ไปถึงอารามแล้วแจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย . . .
ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระอานนท์ยังไม่ได้รับบอกก่อน
จึงได้เข้าสู่พระราชฐานชั้นในเล่า... แล้วกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์
ข่าวว่า เธอไม่ได้รับบอกก่อนเข้าสู่พระราชฐานชั้นใน จริงหรือ.
ท่านอานนท์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนอานนท์ ไฉนเธอยัง
ไม่ได้รับบอกก่อนจึงได้เข้าสู่พระราชฐานชั้นในเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่
เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . . ครั้นแล้ว ทรงทำธรรมีกถา แล้วรับสั่งกะภิกษุ
ทั้งหลาย ดังต่อไปนี้:-
โทษ ๑๐ อย่าง ในการเข้าสู่พระราชฐานชั้นใน
[๗๓๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โทษในการเข้าสู่พระราชฐานชั้นในมี
๑๐ อย่าง ๑๐ อย่างอะไรบ้าง.
๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในพระราชฐานชั้นในนี้ พระเจ้าแผ่นดิน
กำลังประทับอยู่ในตำหนักที่ผทมกับพระมเหสี ภิกษุเข้าไปในพระราชฐานชั้น
ในนั้น พระมเหสีเห็นภิกษุแล้วทรงยิ้มพรายให้ปรากฏก็ดี ภิกษุเห็นพระมเหสี
แล้วยิ้มพรายให้ปรากฏอาทิผิด อักขระก็ดี ในข้อนั้นพระเจ้าแผ่นดินจะทรงระแวงอย่างนี้ว่า
คนทั้งสองนี้รักใคร่กันแล้วหรือจักรักใคร่กันเป็นแม่นมั่น นี้เป็นโทษข้อที่หนึ่ง
ในการเข้าสู่พระราชฐานชั้นใน.
๔/๗๓๓/๘๐๓
เหมือนอย่างแก้วหรือหินที่ไม่ถูกเพชรเจาะเสียเลยย่อมไม่มีฉันใด บุคคลลางคน
ในโลกนี้กระทำให้แจ้ง ฯลฯ ในปัจจุบันนี่ฉันนั้น นี้เราเรียกว่าบุคคลมีจิต
เหมือนเพชรอาทิผิด อักขระ
นี้แล ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ มีอยู่ในโลก.
จบวชิรสูตรที่ ๕
อรรถกถาวชิรสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในวชิรสูตรที่ ๕ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อรุกูปมจิตฺโต ได้แก่ มีจิต เช่นกับแผลเรื้อรัง. บทว่า
วิชฺชูปมจิตฺโต ได้แก่ มีจิตเช่นกับสายฟ้า เพราะส่องสว่างชั่วเวลาเล็กน้อย.
บทว่า วชิรูปมจิตฺโต ได้แก่มีจิตเช่นกับเพชร เพราะสามารถทำการโค่น
รากเง่าของกิเลสทั้งหลายได้. บทว่า อภิสชฺชติ แปลว่า ข้องอยู่. บทว่า
กุปฺปติ แปลว่า ย่อมกำเริบ ด้วยสามารถแห่งความโกรธ. บทว่า พฺยาปชฺชติ
ความว่า ละสภาพปกติ คือเป็นของเน่า. บทว่า ปติตฺถิยติ ได้แก่ย่อมถึง
ความหงุดหงิด คือความกระด้าง. บทว่า โกปํ ได้แก่ ความโกรธมีกำลังทราม.
บทว่า โทสํ ได้แก่ โทษะ ที่มีกำลังมากกว่าความหงุดหงิดนั้นด้วยสามารถ
แห่งความประทุษร้าย. บทว่า อปฺปจฺจยํ ได้แก่โทมนัส ที่เป็นอาการแห่ง
ความไม่พอใจ.
บทว่า ทุฏฺฐารุโก ได้แก่แผลเรื้อรัง. บทว่า กฏเฐน ได้แก่
ปลายไม้เท้า. บทว่า กถเลน ได้แก่ กระเบื้อง. บทว่า อาสวํ เนติ ได้แก่
ไหลติดต่อกันไป. อธิบายว่า แผลเรื้อรังจะหลั่งออกซึ่งของ ๓ อย่างนี้คือ
หนอง เลือด และเยื่อ ตามธรรมดาของตนอยู่แล้ว แต่เมื่อถูกกระทบเข้า
๓๔/๔๖๔/๘๒
และภิกษุสงฆ์ออกไปจากวัดอโศการาม เที่ยวจาริกไปทางทักขิณาคิรีชนบทอาทิผิด ซึ่ง
เวียนรอบนครราชคฤห์ไปพร้อมกับพระเถระ ๔ รูป มีพระอิฏฏิยะเป็นต้นนั้น
สุมนสามเณร ผู้เป็นโอรสของพระนางสังฆมิตตา และภัณฑกอุบาสกเยี่ยมพวก
ญาติอยู่จนเวลาล่วงไปถึง ๖ เดือน. ครั้นนั้น พระเถระได้ไปถึงเมืองชื่อเวทิสนคร
อันเป็นสถานที่ประทับของพระมารดาโดยลำดับ
[ประวัติย่อของพระมหินทเถระ]
ได้ยินว่า พระเจ้าอโศกทรงได้ชนบท (ได้กินเมือง) ในเวลายังทรง
พระเยาว์ เมื่อเสด็จไปกรุงอุชเชนี ผ่านเวทิสนคร ได้ทรงรับธิดาของเวทิส-
เศรษฐี (เป็นอัครมเหสี). ในวันนั้นนั่นเอง พระนางก็ทรงครรภ์ แล้วได้
ประสูติมหินทกุมาร ที่กรุงอุชเชนี. ในเวลาที่พระกุมารมีพระชนม์ได้ ๑๔
พรรษา พระราชาทรงได้รับการอภิเษกขึ้น ครองราชย์. สมัยนั้น พระนาง
ที่เป็นมารดาของมหินทกุมารนั้น ก็ประทับอยู่ที่ตำหนักของพระประยูรญาติ
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวไว้ว่า พระเถระได้ไปถึงเมืองชื่อเวทิสนคร
อันเป็นสถานที่ประทับของพระมารดาโดยลำดับ.
ก็แล พระเทวีผู้เป็นพระมารดาของพระเถระ ทอดพระเนตรเห็น
พระเถระผู้มาถึงแล้ว ก็ทรงไหว้เท้าทั้งสองด้วยเศียรเกล้า แล้วถวายภิกษา
ทรงมอบถวายวัดชื่อ เวทิสคิรีมหาวิหาร ที่ตนสร้างถวายพระเถระ. พระเถระ
นั่งคิดอยู่ที่วิหารนั้นว่า กิจที่เราควรกระทำในที่นี้สำเร็จแล้ว, บัดนี้ เป็นเวลา
ที่ควรจะไปยังเกาะลังกาหรือยังหนอแล. ลำดับนั้น ท่านดำริว่า ขอให้
พระราชกุมารพระนามว่า เทวนัมปิยดิส เสวยอภิเษก ที่พระชนกของเราทรง
ส่งไปถวายเสียก่อน, ขอให้ได้สดับคุณพระรัตนตรัย และเสด็จออกไปจาก
๑/๙/๑๒๑
คำว่า ยงฺกิญฺจิอาทิผิด สาวเกน ปตฺตพฺพํ สพฺพํ เตน ปตฺตพฺพํ มีความว่า
คุณชาตินี้ คือ วิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ โลกุตรธรรม ๙
ชื่อว่า อันสาวกพึงบรรลุ, คุณชาตินั้น ย่อมเป็นอันพระเถระนั้นบรรลุ
แล้วทุกอย่าง.
