วันจันทร์, กันยายน 30, 2567

Sabiang

 
ดังนี้ ฉันใด ศัตรูของเขาย่อมไม่ได้โอกาส เขาเป็นผู้ไม่ประมาท จึงได้เล่นงาน
นักขัตฤกษ์แล้วเปล่งอุทานว่า อโห วันนักขัตฤกษ์ดังนี้ ฉันใด ภิกษุก็ฉัน
นั้นเหมือนกัน คิดว่า ขึ้นชื่อว่า ถีนมิทธะนี้ กระทำความฉิบหายใหญ่ดัง
นี้ จึงเจริญธรรม ๖ อย่าง ละถีนมิทธะได้ ภิกษุนั้นชื่อว่าละถีนมิทธะแล้ว
อย่างนี้ บุรุษผู้พ้นจากเครื่องจองจำเล่นงานนักขัตฤกษ์ตลอดเบื้องต้น
ท่ามกลาง และที่สุดได้แม้ทั้ง ๗ วัน ก็เสวยอยู่ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด
แห่งธรรมนักขัตต์ ฉันใด บรรลุพระอรหัต พร้อมทั้งปฏิสัมภิทา ฉันนั้น
เหมือนกัน. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสการละถีนมิทธะ เหมือน
การพ้นจากเครื่องจองจำ.
เหมือนอย่างว่า ทาสเข้าไปอาศัยมิตรคนใดคนหนึ่ง ให้ทรัพย์แก่
นาย กระทำตนให้เป็นไทได้แล้ว จำเดิมแต่นั้นมา พึงทำสิ่งที่ตนปรารถนา
ได้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน คิดว่าขึ้นชื่อว่า อุทธัจจกุกกุจจะกระทำ
ความฉิบหายใหญ่ ดังนี้ จึงเจริญธรรม ๖ อย่าง แล้วละอุทธัจจกุกกุจจะ
ได้. ภิกษุนั้นชื่อว่า ละอุทธัจจกุกกุจจะแล้วด้วยอาการอย่างนี้ บุรุษผู้เป็นไท
แก่ตัว ปรารถนาจะทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้นได้ ใครจะยับยั้งเขาจากการกระทำ
นั้นโดยพลการไม่ได้ ฉันใด ภิกษุย่อมปฏิบัติเนกขัมมปฏิปทาตามสบาย
ฉันนั้นเหมือนกัน อุทธัจจกุกกุจจะใครๆ จะยังเธอให้กลับจากเนกขัมมปฏิปทา
นั้นมาสู่อุทธัจจกุกกุจจะโดยพลการไม่ได้. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาค
เจ้า จึงตรัสการละอุทธัจจกุกกุจจะได้เหมือนความเป็นไท.
เหมือนอย่างว่า บุรุษผู้มีกำลังถือเสบียงอาทิผิด สระกรังตระเตรียมอาวุธพร้อม
กับบริวารดำเนินไปสู่ทางกันดาร พวกโจรเห็นเขาแต่ไกลพึงหนีไป บุรุษ
นั้น ก็ผ่านทางกันดารนั้นไปถึงความปลอดภัยได้ด้วยความสวัสดี พึงเป็นผู้
ร่าเริงยินดีแล้ว ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน คิดว่า ชื่อว่า วิจิกิจฉานี้
ย่อมกระทำความฉิบหายมิใช่ประโยชน์ ดังนี้ จึงเจริญธรรม ๖ อย่างแล้วละ
 
