วันอังคาร, พฤศจิกายน 30, 2564

Mongkhon

 
วรรณะ ๕ เสมือนบานประตูแก้วมณีที่เปิดในรัตนวิมาน เขาจะได้สมบัติใน
เทวดาและมนุษย์ ประมาณแสนกัป ข้อที่เขาเกิดเป็นมนุษย์เป็นคนมีปัญญา
พึงเสวยวิปากสมบัติเห็นปานนี้ ก็ด้วยบุญที่สำเร็จมาแต่การเห็นสมณะ ซึ่งเขา
ประพฤติมาโดยชอบ ไม่น่าอัศจรรย์เลย แม้สำหรับสัตว์เดียรัจฉานอาทิผิด อักขระ บัณฑิต
ทั้งหลาย ก็พรรณนาวิบากสมบัติของการเห็นสมณะ ที่เพียงทำศรัทธาให้เกิดแล้ว
อย่างเดียวไว้อย่างนี้ ในบาลีประเทศใด บาลีประเทศนั้นมีว่า
นกฮูก ตากลม อาศัยอยู่ที่เวทิยกบรรพตมาตลอด
กาลยาวนาน นกฮูกตัวนี้สุขแท้หนอ เห็นพระพุทธเจ้า
ผู้ประเสริฐอาทิผิด อักขระ ซึ่งลุกขึ้นแต่เช้า.
มันทำจิตให้เลื่อมใสในตัวเรา และภิกษุสงฆ์ผู้
ยอดเยี่ยม ไม่ต้องไปทุคติถึงแสนกัป มันจุติจากเทวโลก
อันกุศลกรรมตักเตือนแลัวจักเป็นพระพุทธะ ผู้มีอนัน-
ญาณอาทิผิด อักขระ ปรากฏพระนามว่า โสมนัสสะ ดังนี้.
ในเวลาพลบค่ำ หรือในเวลาย่ำรุ่ง ภิกษุฝ่ายพระสูตร ๒ รูป ย่อม
สนทนาพระสูตรกัน ฝ่ายพระวินัยก็สนทนาพระวินัยกัน ฝ่ายพระอภิธรรมก็
สนทนาพระอภิธรรมกัน ฝ่ายชาดกก็สนทนาชาดกกัน ฝ่ายอรรถกถาก็สนทนา
อรรถกถากันหรือสนทนากันในกาลนั้นๆ เพื่อชำระจิตที่ถูกความหดหู่อาทิผิด อาณัติกะ ความ
ฟุ้งซ่านและความสงสัยชักนำไป การสนทนาตามกาลนี้ ชื่อว่า การสนทนาธรรม
ตามกาล การสนทนาธรรมตามกาลนั้น ตรัสว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุแห่ง
คุณทั้งหลายมีความฉลาดในอาคมคือนิกายทั้ง ๕ เป็นต้นแล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสมงคลแห่งคาถานี้ไว้ มงคล คือ ความอดทน
๑ ความเป็นผู้ว่าง่าย ๑ การเห็นสมณะ ๑ และการสนทนาธรรมตามกาล ๑
ด้วยประการฉะนี้. ก็ความที่มงคลเหล่านั้นเป็นมงคลอาทิผิด อักขระ ได้ชี้แจงไว้ในมงคล
นั้น ๆ แล้วทั้งนั้นแล.
จบพรรณนาความแห่งคาถาว่า ขนฺตี
 
๓๙/๖/๒๐๗

วันจันทร์, พฤศจิกายน 29, 2564

Khuankhwai

 
มีสติเข้าไปตั้งไว้ เพ่งอยู่คือ ขวนขวายอาทิผิด อักขระในการเพ่ง ย่อมบรรลุนิพพานสุข
อันยอดเยี่ยม คือสูงสุด.
บทว่า สุวาคตํ นาปคตํ ความว่า การที่เรามาในสำนักของพระ-
ศาสดาในกาลนั้น หรือในการที่พระศาสดาเสด็จมาในป่ามหาวันนั้น เป็น
การมาดีแล้ว คือเป็นการมาที่ดี ไม่ใช่เป็นการมาไม่ดี คือเป็นการมาที่ไม่
ไปปราศจากประโยชน์.
บทว่า เนตํ ทุมฺมนฺติตํ มม ความว่า ข้อที่เราคิดไว้ในคราวนั้นว่า
จักบวชในสำนักของพระศาสดา แม้นี้ก็ไม่ใช่เป็นความคิดไม่ดีของเรา
คือเป็นความคิดดีทีเดียว. เพราะเหตุไร ? เพราะได้บรรลุในธรรมทั้งหลาย
ที่มีจำแนกไว้แล้ว. อธิบายว่า บรรดาธรรมทั้งหลายที่ทรงจำแนกไว้เป็น
อย่าง ๆ เช่นธรรมที่มีโทษและธรรมที่ไม่มีโทษเป็นต้น เราบรรลุพระ-
นิพพานอันประเสริฐ คือสูงสุดประเสริฐสุด ได้แก่เข้าถึงพระนิพพานนั้น
นั่นแล.
พระเถระเมื่อจะแสดงภาวะแห่งธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขว่า ในกาลนั้น
ในเวลาที่ยังเป็นปุถุชน เราอยู่ลำบากในป่าเป็นต้น เพราะเป็นผู้มีประโยค
และอาสยวิบัติ บัดนี้ เราอยู่เป็นสุขในป่าเป็นต้นนั้น เพราะเป็นผู้สมบูรณ์
ด้วยประโยคและอาสยะ และเมื่อจะแสดงความเป็นพราหมณ์โดยปรมัตถ์ว่า
เมื่อก่อนเราเป็นพราหมณ์แต่เพียงชาติกำเนิด แต่บัดนี้ ชื่อว่าเป็นพราหมณ์
เพราะเป็นบุตรอันเกิดแต่พระอุระของพระศาสดา จึงกล่าวคำมีอาทิว่า
อรญฺเญ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขํ สยามิ ความว่า เราแม้นอนอยู่ก็
 
๕๓/๓๙๒/๑๕๓

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 28, 2564

Tat

 
จักเป็นสาวกของพระศาสดา มีนามชื่อว่าโมฆราช จัก
ถึงพร้อมด้วยวิชชา ๓ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ.
พระโคดมผู้ทรงเป็นยอดของผู้นำหมู่ จักทรงตั้งผู้นั้นไว้
ในเอตทัคคสถาน เราละกิเลสเครื่องประกอบของมนุษย์
ตัดอาทิผิด อักขระเครื่องผูกพันในภพ กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว ไม่มีอาสวะ
อยู่.
คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ
อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธ-
เจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระโมฆราชเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้แล.
จบโมฆราชเถราปทาน
๓๕. อรรกถาโมฆราชเถราปทาน
อปทานของท่านพระโมฆราชเถระ มีคำเริ่มต้นว่า อตฺถทสฺสี ตุ
ภควา ดังนี้.
พระเถระแม้นี้ ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
สั่งสมบุญทั้งหลายอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานในภพนั้น ๆ ในกาล
แห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ บังเกิดในเรือนมีตระกูล บรรลุ
นิติภาวะแล้ว วันหนึ่ง ฟังธรรมในสำนักพระศาสดา เห็นพระศาสดา
ทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งอันเลิศแห่งภิกษุผู้ทรงจีวรอันเศร้าหมอง
 
๗๑/๓๗/๑๕๑

วันเสาร์, พฤศจิกายน 27, 2564

Lao Ni

 
ทราบว่า ท่านพระกิสาโคตมีภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้อาทิผิด ด้วยประ-
การฉะนี้แล.
จบกิสาโคตมีเถรีอปทาน

ธรรมทินนาเถรีอปทานที่ ๓ (๒๓)