คำว่า นตฺถิ จสฺส กิญฺจิ อุตฺตริกรณียํ มีความว่า บัดนี้ กิจที่
จะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปน้อยหนึ่ง ไม่มีแก่พระเถระนั้น เพราะกิจ ๑๖ ประการ
ในอริยสัจ ๔ อัน ท่านกระทำเสร็จแล้วด้วยมรรค ๔.
คำว่า กตสฺส วา ปฏิจโย มีความว่า แม้การจะเพิ่มเติมกิจที่
กระทำเสร็จแล้วนั้นก็ไม่มี เหมือนกับผ้าที่ซักแล้ว ไม่ต้องซักซ้ำอีก
เหมือนของหอมที่บดแล้ว ไม่ต้องบดซ้ำอีก และเหมือนดอกไม้ที่บานแล้ว
ไม่กลับบานอีกฉะนั้นแล.
บทว่า รโหคตสฺส ได้แก่ ไปในที่สงัด.
บทว่า ปฏิสลฺลีนสฺส ได้แก่ หลีกจากอารมณ์นั้น ๆ แล้วเร้นอยู่.
มีคำอธิบายว่า ถึงความเป็นผู้โดดเดี่ยว.
ข้อว่า อถโข อายสฺมโต ทพฺพสฺส มลฺลปุตฺตสฺส เอตทโหสิ
ยนฺนูนาหํ สงฺฆสฺส เสนาสนญฺจ ปญฺญาเปยฺยํ ภตฺตานิ จ อุทฺทิเสยฺยํ
มีความว่า ได้ยินว่า พระเถระเห็นว่า กิจของตนกระทำเสร็จแล้ว จึงดำริว่า
เรายังทรงไว้ซึ่งสรีระสุดท้ายอันนี้, ก็แลสรีระสุดท้ายนั้น ดำรงอยู่ในทาง
แห่งความเป็นของไม่เที่ยง ไม่นานนักก็จะดับไปเป็นธรรมดา ดุจประทีป
ตั้งอยู่ทางลมฉะนั้น, เราควรจะกระทำการขวนขวายแก่สงฆ์ ตลอดเวลา
ที่ยังไม่ดับ อย่างไรหนอแล ? พลางพิจารณาเห็นอย่างนั้นว่า เหล่ากุลบุตร
เป็นอันมาก ในแคว้นนอกทั้งหลาย บวชไม่ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
๓/๕๖๓/๔๗๘
เป็นของที่เขาใส่แช่ไว้, น้ำคงอยู่เพียงถูกอบกลิ่น. น้ำนั้นเป็นอัพโพหาริก ควร
กับอามิสแม้ในวันรุ่งขึ้น.
สามเณรตักอาทิผิด อักขระน้ำดื่มจากน้ำดื่มอบดอกไม้ที่ภิกษุเก็บไว้ แล้วเทน้ำที่เหลือ
จากที่ตนดื่มแล้วลงในน้ำดื่มนั้นอีก, พึงรับประเคนใหม่. ภิกษุจะเอาหม้อน้ำ
แกว่งแหวกเกสรดอกไม้ที่แผ่คลุมน้ำอยู่ในสระบัวเป็นต้น ออกไปแล้ว ตักเอา
แต่น้ำ ควรอยู่.
ไม้สีฟันที่ภิกษุให้ทำเป็นกัปปิยะแล้วรับประเคนเก็บไว้. ถ้าภิกษุประสงค์
จะดูดรสแห่งไม้สีฟันนั้น, การรับประเคนเดิมนั่นแหละสมควรอยู่. ที่ไม่ได้รับ
ประเคนไว้ ต้องรับประเคน. แม้เมื่อรสเข้าไปในลำคอ ก็เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้
ไม่รู้เหมือนกัน. จริงอยู่ สิกขาบทนี้เป็นอจิตตกะ.
ถามว่า บรรดามหาภูตรูป อะไรควร อะไรไม่ควร ?
แก้ว่า นมสด สมควรก่อน. จะเป็นนมสดแห่งสัตว์ที่มีมังสะเป็น
กัปปิยะ หรือนมสดแห่งสัตว์ที่มีมังสะเป็นอกัปปิยะ ก็ตามที, ภิกษุดื่ม ไม่เป็น
อาบัติ. วัตถุนี้ คือ น้ำตา น้ำลาย น้ำมูก มูตร กรีส เศลษม์ มูลฟัน
คูถตา คูถหู ส่าเกลือ (เหงื่อไหล) เกิดในร่างกาย ควรทุกอย่าง.
แต่บรรดาสิ่งเหล่านี้ สิ่งใดเคลื่อนจากแหล่ง (ของมัน) แล้วตกลง
ในบาตรก็ดี ที่มือก็ดี สิ่งนั้นต้องรับประเคน. สิ่งที่ยังติดอยู่ในอวัยวะ เป็น
อันรับประเคนแล้วแท้. เมื่อภิกษุฉันข้าวปายาสร้อนเหงื่อที่ติดตามนิ้วมือแล้ว
ติดอยู่ที่ข้าวปายาส หรือว่าเมื่อภิกษุเที่ยวบิณฑบาตเหงื่อไหลจากมือถึงขอบปาก
บาตรลงสู่ก้นบาตร. ในบาตรนี้ไม่มีกิจที่จะต้องรับประเคน, ในมหาภูตที่เผา
แล้ว ไม่มีคำว่า ส่วนชื่อนี้ ไม่ควร. แต่ที่เผาไม่ดี (ไหม้ไม่สนิท) ไม่ควร.
ก็ภิกษุ จะบดแม้กระดูกมนุษย์ ที่เผาดีแล้วให้เป็นผง แล้วโรยลงในของลิ้ม
ควรอยู่.
๔/๕๒๖/๕๗๗
รูปอื่นพูดว่า ย่อมปรากฏแก่ผม เป็นเหมือนรุกขชาติอาทิผิด อักขระที่เพียบพร้อมด้วยภาระคือ
ผลไม้ ซึ่งมีร่มเงาเย็น สมบูรณ์ด้วยกิ่ง. จริงอยู่ พระสูตรของเธอเหล่านั้น
ก็เป็นสูตรเดียวกันนั่นเอง แต่ปรากฏโดยความเป็นของต่างกัน เพราะมีสัญญา
ต่างกัน ฉะนั้น. ความจริง กรรมฐานนี้ เกิดแต่สัญญา มีสัญญาเป็นต้นเหตุ
มีสัญญาเป็นแดนเกิด ; เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ย่อมปรากฏโดยความต่างกัน
เพราะมีสัญญาต่างกัน.