๑๙/๔๗๘/๒๓๑

วันอาทิตย์, กันยายน 29, 2567

Hinghoi

 
แสงสว่าง ไม่แผดแสง เหมือนความมืดในราตรี. บทว่า เอวํ โอภาสิตเมว
ติตฺถิยานํ ความว่า หิ่งห้อยอาทิผิด นั้น ก่อนแต่พระอาทิตย์ขึ้น ย่อมส่องแสงฉันใด
พวกเดียรถีย์อันได้นามว่า ตักกิกา เพราะยึดถือทิฏฐิ ด้วยเหตุเพียงตริตรึก
กำหนด สว่างคือตั้งส่องแสงด้วยเดชแห่งลัทธิของตน ตราบเท่าที่พระ-
สัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่เสด็จอุบัติขึ้นในโลก. บทว่า น ตกฺกิกา สุชฺฌนฺติ
น จาปิ สาวกา ความว่า ก็ในคราวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติขึ้น
ในโลก ทิฏฐิคติกบุคคล ย่อมไม่บริสุทธิ์ ย่อมไม่งาม ทั้งสาวกของทิฏฐิ-
คติกบุคคลเหล่านั้น ก็ไม่งาม ถึงกระนั้นก็ถูกกำจัดรัศมี ไม่ปรากฏเหมือน
ลูกศรที่ยิงไปในราตรี. อีกอย่างหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่เสด็จ
อุบัติขึ้นในโลกเพียงใด พวกเดียรถีย์ก็ยังแผดแสงโชติช่วง ตามลัทธิของ
ตน หลังจากนั้นก็ไม่มีแสง. เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุที่พวกเดียรถีย์ไม่
บริสุทธิ์ ทั้งสาวกของเขาก็ไม่บริสุทธิ์. เพราะพวกเดียรถีย์เหล่านั้น กล่าว
ธรรมวินัยไว้ไม่ดี ไร้การปฏิบัติชอบ ย่อมไม่บริสุทธิ์จากสงสารไปได้
เพราะคำสอนไม่เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ผู้มี
ทิฏฐิชั่ว ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ ดังนี้เป็นต้น. จริงอยู่ พวกเดียรถีย์
ทั้งหลาย ชื่อว่าผู้มีทิฏฐิชั่ว คือมีทิฏฐิอันยึดถือไว้ผิด ได้แก่มีความเห็น
ผิด เพราะไม่มีลัทธิตามความเป็นจริง ไม่สละทิฏฐินั้นแล้ว แม้ในกาล
ไหน ๆ ก็ไม่พ้นไปจากทุกข์ในสงสารได้เลย.
จบอรรถกถาอุปปัชชันติสูตรที่ ๒
จบชัจจันธวรรควรรณนาที่ ๖
 
๔๔/๑๔๖/๖๕๘

วันเสาร์, กันยายน 28, 2567

Kratham

 
ฉะนั้น จึงชื่อว่าบารมี. บุรุษใดบำเพ็ญบารมีดังกล่าวมานี้ บุรุษนั้นชื่อว่า
มหาบุรุษ.
ความเป็นหรือการกระทำอาทิผิด สระของมหาบุรุษนั้น ชื่อว่าความเป็นผู้มีบารมี.
กรรมมีการบำเพ็ญทานเป็นต้นก็เป็น ความเป็นผู้มีบารมี พึงทราบอรรถแห่ง
ศัพท์ว่าบารมีโดยนัยดังกล่าวนี้แล.
บารมีมีกี่อย่าง ? โดยย่อมี ๑๐ อย่าง. บารมีเหล่านั้นปรากฏโดยสรุป
ในบาลี. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
ในกาลนั้นเราเลือกทานบารมี อันเป็นทาง
ใหญ่ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่ก่อนประ-
พฤติมาแล้ว เป็นครั้งแรก ได้เห็นแล้ว.
ดังที่พระสารีบุตรทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ธรรมอันทำให้เป็นพระพุทธเจ้ามีเท่าไรพระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ว่า ดูก่อนสารีบุตร ธรรมอันทำให้เป็นพระพุทธเจ้ามี ๑๐ ประการแล. ธรรม
๑๐ ประการคืออะไรบ้าง ? ดูก่อนสารีบุตร ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ
ขันติ สัจจะ อธิษฐานะ เมตตา อุเบกขา เป็นธรรมทำให้เป็นพระพุทธเจ้า.
ดูก่อนสารีบุตร ธรรม ๑๐ ประการเหล่านี้แล เป็นพุทธการกธรรม. พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดังนี้แล้ว พระสุคตครั้นตรัสพุทธพจน์นี้ พระศาสดา
ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า :-
 