ว่าด้วยบุพจริยาของพระธรรมทินนาเถรี

[๑๖๓] ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้
พระพิชิตมารผู้เป็นนายกของโลก พระนามว่า
ปทุมุตตระ ผู้ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง เสด็จอุบัติ
ขึ้นแล้ว
ครั้งนั้น ดิฉันเกิดในสกุลหนึ่งในเมือง
หังสวดี รับจ้างทำการงานของคนอื่น เป็นผู้มี
ปัญญาสำรวมอยู่ในศีล พระเถระนามว่าสุชาตะ
อัครสาวกของพระพุทธเจ้า พระนามว่าปทุมุตตระ
ออกจากวิหารไปเพื่อบิณฑบาต
เวลานั้น ดิฉันเอาหม้อไปตักน้ำ เห็น
ท่านแล้วเลื่อมใส ได้ถวายขนมด้วยมือของตน
ท่านรับแล้วนั่งฉัน ณ ที่นั้นแหละ ดิฉัน
นิมนต์ท่านไปสู่เรือน ได้ถวายโภชนะแก่ท่าน
ต่อมา นายของดิฉันทราบเข้าแล้วมีความ
ยินดี ได้แต่งดิฉันให้เป็นลูกสะใภ้ของท่าน ดิฉัน
ไปกับแม่ผัว ได้ถวายอภิวาทพระสัมพุทธเจ้า
 
๗๒/๑๖๓/๖๑๐

วันศุกร์, พฤศจิกายน 26, 2564

Phraratchathan

 
ส่วนพระมหาสัตว์ กลับเรือนของตนแล้ว. ลำดับนั้นปุณณกยักษ์ จึง
กล่าวคาถาว่า
ท่านมาไปด้วยกัน ณ บัดนี้ พระเจ้าแผ่นดิน
ธนัญชัย ผู้เป็นอิสราธิบดี พระราชทานท่านให้แก่
ข้าพเจ้าแล้ว ขอท่านจงปฏิบัติประโยชน์แก่ข้าพเจ้า
ธรรมนี้เป็นของเก่า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โน ในบทว่า ทินฺโน โน นี้เป็น
เพียงนิบาต. อธิบายว่า ท่านอันพระเจ้าธนัญชัยผู้เป็นอิสราธิบดี ได้พระราชอาทิผิด อักขระ-
ทานแล้ว. บทว่า เอส ธมฺโม สนนฺตโน ความว่า เพราะเมื่อท่านปฏิบัติ ให้
เป็นประโยชน์แก่เรา ชื่อว่าเป็นอันปฏิบัติให้เป็นประโยชน์แก่นายของตน การ
ทำให้เป็นประโยชน์แก่นายของตนนั้น ชื่อว่าเป็นธรรมของเก่าคือ เป็นแบบ
ของบัณฑิตในปางก่อนอย่างแท้จริง.
วิธุรบัณฑิตกล่าวคาถาว่า
ดูก่อนมาณพ ข้าพเจ้าย่อมรู้ว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้อัน
ท่านได้แล้ว ข้าพเจ้าเป็นผู้อันพระราชาผู้เป็นอิสราธิบดี
พระราชทานแก่ท่านแล้ว แต่ข้าพเจ้าขอให้ท่านพักอยู่
ในเรือนสัก ๓ วัน ขอให้ท่านยับยั้งอยู่ตลอดเวลาที่
ข้าพเจ้าสั่งสอนบุตรภรรยาก่อน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตยาหมสฺมิ ความว่า ข้าพเจ้าย่อมรู้ว่า
ท่านได้ข้าพเจ้าแล้ว คือ เมื่อได้ข้าพเจ้า ไม่ใช่ได้โดยประการอื่น. บทว่า
ทินฺโนหมสฺมิ ตว อิสฺสเรน ความว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้อันพระราชาผู้เป็น
อิสราธิบดีของข้าพเจ้า ได้พระราชทานแก่ท่านแล้ว. บทว่า ตีหญฺจ ความว่า
 
๖๔/๑๐๔๔/๔๐๙

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 25, 2564

Kradang

 
กรรมที่บัณฑิตเกลียด อันบุคคลทำแล้ว ชื่อว่า กุกตะ ความเป็น
แห่งกุกตะนั้น ชื่อว่า กุกกุจจะ กุกกุจจะนั้นมีความเดือดร้อนใจในภายหลัง
เป็นลักษณะ (ปจฺฉานุตาปนลกฺขณํ) มีความเศร้าโศกเนือง ๆ ถึงบาปที่
ทำแล้ว และบุญที่ยังไม่ได้กระทำเป็นกิจ (กตากตานุโสจนรสํ) มีความ
วิปฏิสาร คือความเดือดร้อนเป็นปัจจุปัฏฐาน (วิปฺปฏิสารปจฺจุปฏฺฐานํ)
มีการทำบาปแล้วและมิได้ทำบุญไว้เป็นปทัฏฐาน (กตากตปทฏฺฐานํ) พึงเห็น
เหมือนอย่างความเป็นทาส ฉะนั้น.
นี้เป็นความต่างกันในอุทเทสวารก่อน. ในนิทเทสวาร พึงทราบความ
ไม่ชอบใจในเวทนานิทเทส ด้วยสามารถเป็นธรรมปฏิปักษ์ต่อความชอบใจ.
พึงทราบวินิจฉัยในโทสนิทเทสต่อไป
สภาวะที่ชื่อว่า โทสะ เพราะอรรถว่า ย่อมคิดประทุษร้าย. อาการ
ที่คิดประทุษร้ายชื่อว่า ทุสสนา (กิริยาที่ประทุษร้าย). ภาวะแห่งความ
ประทุษร้าย ชื่อว่า ทุสสิตัตตะ (ความคิดประทุษร้าย).
ความคิดเบียดเบียน ชื่อว่า พยาปัตติ (การคิดปองร้าย) ด้วยอรรถว่า
การละความเป็นปกติ. อาการแห่งการปองร้าย ชื่อว่า พยาปัชชนา (กิริยา
ที่ปองร้าย) ที่ชื่อว่า วิโรธ (ความโกรธ) เพราะอรรถว่า มุ่งร้าย. ที่ชื่อว่า
ปฏิวิโรธ (ความแค้น) เพราะอรรถว่า พิโรธเนือง ๆ. อีกอย่างหนึ่ง คำ
ทั้งสองนี้ ตรัสไว้ด้วยอำนาจแห่งอาการที่โกรธและอาการที่แค้น.
บุคคลมีจิตกระด้างอาทิผิด ดุร้าย เรียกว่า จัณฑิกะ ภาวะแห่งจัณฑิกะนั้น
เรียกว่า จัณฑิกกะ (ความดุร้าย). ถ้อยคำอันคนดุร้ายนี้ยกขึ้นพูดอย่างดี
มิได้มี คำพูดของคนเช่นนี้เป็นคำพูดชั่ว คือ ไม่บริบูรณ์เลย เพราะฉะนั้น
 
๗๖/๓๓๗/๔๒

วันพุธ, พฤศจิกายน 24, 2564

Bandit

 
รมณ์. สุขเวทนาเกิดขึ้นเพราะอาศัยจีวร นี้เป็นธรรมารมณ์. รสารมณ์ บัณฑิต
ย่อมได้ในบัณฑิตอาทิผิด สระโดยนิปปริยาย (โดยตรง) ทีเดียว. บัณฑิตทำการประกอบ
จิตในปัจจัย ด้วยสามารถแห่งอารมณ์ต่าง ๆ อย่างนี้แล้วพึงทราบความต่างกัน
แห่งจิตที่เป็นทานมัยเป็นต้น. อนึ่ง อารมณ์เป็นสภาวะผูกพันจิตนี้ เป็น
อารมณ์แล้ว จิตก็ไม่เกิดขึ้น ส่วนทวารไม่ผูกพันจิตไว้ ถามว่า เพราะเหตุไร
ตอบว่า เพราะกรรมเป็นสภาพไม่ผูกพัน. จริงอยู่ เมื่อกรรมไม่ผูกพันจิตไว้
แม้ทวาร ก็ชื่อว่าไม่ผูกพันเหมือนกัน.

