วันพุธ, กรกฎาคม 31, 2567

Racha

 
๔. มณิโจรชาดก

ว่าด้วยพระเจ้าอธัมมิกราช
[๒๓๗] เทวดาทั้งหลาย (ผู้ดูแลรักษาชนผู้มีศีล
และคอยกีดกันคนชั่ว) ย่อมไม่มีอยู่ในโลกเป็น
แน่ หรือเมื่อกิจเห็นปานนี้เกิดขึ้น ย่อมพากันไป
ค้างแรมเสียเป็นแน่ อนึ่ง สมณพราหมณ์ทั้งหลาย
อันเขาสมมติว่าเป็นผู้รักษาโลก ไม่มีอยู่ในโลก
นี้เป็นแน่ เมื่อชนทุศีลทั้งหลายกระทำกรรมอัน
สาหัส บุคคลผู้ห้ามปรามไม่มีอยู่เป็นแน่.
[๒๓๘] ในรัชสมัยของพระเจ้าอธรรมิกราช ฝน
ย่อมตกในเวลาอันไม่ควรจะตก ในเวลาที่ควร
จะตกก็ไม่ตก พระราชาอาทิผิด สระผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ย่อม
จุติจากฐานะคือสวรรค์ พระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ใน
ธรรมนั้น ใช่ว่าจะได้รับความยากเข็ญด้วยเหตุ
มีประมาณเท่านั้นก็หาไม่.
จบ มณิโจรชาดกที่ ๔

อรรถกถามณิโจรชาดกที่ ๔

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภพระเทวทัตผู้พยายามปลงพระชนม์ ตรัสพระธรรมเทศนา
 
๕๗/๒๓๘/๒๓๙

วันอังคาร, กรกฎาคม 30, 2567

Lokiya

 
ความสงบระงับซึ่งความกระวนกระวายแห่งขันธ์ทั้ง ๓. คำว่า จิตฺตปสฺสทฺธิ
ได้แก่ ความสงบระงับซึ่งความกระวนกระวายของวิญญาณขันธ์. พึงทราบ
วินิจฉัยในอุเปกขาสัมโพชฌงค์ เช่นเดียวกับสติสัมโพชฌงค์นั่นแหละ.
ในนัยนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโพชฌงค์ ๗ เจือด้วยโลกิยะอาทิผิด สระและ
โลกุตตระ.
ส่วนพระเถระในปางก่อนทั้งหลาย แสดงแยกไว้ว่า นัยนี้ ปรากฏได้
ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้. เพราะว่าในอัชฌัตตธรรมเหล่านี้ ธรรมทั้ง ๓ คือ
สติ ปวิจยะ (ธัมมวิจยะ) อุเปกขา เป็นโลกิยะเท่านั้น เพราะความที่ตน
(ธรรมทั้ง ๓) มีขันธ์เป็นอารมณ์. ความเพียรทางกาย (วิริยะ) อันยังไม่บรรลุ
มรรคก็เช่นกัน (ยังเป็นโลกียะ) ส่วนปีติ สมาธิ อันเป็นอวิตักกอวิจาระเป็น
โลกุตตระ ธรรมที่เหลือเจือด้วยโลกิยะและโลกุตตระ. ในโพชฌงค์เหล่านั้น
ธรรมทั้งหลายอันเป็นอัชฌัตตะก่อน สติ ปวิจยะ อุเปกขา เป็นอัชฌัตตารัมมณะ.
ส่วนโลกุตตระทั้งหลายเป็นพหิทธารัมมณะ เพราะฉะนั้น ความเป็นโลกุตตระ
จึงมิได้ประกอบด้วยสติ ปวิจยะ และอุเปกขาเหล่านั้น. เมื่อจะกล่าวว่า ความ
เพียร แม้อันเกิดขึ้นด้วยปโยคะในการก้าวไป ว่าเป็นโลกิยะ ดังนี้ ก็ไม่
หนักใจ. ถามว่า ก็ปีติ สมาธิที่เป็นอวิตักกอวิจาระในกาลเช่นไร เป็นโลกุตตระ
เท่านั้น. ตอบว่า ในเบื้องต้น ปีติสัมโพชฌงค์ ย่อมได้ในกามาวจร. ปีติอัน
เป็นอวิตักกอวิจาระย่อมไม่ได้. ปีติอันเป็นอวิตักกอวิจาระย่อมได้ในรูปาวจร.
ก็แต่ว่าไม่ได้ปีติสัมโพชฌงค์. คำที่กล่าวมาโดยประการทั้งปวง ย่อมไม่ได้ใน
อรูปาวจร. ก็ในอธิการนี้ ท่านหมายเอาสภาวะที่ยังไม่เคยได้ จึงปฏิเสธปีติ
ทั้งหลายอันบุคคลทั้งหลายได้อยู่. คือว่า ปีติสัมโพชฌงค์อันเป็นอวิตักกอวิจาระ
นี้ อย่างนี้ เป็นสภาพออกไปแล้วจากกามาวจรบ้าง จากรูปาวจรบ้าง จาก
 