๗๔/๓๖/๕๗๒

วันศุกร์, กันยายน 27, 2567

Sangkhati

 
บรรเทา ๑. เพราะสาวกผู้มีปัญญาดีพิจารณาแล้วพึงเสพ ฉะนั้นแล พึงทราบว่า
ภิกษุไม่ติดแล้วในธรรมเหล่านี้ คือ บิณฑบาต ที่นอน ที่นั่ง น้ำ และการซัก
มลทินผ้าสังฆาฏิอาทิผิด อักขระ เหมือนหยาดน้ำไม่ติดบนใบบัว ฉะนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงข้อปฏิบัติของพระขีณาสพอย่างนี้ ยัง
การปฏิบัติของนักบวชให้จบลงด้วยยอดคือพระอรหัตแล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรง
แสดงข้อปฏิบัติของคฤหัสถ์ จึงตรัสคำมีอาทิว่า คหฏฺฐวตฺตํ ปน โว เรา
จะบอกวัตรแห่งคฤหัสถ์แก่เธอทั้งหลาย ดังนี้.
ในคาถาเหล่านั้นพึงทราบวินิจฉัยในคาถาต้นก่อน. บทว่า สาวโก
ได้แก่ สาวกผู้ครองเรือน. บทที่เหลือมีความง่ายทั้งนั้น. แต่โยชนาแก้ว่า สาวก
ไม่พึงได้เพื่อจะถูกต้อง คือ ไม่อาจเพื่อบรรลุธรรมของภิกษุที่เรา (ตถาคต)
กล่าวไว้ก่อนจากนี้ล้วน คือ ไม่มีอามิส บริบูรณ์สิ้นเชิงด้วยอาการที่มีความหวง-
แหน ด้วยความหวงนาและไร่เป็นต้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปฏิเสธธรรมของภิกษุแก่สาวกผู้ครองเรือนนั้น
เมื่อจะทรงแสดงธรรมของคฤหัสถ์เท่านั้น จึงตรัสว่า ปาณํ น หเน ไม่พึง
ฆ่าสัตว์ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้นพึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้. ท่านกล่าวการเว้นจากการ
ฆ่าสัตว์ อันเป็นความบริสุทธิ์ชั้นยอดด้วยกึ่งคาถาต้น การปฏิบัติประโยชน์เกื้อ-
กูลในสัตว์ทั้งหลายด้วยกึ่งคาถาหลัง. ท่านพรรณนาบทที่ ๓ ไว้ในขัคควิสาณ-
สูตรในสุตตนิบาตนี้ ในบาทที่ ๔ ท่านพรรณนาประเภทของสัตว์ที่มั่นคงและที่
สะดุ้งไว้ในอรรถกถาเมตตสูตรครบทุกประการ. บทที่เหลือมีความง่ายทั้งนั้น.
 
๔๗/๓๓๓/๓๗๕

วันพฤหัสบดี, กันยายน 26, 2567

Ru

 
พระโพธิสัตว์ให้โอวาทแก่ศิษย์อย่างนี้. เขาฟังโอวาท
นั้นแล้ว จึงวางใจเป็นกลางได้ แม้ภรรยาของเขา ก็คิดว่า ได้ยินว่า
อาจารย์รู้เรื่องของเราแล้ว ตั้งแต่บัดนั้น ก็ไม่ทำกรรมอันลามกอีก.
แม้ภรรยาของอุบาสกนั้น ก็คิดว่า ได้ยินว่า พระศาสดา
รู้อาทิผิด เรื่องของเราแล้ว ตั้งแต่นั้นก็ไม่ทำบาปกรรมอีก.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสประกาศ
สัจจะทั้งหลาย เมื่อจบสัจจะอุบาสกก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.
แม้พระศาสดา ก็ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า คู่ผัวเมียใน
ครั้งนั้น ได้มาเป็นคู่เมียผัวในครั้งนี้ ส่วนพราหมณ์เป็นอาจารย์
ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอนภิรติชาดกที่ ๕
 
๕๖/๖๕/๑๔๕

วันพุธ, กันยายน 25, 2567

Litchawi

 
เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในธุดงค์คุณ ๑๓ ประการ กระทำกิจกรรม
ในอนุปัสสนา ๗ ใช้การจำแนกอารมณ์ ๓๘.
ก็ในวาระที่ ๓ เมื่อจะกล่าวสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า
กล่าวพุทธคุณทั้งหลายโดยปริยายแห่งพระสูตรนั่นแลว่า อิติปิ โส
ภควา ดังนี้เป็นต้น. กล่าวสรรเสริญพระธรรมคุณทั้งหลายโดย
ปริยายแห่งพระสูตรนั่นแหละว่า สฺวากฺขาโต ภควาตา ธมฺโม
ดังนี้เป็นต้น. กล่าวสรรเสริญพระสังฆคุณทั้งหลายโดยปริยาย
แห่งพระสูตรนั่นแหละว่า สุปฏิปนฺโนอาทิผิด สระ ภควโต สาวกสงฺโฆ
ดังนี้เป็นต้น. ลำดับนั้น สีหเสนาบดีคิดว่า ก็เมื่อลิจฉวีอาทิผิด อักขระราชกุมาร
เหล่านี้กล่าวพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ จำเดิมแต่วันที่ ๓
พระโอฐก็ไม่พอ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงประกอบ
ด้วยพระคุณไม่ต่ำทรามแน่ บัดนี้ เราจะไม่ละปีติที่เกิดขึ้นแล้วนี้
อย่างเด็ดขาด จักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าวันนี้. ลำดับนั้น
สีหเสนาบดีเกิดความวิตกขึ้นว่า พวกนิครนถ์จักกระทำอะไรแก่เรา
เล่า. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กึ หิ เม กริสฺสนฺติ ความว่า
นิครนถ์ทั้งหลายจักกระทำอะไรอาทิผิด สระแก่เรา. บทว่า อปโลกิตา วา
อนปโลกิตา วา ได้แก่ บอกกล่าวหรือจะไม่บอกกล่าว. อธิบายว่า
นิครนถ์เหล่านั้นเราบอกกล่าวแล้ว จักให้สมบัติ. คือยานพาหนะ
(และ) อิสริยยศอันพิเศษก็หาไม่ เราไม่บอกกล่าว เขาจักนำ
อิสริยยศไปเสียก็หามิได้ การบอกกล่าวนิครนถ์เหล่านั้นจึงไม่มีผล.
บทว่า เวสาลิยา นิยฺยาสิ ความว่า เหมือนอย่างว่า เมื่อฝนตก
ในฤดูร้อน น้ำไหลลงสู่แม่น้ำ ไหลไปได้หน่อยหนึ่งเท่านั้นก็หยุด
 
