ก็ลึกจดมันสมอง เพราะเหตุนั้น ดวงตาของพระโพธิสัตว์นั้นจึงเป็นอย่างนั้น.
บทว่า อามกจฺฉินฺโน ได้แก่ ตัดแล้วในเวลายังอ่อน. ก็น้ำเต้าขมนั้นสัมผัส
กับลมและแดดย่อมเหี่ยวแห้ง. บทว่า ยาวสฺสุ เม สารีปุตฺต ความว่า
ดูก่อนสารีบุตร ผิวหนังท้องของเราเหี่ยวติดกระดูกสันหลัง. อีกประการหนึ่ง
พึงทราบความสัมพันธ์ในบทนั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนสารีบุตร การบำเพ็ญทุกกรกิริยา
ของเรา ยังเป็นภาระหนักเพียงใด ผิวหนังท้องของเราก็เหี่ยวติดกระดูกสันหลัง
เพียงนั้น. บทว่า ปิฏฺฐิกณฺฏกญฺเญว ปริคฺคณฺหามิ ความว่า เราคิดว่า
จะจับผิวหนังท้อง ลูบคลำผิวหนังท้องอย่างเดียว ก็คลำถูกกระดูกสันหลังที
เดียว. บทว่า อวกุชฺโช ปปตามิ ความว่า เมื่อพระองค์นั้นนั่งเพื่อประโยชน์
แก่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ปัสสาวะไม่ออกเลย แต่วัจจะมีเพียงเม็ดตุมกา ๑-๒
ก้อน ก็ยังทุกข์อันมีกำลังให้เกิดขึ้น เหงื่อทั้งหลายก็ไหลออกจากสรีระ. พระองค์
ก็ซวนอาทิผิด อักขระ ล้ม ลงในพื้นดินในที่นั้นเอง. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า เราซวนอาทิผิด อักขระ ล้ม ดัง
นี้. บทว่า ตเมว กายํ ได้แก่ กายที่สุดใน ๙๑ กัป. ก็ทรงหมายถึงกาย
ในภพสุดท้ายในมหาสัจจกสูตร จึงตรัสว่า อิมเมว กายํ ดังนี้. บทว่า
ปูติมูลานิ ความว่า เมื่อพระมังสะ หรือพระโลหิตยังมีอยู่ พระโลมาทั้งหลาย
ก็ตั้งอยู่ได้ แต่ในเพราะไม่มีพระมังสะพระโลหิตนั้น พระโลมาทั้งหลายดุจติด
อยู่ในแผ่นหนัง ก็หลุดติดพระหัตถ์ด้วย ทรงหมายถึงอาการนั้น จึงตรัสว่า
ขนทั้งหลายมีรากอันเน่าก็หลุดจากกายดังนี้. บทว่า อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ
ได้แก่ โลกุตตรมรรคอันสามารถเพื่อกระทำอาทิผิด สระ ความเป็นอริยะได้. บทว่า อิมิสสฺ-
สาเยว อริยาย ปญฺญาย ความว่า เพราะไม่บรรลุวิปัสสนาปัญญา. บทว่า
ยายํ อริยา ได้แก่ บรรลุมรรคปัญญานี้ใด. ท่านกล่าวไว้ดังนี้ว่า ชื่อว่า
บรรลุมรรคปัญญา เพราะความที่วิปัสสนาปัญญาได้บรรลุแล้วในบัดนี้ฉันใด
เราไม่บรรลุโลกุตตรมรรคปัญญา เพราะความที่วิปัสสนาปัญญาไม่ได้บรรลุแล้ว
บทว่า อามกจฺฉินฺโน ได้แก่ ตัดแล้วในเวลายังอ่อน. ก็น้ำเต้าขมนั้นสัมผัส
กับลมและแดดย่อมเหี่ยวแห้ง. บทว่า ยาวสฺสุ เม สารีปุตฺต ความว่า
ดูก่อนสารีบุตร ผิวหนังท้องของเราเหี่ยวติดกระดูกสันหลัง. อีกประการหนึ่ง
พึงทราบความสัมพันธ์ในบทนั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนสารีบุตร การบำเพ็ญทุกกรกิริยา
ของเรา ยังเป็นภาระหนักเพียงใด ผิวหนังท้องของเราก็เหี่ยวติดกระดูกสันหลัง
เพียงนั้น. บทว่า ปิฏฺฐิกณฺฏกญฺเญว ปริคฺคณฺหามิ ความว่า เราคิดว่า
จะจับผิวหนังท้อง ลูบคลำผิวหนังท้องอย่างเดียว ก็คลำถูกกระดูกสันหลังที
เดียว. บทว่า อวกุชฺโช ปปตามิ ความว่า เมื่อพระองค์นั้นนั่งเพื่อประโยชน์
แก่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ปัสสาวะไม่ออกเลย แต่วัจจะมีเพียงเม็ดตุมกา ๑-๒
ก้อน ก็ยังทุกข์อันมีกำลังให้เกิดขึ้น เหงื่อทั้งหลายก็ไหลออกจากสรีระ. พระองค์
ก็
นี้. บทว่า ตเมว กายํ ได้แก่ กายที่สุดใน ๙๑ กัป. ก็ทรงหมายถึงกาย
ในภพสุดท้ายในมหาสัจจกสูตร จึงตรัสว่า อิมเมว กายํ ดังนี้. บทว่า
ปูติมูลานิ ความว่า เมื่อพระมังสะ หรือพระโลหิตยังมีอยู่ พระโลมาทั้งหลาย
ก็ตั้งอยู่ได้ แต่ในเพราะไม่มีพระมังสะพระโลหิตนั้น พระโลมาทั้งหลายดุจติด
อยู่ในแผ่นหนัง ก็หลุดติดพระหัตถ์ด้วย ทรงหมายถึงอาการนั้น จึงตรัสว่า
ขนทั้งหลายมีรากอันเน่าก็หลุดจากกายดังนี้. บทว่า อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ
ได้แก่ โลกุตตรมรรคอันสามารถเพื่อ
สาเยว อริยาย ปญฺญาย ความว่า เพราะไม่บรรลุวิปัสสนาปัญญา. บทว่า
ยายํ อริยา ได้แก่ บรรลุมรรคปัญญานี้ใด. ท่านกล่าวไว้ดังนี้ว่า ชื่อว่า
บรรลุมรรคปัญญา เพราะความที่วิปัสสนาปัญญาได้บรรลุแล้วในบัดนี้ฉันใด
เราไม่บรรลุโลกุตตรมรรคปัญญา เพราะความที่วิปัสสนาปัญญาไม่ได้บรรลุแล้ว
๑๘/๑๙๓/๑๐๗
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น