะม่วงชื่อว่าอัพภันตระ ควรจะทำอย่างไร ? อำมาตย์
ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ มะม่วงที่ตั้งอยู่ระหว่างกลาง
มะม่วง ๒ ต้น ชื่อว่ามะม่วงอัพภันตระ. พวกข้าพระพุทธเจ้าจักส่งคน
ไปยังพระราชอุทยาน ให้นำผลจากมะม่วงที่ตั้งอยู่ในระหว่างต้นมะม่วง
ทั้งสองต้นมาให้ประทานแก่พระเทวี. พระราชาตรัสว่า ดีแล้ว พวก
ท่านจงนำเอาผลมะม่วงเห็นปานนั้นมา แล้วทรงส่งราชบุรุษไปยัง
พระราชอุทยาน. ท้าวสักกะทรงบันดาลอาทิผิด สระให้ผลมะม่วงทั้งหลายในพระ-
ราชอุทยานอันตรธานไปเหมือนอย่างถูกคนเคี้ยวกินด้วยอานุภาพของ
พระองค์. ราชบุรุษทั้งหลายผู้ไปเพื่อต้องการผลมะม่วง เที่ยวไปตลอด
พระราชอุทยานทั้งสิ้น ไม่ได้แม้มะม่วง กับผลเดียว จึงกลับมากราบทูล
พระราชา ถึงความที่ผลมะม่วงไม่มีในพระราชอุทยาน พระราชา
ตรัสถามว่า ใครกินมะม่วงหมด ? พวกราชบุรุษกราบทูลว่า พวกดาบส
พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า พวกท่านจงโบยตีดาบสทั้งหลายนำออก
ไปจากพระราชอุทยาน. พวกราชบุรุษรับพระบัญชาแล้วพากันนำ
พระดาบสทั้งหลายออกไปจากพระราชอุทยาน. เป็นอันว่า มโนรถ
ของท้าวสักกะบรรลุถึงที่สุดสมประสงค์. พระเทวีก็ยังทรงบรรทมอยู่
นั่นแหละโดยผูกพระทัยเพื่อจะเสวยผลมะม่วงให้ได้. เมื่อพระราชาไม่
ทรงเห็นลู่ทางที่จะพึงกระทำ จึงสั่งให้อำมาตย์และพราหมณ์ทั้งหลาย
ประชุมกันแล้วตรัสถามว่า ท่านทั้งหลายยังจะทราบว่ามะม่วงอัพภันตระ
มีอยู่หรือ ? พราหมณ์ทั้งหลายกราบทูลว่า ขอเดชะ ชื่อว่ามะม่วง
๕๘/๔๔๔/๒๔๖
คือ ขันธ์ ๓, อโทสะ, อโมหะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑
ที่เป็นนเหตุธรรม และอโลภะ ฯลฯ ขันธ์ ๒, อโทสะ, อโมหะ และจิตตสมุฏ-
ฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ และอโลภะ.
พึงผูกจักรนัย.
ขันธ์ ๓, โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุธรรม
และโลภะอาทิผิด อักขระ ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ.
ในปฏิสนธิขณะ อโทสะ, อโมหะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัย
หทยวัตถุ และอโลภะ ฯลฯ.
๒. อารัมมณปัจจัย
[๒] ๑. เหตุธรรม อาศัยเหตุธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณ-
ปัจจัย
ทิ้งรูปภูมิเสีย พึงกระทำเป็น ๙ วาระ ในอรูปภูมิเท่านั้น.
๓. อธิปติปัจจัย
เพราะอธิปติอาทิผิด ปัจจัย ปฏิสนธิไม่มี พึงกระทำให้บริบูรณ์.
ฯลฯ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปที่เป็นอุปาทารูป อาศัย
มหาภูตรูปทั้งหลาย.
นี้เป็นข้อที่ต่างกัน.
๘๘/๒/๔
๔. ปุปผวรรควรรณนา
๑. เรื่องภิกษุ ๕๐๐ รูปผู้ขวนขวายในปฐวีกถา [๓๓]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุ
๕๐๐ รูป ผู้ขวนขวายในปฐวีกถา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า “โก
อิมํ ปฐวึ วิเชสฺสติ” เป็นต้น.
ควรปรารภแผ่นดินภายใน
ดังได้สดับมา ภิกษุเหล่านั้น เที่ยวจาริกไปในชนบทกับพระผู้มี-
พระภาคเจ้า มาถึงพระเชตวันแล้วนั่งในหอฉันในเวลาเย็น เล่าถึงเรื่อง
แผ่นดินในสถานที่ตนไปแล้ว ๆ ว่า “ในสถานเป็นที่ไปสู่บ้านโน้น จาก
บ้านโน้น เสมอ ไม่เสมอ มีเปือกตมมาก มีกรวดมาก มีดินดำ มีดิน
แดง.”
พระศาสดา เสด็จมาตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอ
นั่งสนทนากันด้วย เรื่องอะไรหนอ ?” เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า
“ ด้วยเรื่องแผ่นดินในสถานที่พวกข้าพระองค์เที่ยวไปแล้ว พระเจ้าข้า”
ดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย นั่นชื่อว่าแผ่นดินภายนอก, การ
ที่พวกเธอทำบริกรรมในแผ่นดินภายในจึงจะควร" ดังนี้ แล้วได้ทรง
ภาษิต ๒ พระคาถาอาทิผิด อักขระนี้ว่า :-
๔๑/๑๔/๔