[ธรรม ๓ อย่างมีบริบูรณ์กรรมฐานจึงถึงอัปปนา]
ก็ บรรดาลมหายใจเข้า หายใจออก และนิมิตนี้ จิตที่มีลมหายใจเข้า
เป็นอารมณ์ ก็อย่างหนึ่งต่างหาก จิตที่มีลมหายใจออกเป็นอารมณ์ ก็อย่างหนึ่ง
จิตที่มีนิมิตเป็นอารมณ์ ก็อย่างหนึ่ง. จริงอยู่ กรรมฐานของภิกษุผู้ไม่มีธรรม
๓ อย่างนั้น ย่อมไม่ถึงอัปปนา ไม่ถึงอุปจาระ. ส่วนกรรมฐานของภิกษุผู้มี
ธรรม ๓ อย่างนี้ ย่อมถึงอัปปนาและอุปจาระด้วย. สมจริงดังคำที่ท่านพระ-
ธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวไว้ว่า
นิมิต ลมหายใจเข้า และลมหายใจ
ออก มิใช่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว, และ
เมื่อภิกษุไม่รู้ธรรม ๓ ประการ ย่อมไม่ได้
ภาวนา (ย่อมไม่สำเร็จ), นิมิต ลมหายใจเข้า
และลมหายใจออก มิใช่เป็นอารมณ์แห่งจิต
ดวงเดียว, และเมื่อภิกษุรู้ซึ่งธรรม ๓ ประการ
ย่อมได้ภาวนา.๑
พระอาจารย์ทั้งหลาย ผู้กล่าวทีฆนิกาย ได้กล่าวไว้อย่างนี้ก่อนว่า ก็
เมื่อนิมิตปรากฏแล้วอย่างนั้น ภิกษุนั้นควรไปสำนักของอาจารย์ แล้วบอกว่า
๑ ขุ. ปฏิ. ๓๑/๒๕๗.
๒/๒๒๖/๓๖๖
ความวิเศษของประโยชน์ โดยการชี้แจงถึงประโยชน์อันจะให้เกิดความเสียหาย
ด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งมาก่อน ดุจในประโยคมีอาทิว่า ปุริสสฺส หิ ชาตสฺส
กุฐารี ชายเต มุเข ขวานเกิดในปากของบุรุษผู้เกิดแล้ว. แต่ในที่นี้เป็นคำ
แสดงถึงประโยชน์อย่างเดียว. ในบทเหล่านั้นบทว่า สนฺโต คือพระพุทธเจ้า
เป็นต้น. จริงอยู่ สัตบุรุษเหล่านั้นย่อมกล่าวคำอันเป็นสุภาษิตว่าเป็นคำสูงสุด
ประเสริฐสุด. บทว่า ทุติยํ ตติยํ จตุตฺถํ นี้ ท่านกล่าวหมายมุ่งถึงลำดับ
ที่แสดงไว้ก่อนแล้ว.
ก็ในที่สุดแห่งคาถา พระวังคีสเถระ เลื่อมใสสุภาษิตของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า. พระสังคีติกาจารย์เมื่อแสดงคำที่พระวังคีสเถระอาทิผิด อักขระทำอาการเลื่อมใส และ
คำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อถโข อายสฺมา ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิภาติ มํ คือพระธรรมเทศนาย่อมแจ่มแจ้ง
แก่ข้าพระองค์. บทว่า ปฏิภาตุ ตํ คือ พระธรรมเทศนาจงแจ่มแจ้งแก่เธอเถิด.
บทว่า สารุปฺปาหิ คือ สมควร. บทว่า อภิตฺถวิ คือ สรรเสริญ. บทว่า
น ตาปเย คือไม่ให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วยความร้อนใจ. บทว่า น วิหึเสยฺย
คือไม่พึงทำลายเบียดเบียนกันและกัน. บทว่า สา เว วาจา คือวาจานั้น
เป็นสุภาษิตโดยส่วนเดียว. พระวังคีสเถระชมพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยวาจาอัน
ไม่ส่อเสียดด้วยเหตุเพียงนี้. บทว่า ปฏินนฺทิตา ได้แก่ มีใจร่าเริงยินดีน่ารัก
จนปรากฏออกเฉพาะหน้า. บทว่า ยํ อนาทาย ปาปานิ ปเรสํ ภาสเต
ปิยํ บุคคลพึงกล่าววาจาอันเป็นที่รักไม่ถือเอาคำอันลามกของผู้อื่น อธิบายว่า
บุคคลเมื่อจะกล่าววาจาใด ย่อมกล่าวคำน่ารักไพเราะด้วยอรรถและพยัญชนะ
๔๗/๓๕๗/๔๒๐
ผู้ทำลายสงฆ์ต้องเกิดในอบาย
[๔๑๑] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า มีหรือ พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุผู้
ทำลายสงฆ์ต้องเกิดในอบาย ตกนรก อยู่ชั่วกัป ช่วยเหลือไม่ได้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มี อุบาลี ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ต้องเกิดใน
อบาย ตกนรก อยู่ชั่วกัป ช่วยเหลือไม่ได้
อุ. และมีหรือ พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ไม่ต้องเกิดใน
อบาย ไม่ตกนรก ไม่ตั้งอยู่ชั่วกัป พอช่วยเหลือได้
พ. มี อุบาลี ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ไม่ต้องเกิดในอบาย ไม่ตกนรก
ไม่ตั้งอยู่ชั่วกัป พอช่วยเหลือได้
อุ. พระพุทธเจ้าข้า ก็ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ต้องเกิดในอบาย ตกนรก
อยู่ชั่วกัป ช่วยเหลือไม่ได้ เป็นไฉน
พ. ดูก่อนอุบาลี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมแสดงอธรรมว่า เป็นธรรม
มีความเห็นในธรรมนั้นว่าเป็นอธรรม มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็นอธรรม
อำพรางความเห็น อำพรางความถูกใจ อำพรางความชอบใจ อำพรางความ
จริง ย่อมประกาศให้จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ท่านทั้งหลาย
จงจับสลากนี้ จงชอบใจสลากนี้
ดูก่อนอุบาลี ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์แม้นี้แล ต้องเกิดในอบาย ตกนรก
อยู่ชั่วกัป ช่วยเหลือไม่ได้
อนึ่ง อุบาลีอาทิผิด สระ ภิกษุย่อมแสดงอธรรมว่า เป็นธรรม มีความเห็นในธรรม
นั้นว่าเป็นอธรรม มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็นธรรม อำพรางความเห็น
อำพรางความถูกใจ อำพรางความชอบใจ อำพรางความจริง ย่อมประกาศให้
จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้ จงชอบ
ใจสลากนี้
๙/๔๑๑/๓๒๑
คิดว่าจะรับขวัญธิดา จึงจัดหญิงสาว ๕๐๐ นางที่มีวัยรุ่นเดียวกัน จาก
สกุลที่มีชาติทัดเทียมกับตนมาเป็นบริวารของนาง.
ต่อมาวันหนึ่ง พระเจ้าอุเทนเสด็จตรวจอาทิผิด พระนครทอดพระเนตรเห็น
นางสามาวดีนั้น มีหญิงสาวเหล่านั้นแวดล้อมเล่นอยู่ ตรัสถามว่า เด็กหญิง
นี้ของใคร ทรงสดับว่า ธิดาของโฆสกเศรษฐี ตรัสถามว่า ไม่มีสามีหรือ
เมื่อเขาทูลว่า ไม่มีสามี จึงดำรัสสั่งว่า พวกเจ้าจงไปบอกเศรษฐีว่าพระ-
ราชามีพระราชประสงค์ธิดาท่าน. เศรษฐีฟังแล้ว บอกเขาว่า เราไม่มีเด็ก
หญิงอื่น ๆ ไม่อาจให้ธิดาคนเดียวอยู่กับสามีได้. พระราชาทรงสดับคำนั้น
แล้วสั่งให้เศรษฐีและภริยาอยู่นอกบ้าน ให้ปิดประตูตีตราทั่วทุกหลังเรือน.
นางสามาวดีไปเล่นเสียนอกบ้านกลับมาเห็นบิดามารดานั่งอยู่นอกบ้าน จึง
ถามว่า แม่จ๋า พ่อจ๋า เหตุไรจึงมานั่งที่นี้. เศรษฐีและภริยาก็แจ้งเหตุนั้น.