กามาวจรกุศลและทวารกถา

ว่าด้วยกายกรรมและทวาร

ก็เพื่อประกาศเนื้อความนี้ ในมหาอรรถกถาท่านกล่าวทวารกถาไว้ใน
ฐานะนี้. ในทวารกถานั้น ชื่อการตั้งมาติกาในทวารกถานี้มีประมาณเท่านี้ คือ
กรรม ๓
ทวารแห่งกรรม ๓
วิญญาณ ๕
ทวารวิญญาณ ๕
ผัสสะ ๖
ทวารผัสสะ ๖
อสังวร ๘
ทวารแห่งอสังวร ๘
 
๗๕/๑๖/๒๖๐

วันอังคาร, พฤศจิกายน 23, 2564

Suan

 
ก็ลึกจดมันสมอง เพราะเหตุนั้น ดวงตาของพระโพธิสัตว์นั้นจึงเป็นอย่างนั้น.
บทว่า อามกจฺฉินฺโน ได้แก่ ตัดแล้วในเวลายังอ่อน. ก็น้ำเต้าขมนั้นสัมผัส
กับลมและแดดย่อมเหี่ยวแห้ง. บทว่า ยาวสฺสุ เม สารีปุตฺต ความว่า
ดูก่อนสารีบุตร ผิวหนังท้องของเราเหี่ยวติดกระดูกสันหลัง. อีกประการหนึ่ง
พึงทราบความสัมพันธ์ในบทนั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนสารีบุตร การบำเพ็ญทุกกรกิริยา
ของเรา ยังเป็นภาระหนักเพียงใด ผิวหนังท้องของเราก็เหี่ยวติดกระดูกสันหลัง
เพียงนั้น. บทว่า ปิฏฺฐิกณฺฏกญฺเญว ปริคฺคณฺหามิ ความว่า เราคิดว่า
จะจับผิวหนังท้อง ลูบคลำผิวหนังท้องอย่างเดียว ก็คลำถูกกระดูกสันหลังที
เดียว. บทว่า อวกุชฺโช ปปตามิ ความว่า เมื่อพระองค์นั้นนั่งเพื่อประโยชน์
แก่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ปัสสาวะไม่ออกเลย แต่วัจจะมีเพียงเม็ดตุมกา ๑-๒
ก้อน ก็ยังทุกข์อันมีกำลังให้เกิดขึ้น เหงื่อทั้งหลายก็ไหลออกจากสรีระ. พระองค์
ก็ซวนอาทิผิด อักขระล้มลงในพื้นดินในที่นั้นเอง. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า เราซวนอาทิผิด อักขระล้ม ดัง
นี้. บทว่า ตเมว กายํ ได้แก่ กายที่สุดใน ๙๑ กัป. ก็ทรงหมายถึงกาย
ในภพสุดท้ายในมหาสัจจกสูตร จึงตรัสว่า อิมเมว กายํ ดังนี้. บทว่า
ปูติมูลานิ ความว่า เมื่อพระมังสะ หรือพระโลหิตยังมีอยู่ พระโลมาทั้งหลาย
ก็ตั้งอยู่ได้ แต่ในเพราะไม่มีพระมังสะพระโลหิตนั้น พระโลมาทั้งหลายดุจติด
อยู่ในแผ่นหนัง ก็หลุดติดพระหัตถ์ด้วย ทรงหมายถึงอาการนั้น จึงตรัสว่า
ขนทั้งหลายมีรากอันเน่าก็หลุดจากกายดังนี้. บทว่า อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ
ได้แก่ โลกุตตรมรรคอันสามารถเพื่อกระทำอาทิผิด สระความเป็นอริยะได้. บทว่า อิมิสสฺ-
สาเยว อริยาย ปญฺญาย ความว่า เพราะไม่บรรลุวิปัสสนาปัญญา. บทว่า
ยายํ อริยา ได้แก่ บรรลุมรรคปัญญานี้ใด. ท่านกล่าวไว้ดังนี้ว่า ชื่อว่า
บรรลุมรรคปัญญา เพราะความที่วิปัสสนาปัญญาได้บรรลุแล้วในบัดนี้ฉันใด
เราไม่บรรลุโลกุตตรมรรคปัญญา เพราะความที่วิปัสสนาปัญญาไม่ได้บรรลุแล้ว
 
๑๘/๑๙๓/๑๐๗

วันจันทร์, พฤศจิกายน 22, 2564

Asongkhai

 
ถามว่า เพราะเหตุไร ?
แก้ว่า เพราะมีปัญญาหย่อนกำลัง.
แท้จริง ปัญญาของเดียรถีย์เหล่านั้น จัดว่าหย่อนกำลัง เพราะเว้น
จากการกำหนดนามและรูป.
[พระอสีติมหาสาวกระลึกชาติได้แสนกัป]
ก็บรรดาพระสาวกทั้งหลาย พระมหาอาทิผิด สระสาวก ๘๐ รูป ระลึกได้แสนกัป.
พระอัครสาวกทั้ง ๒ องค์ ระลึกได้หนึ่งอสงไขยอาทิผิด อักขระและแสนกัป. พระปัจเจกพุทธ
ทั้งหลาย ระลึกได้สองอสงไขยและแสนกัป. จริงอยู่ อภินิหารของพระมหา-
สาวก พระอัครสาวกและพระปัจเจกพุทธเหล่านั้น มีประมาณเท่านี้. ส่วน
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่มีกำหนด, พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมระลึกได้
ตราบเท่าที่ทรงปรารถนา. แต่พวกเดียรถีย์ ย่อมระลึกได้ตามลำดับขันธ์เท่านั้น
พ้นลำดับ (ขันธ์) ไป ย่อมไม่สามารถจะระลึกได้ ด้วยอำนาจจุติและปฏิสนธิ.
เพราะว่าการก้าวลงสู่ประเทศ (แห่งญาณ) ที่ตนปรารถนา ย่อมไม่มีแก่เดียรถีย์
เหล่านั้น ผู้เป็นเหมือนคนบอด. พระสาวกทั้งหลาย ย่อมระลึกได้แม้โดย
ประการทั้ง ๒. พระปัจเจกพุทธทั้งหลาย ก็เหมือนอย่างนั้น, ส่วนพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย ย่อมทรงระลึกได้ตลอดสถานที่ ๆ ทรงมุ่งหวังนั้น ๆ ทั้งหมดทีเดียว
ในเบื้องต่ำหรือเบื้องบน ในโกฏิกัปเป็นอันมากด้วยลำดับขันธ์บ้าง ด้วยอำนาจ
จุติและปฏิสนธิบ้าง ด้วยอำนาจการก้าวไปดุจราชสีห์บ้าง.
ในคำว่า อยํ โข เม พฺราหฺมณ เป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
บทว่า เม คือ มยา แปลว่า อันเรา. ความรู้แจ้ง ท่านเรียกว่า
วิชชา เพราะอรรถว่า ทำให้รู้แจ้ง.
 
๑/๙/๒๘๙

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 21, 2564

Du Kon

 
ทั้งหลาย ก็อะไรไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย ดูอาทิผิด ก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่
ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละรูปนั้นเสีย รูปนั้นอันเธอทั้งหลาย
ละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข เวทนา ฯลฯ สัญญา
ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละ
วิญญาณนั้นเสีย วิญญาณนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข ดูอาทิผิด ก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของเธอ
ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย สิ่งนั้นอันเธอทั้งหลายละได้
แล้วจักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข.
จบ นตุมหากสูตรที่ ๒

อรรถกถานตุมหากสูตรที่ ๒

นตุมหากสูตรที่ ๒ เว้นผู้ทำการตรัสรู้ด้วยอุปมา ก็ตรัสตามอัธยาศัย.
จบ อรรถกถานตุมหากสูตรที่ ๒

๓. ภิกขุสูตรที่ ๑

ว่าด้วยเหตุได้ชื่อว่าเป็นผู้กำหนัดขัดเคืองและลุ่มหลง

[๗๔] กรุงสาวัตถี . ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ขอประทานวโรกาส พระเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม
แก่ข้าพระองค์โดยย่อ ที่ข้าพระองค์ฟังแล้ว พึงเป็นผู้ผู้เดียวหลีกออก
จากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจมั่นคงอยู่เถิด.
 