๗๘/๕๖๘/๒๕๑

วันจันทร์, กรกฎาคม 29, 2567

Khwang

 
กระทำอย่างนั้น และทรงกระทำอย่างใด ก็ทรงมีพระวาจาอย่างนั้น
อธิบายว่า ก็พระองค์ผู้เป็นอย่างนี้ มีพระวาจาอย่างใด แม้พระวรกายก็
ทรงเป็นไป คือ ทรงประพฤติอย่างนั้น และพระวรกายอย่างใด แม้
พระวาจาก็ทรงเป็นไป คือ ทรงประพฤติอย่างนั้น ด้วยเหตุนั้นแล จึง
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตพูดอย่างใด กระทำอย่างนั้น
กระทำอย่างใด พูดอย่างนั้น ด้วยเหตุนี้ จึงชื่อว่า ยถาวาที ตถาการี
ยถาการี ตถาวาที เหตุนั้น จึงได้พระนามว่า ตถาคต ดังนี้. พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะทรงกระทำเองและให้ผู้อื่น
กระทำ เป็นอย่างนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะทรงครอบงำ
เป็นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครอบงำสรรพสัตว์ เบื้องบนถึงภวัคคพรหม
เบื้องล่างถึงอเวจีเป็นที่สุด เบื้องขวางอาทิผิด อักขระในโลกธาตุอันหาประมาณมิได้ ด้วย
ศีลบ้าง ด้วยสมาธิบ้าง ด้วยปัญญาบ้าง ด้วยวิมุตติบ้าง ด้วยวิมุตติญาณ-
ทัสสนะบ้าง การจะชั่งหรือประมาณพระองค์หามีไม่ พระองค์เป็นผู้ไม่มี
ใครเทียบเคียงได้ อันใคร ๆ ประมาณไม่ได้ เป็นผู้ยอดเยี่ยม เป็นพระ
ราชาที่พระราชาทรงบูชา คือ เป็นเทพของเทพ เป็นสักกะยิ่งกว่าสักกะ
ทั้งหลาย เป็นพรหมยิ่งกว่าพรหมทั้งหลาย ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในโลกพร้อมทั้งเทวดา พร้อมทั้งมาร พร้อมทั้งพรหม
ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะและพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์
ตถาคตเป็นผู้ยิ่งใหญ่ อันใคร ๆ ครอบงำไม่ได้ เป็นผู้เห็นถ่องแท้ เป็นผู้
ทรงอำนาจ เหตุนั้น จึงได้รับพระนามว่า ตถาคต ดังนี้.
 
๑๑/๙๐/๑๘๒

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 28, 2567

Phuk

 
ส. รูปเป็นธรรมมีอารมณ์ ความนึก ความผูกใจ ฯลฯ
ความตั้งใจ ของรูปนั้น มีอยู่หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[๑๓๒๔] ส. รูปเป็นธรรมมีอารมณ์ แต่ความนึก ความผูกอาทิผิด ใจ ฯลฯ
ความตั้งใจ ของรูปนั้น ไม่มีหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ผัสสะเป็นธรรมมีอารมณ์ แต่ความนึก ความผูกใจ
ฯลฯ ความตั้งใจ ของผัสสะนั้น ไม่มีหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[๑๓๒๕] ส. รูปเป็นธรรมมีอารมณ์ แต่ความนึก ความผูกใจ ฯลฯ
ความตั้งใจ ของรูปนั้น ไม่มีหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เวทนา สัญญา ฯลฯ อโนตตัปปะ เป็นธรรมมีอารมณ์
แต่ความนึก ความผูกใจ ฯลฯ ความตั้งใจ ของอโนตตัปปะนั้น ไม่มีหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[๑๓๒๖] ป. ไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็นธรรมมีอารมณ์ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. รูปเป็นธรรมมีปัจจัย มิใช่หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. หากว่า รูปเป็นธรรมมีปัจจัย ด้วยเหตุนั้นนะท่าน จึง
ต้องกล่าวว่า รูปเป็นธรรมมีอารมณ์.
รูปังสารัมมณันติกถา จบ
 
๘๑/๑๓๒๔/๑๙๗

วันเสาร์, กรกฎาคม 27, 2567

Wangkangkha

 
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดนก อันหมู่นกห้อมล้อม อาศัยต้นไม้ให้อัน
สมบูรณ์ด้วยกิ่งและค่าคบอยู่ในราวป่า ครั้นวันหนึ่ง จุรณตกในที่กิ่งทั้งหลายของ
ต้นไม้นั้นเสียดสีกันไปมา ควันเกิดขึ้น พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้นจึงคิดว่า กิ่งทั้ง
สองนี้เมื่อเสียดสีกันอยู่อย่างนี้จักเกิดไฟ ไฟนั้นตกลงไปติดใบไม้เก่า ๆ จำเดิม
แต่นั้นไฟจักเผาต้นไม้แม้นี้ พวกเราไม่อาจอยู่ในที่นี้ พวกเราหนีจากที่นี้ไปอยู่
ที่อื่น จึงจะควร พระโพธิสัตว์จึงกล่าวคาถานี้แก่หมู่นกว่า
นกทั้งหลายอาศัยต้นไม้ใด ต้นไม้นั้นย่อมทิ้งไฟ
ลงมา นกทั้งหลายจงพากันหนีไปอยู่เสียที่อื่นเถิด ภัย
เกิดจากที่พึ่งของเราแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชคติรุหํ ความว่า ปฐพีเรียกว่า ชคติ
ต้นไม้เรียกว่า ชคติรุหะ เพราะต้นไม้เกิดที่ปฐพีนั้น. บทว่า วิหงฺคมา ความว่า
อากาศเรียกวิหะ นกทั้งหลายเรียกว่า วิหังคมะ เพราะไปในอากาศนั้น. บทว่า
ทิสา ภชถ ความว่า ท่านทั้งหลายเมื่อจะละต้นไม้นี้หนีไปจากที่นี้ จงไป
ยังทิศทั้ง ๔. พระโพธิสัตว์เรียกนกทั้งหลายว่า วังกังคาอาทิผิด อักขระ เพราะว่า นกเหล่า
นั้นกระทำคอซึ่งไปตรงให้คดในบางครั้ง เพราะฉะนั้นจึง เรียกว่า วังกังคา.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า วังกังคาอาทิผิด อักขระ เพราะวังกะคือปีกทั้งหลายเกิดที่ข้างทั้งสองของนก
เหล่านั้น ดังนี้ก็มี. บทว่า ชาตํ สรณโต ภยํ ความว่า ภัยบังเกิดจาก
ต้นไม้อันเป็นที่พึ่งอาศัยของพวกเรานั่นแล มาเถิดพวกเราพากันไปที่อื่น.
นกทั้งหลายที่เป็นบัณฑิตกระทำตามคำของพระโพธิสัตว์ พากันบินขึ้น
พร้อมกันกับพระโพธิสัตว์นั้นไปอยู่ที่อื่นส่วนนกทั้งหลายที่ไม่เป็นบัณฑิตพากัน
กล่าวอย่างนี้ว่า พระโพธิสัตว์นี้เห็นว่ามีจระเข้ในน้ำเพียงหยดเดียว จึงไม่เชื่อ-
ถือคำของพระโพธิสัตว์นั้น คงอยู่ในที่นั้นนั่นเอง แต่นั้นไม่นานนัก ไฟบังเกิด
 