นางจึงกล่าวว่า แม่จ๋า พ่อจ๋า อย่าทูลตอบพระราชาอย่างนั้นสิจ๊ะ บัดนี้
จงให้ทูลอย่างนี้นะพ่อนะว่า ธิดาของเราไม่อาจอยู่ผู้เดียวกับสามีได้ ถ้า
พระองค์ทรงให้หญิงสาว ๕๐๐ คน บริวารของนางอยู่ด้วย นางจึงจะอยู่
ด้วย. เศรษฐีกล่าวว่า ดีละลูกเอ๋ย พ่อไม่รู้จิตใจของเจ้านี่ เศรษฐีและภริยา
จึงกราบทูลอย่างนั้น พระราชาทรงเลื่อมใสยิ่งขึ้นไป ตรัสว่า ๑,๐๐๐ คน
ก็ช่างเถิด จงนำมาทั้งหมด. ครั้งนั้น เศรษฐีและภริยาจึงนำธิดานั้น มี
หญิง ๕๐๐ คนเป็นบริวารไปยังพระราชนิเวศน์ โดยมงคลนักษัตรฤกษ์
อันเจริญ พระราชาก็ทรงทำหญิง ๕๐๐ คนเป็นบริวารของนางแล้ว ทรง
ทำอภิเษกให้นางอยู่ในปราสาทหลังหนึ่ง.
ก็สมัยนั้น ในกรุงโกสัมพี เศรษฐี ๓ คนคือโฆสกเศรษฐี กุกกุฏ-
เศรษฐี และปาวาริกเศรษฐี เป็นสหายกันและกัน. เศรษฐีแม้ทั้ง ๓ คน
๓๓/๑๕๒/๑๑๕
การพยากรณ์นิมิต
[๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อพระวิปัสสีราชกุมารประสูติแล้วแล
พวกอำมาตย์ได้กราบทูลแด่พระเจ้าพันธุมว่า ขอเดชะ พระราชโอรสของพระ-
องค์ประสูติแล้ว ขอพระองค์จงทอดพระเนตรพระราชโอรสนั้นเถิด ภิกษุ
ทั้งหลาย พระเจ้าพันธุมได้ทอดพระเนตรเห็นพระวิปัสสีราชกุมาร แล้วรับสั่ง
เรียกพวกพราหมณ์ผู้รู้นิมิตมาแล้วตรัสว่า ขอพวกพราหมณ์ผู้รู้นิมิตผู้เจริญจง
ตรวจดูพระราชกุมารเถิด ภิกษุทั้งหลาย พวกพราหมณ์ผู้รู้นิมิตได้เห็นพระวิ-
ปัสสีราชกุมารนั้นแล้ว ได้กราบทูลพระเจ้าพันธุมนั้นดังนี้ว่า
ขอเดชะ ขอพระองค์จงดีพระทัยเถิด พระราชโอรสของพระองค์ที่ประสูติ
แล้วมีศักดิ์ใหญ่ ข้าแต่มหาราช เป็นลาภของพระองค์ ผู้เป็นเจ้าของสกุลอันเป็น
ที่บังเกิดแห่งพระราชโอรส เห็นปานดังนี้ ขอเดชะ พระองค์ได้ดีแล้วเพราะ
พระราชกุมารนี้ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ซึ่งมีคติเป็นสองเท่า
นั้นไม่เป็นอย่างอื่น คือ ถ้าครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม
เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรง
ชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว
ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้ว เป็นที่ ๗
พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์
สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรม มิต้องใช้อาชญา
มิต้องใช้ศาตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบอาทิผิด อักขระเขต ถ้าเสด็จออกผนวช
เป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเปิดหลังคาคือกิเลส
แล้วในโลก.
๑๓/๒๘/๑๗
โอหนอ เราพึงได้พระนาง แต่พออาตมาภาพได้รับพระราชทาน
พระนาง ผู้มีพระเนตรแวววาว มีพระเนตรกว้าง มีดวงตาพระเนตร
งามขำเข้าแล้ว ทีนั้นความปรารถนาข้อแรกของอาตมา ช่วยให้
กำเนิดเกิดความปรารถนาสืบต่อเนื่องขึ้นไป เช่น ความ
ปรารถนาเรื่องเรือน ความปรารถนาในเครื่องอุปกรณ์ ความ
ปรารถนาในเครื่องอุปโภคเป็นต้น ก็ความปรารถนาของอาตมา
นั้นเล่า เมื่อพอกพูนเข้าอย่างนี้ จักไม่ยอมให้อาตมภาพยกศีรษะ
ขึ้นได้จากอบาย พอกันทีสำหรับพระนางนี้ ที่จะเป็นภรรยาของ
อาตมภาพ ขอมหาบพิตร จงรับมเหสีของมหาบพิตรคืนไป
ส่วนอาทิผิด อักขระอาตมภาพจักไปหิมพานต์.
ทันใดนั้นเอง พระดาบสก็ทำฌานที่เสื่อมไปให้เกิดขึ้น
นั่งในอากาศแสดงธรรม ถวายโอวาทแด่พระราชา แล้วไปสู่
ป่าหิมพานต์ทางอากาศทันที ไม่มาสู่ประเทศ ที่ชื่อว่าเป็นถิ่น
ของมนุษย์อีกเลย แต่เจริญพรหมวิหาร ไม่เสื่อมจากฌาน บังเกิด
ในพรหมโลกแล้ว.
พระบรมศาสดา ครั้งทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว
ทรงประกาศสัจธรรม เมื่อจบสัจจะ ภิกษุนั้นประดิษฐานใน
พระอรหัตผล. พระศาสดาทรงสืบต่ออนุสนธิ ประชุมชาดกว่า
พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ในครั้งนี้ มุทุลักขณา
ได้มาเป็นอุบลวัณณา ส่วนฤๅษีได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามุทุลักขณาชาดกที่ ๖
๕๖/๖๖/๑๕๓
เทพบุตรนั้นดีใจ ถูกพระโมคคัลลานะถามแล้ว
ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า ปูทอง
มีสิบขา ยืนอยู่ที่ประตูคอยเตือนสติให้ระลึก (ถึง
กรรม) ได้สง่างาม เพราะบุญนั้น วรรณะของ
ข้าพเจ้าจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญนั้น ผลอันนี้จึงสำเร็จ
แก่ข้าพเจ้า และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดขึ้นแก่
ข้าพเจ้า เพราะบุญนั้น ข้าพเจ้าจึงมีอานุภาพรุ่งเรือง
อย่างนี้ และรัศมีของข้าพเจ้าจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
จบกักกฏกรสทายกวิมาน
อรรถกถากักกฏกรสทายกวิมาน
กักกฏกรสทายกวิมาน มีคาถาว่า อุจฺจมิทํ มณิถูณํอาทิผิด สระ วิมานํ
เป็นต้น. กักกฏกรสทายกวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์
สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเริ่มเจริญวิปัสสนา เกิดโรคปวดหูขึ้นมา ไม่อาจ
ที่จะขวนขวายวิปัสสนาได้ เพราะมีร่างกายไม่สบาย แม้ประกอบยาต่าง ๆ
ตามวิธีที่หมอทั้งหลายบอก โรคก็ไม่สงบ ภิกษุนั้นได้กราบทูลความนั้น
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า โภชนะ
ที่มีรสปูเป็นสัปปายะแก่เขา จึงตรัสแก่ภิกษุรูปนั้นว่า ภิกษุ เธอจงไปเที่ยว
บิณฑบาตที่นาของชาวมคธ.