๒๗/๗๔/๗๓

วันเสาร์, พฤศจิกายน 20, 2564

Anitcha

 
ในข้ออุปมานั้น อนุโลมญาณ เปรียบเหมือนพระราชา,
วิปัสสนาญาณ ๘ เปรียบเหมือนมหาอำมาตย์ผู้ฉลาดในโวหาร, โพธิ-
ปักขิยธรรม ๓๗ เปรียบเหมือนโบราณราชธรรม, พระราชาทรงอนุ-
โมทนาว่า เป็นอย่างนั้นเถิด ชื่อว่า ย่อมอนุโลมตามข้อวินิจฉัยของ
เหล่าอำมาตย์ผู้ฉลาดในโวหารด้วยตามราชธรรมด้วยฉันใด, อนุโลม-
ญาณนี้ก็ฉันเป็น ย่อมอนุโลมตามวิปัสสนาญาณ ๘ ที่เกิดขึ้นปรารภ
สังขารทั้งหลายด้วยสามารถแห่งพระไตรลักษณ์ มีอนิจจอาทิผิด อักขระลักษณะเป็นต้น
เพราะเป็นกิจแห่งสัจจะ และอนุโลมตามโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
อันเป็นธรรมที่จะพึงบรรลุในเบื้องหน้า. เพราะฉะนั้นญาณนี้ท่านจึง
เรียกว่า อนุโลมญาณ ฉะนี้แล.

๑๐. อรรถกถาโคตรภูญาณุทเทส
ว่าด้วย โคตรภูญาณ
ในคำว่า พหิทฺธา วุฏฺฐานวิวฏฺฏเน ปญญา โคตฺรภูญาณํ
แปลว่า ปัญญาในการออกและหลีกไปจากสังขารนิมิตภายนอกเป็น
โคตรภูญาณ นี้มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
บทว่า พหิทฺธา ได้แก่สังขารนิมิต. เพราะว่า สังขารนิมิตนั้น
ท่านกล่าวว่า พหิทฺธา - ภายนอก เพราะอาศัยอกุศลขันธ์ในจิตสันดาน
 
๖๘/๐/๖๘

วันศุกร์, พฤศจิกายน 19, 2564

Thong Daeng

 
สังขารล้วน ๆ เท่านั้นเอง แล้วก็ยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์ด้วยอำนาจนามรูปพร้อมกับ
ปัจจัย เที่ยวพิจารณาว่า ไม่เที่ยง ทนไม่ได้ ไม่มีอะไรเป็นตัวตน ตามลำดับ
แห่งวิปัสสนา. เขาหวังการแทงตลอดอยู่ว่า วันนี้ วันนี้ ในวันเห็นปานนั้น
เมื่อได้ ฤดูเป็นที่สบาย บุคคลเป็นที่สบาย อาหารเป็นที่สบาย หรือการฟัง
ธรรมเป็นที่สบายแล้ว ก็นั่งโดยบัลลังก์เดียวเท่านั้น ครั้นให้วิปัสสนาถึงยอด
แล้ว ก็ย่อมตั้งอยู่ในอรหัตตผล. โคปกเทพเทพบุตรบอกกัมมัฏฐานจนถึง
อรหัตแก่ท่านทั้งสามเหล่านี้อย่างนี้แล.
แต่ในที่นี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงบอกอรูปกัมมัฏฐาน ก็ทรง
แสดงด้วยเวทนาเป็นหัวข้อ. เมื่อพระองค์จะแสดงด้วยอำนาจผัสสะ หรือด้วย
อำนาจวิญญาณจะไม่มีความแจ่มแจ้งแก่ท้าวสักกะนี้ แต่จะปรากฏเหมือนความ
มืด. แต่ด้วยอำนาจเวทนา จึงจะแจ่มแจ้ง. เพราะเหตุไร. เพราะการเกิด
เวทนาขึ้น เป็นของแจ่มแจ้งแล้ว. จริงอยู่ การเกิดสุขและทุกขเวทนาขึ้น
เป็นสิ่งแจ่มแจ้งแล้ว. เมื่อความสุขเกิดขึ้น ทั่วทั้งร่างก็เกิดกระเพื่อม ข่มอยู่
ซาบซ่า ซึมซาบ เหมือนให้กินเนยใสที่ชำระร้อยครั้ง เหมือนกำลังทา
น้ำมันที่เจียวร้อยครั้ง เหมือนกำลังเอาน้ำพันหม้อมาดับความเร่าร้อน เปล่งวาจา
ว่า สุขหนอ สุขหนอ อยู่นั่นแหละ. เมื่อเกิดความทุกข์ขึ้น ทั่วทั้งร่างก็เกิด
กระเพื่อม ข่มอยู่ ซู่ซ่า ซึมซาบเหมือนเข้าสู่กระเบื้องร้อน เหมือนเอา
น้ำทองแดงอาทิผิด อักขระเหลวมารด เหมือนโดนมัดคบเพลิงไม้ในป่าที่มีหญ้าและไม้ใหญ่ ๆ
ที่แห้ง คร่ำครวญว่า ทุกข์หนอ ทุกข์หนอ อยู่นั่นแล. สุขและทุกขเวทนา
เกิดขึ้นปรากฏดังว่ามานี้. ส่วนอทุกขมสุขเวทนา ชี้แจงยากเหมือนกะถูกความ
มืดครอบงำ. อทุกขมสุขเวทนานั้น เพราะหลีกสุขและทุกข์ไป จึงมีอาการเป็น
กลางด้วยอำนาจเป็นปฏิปักษ์ต่อสุขและทุกข์ ดังนี้ เมื่อถือเอาโดยนัย จึงจะ
แจ่มแจ้ง. เหมือนอะไร พรานเนื้อเดินไปตามรอยเท้าเนื้อที่ขึ้นหลังแผ่นหินใน
 
๑๔/๒๗๒/๑๘๑

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 18, 2564

Sukato

 
เราคิดอย่างนี้แล้ว ได้ให้ทรัพย์หลายร้อยโกฏิแก่คนยาก
จนอนาถา แล้วเข้าไปสู่ป่าหิมพานต์. ในที่ไม่ไกลป่าหิมพานต์
มีภูเขาชื่อธรรมิกะ เราสร้างอาศรมอย่างดีไว้ สร้างบรรณ-
ศาลาอย่างดีไว้ ทั้งยังสร้างที่จงกรมอันเว้นจากโทษ ๕ ประการ
ไว้ใกล้อาศรมนั้น เราได้อภิญญาพละอันประกอบด้วยคุณ ๘
ประการ.
เราเลิกใช้ผ้าสาฎกอันประกอบด้วยโทษ ๙ ประการ หัน
มานุ่งห่มผ้าเปลือกไม้ อันประกอบด้วยคุณ ๑๒ ประการ.
เราละทิ้งบรรณศาลาอันเกลื่อนกล่นด้วยโทษ ๑๐ ประการ เข้า
ไปสู่โคนไม้อันประกอบด้วยคุณ ๑๐ ประการ เราเลิกละข้าว
ที่หว่านที่ปลูกโดยสิ้นเชิง หันมาบริโภคผลไม้ที่หล่นเอง ที่
สมบูรณ์ด้วยคุณเป็นอเนกประการ เราเริ่มตั้งความเพียรในที่
นั่งที่ยืนและที่จงกรม ในอาศรมบทนั้น ภายใน ๗ วัน เรา
ก็ได้บรรลุอภิญญาพละ ดังนี้.
ก็ด้วยบาลีว่า อสฺสโม สุกโตอาทิผิด อักขระ มยฺหํ ปณฺณสาลา สุมาปิตา นี้ ใน
คาถานั้นท่านกล่าวถึงอาศรม บรรณศาลา และที่จงกรม ไว้ราวกะว่า
สุเมธบัณฑิตสร้างด้วยมือของตนเอง แต่ในคาถานี้ มีเนื้อความดัง-
ต่อไปนี้ :-
ท้าวสักกะทรงเห็นพระมหาสัตว์ว่า เข้าป่าหิมพานต์แล้ว วันนี้จัก
เข้าไปถึงธรรมิกบรรพต จึงตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมาสั่งว่า นี่แน่ะ
พ่อ สุเมธบัณฑิตออกไปด้วยคิดว่า จักบวช เธอจงเนรมิตที่อยู่ให้แก่
สุเมธบัณฑิตนั้น. วิสสุกรรมเทพบุตรนั้นรับพระดำรัสของท้าวสักกะนั้น
 