๓๗/๑๐๒/๓๗๕

วันอังคาร, กันยายน 24, 2567

Theri

 
นางขุชชุตตรานั้น นุ่งผืนหนึ่ง อีกผืนหนึ่งเอาห่มเฉวียงบ่าแล้ว
ปูลาดอาสนะนั่งบนอาสนะถือพัดอันวิจิตร ร้องทักมาตุคามทั้ง ๕๐๐ นางซึ่งนั่ง
อยู่บนอาสนะที่ต่ำกว่า ดำรงอยู่ในเสกขปฏิสัมภิทา แสดงธรรมแก่หญิงเหล่านั้น
ตามนิยามที่พระศาสดาทรงแสดงแล้วนั่นแล. เวลาจบเทศนา หญิงทั้งหลาย
นั้นได้บรรลุโสดาปัตติผล. หญิงทั้งหมดนั้นไหว้นางขุชชุตตราพลางกล่าวว่า
ข้าแต่แม่เจ้า ตั้งแต่วันนี้ไป ขอแม่เจ้าอย่าได้ทำอาทิผิด สระงานอันต่ำต้อยอีกต่อไปเลย
ขอแม่เจ้าจงดำรงอยู่ในฐานะเป็นมารดา ในฐานะเป็นอาจารย์ของเราทั้งหลาย
เถิด ดังนี้แล้ว ได้ตั้ง (นาง) ไว้ในฐานะเป็นที่เคารพ.

อดีตชาติของนางขุชชุตตรา
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร นางขุชชุตตรานี้จึงบังเกิดเป็นนางทาสี ?
ตอบว่า เล่ากันว่า ในกาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ
นางบังเกิดเป็นธิดาของเศรษฐีในเมืองพาราณสีเมื่อพระเถรีผู้เป็นพระขีณาสพ
รูปหนึ่งไปยังตระกูลอุปัฏฐาก ก็เรียนว่า ข้าแต่แม่เจ้า ขอแม่เจ้าจงให้กระเช้า
ประดับนั่นแก่ดิฉันเถิด ดังนี้แล้ว สั่งให้คนใช้ทำการรับใช้ (พระเถรี) ฝ่ายพระ-
เถรีอาทิผิด สระ คิดว่า เมื่อเราไม่ให้ นางจักเกิดความอาฆาต (ตายแล้ว) จักได้เกิดใน
นรก เมื่อเราให้ นางจักเกิดเป็นทาสีของคนอื่น การที่นาง (เกิด) เป็นทาสี
ดีกว่าการไหม้ในนรก ดังนี้แล้ว อาศัยความกรุณาจึงได้ทำตามคำของนาง.
ด้วยกรรมนั้น นางได้บังเกิดเป็นทาสีของคนอื่นสิ้น ๕๐๐ ชาติ.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร นางจึงอาทิผิด สระได้เป็นหญิงค่อม ? ตอบว่า เล่ากันว่า
เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้น นางอยู่ในพระราชวังของพระเจ้าพาราณสี
เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นราชกุลุปกะองค์หนึ่งหลังค่อมนิดหน่อย เมื่อจะ
ทำการล้อเลียนต่อหน้าหญิงที่อยู่ด้วยกันกับตน จึงได้แสดงอาการหลังค่อมเป็น
การสนุกสนานตามที่กล่าว เพราะเหตุนั้น นางจึงบังเกิดเป็นหญิงค่อม.
 
๔๕/๑๗๙/๕๕

วันจันทร์, กันยายน 23, 2567

Tam

 
พระองค์นั้น แล้วจึงได้เข้าไปหานิครนถ์นาฏบุตรถึงสำนัก ครั้นแล้วไหว้นิครนถ์
นาฏบุตร นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งและได้แจ้งความประสงค์นี้ แก่นิครนถ์
นาฏบุตรว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าอยากจะไปเฝ้าพระสมณโคดม.