๔๘/๕๔/๔๖๕
รูปก่อน. แม้รูปที่ ๓ มาแล้ว ย่อมรู้ว่า สองรูปมาก่อน เรามาภายหลัง
แม้เธอทำภัตตกิจเสร็จเหมือนพระเถระรูปที่ ๒ ก็ล้างบาตร เช็ดให้น้ำหมด
ใส่ไว้ในถุง ยกอาสนะขึ้นเก็บไว้ เทน้ำที่เหลือในหม้อน้ำดื่มหรือในหม้อน้ำใช้
แล้วคว่ำหม้อ ถ้ามีภัตเหลืออยู่ในสำรับ นำภัตนั้นไปโดยนัยอันกล่าวแล้ว
ล้างถาดเก็บกวาดโรงฉัน. ต่อมาเทหยากเยื่อ ยกไม้กวาดขึ้นเก็บในสถานที่พ้น
จากปลวก ถือบาตรและจีวรเข้าไปที่พัก นี้เป็นวัตรในโรงฉันในที่ทำภัตตกิจ
ในป่า ภายนอกวิหาร ของพระเถระทั้งหลาย ทรงหมายถึงข้อนี้ จึงตรัส
คำเป็นต้นว่า โย ปจฺฉา ดังนี้.
ส่วนคำเป็นต้นว่า โย ปสฺสติ พึงทราบว่า เป็นวัตร ภายในวิหารของ
พระเถระทั้งหลาย. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วจฺจฆฏํ แปลว่าหม้อชำระ.
บทว่า ริตฺตํ คือว่างเปล่า. บทว่า ตุจฺฉกํ เป็นไวพจน์ของบทว่า ริตฺตํ นั้นแหละ.
บทว่า อวิสยฺหํ ได้แก่ ไม่อาจจะยกขึ้นได้คือหนักอาทิผิด อักขระมาก. บทว่า หตฺถวิกาเรน
คือ ด้วยสัญญาณมือ ได้ยินว่า พระเถระเหล่านั้นถือหม้อน้ำอย่างใดอย่างหนึ่ง
มีหม้อน้ำดื่มเป็นต้นไปสระโบกขรณี ล้างภายในและภายนอกแล้วกรองน้ำใส่
วางไว้ริมฝั่ง เรียกภิกษุรูปอื่นมาด้วยวิการแห่งมือ ไม่ส่งเสียงเจาะจงหรือ
ไม่เจาะจง ถามว่า เพราะเหตุไรไม่ส่งเสียงเจาะจง. ตอบว่า เสียง พึง
รบกวนภิกษุนั้น. ถามว่า เพราะเหตุไร ส่งเสียงไม่เจาะจง ตอบว่า เมื่อให้
เสียงไม่เจาะจง ภิกษุ ๒ รูปพึงออกไปด้วยเข้าใจว่า เราก่อน เราก่อน
ดังนี้. ต่อจากนั้น ในการงาน ๒ รูปพึงทำ รูปที่ ๓ พึงว่างงาน เธอเป็นผู้
สำรวมเสียง ไปใกล้ที่พักกลางวันของภิกษุรูปหนึ่ง รู้ว่าเธอเห็นแล้วทำ
สัญญาณมือ ภิกษุนอกนี้ย่อมมาด้วยสัญญาณนั้น ต่อนั้นชนทั้งสองเอามือ
ประสานกันลุกขึ้นวางบนมือทั้งสอง พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสหมายเอาข้อ
นั้นว่า หตฺถวิกาเรน ทุติยํ อามนฺเตตฺวา หตฺถวิลงฺฆิเกน อุฏฺฐเปม ดังนี้.
บทว่า ปญฺจาหิกํ โข ปน ความว่า คำนี้ว่า ในวัน ๑๔ ค่ำ วัน ๑๕ ค่ำ ดิถีที่ ๘ ค่ำ
๑๙/๓๖๘/๑๙
เป็นเครื่องรองรับเภสัชนั่นแหละ ฉันใด ข้อนี้ก็ฉันนั้นนั่นแหละ ภิกษุใด
ย่อมกำหนด (พิจารณา) จีวร ดุจผ้าพันแผล และกำหนดพิจารณาบาตร ดุจ
กระเบื้องเพื่อใส่เภสัช และกำหนดพิจารณาภิกษาอันได้แล้วในบาตร ดุจเภสัช
ในกระเบื้อง. ภิกษุนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นผู้มีปกติทำสัมปชัญญะอันอุดม
ด้วยอสัมโมหสัมปชัญญะในการทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร แล.
พึงทราบวินิจฉัย ในคำว่า อสิเต เป็นอาทิ.
คำว่า อสิเต ได้แก่ ในการกินอาหาร คือก้อนข้าวที่ตกไปในบาตร
เป็นต้น (อาหารบิณฑบาต).
คำว่า ปีเต ได้แก่ การดื่ม มีข้าวยาคูเป็นต้น.
คำว่า ขายิเต ได้แก่ การกัดเคี้ยวอาหารแข็งอันทำด้วยแป้งเป็นต้น.
คำว่า สายิเต ได้แก่ การเลียลิ้มรสน้ำผึ้งน้ำอ้อยเป็นต้น.
ในการกินอาหารเป็นต้นนั้น ประโยชน์แม้ทั้ง ๘ อย่าง ที่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสไว้โดยนัยว่า เราจักไม่กินเพื่อเล่น เป็นต้น ชื่อว่า ประ-
โยชน์. และพึงทราบสาตถกสัมปชัญญะ ด้วยสามารถแห่งการกินอันเป็น
ประโยชน์นั้น.
ก็บรรดาอาหารทั้งหลาย อันเลว อันประณีต มีรสขม รสหวาน
เป็นต้น ภิกษุใด ไม่มีความผาสุก ด้วยอาหารชนิดใด อาหารนั้นจัดเป็น
อสัปปายะแก่เธอ. อนึ่ง อาหารใด ที่เธอได้มาด้วยสามารถแห่งอาทิผิด อักขระการทายนิมิต
(หมอดู) เป็นต้นก็ดี ภิกษุฉันอาหารใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเกิด
กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไปก็ดี อาหารนั้น ๆ เป็น อสัปปายะโดยแท้ ๆ
อาหารตรงกันข้ามกับที่กล่าวมา เป็น สัปปายะ. ในที่นี้ พึงทราบว่า เป็น
สัปปายสัมปชัญญะ ด้วยสามารถแห่งการกินอาหารอันเป็นสัปปายะนั้น ๆ และ
๗๘/๗๔๐/๔๑๑
ชาติพราน ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น
ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบชาติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีชาติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชาติทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันมีชาติกษัตริย์
. . . มีชาติพราหมณ์ ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ว่าเป็นชาติคนจักสาน ว่าเป็น
ชาติพราน ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ . . . ต้องอาบัติ
ทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบชาติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่อาทิผิด สระปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันชาติคนจัณฑาล
. . . ชาติคนจักสาน . . . ชาติพราน . . .ชาติคนช่างหนัง . . .ชาติคนเทดอกไม้
ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบชาติ
. . .อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอาทิผิด อักขระอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีชาติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชาติอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบันมีชาติกษัตริย์
. . .มีชาติพราหมณ์ ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ . . . ต้องอาบัติ
ทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
๔/๒๕๐/๑๐๔
[๒๑๒๓] ดูก่อนนายพราน เราให้ทองคำ ๑๐๐
แท่ง กุณฑลแก้วมณีอันมีค่ามาก เตียง ๔ เหลี่ยม
มีสีคล้ายดอกสามหาว และภรรยาผู้ทัดเทียมกันสองคน
กับโค ๑๐๐ ตัวแก่ท่าน เราจักปกครองราชสมบัติโดย
ธรรม ท่านเป็นผู้มีอุปการะแก่เรามาก ดูก่อนนายพราน
ท่านจงเลี้ยงดูบุตรและภรรยาด้วยกสิกรรม พาณิชย-
กรรม การให้กู้หนี้และด้วยการประพฤติเลี้ยงชีพ
โดยสัมมาอาชีวะเถิด อย่าได้กระทำบาปอีกเลย.
