พระราชโอรสฟังพระดำรัสของพระราชาแล้ว ไปยังสำนักของเชษฐโอรส แล้ว
ขอเครื่องประดับ ฉะนั้น. เวลาที่พระธรรมเสนาบดีเริ่มพระสุตตันตะนี้ แล้ว
วางมาติกาโดยอริยสัจ ๔ เปรียบเหมือนเวลาที่พระเชษฐโอรสเปิดห้องแล้วนำ
หีบอาทิผิด สระ ๔ ใบวางไว้ฉะนั้น. การเว้นอริยสัจ ๓ แล้วจำแนกทุกขอริยสัจ
แสดงปัญจขันธ์ เปรียบเหมือนการเว้นหีบ ๓ ใบแล้ว เปิดใบเดียวนำหีบเล็ก
๕ ใบ ออกจากหีบใบเดียวนั้น ฉะนั้น. การที่พระเถระเว้นอรูปขันธ์ ๔ แล้ว
แสดงจำแนกรูปขันธ์เดียวแสดง ๕ ส่วน โดยมหาภูตรูป ๔ และอุปายรูป ๑
เปรียบเหมือนเว้นหีบเล็ก ๔ ใบ เปิดใบเดียว แล้วนำผอบ ๕ ผอบจากหีบเล็ก
ใบเดียวนั้น ฉะนั้น. การที่พระเถระเว้นมหาภูตรูป ๓ และอุปาทายรูปแล้ว
จำแนกปฐวีธาตุอย่างเดียวเว้นปฐวีธาตุภายนอกเสียเหมือนปิดไว้ เพื่อจะแสดง
ปฐวีธาตุภายในที่มีอาการ ๒๐ โดยสภาวะต่าง ๆ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า กตมา
จาวุโส อชฺฌตฺติกา ปฐวีธาตุ. เปรียบเหมือนเว้นหีบ ๔ ใบ เปิดใบเดียว
เว้นหีบที่ปิดไว้ข้างหนึ่งแล้ว ให้เครื่องประดับมือและเครื่องประดับเท้าเป็นต้น.
พึงทราบว่าแม้พระเถระจำแนก มหาภูตรูป ๓ อุปาทายรูป อรูปขันธ์ ๔ อริยสัจ
๓ แล้ว แสดงตามลำดับในภายหลังเหมือนราชโอรสนั้นนำผอบ ๔ ใบ หีบเล็ก
๔ ใบ และหีบ ๓ ใบเหล่านั้นแล้วประทานเครื่องประดับตามลำดับในภายหลัง.
ก็คำนั้นใดท่านกล่าวไว้ว่า กตมา จาวุโส อชฺฌตฺติกา ปฐวีธาตุ
เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยในคำนั้น แม้บททั้ง ๒ ว่า อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ นี้
เป็นชื่อของธรรมชาติที่มีในตน. บทว่า กกฺขลํ แปลว่า กระด้าง. บทว่า
ขริคตํ แปลว่า หยาบ. บทว่า อุปาทินฺนํ ได้แก่ ไม่ใช่มีธรรมเป็นสมุฏฐาน
เท่านั้น. แต่เมื่อว่าโดยไม่แปลกกัน คำว่า อุปาทินฺนํ นี้ เป็นชื่อของรูปที่ ตั้งอาทิผิด อาณัติกะ
อยู่ในสรีระ. จริงอยู่ รูปที่ตั้งอยู่ในสรีระ ไม่ว่าเป็นอุปาทินนรูป หรืออนุ-
ปาทินนรูป ชื่อว่า เป็นอุปาทินนรูปทั้งหมดทีอาทิผิด อาณัติกะ เดียว โดยที่ยึดถือ จับต้อง
ลูบคลำได้ คือ ผม ขน ฯลฯ อาหารใหม่ อาหารเก่า. คำนี้ท่านกำหนดอาทิผิด อักขระ
ขอเครื่องประดับ ฉะนั้น. เวลาที่พระธรรมเสนาบดีเริ่มพระสุตตันตะนี้ แล้ว
วางมาติกาโดยอริยสัจ ๔ เปรียบเหมือนเวลาที่พระเชษฐโอรสเปิดห้องแล้วนำ
แสดงปัญจขันธ์ เปรียบเหมือนการเว้นหีบ ๓ ใบแล้ว เปิดใบเดียวนำหีบเล็ก
๕ ใบ ออกจากหีบใบเดียวนั้น ฉะนั้น. การที่พระเถระเว้นอรูปขันธ์ ๔ แล้ว
แสดงจำแนกรูปขันธ์เดียวแสดง ๕ ส่วน โดยมหาภูตรูป ๔ และอุปายรูป ๑
เปรียบเหมือนเว้นหีบเล็ก ๔ ใบ เปิดใบเดียว แล้วนำผอบ ๕ ผอบจากหีบเล็ก
ใบเดียวนั้น ฉะนั้น. การที่พระเถระเว้นมหาภูตรูป ๓ และอุปาทายรูปแล้ว
จำแนกปฐวีธาตุอย่างเดียวเว้นปฐวีธาตุภายนอกเสียเหมือนปิดไว้ เพื่อจะแสดง
ปฐวีธาตุภายในที่มีอาการ ๒๐ โดยสภาวะต่าง ๆ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า กตมา
จาวุโส อชฺฌตฺติกา ปฐวีธาตุ. เปรียบเหมือนเว้นหีบ ๔ ใบ เปิดใบเดียว
เว้นหีบที่ปิดไว้ข้างหนึ่งแล้ว ให้เครื่องประดับมือและเครื่องประดับเท้าเป็นต้น.
พึงทราบว่าแม้พระเถระจำแนก มหาภูตรูป ๓ อุปาทายรูป อรูปขันธ์ ๔ อริยสัจ
๓ แล้ว แสดงตามลำดับในภายหลังเหมือนราชโอรสนั้นนำผอบ ๔ ใบ หีบเล็ก
๔ ใบ และหีบ ๓ ใบเหล่านั้นแล้วประทานเครื่องประดับตามลำดับในภายหลัง.
ก็คำนั้นใดท่านกล่าวไว้ว่า กตมา จาวุโส อชฺฌตฺติกา ปฐวีธาตุ
เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยในคำนั้น แม้บททั้ง ๒ ว่า อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ นี้
เป็นชื่อของธรรมชาติที่มีในตน. บทว่า กกฺขลํ แปลว่า กระด้าง. บทว่า
ขริคตํ แปลว่า หยาบ. บทว่า อุปาทินฺนํ ได้แก่ ไม่ใช่มีธรรมเป็นสมุฏฐาน
เท่านั้น. แต่เมื่อว่าโดยไม่แปลกกัน คำว่า อุปาทินฺนํ นี้ เป็นชื่อของรูป
อยู่ในสรีระ. จริงอยู่ รูปที่ตั้งอยู่ในสรีระ ไม่ว่าเป็นอุปาทินนรูป หรืออนุ-
ปาทินนรูป ชื่อว่า เป็นอุปาทินนรูปทั้งหมด
ลูบคลำได้ คือ ผม ขน ฯลฯ อาหารใหม่ อาหารเก่า. คำนี้ท่าน
๑๘/๓๔๖/๕๓๔

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น