๗๐/๑/๒๑

วันพุธ, พฤศจิกายน 17, 2564

Sodaban

 
พระโสดาบันอาทิผิด สระ. แต่ของพระอรหันต์ มีปัจจเวกขณะ ๔ อย่างคือ ไม่มี
การพิจารณากิเลสที่ยังเหลืออยู่. รวมปัจจเวกขณญาณทั้งหมดมี ๑๙
ด้วยประการฉะนี้. นี้เป็นการกำหนดอย่างอุกฤษฏ์.
ถามว่า การพิจารณากิเลสที่ละได้แล้วและที่ยังเหลืออยู่ ยังมี
แก่พระเสกขะทั้งหลายหรือไม่ ?
ตอบว่า เพราะความที่การพิจารณาการละกิเลสนั้นไม่มี ท้าว
มหานามสากยราชจึงกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ธรรมชื่อ
อะไรเล่า ที่ข้าพระองค์ยังละไม่ได้เด็ดขาดในภายใน อันเป็นเหตุให้
โลกธรรมยังครอบงำจิตของข้าพระองค์ไว้ได้เป็นครั้งคราว ดังนี้
เป็นต้น.
ในที่นี้ เพื่อจะให้ญาณ ๑๑ มีธรรมฐิติญาณแจ่มแจ้ง พึงทราบ
อุปมาดังต่อไปนี้
เปรียบเหมือนบุรุษคิดว่า เราจะจับปลา จึงถือเอาสุ่มไปสุ่ม
ลงในน้ำที่คิดว่าควรจะมีปลา แล้วจึงหย่อนมือลงไปทางปากสุ่ม แล้วก็
คว้าเอาคองูเห่าที่อยู่ภายในน้ำด้วยสำคัญว่าเป็นปลาไว้แน่น ดีใจคิดว่า
เราได้ปลาใหญ่แล้ว ก็ยกขึ้นจึงเห็นก็รู้ว่า งู เพราะเห็นดอกจัน
๓ แฉก เกิดกลัว เห็นโทษ เบื่อหน่ายในการจับ ใคร่ที่จะพ้นจึงทำอุบาย
เพื่อจะหลุดพ้น จึงจับงูให้คลายมือตั้งแต่ปลายหางแล้วชูแขนขึ้นแกว่ง
ไปรอบศีรษะ ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง ทำงูให้ทุรพลแล้วเหวี่ยงไปพร้อมกับพูด
 
๖๘/๐/๗๙

วันอังคาร, พฤศจิกายน 16, 2564

Sangkhika

 
๒. ภิกษุเหล่านั้นมีประมาณหมื่นรูปได้
ประชุมกันรวบรวม คือทำการร้อยกรอง
พระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น การร้อยกรอง
พระธรรมวินัยนี้ ท่านจึงเรียกว่า “มหาสังคีติ”
แปลว่า การร้อยกรองใหญ่.
๑. ภิกษุประมาณหมื่นรูปเหล่านั้นในที่นี้หมายถึงภิกษุวัชชีบุตร แต่ในที่บาง
แห่งกล่าวว่าเป็นภิกษุพวกพระมหาเทพ ซึ่งให้กำเนิดนิกายมหาสังฆิกอาทิผิด สระวาที ปราวน
ย่อว่า พระมหาเทพเป็นบุตรพ่อค้าขายเครื่องหอมในแคว้นอวันตี ท่านอุปสมบท
ที่เมืองปาฏลีแคว้นมคธ เป็นผู้เรียนพระไตรปิฎกแตกฉาน วันหนึ่ง ถึงวาระที่ท่าน
จะแสดงปาฏิโมกข์ ท่านได้เสนอความเห็น ๕ ข้อ คือทิฏฐิ ๕ ข้อ ต่อที่ประชุม
สงฆ์ ดังนี้ :-
๑. พระอรหันต์อาจถูกมารยั่วยวนในความฝันได้.
๒. พระอรหันต์ยังมีอัญญาณ.
๓. พระอรหันต์ยังมีความสงสัย.
๔. พระอรหันต์จะต้องรู้ว่าตนได้มรรคผลต้องอาศัยผู้อื่นอีก.
๕. มรรคผลเกิดขึ้นอาศัยเปล่งคำว่า ทุกข์หนอ ๆ
ข้อเสนอของท่านนี้ บางพวกไม่เห็นด้วยจึงทำสังฆกรรมไม่ได้ ครั้นทราบถึง
พระเจ้ากาลาโศกราช ๆ ก็เสด็จมาห้ามมิให้เกิดการแตกแยกกัน พระมหาเทพจึง
ชี้ขาดโดยให้ระงับอธิกรณ์ ด้วยมติของที่ประชุมสงฆ์ ในที่สุดฝ่ายพระมหาเทพ
ชนะเพราะมีพวกมาก ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยนั้นเป็นฝ่ายเถรวาท ต่อมาพวกมหาเทพ
ได้จัดการทำสังคีติด้วยสงฆ์หมู่ใหญ่ จึงเรียกว่า มหาสังคีติ และต่อมานิกาย
นี้เกิดแตกกันอีก.
 
๘๐/๑/๙

วันจันทร์, พฤศจิกายน 15, 2564

Tit Ang

 
กันไปทุกขุมขนและพระลักษณะคือพระอุณาโลมย่อมเกิด ชื่อว่า คล้าย
กรรม. ลักษณะทั้งสองนี้แหละชื่อว่าลักษณะ ความเป็นผู้อนุวัตรตามโดย
ความอนุวัตรตามอัธยาศัยแก่มหาชน ชื่อว่า อานิสงส์.
การกล่าววาจาไม่ส่อเสียดตลอดกาลนาน ชื่อว่า กรรมในที่นี้. บทว่า
อเภชฺชปริโส แปลว่า ไม่นำบริษัทให้แตกกัน. นัยว่า ผู้กล่าววาจาส่อเสียด
ทำลายความสามัคคี ฟันย่อมไม่สมบูรณ์และย่อมเป็นผู้มีฟันห่าง อนึ่ง โลก
พร้อมด้วยเทวโลกจงรู้ความที่พระตถาคตมีพระวาจาไม่ส่อเสียด ตลอดกาล
นาน ด้วยเหตุนี้ ดังนั้น ลักษณะทั้งสองนี้ย่อมเกิด ชื่อว่า คล้ายกรรม
ลักษณะทั้งสองนี้แหละ ชื่อว่า ลักษณะ ความที่บริษัทไม่แตกกัน ชื่อว่า
อานิสงส์.
บทว่า จตุโร ทส แปลว่า ๔๐. บทว่า อาเทยฺยวาโจ แปลว่า
มีคำควรเชื่อถือได้. ความเป็นผู้ไม่กล่าวคำหยาบ ตลอดกาลนาน ชื่อว่า
กรรมในที่นี้ ผู้ใดเป็นผู้มีวาจาหยาบ ชนจงรู้ความที่เขาเหล่านั้น กลับลิ้น
กล่าววาจาหยาบ ด้วยเหตุนี้. ดังนั้น ผู้นั้นจะมีลิ้นกระด้าง มีลิ้นอำพราง
มีสองลิ้น หรือติดอ่างอาทิผิด อาณัติกะ อนึ่งผู้ใดกลับลิ้นไปมาไม่พูดวาจาหยาบ ผู้นั้นจะเป็น
ผู้ไม่มีลิ้นกระด้าง ไม่มีลิ้นอำพราง ไม่สองลิ้น ลิ้นของเขาอ่อน มีสีเหมือน
ผ้ากัมพลสีแดง เพราะฉะนั้น โลกพร้อมด้วยเทวโลกจงรู้ความที่พระตถาคต
ได้กลับลิ้นไปมา แล้วไม่ตรัสวาจาหยาบด้วยเหตุนี้. ดังนั้น พระลักษณะคือมี
พระชิวหาใหญ่ย่อมเกิดขึ้น อนึ่งเสียงของผู้กล่าววาจาหยาบย่อมแตก ชนจง
รู้ความที่เขาทำเสียงแตกแล้วกล่าววาจาหยาบ ดังนั้น เขาย่อมเป็นผู้มีเสียง
ขาดหรือมีเสียงแตก หรือมีเสียงเหมือนกา. อนึ่ง ผู้ใดไม่กล่าววาจาหยาบ
อันทำให้เสียงแตก เสียงของผู้นั้น ย่อมเป็นเสียงไพเราะและเป็นเสียงน่ารัก.
 