๕๕/๓๖/๓๔๘

วันศุกร์, กรกฎาคม 26, 2567

Amphapali

 
ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันเป็นผู้มี
ความชำนาญในฤทธิ์ ในทิพโสตธาตุ และในเจโต-
ปริยญาณ รู้ปุพเพนิวาสญาณและทิพยจักษุอัน
หมดจดวิเศษ มีอาสวะทั้งปวงสิ้นไปแล้ว บัดนี้
ภพใหม่มิได้มีอีก
หม่อมฉันมีญาณอันปราศจากมลทินบริ-
สุทธิ์ ในอรรถะ ธรรมะ นิรุตติ และปฏิภาณ
เพราะอำนาจพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด
หม่อมฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพ
ขึ้นได้หมดสิ้นแล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกดังช้างพัง
ตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่
การที่หม่อมอาทิผิด อักขระฉันได้มาในสำนักพระพุทธ-
เจ้าผู้ประเสริฐสุด เป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชา
๓ หม่อมฉันบรรลุแล้วโดยลำดับ คำสอนของ
พระพุทธเจ้าหม่อมฉันได้ทำเสร็จแล้ว
คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔
วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ หม่อมฉันทำให้แจ้ง
ชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าหม่อมฉันได้ทำ
เสร็จแล้วดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระอัมพปาลีภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้แล.
จบอัมพปาลีอาทิผิด เถรีอปทาน
 
๗๒/๑๗๙/๖๙๖

วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 25, 2567

Punya

 
ฑิตทั้งหลายกล่าวผู้นั้นว่า ผู้ไม่ยากจน
ชีวิตของผู้นั้นไม่เป็นโมฆะ (คือไม่เปล่า
จากแก่นสาร)
เพราะเหตุนั้น ผู้มีปัญญารำลึกถึง
พระศาสนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึง
ประกอบไว้เสมอซึ่งความเชื่อ (ในพระ-
ตถาคต) ซึ่งศีล ซึ่งความเลื่อมใส (ใน
พระสงฆ์) และความเห็นธรรม.
จบทุติยปุญญาภิสันทสูตรที่ ๒
อรรถกถาทุติยปุญญาภิสันทสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในปุญญาอาทิผิด อักขระภิสันทสูตรที่ ๒ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อริยกนฺเตหิ คือด้วยศีลสัมปยุตด้วยมรรคและผล. ก็ศีล
เหล่านั้น น่าใคร่ น่ารัก น่าพอใจ ของพระอริยะทั้งหลาย. คำที่จะพึงกล่าว
ในพระสูตรก่อน ก็กล่าวไว้แล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.
ในคาถาพึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ บทว่า สทฺธา ความว่าท่านประสงค์
ศรัทธาของโสดาบันบุคคล. แม้ศีล ก็เป็นศีลของโสดาบันบุคคลนั่นเอง. บทว่า
อุชุภูตญฺจ ทสฺสนํ ความว่า ความเห็นของท่านผู้สิ้นอาสวะ ชื่อว่าเป็น
ความเห็นตรง เพราะท่านไม่มีคดทางกายเป็นต้น . บทว่า อาหุ แปลว่า กล่าว.
บทว่า ปสาทํ คือซึ่งความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์
บทว่า ธมฺมทสฺสนํ คือเห็นสัจธรรม.
จบอรรถกถาทุติยปุญญาภิสันทสูตรที่ ๒
 
๓๕/๕๒/๑๘๓

วันพุธ, กรกฎาคม 24, 2567

Iriyabot

 
[อรรถาธิบายคำว่า เวรญฺชายํ วิหรติ]
ก็พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า เวรญฺชายํ วิหรติ นี้ ดังต่อไปนี้ :-
คำว่า เวรญฺชายํ นี้ เป็นชื่อเมืองใดเมืองหนึ่ง. ในเมืองเวรัญชานั้น. คำว่า
เวรญฺชายํ นี้ เป็นสัตตมีวิภัตติลงในอรรถว่าใกล้. คำว่า วิหรติ เป็นการ
แสดงถึงความเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยธรรมเครื่องอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดา
ธรรมเครื่องอยู่คืออิริยาบถอาทิผิด สระวิหาร ทิพพวิหาร พรหมวิหาร และอริยวิหาร
โดยไม่แปลกกัน. แต่ในที่นี้แสดงถึงการประกอบด้วยอิริยาบถอย่างใดอย่างหนึ่ง
บรรดาอิริยาบถอาทิผิด อักขระมีประเภท คือ การยืน การเดิน การนั่ง และการนอน.
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนอยู่ก็ดี เสด็จดำเนินไปก็ดี ประทับ
นั่งอยู่ก็ดี บรรทมอยู่ก็ดี บัณฑิตพึงทราบว่า เสด็จประทับอยู่ทั้งนั้น. จริงอยู่
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงบำบัดความลำบากแห่งอิริยาบถอาทิผิด อักขระอย่างหนึ่ง
ด้วยอิริยาบถอาทิผิด อักขระอีกอย่างหนึ่ง ทรงนำ คือทรงยังอัตภาพให้เป็นไปมิให้ทรุดโทรม
เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า เสด็จประทับอยู่.
[อรรถาธิบายคำว่า นเฬรุปุจิมนฺทมูเล เป็นต้น]
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า นเฬรุปุจิมนฺทมูเล นี้ ดังต่อไปนี้ :
ยักษ์ชื่อ นเฬรุ. ต้นสะเดาชื่อว่า ปุจิมันทะ. บทว่า มูลํ แปลว่า
ที่ใกล้. จริงอยู่ มูลศัพท์นี้ ย่อมปรากฏในรากเหง้า ในคำทั้งหลายมีอาทิเช่นว่า
พึงขุดรากเง้าทั้งหลาย โดยที่สุดแม้เพียงแฝกและอ้อ. ในเหตุอันไม่ทั่วไปใน
คำมีอาทิว่า ความโลภ เป็นอกุศลมูล. ในที่ใกล้ ในคำทั้งหลายมีอาทิว่า
เงาย่อมแผ่ไปในเวลาเที่ยง, ใบไม้ทั้งหลายย่อมตกไปในเวลาปราศจากลม ได้
เพียงใด ด้วยที่เพียงเท่านี้ ชื่อว่ารุกขมูล (โคนต้นไม้). แต่ในบทว่า มูเล
นี้ ท่านประสงค์เอาที่ใกล้. เพราะฉะนั้น พึงเห็นใจความในคำนี้ อย่างนี้ว่า
 