อกิริยวาทกถา
นิครนถ์นาฏบุตรพูดค้านว่า ท่านสีหะ ก็ท่านเป็นคนกล่าวการทำ ไฉน
จึงจักไปเฝ้าพระสมณโคดมผู้เป็นคนกล่าวการไม่ทำเล่า เพราะพระสมณโคดม
เป็นผู้กล่าวการไม่ทำ ทรงแสดงธรรมเพื่อการไม่ทำ และทรงแนะนำสาวกตามอาทิผิด อักขระ
แนวนั้น.
ขณะนั้น ความตระเตรียมในอันจะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าของสีหะ
เสนาบดีได้เลิกล้มไป.
แม้ครั้งที่ ๒.
แม้ครั้งที่ ๓ เจ้าลิจฉวีบรรดาที่มีชื่อเสียง มีคนรู้จักได้นั่งประชุม
พร้อมกัน ณ ท้องพระโรง ต่างพากันตรัสสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ
พระสังฆคุณ โดยอเนกปริยาย ท่านสีหะเสนาบดีก็ได้คิดเป็นครั้งที่ ๓ ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น จักเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยไม่
ต้องสงสัยเลยคงเป็นความจริง เจ้าลิจฉวีบรรดาที่มีชื่อเสียง มีคนรู้จักเหล่านี้
จึงได้มานั่งประชุมพร้อมกัน ณ ท้องพระโรง ต่างพากันตรัสสรรเสริญพระพุทธ-
คุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ โดยอเนกปริยาย ก็พวกนิครนถ์ เราจะ
บอกหรือไม่บอกจักทำอะไรแก่เรา ผิฉะนั้น เราจะไม่บอกพวกนิครนถ์ ไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเลยทีเดียว จึงเวลาบ่าย
สีหะเสนาบดีออกจากพระนครเวสาลีพร้อมด้วยรถ ๕๐๐ คัน ไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ไปด้วยยวดยานตลอดพื้นที่ที่ยวดยานจะผ่านไปได้ แล้วลงจาก
 
๗/๗๘/๑๒๕

วันอาทิตย์, กันยายน 22, 2567

Thanu

 
ใช้มือที่จับบาตรนั่นแหละถือภัตอันเลิศ เกลี่ยถวายภัตในบาตรทั้งหมดต่อ
พระเจ้าโจรนาคราช ฉะนั้น.
ส่วนในการยังลาภที่ยังไม่ได้ให้เกิดขึ้น บัณฑิตพึงแสดงถึงเรื่องการ
ถวายมหาเภสัช ที่พระเจ้ามหานาคผู้เสด็จหนีจากฝั่งนี้ไปฝั่งโน้นแล้วได้รับความ
อนุเคราะห์ในสำนักของพระเถระรูปหนึ่ง ได้กลับมาดำรงอยู่ในราชสมบัติอีก
ทรงประพฤติให้เป็นไป ณ ลานวัดเสตัมพวิหาร ตลอดพระชนมชีพ. ในการทำ
ลาภที่เกิดขึ้นแล้วให้ถาวร พึงแสดงเรื่องที่พวกโจรได้รับปฏิสันถารจากมือของ
พระทีฆภาณกอภัยเถระแล้วไม่ปล้นห่อภัณฑะที่เจติยบรรพต.

ว่าด้วยนิทเทสอินทริเยสุอคุตตทวารตาทุกะ
จะวินิจฉัยนิทเทสความเป็นผู้ไม่สำรวมในอินทรีย์ ต่อไป
บทว่า จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา (เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว) ได้แก่เห็น
รูปด้วยจักขุวิญญาณอันสามารถในการเห็นรูป ซึ่งมีโวหารอันได้แล้วว่า จักษุ
ดังนี้ ด้วยสามารถเป็นเหตุ. ก็พระโบราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า จักษุย่อมไม่
เห็นรูป เพราะจักษุไม่ใช่จิต จิตก็เห็นรูป ไม่ได้ เพราะจิตไม่มีจักษุ แต่บุคคล
ย่อมเห็นได้ด้วยจิตที่มีปสาทวัตถุโดยการกระทบกันแห่งทวารและอารมณ์ ก็กถา
นี้เช่นนี้ ชื่อว่า สสัมภารกถา เหมือนในประโยคมีอาทิว่า เขายิงด้วยธนูอาทิผิด สระ ดังนี้
เพราะฉะนั้น ในอธิการนี้จึงมีคำอธิบายว่า เห็นรูปด้วยจักขุวิญญาณ ดังนี้.
บทว่า นิมิตฺตคฺคาหี (ผู้ถือนิมิต) ได้แก่ ย่อมถือนิมิตว่าเป็นหญิง
เป็นชาย หรือนิมิตอันเป็นที่ตั้งแห่งกิเลสมีความงามเป็นต้น ด้วยอำนาจฉันท-
ราคะ ไม่ดำรงอยู่ในรูปเพียงการเห็นเท่านั้น.
ได้ยินว่า พระเจ้าโจรนาคราชดุร้าย
 