จบอาทิผิด อักขระ โรหนมิคชาดกที่ ๕
อรรถกถาโรหนมิคชาดก
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ
การเสียสละชีวิตของท่านพระอานนท์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
เอเต ยูเถ ปฏิยนฺติ ดังนี้.
ก็การเสียสละชีวิตของท่านพระอานนท์นั้น จักปรากฏชัดเจนในเรื่อง
ทรมานช้างชื่อว่าธนบาล ในจุลลหังสชาดก อสีตินิบาต. เมื่อท่านพระอานนท์
นั้นสละชีวิตเพื่อป้องกันพระศาสดาอย่างนี้แล้ว ภิกษุทั้งหลายจึงสนทนากันใน
โรงธรรมว่า อาวุโสทั้งหลาย ท่านพระอานนท์เป็นเสกขบุคคล บรรลุปฏิสัม-
ภิทา ยอมสละชีวิตเพื่อประโยชน์แก่พระทศพล. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัส
ถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อ
๖๑/๒๑๒๓/๙๐
เวลาที่วิปัสสนามุ่งไปสู่อรหัตมรรค เปรียบเหมือนเวลาที่บุรุษเปิด
ประตูในครั้งที่ ๔. การเกิดขึ้นแห่งอรหัตมรรค เปรียบเหมือนการขึ้นไปแห่ง
พระอาทิตย์. การกำจัดความมืดอันปกปิดสัจจะแห่งอรหัตมรรค เปรียบเหมือน
การกำจัดความมืด. ความที่สัจจะทั้ง ๔ ปรากฏแก่อรหัตมรรคญาณ เปรียบเหมือน
ความที่หีบรัตนะทั้งหลายปรากฏแก่บุรุษนั้น ในเพราะความมืดถูกขจัดไป. ก็
สัจจะทั้งหลายปรากฏแก่ญาณ ย่อมปรากฏแก่บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยมรรค
นั่นแหละ การที่อรหัตมรรคยังกิเลสทั้งหมดให้สิ้นไป เปรียบเหมือนเวลาที่
บุรุษทำกิจในหีบรัตนะทั้งหลายเสร็จแล้วไป. ความไม่มีความมืดปกปิดสัจจะอีก
จำเดิมแต่เวลาเกิดขึ้นแห่งอรหัตมรรค เปรียบเหมือนเวลาที่แสงสว่างนั่นแหละ
เป็นไปจำเดิมแต่การโผล่ขึ้นแห่งดวงอาทิตย์ ฉะนั้น. นี้เป็นคำอุปมาในความไม่มี
การเห็นสัจจะที่ยังไม่เคยเห็นเพียงเท่านี้.
ในข้อว่า ก็มรรคสามเบื้องบนย่อมเห็นสัจจะอันปฐมมรรคเห็นแล้ว
นั่นแหละ แต่ว่ามรรคอย่างอื่นย่อมละกิเลสอื่น ๆ นี้ ท่านถือเอาชื่ออุปมาด้วย
น้ำด่างต่อไป
บุรุษคนหนึ่ง ได้มอบผ้าที่สกปรกแก่ช่างย้อม ช่างย้อมก็แช่ในน้ำด่าง
๓ ชนิด คือ น้ำด่างเกลือ น้ำด่างขี้เถ้า น้ำด่างโคมัย เขารู้ว่าน้ำด่างกัดสิ่ง
สกปรกแล้วก็เทน้ำทิ้งซักอาทิผิด อักขระชำระมลทินหยาบ ๆ แต่นั้นเขาก็รู้ว่า ผ้ายังไม่สะอาดพอ
จึงแช่ในน้ำด่างเหมือนอย่างนั่นแหละในครั้งที่ ๒ แล้วเทน้ำทิ้งซักล้างมลทินที่
ละเอียดกว่านั้น แต่นั้นเขาก็รู้ว่ายังไม่สะอาดพอ จึงแช่ในน้ำด่างเหมือนอย่างนั้น
นั่นแหละ ในครั้งที่ ๓ เทน้ำทิ้งแล้วซักล้างมลทินที่ละเอียดกว่านั้น แต่นั้นก็
รู้ว่า ผ้ายังไม่สะอาดพอ จึงแช่ในน้ำด่างเหล่านั้น แม้ครั้งที่ ๔ เทน้ำทิ้งแล้ว
๗๕/๒๗๔/๖๕๐
ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสกะพระมหากัสสปเถระว่า ดูก่อนกัสสป ถ้าเธอจะพึงทำการ
นบนอบนี้ไว้ในมหาปฐพีไซร้ แม้มหาปฐพีนั้นก็ไม่อาจรองรับเอาไว้ได้
การนบนอบที่เธอกระทำ ย่อมไม่อาจทำแม้ขนของเราให้สั่น เพราะ
ตถาคตมีคุณใหญ่หลวงอย่างนี้ นั่งลงเถอะกัสสป เราจะให้ทรัพย์
อันเป็นมรดกแก่เธอ. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ประทาน
อุปสมบทแก่พระมหากัสสปเถระด้วยโอวาท ๓ ประการ ครั้น
ประทานแล้วก็เสด็จออกจากโคนต้นพหุปุตตกนิโครธเสด็จเดินทาง
มีพระเถระเป็นปัจฉาสมณะ. พระสรีระของพระศาสดาตระการ
ตาด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ สรีระของพระมหา-
กัสสปประดับด้วยมหาปุริสลักษณะ ๗ ประการ. พระมหากัสสป
นั้นเดินตามเสด็จพระศาสดา เหมือนเรือพ่วงไปตามเรือใหญ่สีทอง
ฉะนั้น พระศาสดาเสด็จเดินทางไปหน่อยหนึ่งแล้วแวะลง (ข้างทาง)
แสดงอาการจะประทับนั่งที่โคนไม้แห่งหนึ่ง พระเถระรู้อาทิผิด สระว่า พระ-
ศาสดามีพระประสงค์จะประทับนั่ง จึงกระทำสังฆาฏิอันเป็นผ้า
เก่าที่ตนห่มให้เป็น ๔ ชั้น ปูลาดถวาย.
พระศาสดาประทับนั่งบนผ้าสังฆาฏินั้นแล้ว เอาพระหัตถ์
ลูบคลำเนื้อผ้าตรัสว่า กัสสป สังฆาฏิอันทำด้วยผ้าเก่าผืนนี้ของเธอ
นุ่มดี. พระเถระรู้อาทิผิด สระว่า พระศาสดาตรัสถึงสังฆาฏิของเรานุ่ม คงจัก
ประสงค์จะห่ม จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงห่มสังฆาฏิเถิด. พระศาสดาตรัสว่า กัสสป เธอจะ
ห่มอะไร ? พระเถระกราบทูลว่า ข้าพระองค์ได้ผ้านุ่งของพระองค์
๓๒/๑๔๖/๓๐๒
เดือน ๕ เดือน และ ๖ เดือน. บทว่า ตโต นํ ความว่า แต่นั้น ย่อม
อนุเคราะห์บุรุษผู้มีชาติเป็นบัณฑิตนั้น. บทว่า โอรสํ ได้แก่ ให้เติบโต
ไว้ที่อก เหมือนมารดาอนุเคราะห์บุตรผู้เกิดแต่อก. อธิบายว่า ย่อม
อนุเคราะห์ โดยพยายามเพื่อกำจัดอันตรายที่เกิดขึ้นนั่นแหละ. บทว่า
ภทฺรานิ ปสฺสติ ได้แก่ ย่อมเห็นว่าเป็นดี.