๑/๙/๑๗๘

วันอังคาร, กรกฎาคม 23, 2567

Ni

 
กัสสปะนั้นแล้ว ทรงเปิดเผยความเป็นผู้รู้ยากตามสภาพแล้วตรัสคำขึ้นต้นว่า
“เป็นปรกติแล” อีก. พึงเชื่อมบทแล้วทราบเนื้อความโดยนัยที่กล่าวแล้วแม้
ในข้อนั้น. เพราะเหตุไร อเจลกัสสปะจึงถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
ก็สีลสัมปทาเป็นไฉนเป็นต้น. ได้ยินว่า อเจลกัสสปะนี้เป็นคนฉลาด เมื่อ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอยู่ จึงศึกษาถ้อยคำ ภายหลังรู้การปฏิบัติของตน
ว่า ไม่เป็นประโยชน์ จึงคิดว่า พระสมณโคดมตรัสคำเป็นต้นว่า ก็สีลสัมปทา
จิตตสัมปทาปัญญาสัมปทานี้ อันเขาไม่ได้อบรมแล้ว ไม่ได้ทำให้แจ้งแล้ว
เขาห่างจากความเป็นสมณะ โดยแท้แล ดังนี้ เอาเถิด บัดนี้เราจะถามถึง
สมบัติเหล่านั้นต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทูลถามเพื่อรู้แจ้งสีลสัมปทาเป็นต้น.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงแสดงการเกิดขึ้นของพระ-
พุทธเจ้า เมื่อจะตรัสถึงแบบแผน เพื่อแสดงถึงความถึงพร้อมเหล่านั้น จึง
ตรัสคำขึ้นต้นว่า ดูก่อนกัสสปะ (ตถาคตเกิดขึ้นในโลก) นี้. คำว่า ดูก่อน
กัสสปะ ก็ (สีลสัมปทาอื่นอันยิ่งกว่า ประณีตกว่า) สีลสัมปทานี้อาทิผิด (ไม่มี)
ตรัสหมายถึงพระอรหัตตผล. จริงอยู่ ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระ
อรหัตตผลเป็นที่สุด เพราะฉะนั้น พระองค์จึงตรัสว่า ความถึงพร้อมด้วยศีล
เป็นต้นอื่นอันยิ่งกว่า หรือประณีตกว่า ความถึงพร้อมด้วยศีลจิต และปัญญา
อันประกอบด้วยพระอรหัตผลไม่มี ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะ
ทรงบันลือสีหนาทอันยิ่ง จึงตรัสคำขึ้นต้นว่า ดูก่อนกัสสปะ มีสมณพราหมณ์
อยู่พวกหนึ่ง.
ในคำเหล่านั้น คำว่า ประเสริฐ คือ ปราศจากอุปกิเลส บริสุทธิ์
อย่างยิ่ง. คำว่า อย่างยิ่ง คือสูงสุด. ก็ศีลนับแต่ศีลห้าเป็นต้นตลอดถึง
ปาฏิโมกขสังวรศีล ชื่อว่า ศีลเหมือนกัน ส่วนศีลที่ประกอบด้วยโลกุตตระ-
มรรค และผล ชื่อบรมศีล. คำว่า เรา (ไม่เห็น) ในศีลนั้น มีอรรถว่า
 
๑๒/๒๗๔/๑๔๗

วันจันทร์, กรกฎาคม 22, 2567

Kiriya

 
สรภัญญะ ในกาลนั้น กุศลจิตนั้น ย่อมเป็นวจีกรรม. ในกาลใด บุคคลไม่
ให้ส่วนแห่งกาย แห่งวาจาไหว สละวัตถุอันมีอยู่ด้วยใจว่า เราจักให้เสียง
เป็นทาน ดังนี้ ในกาลนั้น กุศลจิตก็เป็นมโนกรรม.
กุศลจิตแม้ที่เป็นภาวนามัย ในกาลใด บุคคลกำลังเดิน เริ่มตั้งความ
สิ้นไป เสื่อมไปในเสียง ในกาลนั้น กุศลจิตนั้นก็เป็น กายกรรม. ก็หรือว่า
เมื่อบุคคลไม่ยังส่วนแห่งกายให้ไหวพิจารณาอยู่ตามวาจา กุศลจิตที่เป็นภาวนา-
มัยก็เป็นวจีกรรม. เมื่อบุคคลไม่ให้กายและวาจาไหว พิจารณาอยู่ซึ่งสัททาย-
ตนะด้วยใจเท่านั้น กุศลจิตที่เป็นภาวนามัยนั้นก็เป็น มโนกรรม. พระธรรม-
ราชาทรงจำแนกแสดงแล้วซึ่งกุศลจิตแม้มีเสียงเป็นอารมณ์ ด้วยกรรมและทวาร
๙ ด้วยสามารถแห่งบุญกิริยาอาทิผิด วัตถุ ๓ อย่าง ดังพรรณนามาฉะนี้.
กุศลจิตนี้กระทำกลิ่นอันน่าชอบใจแม้ในกลิ่นที่เกิดแต่รากไม้เป็นต้น
ให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้นโดยการกำหนด ๓ อย่าง โดยนัยที่กล่าวแล้วหนหลัง
นั่นแหละ ในกาลใด บุคคลได้กลิ่นหอมอย่างใดอย่างหนึ่ง ในกลิ่นทั้งหลาย
มีกลิ่นที่เกิดแต่รากไม้เป็นต้นแล้วคำนึงถึงด้วยอำนาจแห่งกลิ่น คิดว่า เราจัก
ถวายกลิ่นของเราให้เป็นทาน ดังนี้ จึงบูชาพระพุทธรัตนะเป็นต้น ในกาลนั้น
กุศลจิตก็เป็นทานมัย. บัณฑิตพึงทราบคำทั้งหมดโดยพิสดาร โดยนัยที่กล่าว
ไว้ในการให้สีเป็นทานนั่นแหละ พระธรรมราชา ทรงจำแนกแสดงซึ่งกุศลจิต
แม้มีกลิ่นเป็นอารมณ์ ด้วยกรรมและทวาร ๙ ด้วยสามารถแห่งบุญกิริยาวัตถุ
๓ อย่าง ด้วยประการฉะนี้.
ก็กุศลจิตที่ทำรสอันน่าชอบใจในรสทั้งหลายมีรสเกิดจากรากเป็นต้น
ให้เป็นอารมณ์ ย่อมเกิดขึ้นด้วยการกำหนด ๓ อย่าง โดยนัยที่กล่าวแล้วใน
หนหลังนั่นแหละ ในกาลใด บุคคลได้รสที่น่ายินดีอย่างใดอย่างหนึ่งในรส
 