๑๖/๑๗๑/๗๓

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 14, 2564

Itsariyayot

 
พระเจ้าหลาน (พระเจ้าอชาตศัตรู) ทรงให้ปราชัยในการรบที่หมู่บ้านกาสี (กาสิก
คาม) พ่ายหนีไป กลับมาสู่พระนคร เสด็จเข้าไปยังสวนดอกไม้ ทรงคอย
หมู่ทหารกลับมา. นางมัลลิกานั้น ได้ทำการปรนนิบัติถวายท้าวเธอ. พระเจ้า
ปเสนทิโกศล ทรงเลื่อมใสในข้อวัตรปฏิบัติที่นางทำถวาย จึงโปรดให้นำนาง
เข้าไปภายในพระบุรี ทรงสถาปนานางไว้ในตำแหน่งพระอัครมเหสี.
ต่อมาวันหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงพระดำริว่า เราให้อิสริยยศอาทิผิด อักขระ
อย่างใหญ่แก่ธิดาของตระกูลที่เข็ญใจผู้นี้ ถ้ากระไร เราจะควรถามนางว่า
ใครเป็นที่รักของเจ้า. นางจะตอบว่า พระมหาราชเจ้า พระองค์ทรงเป็นที่รัก
ของหม่อมฉัน แล้วจักถามเราอีกว่า เมื่อเป็นดังนั้น เราจะบอกแก่นางว่า
เจ้าคนเดียวเป็นที่รักของเรา ดังนี้. พระเจ้าปเสนทิโกศลนั้น เมื่อจะตรัสพระ-
วาจาที่บันเทิง เพื่อให้เกิดความสนิทสนมกะกันและกัน จึงถาม. ส่วนพระนาง
มัลลิกาเทวีนั้น เป็นบัณฑิต เป็นอุปัฏฐายิกาของพระพุทธเจ้า เป็นอุปัฏฐายิกา
ของพระสงฆ์ มีปัญญามาก เพราะฉะนั้น พระนางจึงทรงดำริอย่างนี้ว่า เรา
ไม่พึงเห็นแก่หน้าพระราชา ตอบปัญหานี้. ครั้นตรัสตอบตามรสนิยมของตน
แล้ว ก็ทูลถามพระราชาบ้าง. พระราชาเมื่อกลับพระวาจาไม่ได้ เพราะพระนาง
ตรัสตามรสนิยมของพระนางเอง แม้พระองค์เองก็ตรัสตามรสนิยมเหมือนกัน
ทรงพระดำริว่า จักให้พระนางกราบทูลเหตุนี้แด่พระตถาคต ดังนี้แล้ว ก็เสด็จ
ไปกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. บทว่า เนวชฺฌคา แปลว่า ไม่พบ.
บทว่า เอวํ ปิโย ปุถุ อตฺตา ปเรสํ ความว่า ตนเป็นที่รักของตนเท่านั้น
ฉันใด คนอื่นก็เป็นที่รักของคนอื่น ๆ แม้เป็นอันมาก ฉันนั้น.
จบอรรถกถามัลลิกาสูตรที่ ๘
 
๒๔/๓๔๘/๔๓๗

วันเสาร์, พฤศจิกายน 13, 2564

Chueng

 
ทรงยกขึ้นแสดงเอง. ส่วนแม้เทศนาธรรม ก็สงเคราะห์เข้าในบทว่า ธมฺเม นี้
เหมือนกัน เพราะความที่เทศนาธรรมนั้นเป็นอุบายให้สัตว์เข้าถึงพระธรรม.
พระเถระกล่าว บทว่า ปทํ สนฺตํ หมายถึงพระนิพพาน. ก็ภิกษุ
เห็นปานนี้ ย่อมบรรลุ คือประสบสันตบทอันเป็นส่วนสงบระงับแล้ว ได้แก่
พระนิพพาน ที่ชื่อเป็นที่เข้าสงบระงับสังขาร เพราะเข้าไปสงบระงับดับสังขาร
ทั้งปวงได้ ชื่อว่าเป็นสุข เพราะเป็นสุขอย่างยิ่ง.
อธิบายว่า ภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ ผู้มากไปด้วยความปราโมทย์ เพราะ
ไม่มีวิปฏิสาร เป็นผู้หมั่นขวนขวายในพระสัทธรรมย่อมประสบสมบัติทุกอย่าง
มีวิมุตติเป็นปริโยสาน. สมดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้มีอาทิว่า ดูก่อน
อานนท์ ศีลที่เป็นฝ่ายกุศล มีความไม่เดือดร้อนเป็นผลแล ความไม่เดือดร้อน
ย่อมเป็นไปเพื่อความปราโมทย์ ดังนี้.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปามุชฺชพหุโล ความว่า เป็นผู้มากไปด้วย
ความชื่นบาน โดยมุ่งถึงพระรัตนตรัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ตรัสรู้เอง
โดยชอบ พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว พระสงฆ์ปฏิบัติดีแล้ว
ดังนี้. เพื่อจะเลี่ยงคำถามที่อาจมีขึ้นว่า ผู้นั้นมากไปด้วยความปราโมทย์ใน
อะไร ? หรือการทำอะไร ? พระเถระจึงอาทิผิด สระกล่าวบาทคาถามีอาทิว่า ธมฺเม
พุทฺธปฺปเวทิเต ในธรรมอันพระพุทธเจ้าประกาศดีแล้ว ดังนี้. อธิบายว่า
สมบัติทั้งหลาย ย่อมอยู่ในเงื้อมมือของผู้ที่สมบูรณ์ด้วยศรัทธา โดยการเกิดขึ้น
โดยง่ายแห่ง (จักร ๔) คือ สัปปุริสูปสังเสวนะ การคบหาสัตบุรุษ ๑ สัท-
ธัมมัสสวนะ การฟังธรรมของสัตบุรุษ ๑ โยนิโสมนสิการ การกระทำไว้
ในใจโดยแยบคาย ๑ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑.
สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ผู้เกิดศรัทธาแล้ว ย่อมเข้าไปหา เมื่อเข้าไปหา ย่อม
เข้าไปนั่งใกล้ ดังนี้เป็นต้น .
จบอรรถกถาจูฬวัจฉเถรคาถา
 