บทว่า อนุโมทิตฺวา ความว่า ทรงแสดงธรรมกถาแก่มหาอำมาตย์
ชื่อสุนีธะและวัสสการะ โดยอนุโมทนาส่วนบุญที่พวกเขาพากันขวนขวาย
ในกาลนั้น. ฝ่ายมหาอำมาตย์ชื่อสุนีธะและวัสสะการะได้ฟังพระดำรัสของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ควรอุทิศทักษิณาแก่เทวดาผู้สิงสถิตอยู่ในที่นั้น ๆ
จึงได้ให้ส่วนบุญแก่เทวดาเหล่านั้น.
บทว่า ตํ โคตมทฺวารํ นาม อโหสิ ความว่า ประตูอาทิผิด สระของพระนคร
นั้น อันได้นามว่า โคตมทวาร เพราะเป็นเหตุเสด็จออกของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า อนึ่ง ไม่ได้ชื่อว่าโคตมติฏฐะ เพราะไม่ได้หยั่งลงสู่ท่า เพื่อ
ข้ามแม่น้ำคงคา.
บทว่า ปูรา แปลว่า เต็ม. บทว่า สมติตฺติกา ได้แก่ เต็ม คือ
เปี่ยมด้วยน้ำ เสมอตลิ่ง. บทว่า กากเปยฺยา ได้แก่ มีน้ำที่กาซึ่งจับอยู่
ที่ฝั่ง สามารถจะดื่มได้. ด้วยบททั้งสอง ท่านแสดงเฉพาะที่เต็มเปี่ยม
ทั้งสองฝั่ง. บทว่า อุฬุมฺปํ ได้แก่ พ่วงที่เขาเอาไม้ขนานแล้วตอกลิ่ม
ทำไว้ เพื่อข้ามฝั่ง. บทว่า กุลฺลํ ได้แก่ แพที่เขาเอาเถาวัลย์ผูกไม้ไผ่
และไม้อ้อทำไว้.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า พระองค์ทรงทราบโดยอาการ
ทั้งปวง ถึงความที่มหาชน ไม่สามารถจะข้าม แม้แต่น้ำในแม่น้ำคงคา
๔๔/๑๗๔/๗๗๙
พระเถระที่ครูทั้งหลายถวายนามว่า พุทธโฆสะ ผู้ประดับอาทิผิด อักขระ
ด้วยศรัทธาความเชื่อ พุทธิความรู้ วิริยะความเพียรอันหมดจด
ดีอย่างยิ่ง ผู้ก่อกำเนิดคุณสมุทัย คือ ศีลอาจาระและความ
ซื่อตรงความอ่อนโยนและความคงที่ ผู้สามารถในอันสะสาง
ชัฏ คือลัทธิของตนและลัทธิของผู้อื่น ผู้ประกอบด้วยความ
รู้และความฉลาด ผู้มีประภาพ คือญาณอันไม่ติดขัดในสัตถุ-
ศาสน์ พร้อมทั้งอรรถกถาที่ต่างโดยไตรปิฎกปริยัติ ผู้ทรงไวยา-
กรณ์ใหญ่ ผู้ประกอบด้วยคุณ คือมีถ้อยคำอันไพเราะโอฬาร
ถูกต้องตามฐานกรณ์ รื่นปาก รื่นหู ผู้มีวาทะถูกต้องแตกฉาน
เป็นมหากวีผู้มีสำนวนอันไพเราะ เป็นอลังการของวงศ์ แห่ง
พระเถระผู้อยู่ในมหาวิหาร ผู้เป็นประทีปแห่งเถรวงศ์ ซึ่งมี
ความรู้อันตั้งมั่นดีแล้วในธรรมอันยิ่งของมนุษย์ อันประดับด้วย
คุณต่างโดยอภิญญาเป็นต้น อันเป็นบริวารแห่งปฏิสัมภิทาที่
แตกฉานแล้ว ผู้มีความรู้อันไพบูลย์บริสุทธิ์ดี แต่งอรรถกถา-
อังคุตตรนิกาย ชื่อมโนรถปูรณีคัมภีร์นี้.
ขอคัมภีร์อรรถกถานี้แสดงนัย เพื่อความหมดจดแห่งจิต
ของเหล่ากุลบุตรผู้ปรารถนาจะช่วยโลก จงดำรงอยู่ในโลก
ตราบเท่าที่พระนามว่า พุทโธ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีจิต
บริสุทธิ์ ผู้คงที่ ผู้ประเสริฐสุดในโลก ผู้แสวงหาพระคุณ
อันใหญ่ ยังคงเป็นไปอยู่ในโลกแล.
จบอรรถกถาอังคุตตรนิกาย
ชื่อมโนรถปูรณี
๓๘/๒๓๑/๕๙๕
ฌาน ๔ เป็นวิปากะก็มี เป็นวิปากธัมมธรรมก็มี เป็นเนววิปากน-
วิปากธัมมธรรมก็มี.
ฌาน ๔ เป็นอุปาทินนุปาทานิยะก็มี เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะก็มี
เป็นอนุปาทินนานุปาทานิยะก็มี.
ฌาน ๔ เป็นอสังกิลิฏฐสังกิเลสิกะก็มี เป็นอสังกิลิฏฐอสังกิเลสิกะก็มี.
ปฐมฌาน เว้นวิตกวิจารที่เกิดขึ้นในฌานนี้เสีย เป็นสวิตักกสวิจาระ,
ฌาน ๓ เป็นอวิตักกอวิจาระ.
ฌาน ๒ เว้นปีติที่เกิดขึ้นในฌานนี้เสีย เป็นปีติสหคตะ. ฌาน ๓
เว้นสุขที่เกิดขึ้นในฌานนี้เสีย เป็นสุขสหคตะ จตุตถฌาน เว้นอุเบกขาที่เกิด
ขึ้นในฌานอาทิผิด อักขระนี้เสีย เป็นอุเบกขาสหคตะ.
ฌาน ๔ เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพะ ฌาน ๔ เป็นเนวทัสส-
เนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกะ.
ฌาน ๔ เป็นอาจยคามีก็มี เป็นอปจยคามีก็มี เป็นเนวาจยคามินา-
ปจยคามีก็มี.
ฌาน ๔ เป็นเสกขะก็มีอาทิผิด สระ เป็นอเสกขะก็มี เป็นเนวเสกขานาเสกขะก็มี
ฌาน ๔ เป็นมหัคคตะก็มี เป็นอัปปมาณะก็มี.
ฌาน ๓ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปริตตารัมมณะ แม้เป็นมหัคคตา-
รัมมณะ, เป็นอัปปมาณารัมมณะก็มี กล่าวไม่ได้ว่าเป็นอัปปมาณารัมมณะก็มี,
จตุตถฌาน เป็นปริตตารัมมณะก็มี เป็นมหัคคตารัมมณะก็มี เป็นอัปปมาณา-
รัมมณะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปริตตารัมมณะก็มี แม้เป็นมหัคคตารัมมณะก็มี
แม้เป็นอัปปมาณารัมมณะก็มี.