๗๕/๑๖/๒๕๖

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 21, 2567

Thommanat

 
อภิชฌาและโทมนัสอาทิผิด อักขระในโลกเสียได้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร
มีสติ มีสัมปชัญญะ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้.
[๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว นายเปสสหัตถาโรหบุตร
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าข้า ไม่เคยมี พระ
พุทธเจ้าข้า สติปัฏฐาน ๔ นี้ พระองค์ทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว เพื่อความบริสุทธิ์
ของสัตว์ทั้งหลายเพื่อก้าวล่วงความโศกและความร่ำไร เพื่อความดับแห่งทุกข์
และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ที่จริง แม้
พวกข้าพระพุทธเจ้าเป็นคฤหัสถ์นุ่งผ้าขาว ก็ยังมีจิตตั้งมั่นดีแล้วใน
สติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้อยู่ตามกาลที่สมควร ขอประทานพระวโรกาส พวก
ข้าพระพุทธเจ้าพิจารณาเห็นกายอาทิผิด อักขระในกายอยู่ มีความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มี
ความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้
พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ กำจัดอภิชฌาและ
โทมนัสในโลกเสียได้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสติ มีสัม-
ปชัญญะ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้ น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าข้า
ไม่เคยมี พระพุทธเจ้าข้า เพียงเท่านี้ พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าชื่อว่า
ย่อมทรงทราบประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ของสัตว์ทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์รกชัฏ
เป็นไปอย่างนี้ ในเมื่อมนุษย์เดนกาก เป็นไปอยู่อย่างนี้ ในเมื่อมนุษย์โอ้อวด
เป็นไปอยู่อย่างนี้ ก็สิ่งที่รกชัฏคือมนุษย์ สิ่งที่ตื้นคือสัตว์ พระพุทธเจ้าข้า
ด้วยว่าข้าพระพุทธเจ้าสามารถจะให้ช้างที่พอฝึกแล้วแล่นไปได้ ช้างนั้น
จักทำนครจัมปา ให้เป็นที่ไปมาโดยระหว่าง ๆ จักทำความโอ้อวด ความโกง
 
๒๐/๓/๓

วันเสาร์, กรกฎาคม 20, 2567

Rop Kuan

 
ใดหรือคลื่นตามปกติมาด้วยกำลังลม ย่อมท่วมประเทศใด ไม่ควรทำกรรมใน
ประเทศนั้น แต่คลื่นตามปกติเกิดขึ้นแล้ว หยุดอยู่แค่ประเทศใดประเทศนั้น
จำเดิมแต่ชายน้ำลงไป จัดเป็นภายในทะเล ภิกษุทั้งหลายพึงตั้งอยู่ในประเทศ
นั้น ทำกรรมเถิด ถ้ากำลังคลื่นรบกวนอาทิผิด สระ พึงสถิตอยู่บนเรือ หรือร้านกระทำ-
กรรม.
วินิจฉัยในเรือและร้านเหล่านั้น พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในแม่น้ำ
นั่นแล. ศิลาดาดมีอยู่ในทะเล. บางคราว คลื่นมาท่วมศิลาดาดนั้น บางคราวไม่
ท่วม ไม่ควรทำกรรมบนศิลาดาดนั้น. เพราะว่าศิลาดาดนั้น ย่อมนับเป็น
คามสีมาด้วย. แต่ถ้า เมื่อคลื่นมาก็ดี ไม่มาก็ดี ศิลาดาดนั้น อันน้ำตามปกตินั่น
เองท่วมอยู่ ย่อมควร.
เกาะหรือภูเขา มีอยู่ ถ้าเกาะหรือภูเขานั้น อยู่ในย่านไกลไม่เป็นทาง
ไปของพวกชาวประมง เกาะหรือภูเขานั้น ย่อมนับเข้าเป็นอรัญญสีมานั่นแล.
ส่วนร่วมในแห่งปลายทางเป็นที่เป็นไปของพวกชาวประมงเหล่านั้น นับเป็น
คามสีมา. . . ไม่ชำระคามสีมาให้เรียบร้อยแล้ว ทำกรรมที่เกาะภูเขานั้น ไม่ควร.
ทะเลท่วมคามสีมาหรือนิคมสีมาตั้งอยู่ คงเป็นทะเล, จะทำกรรมในทะเลนั้น
ย่อมควร. แต่ถ้าท่วมวิหารสีมา ย่อมถึงความนับว่า วิหารสีมา ด้วย.
อันภิกษุทั้งหลายผู้จะทำกรรมในชาตสระเล่า ในพรรษาอาทิผิด สระกาลมีประการ
ดังกล่าวแล้วในหนหลัง พอฝนขาด น้ำในสระใดไม่พอเพื่อจะดื่ม หรืออาบ
หรือล้างมือและเท้า แห้งหมด; สระนี้ไม่จัดเป็นชาตสระ ถึงความนับว่าเป็น
คามเขตนั่นเอง; ไม่ควรทำกรรมในสระนั้น. แต่ในพรรษากาลมีประการดังกล่าว
แล้ว น้ำขังอยู่ในสระใด สระนี้แลจัดเป็นชาตสระ. ตลอด ๔ เดือนฤดูฝนน้ำ
ขังอยู่ในประเทศเท่าใดแห่งชาตสระนั้น สมควรทำกรรมในประเทศเท่านั้นได้.
 