๕๐/๑๔๘/๑๑๗

วันศุกร์, พฤศจิกายน 12, 2564

Luk

 
ที่ให้ไปแล้วนั้น ย่อมเป็นของที่บริจาคแล้ว
สละแล้ว ไม่คิดเอาคืน ผู้นั้นเป็นสัปบุรุษ
ทราบชัดว่า พระอรหันต์เปรียบด้วยนาบุญ
บริจาคสิ่งที่บริจาคได้ยากแล้ว ชื่อว่าให้
ของที่พอใจ ย่อมได้ของที่พอใจ ดังนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงอนุโมทนาด้วยอนุโมทนีย-
กถากะอุคคคฤหบดีชาวเมืองเวสาลีแล้ว จึงเสด็จลุกอาทิผิด สระจากอาสนะหลีกไป ต่อมา
ไม่นาน อุคคคฤหบดีชาวเมืองเวสาลี ก็ได้ทำกาละ และเมื่อทำกาละแล้ว
เข้าถึงหมู่เทพ ชื่อมโนมยะหมู่หนึ่ง ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ
อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนคร
สาวัตถี ครั้งนั้นอุคคเทพบุตรมีวรรณงาม เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว ยังพระ
วิหารเชตวัน ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าจึง
ตรัสถามว่า ดูก่อนอุคคะ ตามที่ท่านประสงค์สำเร็จแล้วหรือ อุคคเทพบุตร
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตามที่ข้าพระองค์ประสงค์สำเร็จแล้ว
พระเจ้าข้า ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสกะอุคคเทพบุตรด้วย
พระคาถาความว่า
ผู้ให้ของที่พอใจ ย่อมได้ของที่
พอใจ ผู้ให้ของที่เลิศ ย่อมได้ของที่เลิศ
ผู้ให้ของที่ดีย่อมได้ของที่ดี และผู้ให้ของ
ที่ประเสริฐ ย่อมเข้าถึงสถานที่ประเสริฐ
 
๓๖/๔๔/๑๐๒

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 11, 2564

Khum Sap

 
ทำลาย พึงตัด พึงละความพอใจในกามคุณ เพราะฉะนั้น ความตรึกของ
เรานั้นจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.
บทว่า อิณฏฺโฏว ทลิทฺทโก นิธึ อาราธยิตฺวา ความว่า คนจนบาง
คนเป็นผู้มีการเลี้ยงชีพเป็นปกติ กู้หนี้ เมื่อไม่สามารถจะชำระหนี้ได้ มีคดี
เพราะหนี้ คืออึดอัดใจเพราะหนี้ ถูกเจ้าทรัพย์บีบคั้น ครั้นยินดีคือ
ประสบขุมทรัพย์อาทิผิด อักขระ และชำระหนี้แล้ว พึงเป็นอยู่ ยินดีโดยความสุขฉันใด
แม้เราก็ฉันนั้น เมื่อไรหนอ จะพึงละกามฉันทะอัน เป็นเสมือนกับผู้ไม่มี
หนี้ แล้วประสบความยินดีในพระศาสนาของท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
คือพระศาสนาของพระพุทธเจ้า อันเป็นเสมือนขุมทรัพย์อันเต็มไปด้วย
รัตนะ มีแก้วมณีและทองคำเป็นต้น เพราะเพียบพร้อมไปด้วยอริยทรัพย์
เพราะฉะนั้น ความตรึกของเรานั้นจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.
ครั้นแสดงความเป็นไปแห่งวิตกของตน อันเป็นแล้วด้วยอำนาจ
เนกขัมมวิตกในกาลก่อน แต่การบรรพชาอย่างนี้แล้ว บัดนี้ ครั้นบวช
แล้ว เมื่อจะแสดงอาการอันเป็นเหตุให้สอนตนแล้วจึงบรรลุ จึงได้กล่าว
คาถามีอาทิว่า พหูนิ วสฺสานิ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหูนิ วสฺสานิ ตยามฺหิ ยาจิโต
อคารวาเสน อลํ นุ เต อิทํ ความว่า ดูก่อนจิตผู้เจริญ เราถูกท่าน
อ้อนวอนมาหลายปีแล้วมิใช่หรือว่า พอละ คือถึงที่สุดแล้วสำหรับท่าน ด้วย
การอยู่ในท่ามกลางเรือน ด้วยการตามผูกพันทุกข์ต่าง ๆ อยู่หลายปี.
บทว่า ตํ ทานิ มํ ปพฺพชิตํ สมานํ ความว่า ดูก่อนจิต ท่านไม่
ประกอบเรานั้น ผู้เป็นบรรพชิต ด้วยความอุตสาหะเช่นนั้น ด้วยเหตุ
อย่างหนึ่ง อธิบายว่า ทิ้งสมถะและวิปัสสนา ประกอบในความเกียจคร้าน
อันเลว.
 
๕๓/๓๙๙/๔๑๓

วันพุธ, พฤศจิกายน 10, 2564

Yom

 
ภาชนะแห่งบทว่า สนฺนิธิการกํ นั้นว่า ที่ภิกษุรับประเคนในวันนี้ ขบฉัน
ในวันอื่น ชื่อว่า สันนิธิการก.
คำว่า ปฏิคฺคณฺหาติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส มีความว่า เมื่อภิกษุ
รับยาวกาลิก หรือยามกาลิกอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่กระทำสันนิธิอย่างนี้ ด้วย
ความประสงค์จะกลืนกิน ต้องทุกกฏ ในเพราะรับประเคนก่อน. แต่เมื่อกลืนกิน
เป็นปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำกลืน. ถ้าแม้นว่า บาตรล้างไม่สะอาด ซึ่งเมื่อลูบด้วย
นิ้วมือ รอยปรากฏ, เมือกซึมเข้าไปในระหว่างหมุดแห่งบาตรที่มีหมุด, เมือกนั้น
เมื่ออังที่ความร้อนให้ร้อนย่อมซึมออก หรือว่า รับข้าวยาคูร้อน จะปรากฏ
เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ฉัน แม้ในบาตรเช่นนั้นในวันรุ่งขึ้น. เพราะฉะนั้น ภิกษุ
พึงล้างบาตรแล้ว เทน้ำใสลงไปในบาตรนั้น หรือลูบด้วยนิ้วมือ จึงจะรู้ได้ว่า
ไม่มีเมือก. ถ้าแม้นว่ามีเมือกบนน้ำก็ดี รอยนิ้วมือปรากฏในบาตรก็ดี, บาตร
ย่อมเป็นอันล้างไม่สะอาด. แต่ในบาตรมีสีน้ำมัน รอยนิ้วมือย่อมอาทิผิด สระปรากฏ,
รอยนิ้วมือนั้นเป็นอัพโพหาริก. ภิกษุทั้งหลายไม่เสียดาย สละโภชนะใดให้แก่
สามเณร ถ้าสามเณรเก็บโภชนะนั้นไว้ถวายแก่ภิกษุ ควรทุกอย่าง. แต่ที่ตน
เองรับประเคนแล้วไม่สละเสียก่อน ย่อมไม่ควรในวันรุ่งขึ้น. จริงอยู่ เมื่อภิกษุ
กลืนกินข้าวสุกแม้เมล็ดเดียวจากโภชนะที่ไม่สละนั้น เป็นปาจิตตีย์เหมือนกัน.
บรรดาเนื้อที่เป็นอกัปปิยะ ในเนื้อมนุษย์เป็นปาจิตตีย์กับถุลลัจจัย.
ในเนื้อที่เหลือเป็นปาจิตตีย์กับทุกกฏ. เมื่อกลืนกินยามกาลิกในเมื่อมีเหตุเป็น
ปาจิตตีย์. เมื่อกลืนกินเพื่อประโยชน์เป็นอาหาร เป็นปาจิตตีย์กับทุกกฏ. ถ้า
ภิกษุเป็นผู้ห้ามภัต กลืนกินโภชนะที่ไม่ได้ทำให้เป็นเดน, ในอามิสตามปรกติ
เป็นปาจิตตีย์ ๒ ตัว. ในเนื้อมนุษย์เป็นปาจิตตีย์ ๒ ตัว กับถุลลัจจัย. ใน
 