ฌาน ๔ เป็นมัชฌิมะก็มี เป็นปณีตะก็มี.
๗๘/๗๓๘/๓๓๗
ประกอบด้วย นิ้วเช่นกับแง่งขิงบ้าง. คนมีเล็บดำ คือประกอบด้วยเล็บเน่ามีสีดำ
บ้าง, คนแม้ทั้งหมดนี้เป็นคนประทุษร้ายบริษัท คนประทุษร้ายบริษัทเห็นปาน
นี้ ไม่ควรให้บวช.
บทว่า กาโณ มีความว่า คนตาบอดตาใส หรือคนจักษุประสาท
อันต่อมเลือดเป็นต้นขจัดเสียก็ตามที ผู้ใดมองไม่เห็นด้วยตาทั้ง ๒ หรือข้างเดียว
ผู้นั้นไม่ควรให้บวช.
แต่ในมหาปัจจรีอรรถกถาแก้ว่า คนตาบอดข้างเดียวเรียกว่า กาณะ,
คนตาบอด ๒ ข้าง สงเคราะห์ด้วยอันธะ คนมืด.
ในมหาอรรถกถาแก้ว่า คนบอดแต่กำเนิด เรียกว่า อันธะ เพราะเหตุ
นั้น คำแม้ทั้ง ๒ ย่อมถูกโดยปริยาย.
คนมือง่อยก็ดี คนเท้าง่อยก็ดี คนนิ้วง่อยก็ดี ชื่อว่าคนง่อย. บรรดา
อวัยวะทั้งหลายมีมือเป็นต้น เหล่านั้น ส่วนใดส่วนหนึ่งของผู้ใดงอปรากฏ ผู้นั้น
ชื่อคนง่อย.
คนเข่าพับก็ดี, คนแข้งอาทิผิด อาณัติกะหักก็ดี. คนมีอุ้งเท้าคด เพราะมีเท้าหักตรง
กลาง คือเดินด้วยท่ามกลางแห่งหลังเท้าก็ดี คนมีปลายเท้าพับ เพราะมีเท้าหัก
ปลาย คือเดินด้วยหลังเท้าท่อนปลายก็ดี คนเดินเขย่งเฉพาะด้วยปลายเท้าก็ดี.
คนเดินเขย่งด้วยส้นเท้าก็ดี, คนเดินเขยกด้วยส่วนนอกแห่งเท้าก็ดี คนเดินเขยก
ด้วยส่วนในแห่งเท้าก็ดี, คนเดินเขยกด้วยหลังเท้าทั้งหมด เพราะมีข้อเท้าทั้ง ๒
หักตอนบนก็ดี. ชื่อว่าคนกระจอก คนชนิดนี้แม้ทั้งหมด เป็นต้นกระจอกแท้
ไม่ควรให้บวช.
มือข้างหนึ่งก็ดี เท้าข้างหนึ่งก็ดี ตัวซีกหนึ่งก็ดี ของผู้ใดไม่นำความ
สุขมาให้ ผู้นั้นชื่อว่าผู้ชาไปแถบหนึ่ง.
คนเปลี้ย เรียกว่าคนมีอิริยาบถขาด.
๖/๑๓๕/๓๔๙
บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย. . . ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา
ว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้เทอุจจาระทิ้งออกภายนอกฝาที่พำนักเล่า . . .
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่าพวกภิกษุณีเทอุจจาระทิ้งออกภายนอกฝาที่พำนัก จริงหรือ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวก
ภิกษุณีจึงได้เทอุจจาระทิ้งออกภายนอกฝาที่พำนักเล่า การกระทำของพวกนาง
นั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง
อย่างนี้ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๖๓. ๘. อนึ่ง ภิกษุณีใด เทหรือให้เท ซึ่งอุจจาระก็ดี
ปัสสาวะก็ดี หยากเยื่อก็ดี ของเป็นเดนก็ดี ณ ภายนอกฝาที่พำนักก็ดี
ณ ภายนอกกำแพงก็ดี เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องพราหมณ์อาทิผิด อักขระคนหนึ่ง จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๑๗๖] บทว่า อนึ่ง. . .ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด. . .
บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้
ขอ. . . นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
๕/๑๗๖/๒๐๕
ไปสู่เรือนหลังคาโล้นแต่เรือนหลังคาโล้น เดินไปสู่ถ้ำแต่ถ้ำ เดินไปสู่ที่
หลีกเร้นแต่ที่หลีกเร้น เดินไปสู่กุฎีแต่กุฎี เดินไปสู่เรือนยอดแต่เรือนยอด
เดินไปสู่ป้อมแต่ป้อม เดินไปสู่โรงปะรำแต่โรงปะรำ เดินไปสู่เรือนที่พัก
แต่เรือนที่พัก เดินไปสู่เรือนที่เก็บของแต่เรือนที่เก็บของ เดินไปสู่โรงฉัน
แต่โรงฉัน เดินไปสู่โรงกลมแต่โรงกลม เดินไปสู่โคนต้นไม้แต่โคนต้นไม้
หรือเดินไปในสถานที่ภิกษุทั้งหลายนั่งกัน เธอเป็นที่สองของภิกษุหนึ่งรูป
เป็นที่สามของภิกษุสองรูป เป็นที่สี่ของภิกษุสามรูป ย่อมพูดเรื่องเพ้อเจ้อ
มากในที่นั้น ๆ คือ เรื่องอาทิผิด พระราชา เรื่องโจร... เรื่องทะเล เรื่องความ
เจริญและความเสื่อมด้วยประการนั้น ๆ ภิกษุเป็นผู้โลเลเพราะเท้าแม้
อย่างนี้.
คำว่า ภิกษุไม่พึงเป็นผู้โลเลเพราะเท้า ความว่า ภิกษุพึงละ
บรรเทา ทำให้สิ้นไป ให้ถึงความไม่มี ซึ่งความเป็นผู้โลเลเพราะเท้า
คือพึงเป็นผู้งด เว้น เว้นขาด ออก สละ พ้นไป ไม่เกี่ยวข้อง ด้วย
ความเป็นผู้โลเลเพราะเท้า พึงเป็นผู้มีจิตปราศจากแดนกิเลสอยู่ ประพฤติ
เอื้อเฟื้อ เปลี่ยนอิริยาบถ ประพฤติไป รักษา บำรุง เยียวยา ภิกษุนั้น
พึงเป็นผู้ชอบในความสงัด ยินดีในความสงัด ขวนขวายในความสงบจิต
ณ ภายใน ไม่เหินห่างจากฌาน ประกอบด้วยวิปัสสนา เพิ่มพูนการอยู่ใน
เรือนว่างเปล่า เป็นผู้มีฌาน ยินดีในฌาน ขวนขวายในความเป็นผู้มีจิต
มีอารมณ์เป็นหนึ่ง เป็นผู้หนักอยู่ในประโยชน์ของตน เพราะฉะนั้น จึง
ชื่อว่า ภิกษุพึงเป็นผู้มีฌาน ไม่พึงเป็นผู้โลเลเพราะเท้า.
[๗๔๘] คำว่า ความคะนอง ในคำว่า พึงเว้นจากความคะนอง
ไม่พึงประมาท ความว่า แม้ความคะนองมือ ความคะนองเท้า ความ
๖๖/๗๔๘/๓๒๕