๖/๑๖๕/๔๒๙

วันศุกร์, กรกฎาคม 19, 2567

Bukkhon

 
[๔๐๑] บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร ชน
เป็นอันมากอาศัยบุคคลผู้นั้นเลี้ยงชีพ บุคคลผู้นั้นจาก
เรือนของตนไปที่ไหน ๆ ย่อมมีภักษาหารมากมาย.
บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคลผู้นั้นไปสู่
ชนบท นิคม ราชธานีใด ๆ ย่อมเป็นผู้อันหมู่ชนใน
ที่นั้น ๆ ทั้งหมดบูชา. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่า
มิตร โจรทั้งหลายไม่ข่มเหงบุคคลอาทิผิด อักขระผู้นั้น กษัตริย์ก็มิได้
ดูหมิ่นบุคคลผู้นั้น บุคคลผู้นั้นย่อมข้ามพ้นหมู่อมิตร
ทั้งปวง. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคล
ผู้นั้นจะมาสู่เรือนของตนด้วยมิได้โกรธเคืองใคร ๆ มา
ได้ความยินดีปรีดาในสภาที่ประชุม เป็นผู้สูงสุดของ
หมู่ญาติ. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคล
ผู้นั้นสักการะคนอื่น ก็จะเป็นผู้อันคนอื่นสักการะตน
เคารพคนอื่น ก็จะเป็นผู้อันคนอื่นเคารพตน ย่อมเป็น
ผู้ได้รับความยกย่องและเกียรติคุณ. บุคคลผู้ใดมิได้
ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคลผู้นั้นบูชาผู้อื่น ก็ย่อมได้
บูชาตอบ ไหว้ผู้อื่น ก็ย่อมได้ไหว้ตอบ และย่อมถึง
ยศและเกียรติ. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร
บุคคลผู้นั้น ย่อมรุ่งเรืองดุจกองเพลิง ย่อมไพโรจน์ดุจ
เทวดา มีสิริประจำตัว. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้าย
เหล่ามิตร โคทั้งหลายของบุคคลผู้นั้นย่อมเกิด พืชที่
หว่านไว้ในนาย่อมงอกงาม บุคคลผู้นั้นย่อมได้บริโภค
 
๖๓/๔๐๑/๓

วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 18, 2567

Klao

 
อาภัสสรพรหม ย่อมสำคัญหมายในอาภัสสรพรหม ย่อมสำคัญหมายโดย
ความเป็นอาภัสสรพรหม ย่อมสำคัญหมายอาภัสสรพรหมว่าของเรา ย่อม
ยินดียิ่งซึ่งอาภัสสรพรหม. ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร ? เราตถาคตกล่าวอาทิผิด อักขระว่า
เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.
ย่อมหมายรู้สุภกิณหพรหม โดยความเป็นสุภกิณหพรหม ครั้น
หมายรู้สุภกิณหพรหมโดยความเป็นสุภกิณหพรหมแล้ว ย่อมสำคัญหมาย
สุภกิณหพรหม ย่อมสำคัญหมายในสุภกิณหพรหม ย่อมสำคัญหมายโดย
ความเป็นสุภกิณหพรหม ย่อมสำคัญหมายสุภกิณหพรหมว่าของเรา ย่อม
ยินดียิ่งซึ่งสุภกิณหพรหม. ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร ? เราตถาคตกล่าวว่า
เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.
ย่อมหมายรู้เวหัปผลพรหม โดยความเป็นเวหัปผลพรหม ครั้น
หมายรู้เวหัปผลพรหมโดยความเป็นเวหัปผลพรหมแล้ว ย่อมสำคัญหมาย
เวหัปผลพรหม ย่อมสำคัญหมายในเวหัปผลพรหม ย่อมสำคัญหมายโดย
ความเป็นเวหัปผลพรหม ย่อมสำคัญหมายเวหัปผลพรหมว่าของเรา ย่อม
ยินดียิ่งซึ่งเวหัปผลพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร ? เราตถาคตกล่าวว่า
เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.
ย่อมหมายรู้อสัญญีสัตว์ โดยความเป็นอสัญญีสัตว์ ครั้นหมาย
รู้อสัญญีสัตว์โดยความเป็นอสัญญีสัตว์แล้ว ย่อมสำคัญหมายอสัญญีสัตว์
ย่อมสำคัญหมายในอสัญญีสัตว์ ย่อมสำคัญหมายโดยความเป็นอสัญญีสัตว์
ย่อมสำคัญหมายอสัญญีสัตว์ว่าของเรา ย่อมยินดียิ่งซึ่งอสัญญีสัตว์. ข้อนั้น
เพราะเหตุอะไร ? เราตถาคตกล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้.
ย่อมหมายรู้อากาสานัญจายตนพรหม โดยความเป็นอากาสานัญ-
 
๑๗/๒/๔

วันพุธ, กรกฎาคม 17, 2567

Phothimanthasathan

 
ด้วยสามารถอิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์เป็นต้น หรือด้วยสามารถบทที่
ได้ในอารมณ์ที่ได้เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้ทราบ และที่ได้รู้ ๑๓ วาระบ้าง
๕๒ นัยบ้าง มีชื่อมากมายโดยนัยเป็นต้นว่า รูป คือ รูปายตนะเป็น
ไฉน ? คือ รูปใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นแสงสี เป็นรูปที่เห็นได้
เป็นรูปที่กระทบได้ เป็นรูปสีเขียว เป็นรูปสีเหลือง ดังนี้ ย่อมเป็น
อารมณ์ที่แท้จริงอย่างเดียว ไม่มีแปรผัน. แม้ในอารมณ์มีเสียงเป็นต้น
ที่มาปรากฏแม้ในโสตทวารเป็นต้น ก็นัยนี้. ข้อนี้สมด้วยพระบาลี ที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อารมณ์ใดที่โลกพร้อม
ทั้งเทวดา พร้อมทั้งมาร พร้อมทั้งพรหม พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ พร้อม
ทั้งเทวดาและมนุษย์ได้เห็น ได้ยิน ได้ทราบ ได้รู้ ถึงแล้ว แสวงหา
แล้ว ค้นคว้าแล้ว ด้วยใจ เราย่อมรู้ซึ่งอารมณ์นั้น รู้ยิ่งแล้ว ซึ่ง
อารมณ์นั้น อารมณ์นั้น ตถาคต ทราบแล้ว ไม่ปรากฏแล้วในตถาคต ดังนี้ .
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะทรงเห็นอารมณ์ที่
แท้จริง เป็นอย่างนี้. พึงทราบความสำเร็จบทว่า ตถาคต มีเนื้อความว่า
ทรงเห็นอารมณ์ที่แท้จริง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะมีวาจาที่แท้
จริง เป็นอย่างไร ?
ตลอดราตรีใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนอปราชิตบัลลังก์
โพธิมัณฑอาทิผิด สระสถาน ทรงล้างสมองมารทั้ง ๓ แล้ว ตรัสรู้พระอนุตตร-
สัมมาสัมโพธิญาณ และตลอดราตรีใดที่พระองค์เสด็จปรินิพพานด้วยอนุ-
ปาทิเสสนิพพานธาตุ ในระหว่างไม้สาละทั้งคู่ ในระหว่างนี้ คือ ใน
กาลประมาณ ๔๕ พรรษา พระวาจาใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ทั้ง
 