๔/๕๑๕/๕๔๔

วันอังคาร, พฤศจิกายน 09, 2564

Mit

 
สัตว์เหมือนอย่างเดิม. ฝ่ายพระโพธิสัตว์หลังจากพระราชาเสด็จไปแล้ว
ก็มิได้ไปตามเวลาที่เคยมา ได้ไปยังพระราชนิเวศน์กระทำภัตตกิจตาม
เวลาที่ตนชอบใจ. อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพระโพธิสัตว์ชักช้าอยู่ยังไม่มา
พระราชเทวีจัดแจงขาทนียโภชนียาหารอาทิผิด สระทุกอย่างเสร็จแล้ว จึงโสรจ
สรงพระองค์ประดับพระวรกาย แล้วให้นางพนักงานแต่งเตียงน้อย
บรรทมคอยดูการมาของพระโพธิสัตว์ โดยทรงนุ่งพระภูษาเนื้อเกลี้ยง
อย่างหย่อน ๆ. ฝ่ายพระโพธิสัตว์กำหนดว่าได้เวลาแล้ว ก็ถือภิกขา-
ภาชนะเหาะมาจนถึงช่องพระแกลใหญ่. พระเทวีได้ทรงสดับ
เสียงผ้าเปลือกไม้กรองของพระโพธิสัตว์ก็เสด็จลุกขึ้นโดยพลัน พระ-
ภูษาเนื้อเกลี้ยงที่ทรงนุ่งนั้นก็หลุดลุ่ยลงทันที พระโพธิสัตว์ได้เห็น
วิสภาคารมณ์มิได้สำรวมอินทรีย์ ตลึงแลดูด้วยสามารถแห่งความงาม.
ลำดับนั้น กิเลสของพระโพธิสัตว์ซึ่งสงบนิ่งด้วยกำลังฌานก็กำเริบขึ้น
เหมือนอสรพิษที่ถูกขังอยู่ในข้อง พอออกจากข้องได้ก็แผ่พังพาน
ขึ้นฉะนั้น. พระโพธิสัตว์ได้เป็นผู้มีอาการเหมือนเวลาที่ต้นยางถูกกรีด
ด้วยมีดอาทิผิด สระฉะนั้น. องค์ฌานทั้งหลายเสื่อมไปพร้อมกับระยะที่กิเลสเกิด
ขึ้น. อินทรีย์ทั้งหลายก็มิได้บริบูรณ์ ตนเองได้มีสภาพเหมือนกาปีก
ขาดฉะนั้น. พระโพธิสัตว์นั้นมิอาจที่จะนั่งกระทำภัตตกิจเหมือนแต่
ก่อนได้ แม้พระเทวีจะตรัสบอกให้นั่งก็ไม่นั่ง. ลำดับนั้น พระเทวี
จึงทรงใส่ขาทนียะ โภชนียาหารทุกอย่างลงในภิกขาภาชนะของพระ-
โพธิสัตว์. ก็วันนั้น พระโพธิสัตว์ไม่อาจไปเหมือนในวันก่อน ๆ ซึ่ง
 
๕๘/๓๕๔/๗

วันจันทร์, พฤศจิกายน 08, 2564

Thi

 
ใดในโลกนี้แล้ว จะเป็นผู้ไม่มีอาสวะปรินิพพาน ท่าน
ย่อมแสดงธรรมนั้น อันเป็นเครื่องบรรเทาทุกข์ทั้งปวง
แก่เขา.
จำเดิมแต่วันที่สองไป ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเริ่มการฉลองวิหาร. การฉลอง
วิหารของนางวิสาขา ๔ เดือนเสร็จ แต่การฉลองวิหารของท่านอนาถบิณฑิก-
เศรษฐี ๙ เดือนจึงเสร็จ. หมดทรัพย์ไป ๘ โกฏิทีเดียว ท่านอนาถบิณฑิก-
เศรษฐีบริจาคทรัพย์นับได้ ๕๔ โกฏิ เฉพาะวิหารหลังเดียวเท่านั้น ด้วย
ประการฉะนี้.
ก็ในอดีตกาล ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสี เศรษฐีนามว่า
ปุนัพพสุมิตต์ ซื้อที่โดยการปูลาดอิฐทองคำ แล้วให้สร้างสังฆารามประมาณ
หนึ่งโยชน์ ลงในที่นั้นนั่นแหละ ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าสิขี เศรษฐี
นามว่า สิริวัฑฒะ ซื้อที่โดยการปูลาดข่ายทองคำ แล้วให้สร้างสังฆาราม
ประมาณ ๓ คาวุตลงในที่นั้นนั่นแหละ. ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าเวสสภู
เศรษฐีนามว่า โสตถิยะซื้อที่โดยการปูลาดรอยเท้าช้างทองคำ แล้วให้สร้าง
สังฆารามประมาณกึ่งโยชน์ลงในที่นั้นนั่นแหละ ในสมัยแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
กกุสันธะ เศรษฐีนามว่า อัจจุตะ ซื้อที่โดยการปูลาดอิฐทองคำเหมือนกันแล้ว
ให้สร้างสังฆารามประมาณหนึ่งคาวุต ลงในที่นั้นนั่นแหละ. ในสมัยแห่งพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าโกนาคมนะ เศรษฐีนามว่า อุคคะ ซื้อที่โดยการปูลาดเต่าทอง
คำ แล้วให้สร้างสังฆารามประมาณกึ่งคาวุต ลงในที่นั้นนั่นแหละ ในสมัยแห่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะ เศรษฐีนามว่า สุมังคละ ซื้อที่โดยการปูลาดเต่าทอง
คำ แล้วให้สร้างสังฆารามประมาณ ๑๖ กรีส ลงในที่อาทิผิด อาณัติกะนั้นนั่นแหละ แต่ในสมัย
แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย เศรษฐีนามว่า อนาถบิณฑิกะ ซื้อที่
 
๕๕/๑/๑๕๒

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 07, 2564

Sin Pai

 
ภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย. . . แล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
แม่น้ำใหญ่เหล่านี้คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี ไหลมาบรรจบกัน
แม่น้ำนั้นพึงหมดไป สิ้นไป ยังเหลืออยู่สองสามหยาด เธอทั้งหลายจะ
สำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน น้ำในที่บรรจบกันซึ่งหมดไป สิ้นไปอาทิผิด กับน้ำ
ที่ยังเหลืออยู่สองสามหยาด ไหนจะมากกว่ากัน ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น้ำในที่บรรจบกันซึ่งหมดไป สิ้นไปนี้แหละมาก
กว่า น้ำที่ยังเหลืออยู่สองสามหยาดมีประมาณน้อย น้ำที่เหลืออยู่สองสาม
หยาดเมื่อเทียบเข้ากับน้ำในที่บรรจบกัน ซึ่งหมดไป สิ้นไปแล้ว ไม่เข้า
ถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐ เสี้ยวที่ ๑,๐๐๐ เสี้ยวที่ ๑๐๐,๐๐๐ แม้ฉันใด.
[๓๑๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ ล ฯ การ
ได้ธรรมจักษุให้สำเร็จประโยชน์ใหญ่อย่างนี้.
จบสัมเภชอุทกสูตรที่ ๔

อรรถกถาสัมเภชอุทกสูตรที่ ๔

สัมเภชอุทกสูตรที่ ๔ ง่ายทั้งนั้น.
จบอรรถกถาสัมเภชอุทกสูตรที่ ๔

๕. ปฐมปฐวีสูตร

ว่าด้วยบุรุษวางก้อนดิน ๗ ก้อนไว้ที่แผ่นดินใหญ่
[๓๑๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระ-
 
๒๖/๓๑๗/๓๙๘

คลังบทความของบล็อก