๗๖/๘๗๗/๕๓๒

วันเสาร์, กันยายน 21, 2567

Yam Rung

 
ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าและพระธรรมว่าเป็น
สรณะที่พึ่งอันยอดเยี่ยม และข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์
สาวกของพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นนรเทพว่า เป็นสรณะ
ที่พึ่ง.
ข้าพเจ้างดเว้นจากการฆ่าสัตว์อย่างฉับพลัน
งดการถือเอาสิ่งของที่เขามิได้ให้ในโลก ข้าพเจ้าไม่
ดื่มน้ำเมา และไม่กล่าวเท็จ และเป็นผู้ยินดีด้วย
ภรรยาของตน ดังนี้.
แม้คำนั้น ก็รู้ง่ายเหมือนกัน.
แต่นั้น เทพบุตรคิดว่า กิจที่ควรกระทำแก่พราหมณ์ เราก็กระทำ
เสร็จแล้ว บัดนี้พราหมณ์คงจักเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเองดังนี้แล้วได้
อันตรธานไป ณ ที่นั้นเอง แม้พราหมณ์ก็เกิดเลื่อมใสและนับถือมากใน
พระผู้มีพระภาคเจ้า และถูกเทวดาเตือน จึงบ่ายหน้าไปวิหารด้วยหมายใจ
จักเข้าเฝ้าพระสมณโคดม มหาชนเห็นดังนั้น คิดว่า พราหมณ์นี้ไม่เข้า
เฝ้าพระตถาคตตลอดกาลเท่านี้ วันนี้เข้าเฝ้าเพราะโศกถึงบุตร จักมีพระ-
ธรรมเทศนาเช่นไรหนอ จึงพากันติดตามพราหมณ์นั้นไป.
พราหมณ์เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำปฏิสันถารแล้ว กราบทูล
อย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม คนไม่ให้ทานอะไร ๆ หรือไม่รักษาศีล
เพียงแต่เลื่อมใสในพระองค์อย่างเดียว จะบังเกิดในสวรรค์ได้หรือ พระผู้
มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ท่านพราหมณ์ เมื่อย่ำอาทิผิด อาณัติกะรุ่งวันนี้ มัฏฐกุณฑลี
เทพบุตรได้บอกเหตุที่เข้าถึงเทวโลกของตน แก่ท่านแล้วมิใช่หรือ ขณะ
 
๔๘/๘๓/๖๔๑

วันศุกร์, กันยายน 20, 2567

Suk Sai

 
เรานี้แลมีรูปประกอบด้วยมหาภูต ๔ เกิดแต่บิดามารดา เติบโตขึ้นด้วยข้าวสุก
และขนมสดไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็น
ธรรมดาและวิญญาณของเรานี้ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้ ดูก่อนอุทายี
เปรียบเหมือนแก้วไพฑูรย์อันงาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ ๘ เหลี่ยม นายช่างเจีย-
ระไนดีแล้ว สุกใสอาทิผิด สระ แวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียวเหลืองแดงขาวหรือนวล
ร้อยอยู่ในนั้น บุรุษมีจักษุจะพึงหยิบแก้วไพฑูรย์นั้นวางไว้ในมือแล้วพิจารณา
เห็นว่า แก้วไพฑูรย์นี้งาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ ๘ เหลี่ยม นายช่างเจียระไน
ดีแล้ว สุกใส แวววาวสมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียวเหลืองแดงขาวหรือนวล
ร้อยอยู่ในนั้นฉันใด สาวกทั้งหลายของเราก็ฉันนั้น ปฏิบัติตามปฏิปทาที่เรา
บอกแล้ว ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แลมีรูป ประกอบด้วยมหาภูต ๔
เกิดแต่มารดาบิดา เติบโตขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสด ไม่เที่ยง ต้องอบ ต้อง
นวดฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็นธรรมดา และวิญญาณของเรานี้
ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้.
ก็เพราะสาวกทั้งหลายของเรา ปฏิบัติตามปฏิปทาที่เราบอกแล้ว ย่อม
รู้ชัดอย่างนี้แล สาวกของเราเป็นอันมากจึงได้บรรลุบารมี อันเป็นที่สุดแห่ง
อภิญญาอยู่.
[๓๔๘] ดูก่อนอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทาแก่สาวก
ทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งหลายของเราปฏิบัติตามแล้ว ย่อมนิรมิตกายอื่นจากกาย
นี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูก่อน
อุทายี เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่าง
นี้ว่า นี้ไส้ นี้หญ้าปล้อง หญ้าปล้องก็อย่างหนึ่ง ไส้ก็อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออก
จากหญ้าปล้องนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักดาบออกจากฝัก
 