๑๑/๙๐/๑๘๐

วันอังคาร, กรกฎาคม 16, 2567

Lao Nan

 
มิให้เหลือ ด้วยสามารถแห่งภาษิตในที่แม้นี้ว่า นี้เป็นอรรถแห่งภาษิตนี้
นี้เป็นอรรถแห่งภาษิตนี้ ดังนี้ ว่า เป็นอัตถปฏิสัมภิทา ดังนี้แล.
สุตตันตภาชนีย์ จบ

วรรณนาอภิธรรมภาชนีย์
บรรดาปฏิสัมภิทา ๔ เหล่าอาทิผิด อาณัติกะนั้น ปฏิสัมภิทา ๓ คือ ธัมมะ,
นิรุตติ, ปฏิภาณปฏิสัมภิทา เป็นโลกียะ. อัตถปฏิสัมภิทา เป็น
มิสสกะ คือ เป็นโลกิยะก็มี เป็นโลกุตตระก็มี. จริงอยู่ อัตถปฏิ-
สัมภิทานั้น เป็นโลกุตตระด้วยสามารถแห่งญาณในมรรคและผล อัน
มีพระนิพพานเป็นอารมณ์.
ในอภิธรรมภาชนีย์ ท่านจำแนกปฏิสัมภิทาเหล่านั้นโดยวาระทั้ง ๔
ด้วยสามารถแห่ง กุศล อกุศล วิบาก และกิริยา. ในธรรมเหล่านั้น บัณฑิต
พึงทราบว่า กุศลจิตท่านจำแนกไว้ในจิตตุปปาทกัณฑ์ในหนหลัง มีประมาณ
เท่าไร พึงทราบปฏิสัมภิทาอย่างละ ๔ ในจิตตนิทเทสหนึ่งๆ ด้วยสามารถแห่ง
ธรรมเหล่านั้นแม้ทั้งหมด. แม้ในอกุศลจิตทั้งหลาย ก็นัยนี้แหละ.

ปฏิสัมภิทา ๓ (เว้นธัมมะ)
ในวาระว่าด้วยวิบากและกิริยา ท่านเว้นธัมมปฏิสัมภิทาเสีย
เพราะความที่วิบากและกิริยาทั้งหลายท่านสงเคราะห์ด้วยอัตถปฏิ-
สัมภิทา. ในวิปากจิตก็ดี ในกิริยาจิตก็ดี อย่างหนึ่ง ๆ ท่านจำแนก
ปฏิสัมภิทาไว้อย่างละ ๓ เท่านั้น.

๑. ธัมมะ ได้แก่ กามาวจรกุศลจิต รูปาวจรกุศลจิต อรูปาวจรกุศลจิต โลกุตตรจิต และอกุศลจิต ๒. อัตถะ ได้แก่ อเหตุกกุศลวิปากจิต กามาวจรวิปากจิต รูปาวจรวิปากจิต อรูปาวจรวิปากจิต โลกุตตรวิปากจิต และอกุศลวิปากจิต.
 
๗๘/๗๙๔/๕๕๒

วันจันทร์, กรกฎาคม 15, 2567

Phak

 
พระสุตตันตปิฎก
ขุททกนิกาย มหานิทเทส
เล่มที่ ๕ ภาคอาทิผิด อักขระที่
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อัฏฐกวัคคิกะ
ปุราเภทสุตตนิทเทสที่ ๑๐
[๓๗๔] (พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า) บุคคลมีความเห็นอย่างไร
มีศีลอย่างไร อันบัณฑิตกล่าวว่า เป็นผู้เข้าไปสงบแล้ว
ข้าแต่พระโคดม พระองค์ถูกถามแล้ว ขอจงตรัสบอก
บุคคลนั้น ซึ่งเป็นนรชนผู้อุดม แก่ข้าพระองค์.

ว่าด้วยคำถามของพระพุทธนิมิต
[๓๗๕] คำว่า มีความเห็นอย่างไร ในคำว่า บุคคลมีความเห็น
อย่างไร มีศีลอย่างไร อันบัณฑิตกล่าวว่า เป็นผู้เข้าไปสงบแล้ว
ความว่า บุคคลประกอบด้วยความเห็นเช่นไร คือ ด้วยความดำรงอยู่
อย่างไร ด้วยประการอย่างไร ด้วยส่วนเปรียบอย่างไร เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า มีความเห็นอย่างไร. คำว่า มีศีลอย่างไร ความว่า บุคคลประกอบ

๑. บาลีเล่มที่ ๒๙. คำนี้พม่าเป็นอัฏฐกวัคคะ.
 