๒๐/๓๔๘/๕๗๑

วันพฤหัสบดี, กันยายน 19, 2567

Pannatti Watcha

 
ถ้าว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพึงตรัสว่า พวกเธอแบ่งกันฉันเถิด, พวกชาว-
บ้านจะพึงคลายความเลื่อมใส.
บทว่า อุสฺสาทยิตฺถ แปลว่า ได้ถูกนำกลับคืนไป. มีคำอธิบายว่า
พวกชาวบ้านได้นำขาทนียะนั้นกลับไปยังเรือนอย่างเดิม.
ในคำว่า สนฺตํ ภีกฺขุํ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้:- ภิกษุชื่อว่ามีอยู่ด้วย
เหตุมีประมาณเท่าไร ? ชื่อว่า ไม่มี ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร ? คือ ภิกษุ
ผู้อยู่ในสถานแห่งใดภายในวิหาร เกิดมีความคิดว่า จะเข้าไปเยี่ยมตระกูล,
จำเดิมอาทิผิด อักขระแต่นั้น เห็นภิกษุใดที่ข้าง ๆ หรือตรงหน้า หรือภิกษุใดที่ตนอาจจะบอก
ด้วยคำพูดตามปกติได้, ภิกษุนี้ชื่อว่า มีอยู่. แต่ไม่มีกิจที่จะต้องเที่ยวไปบอก
ลาทางโน้นและทางนี้. จริงอยู่ ภิกษุที่ตนต้องเที่ยวหาบอกลาอย่างนี้ ชื่อว่า
ไม่มีนั่นเอง. อีกนัยหนึ่ง ภิกษุไปด้วยทำในใจว่า เราพบภิกษุภายในอุปจาร-
สีมาแล้วจักบอกลา พึงบอกลาภิกษุที่ตนเห็นภายในอุปจารสีมานั้น ถ้าไม่พบ
ภิกษุ ชื่อว่า เป็นผู้เข้าไปไม่บอกลาภิกษุที่ไม่มี.
บทว่า อนฺตรารามํ ได้แก่ ไปสู่วิหารที่มีอยู่ในภายในบ้าน.
บทว่า ภตฺติยฆรํ ได้แก่ เรือนที่เขานิมนต์ หรือเรือนของพวก
ชาวบ้านผู้ถวายสลากภัตเป็นต้น.
บทว่า อาปทาสุ มีความว่า เมื่อมีอันตรายแห่งชีวิตและพรหมจรรย์
จะไปก็ควร. บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น .
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐานเหมือนกฐินสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายกับวาจา
๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นทั้งกิริยาทั้งอกิริยา เป็นโนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ
ปัณณัตติอาทิผิด อักขระวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล
จาริตสิกขาบทที่ ๖ จบ
 
๔/๕๕๔/๖๐๘

วันพุธ, กันยายน 18, 2567

Wa

 
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาคํ โอคาหมุตฺติณฺณํ ความว่า
ช้างทำการลงคือลงในแน่น้ำแล้วขึ้นจากแม่น้ำนั้น. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า
โอคยฺห อุตฺติณฺณํ ลงแล้วขึ้น ดังนี้ ม อักษรทำหน้าที่เชื่อมบท. บทว่า
นทีตีรมฺหิ อทฺทสํ ความว่า ได้เห็นที่ฝั่งแห่งแม่น้ำจันทภาคา.
บทว่า ปุริโส เป็นต้นที่กล่าวเพื่อแสดงความนี้ว่า ทำอะไร.
บาทคาถาว่า เทหิ ปาทนฺติ ยาจติ ในคาถานั้น ความว่าอาทิผิด อักขระ ให้สัญญาเหยียด
เท้าเพื่อขึ้นหลัง ว่าจงให้เท้า ก็ผู้ให้สัญญาตามที่ฝึกกัน ไว้ ท่านกล่าวในที่นี้ว่า
ยาจติ.
บทว่า ทิสฺวา อทนฺตํ ทมิตํ ความว่า ตามปกติช้างที่ไม่เคยฝึก
มาก่อน บัดนี้ได้รับการฝึกที่นายหัตถาจารย์ฝึกด้วยการศึกษาสำหรับช้าง
ประกอบความว่า ฝึกเช่นไรจึงอยู่ในอำนาจของมนุษย์ทั้งหลาย เห็นช้างที่พวก
มนุษย์บังคับนั้น ๆ. บทว่า ขลุ ในบทว่า ตโต จิตฺตํ สมาเธสึ ขลุ
ตาย วนํ คตา เป็นนิบาตลงในอรรถห้ามความอื่น ความว่า หลังจากนั้น
คือจากที่เห็นช้าง ข้าพเจ้าไปยังวนะคือป่า ทำจิตให้เป็นสมาธิทีเดียว ด้วย
กิริยาของช้างนั้นเป็นเหตุอย่างไร ข้าพเจ้าคิดว่า ช้างแม้นี้ชื่อว่าเป็นดิรัจฉาน
ยังถึงการฝึกด้วยความสามารถของผู้ฝึกช้างได้ เหตุไรจิตของเราผู้เป็นมนุษย์
จึงจักไม่ถึงการฝึก ด้วยความสามารถของพระศาสดาผู้ฝึกคนเล่า ดังนี้ เกิด
ความสังเวชเจริญวิปัสสนา ทำจิตของข้าพเจ้าให้เป็นสมาธิด้วยอรหัตมรรคสมาธิ
คือทำกิเลสให้สิ้นไปโดยประการทั้งปวงด้วยสมาธิอันแน่วแน่.
จบ อรรถกถาทันติกาเถรีคาถา
 