๖๖/๓๗๔/๑

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 14, 2567

Thi Sam

 
พระสุตตันตปิฎก
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ
เล่มที่ ๑
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สรณคมน์ในขุททกปาฐะ
ว่าด้วยการถึงพระรัตนตรัย
[๑] ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ข้าพเจ้าถึง
พระธรรมเป็นสรณะ ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ.
แม้ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
แม้ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าถึงพระธรรมเป็นสรณะ แม้ครั้งที่
๒ ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ.
แม้ครั้งที่๓ ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
แม้ครั้งที่ ๓ ข้าพเจ้าถึงพระธรรมเป็นสรณะ แม้ครั้ง
ที่ อาทิผิด ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ.
จบสรณคมน์
 
๓๙/๑/๑

วันเสาร์, กรกฎาคม 13, 2567

Samana

 
สั่งมาอย่างนี้ว่า ขอท่านทั้งหลายจงรอก่อน แม้จังกีพราหมณ์ก็จักไปเฝ้าพระ-
สมณโคดมด้วย.
[๖๔๙] ก็สมัยนั้นแล พราหมณ์ต่างเมืองประมาณ ๕๐๐ พักอยู่ใน
หมู่บ้านโอปาสาทะ ด้วยกรณียกิจบางอย่าง พราหมณ์เหล่านั้นได้ฟังข่าวว่า
จังกีพราหมณ์จักไปเฝ้าพระสมณโคดม ลำดับนั้น พราหมณ์เหล่านั้นพากัน
เข้าไปหาจังกีพราหมณ์ถึงที่อยู่ แล้วได้ถามจังกีพราหมณ์ว่า ได้ทราบว่า ท่าน
จังกีจักไปเฝ้าพระสมณโคดมจริงหรือ จังกีพราหมณ์ตอบว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ
ทั้งหลาย เป็นความจริงอย่างนั้น แม้เราจักไปเฝ้าพระสมณโคดม.
พวกพราหมณ์. ท่านจังกีอย่าไปเฝ้าพระสมณโคดมเลย ท่านจังกีไม่สมควร
จะไปเฝ้าพระสมณโคดม พระสมณโคดมสมควรจะเสด็จมาหาท่านจังกี เพราะว่า
ท่านจังกีเป็นอุภโตสุชาตทั้งฝ่ายมารดาและบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจด
ตลอด ๗ ชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครคัดค้านติเตียนได้โดยอ้างถึงชาติ แม้เพราะ
เหตุที่ท่านจังกีเป็นอุภโตสุชาต... ไม่มีใครคัดค้านติเตียนได้โดยอ้างถึงชาตินี้
ท่านจังกีจึงไม่สมควรจะไปเฝ้าสมณโคดม แต่พระสมณอาทิผิด อักขระโคดมนั่นแล สมควร
เสด็จมาหาท่านจังกี ท่านจังกีแลเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก...
ท่านจังกีแลเป็นผู้รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุและคัมภีร์เกฏุภะ
พร้อมทั้งประเภทอักษรมีคัมภีร์อิติหาสะเป็นที่ ๕ เข้าใจตัวบท เข้าใจไวยากรณ์
ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะ และตำราทำนายมหาปุริสลักษณะ . . . ท่านจังกีแล
เป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยผิวพรรณผุดผ่องยิ่งนัก มี
วรรณคล้ายพรหม มีสรีระคล้ายพรหม น่าดูน่าชมไม่น้อย . . . ท่านจังกีอาทิผิด สระแล
เป็นผู้มีศีล มีศีลยั่งยืน ประกอบด้วยศีลยั่งยืน ท่านจังกีแลเป็นผู้มีวาจาไพเราะ
มีเสียงไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของชาวเมืองสละสลวย ไม่มีโทษ ให้ผู้ฟัง
เข้าใจเนื้อความได้ชัด. . . ท่านจังกีแลเป็นอาจารย์และปาจารย์ของคนเป็น
 
๒๑/๖๔๙/๓๔๒

วันศุกร์, กรกฎาคม 12, 2567

Nitcha

 
วิญญาณัญจายตนสัญญาด้วยอากิญจัญญายตนสมาบัติ ทรงก้าวล่วงอากิญ-
จัญญายตนสัญญาด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ เสด็จไปแล้ว ทรง
ละนิจจอาทิผิด อักขระสัญญาด้วยอนิจจานุปัสสนา ทรงละสุขสัญญาด้วยทุกขานุปัสสนา
ทรงละอัตตสัญญาด้วยอนัตตานุปัสสนา ทรงละความเพลิดเพลินด้วย
นิพพิทานุปัสสนา ทรงละความกำหนัดด้วยวิราคานุปัสสนา. ทรงละสมุทัย
ด้วยนิโรธานุปัสสนา ทรงละความยึดมั่นด้วยปฏินิสสัคคานุปัสสนา ทรงละ
ฆนสัญญาด้วยขยานุปัสสนา ทรงละความเพิ่มพูนด้วยวยานุปัสสนา ทรงละ
ความยั่งยืนด้วยวิปริณามานุปัสสนา ทรงละนิมิตตอาทิผิด อักขระสัญญาด้วยอนิมิตตา-
นุปัสสนา ทรงละการตั้งมั่นแห่งกิเลสด้วยอัปปณิหิตานุปัสสนา ทรงละการ
ยึดมั่นด้วยสุญญตานุปัสสนา ทรงละความยึดมั่นด้วยการยึดถือว่าเป็นสาระ
ด้วยอธิปัญญาธรรมวิปัสสนา ทรงละความยึดมั่นโดยความลุ่มหลงด้วยยถา-
ภูตญาณทัสสนะ ทรงละความยึดมั่นในธรรมเป็นที่อาลัยด้วยอาทีนวานุ-
ปัสสนา ทรงละการไม่พิจารณาสังขารด้วยปฏิสังขานุปัสสนา ทรงละความ
ยึดมั่นในการประกอบกิเลสด้วยวิวัฏฏานุปัสสนา ทรงหักกิเลสอันตั้งอยู่ร่วม
กับทิฏฐิด้วยโสดาปัตติมรรค ทรงละกิเลสหยาบด้วยสกทาคามิมรรค ทรง
เพิกกิเลสอย่างละเอียดด้วยอนาคามิมรรค ทรงตัดกิเลสทั้งหมดได้ด้วย
อรหัตตมรรค เสด็จไปแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต
เพราะเสด็จไปอย่างนั้น เป็นอย่างนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะเสด็จมาสู่
ลักษณะที่แท้ เป็นอย่างไร ?
ปฐวีธาตุมีลักษณะแข้นแข็ง เป็นลักษณะแท้ไม่แปรผัน อาโปธาตุ
มีลักษณะไหลไป เตโชธาตุมีลักษณะร้อน วาโยธาตุมีลักษณะเคลื่อนไป
 
๑๑/๙๐/๑๗๖

คลังบทความของบล็อก