๕๔/๔๓๓/๘๙

วันอังคาร, กันยายน 17, 2567

Nam

 
กัจจายนวรรคที่ ๕๔

มหากัจจายนเถราปทานที่ ๑ (๕๓๑)

ว่าด้วยบุพจริยาของพระมหากัจจายนเถระ

[๑๒๑] พระพิชิตมารพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้ปราศจากตัณหา ทรงชำนะสิ่งที่ใคร ๆ เอาชนะ
ไม่ได้ เป็นพระผู้นำ ได้เสด็จอุบัติขึ้นในกัปที่แสน
แต่ภัทรกัปนี้
พระองค์เป็นผู้แกล้วกล้าสามารถ มีพระ-
อินทรีย์เสมือนใบบัว มีพระพักตร์ปราศจากมลทิน
คล้ายพระจันทร์ มีพระฉวีวรรณปานดังทองคำ มี
พระรัศมีซ่านออกจากพระองค์ เหมือนรัศมี
พระอาทิตย์ฉะนั้น
นำอาทิผิด อาณัติกะตาและใจของสัตว์ลง ประดับด้วย
พระลักษณะอันประเสริฐ ล่วงทางแห่งคำพูดทุก
อย่าง อันหมู่มนุษย์และอมรเทพสักการะ
ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ทรงยังสัตว์ให้
ตรัสรู้ ทรงนำไปได้อย่างรวดเร็ว มีพระสุรเสียง
ไพเราะ มีพระสันดานมากไปด้วยพระกรุณา ทรง
แกล้วกล้าในที่ประชุม
 
๗๒/๑๒๑/๒๑๒

วันจันทร์, กันยายน 16, 2567

Phuen

 
แม้ในวิกัปป์ทั้งสอง พึงเห็นการลบวิภัตติที่เสมอกันแห่งบทเบื้องต้น
ด้วยบทเบื้องปลายเสีย. คำถามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนั้น ผู้ศึกษาควรทราบ
ตามแนวคัมภีร์ศัพทศาสตร์.
หลายบทว่า มรเณนปิ มยนฺเต อกามกา วินา ภวิสฺสาม
ความว่า แม้ถ้าเมื่อเราทั้งสอง ยังมีชีวิตอยู่ เจ้าจะพึงตายไซร้, แม้ด้วยความ
ตายของเจ้านั้น เราทั้งสอง ก็ไม่ต้องการ คือไม่ปรารถนา ชื่อว่าจักไม่ยอม
เว้น (ให้เจ้าตาย) ตามความพอใจของตน, อธิบายว่า เราทั้งสองจักประสบ
ความพลัดพรากเจ้าไม่ได้.
หลายบทว่า กึ ปน มยํ ตํ ความว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เหตุ
อะไรเล่า จักเป็นเหตุให้เราทั้งสองอนุญาตให้เจ้าผู้ยังมีชีวิตอยู่ (ออกบวชเป็น
บรรพชิต).
อีกอย่างหนึ่ง ในบทว่า กึ ปน มยํ ตํ นี้ พึงเห็นใจความอย่าง
นี้ว่า ก็เพราะเหตุไรเล่า เราทั้งสอง จึงจักยอมอนุญาตให้เจ้าผู้ยังมีชีวิตอยู่.
บทว่า ตตฺเถว ความว่า (สุทินน์กลันทบุตรนั้น นอนลง) ในสถาน
ที่ที่เขายืนอยู่ ซึ่งมารดาบิดาไม่อนุญาตให้เขาบวชนั้นนั่นเอง
บทว่า อนนฺตรหิตาย ความว่า บนพื้นอาทิผิด อักขระที่อันมิได้ลาดด้วยเครื่อง
ปูลาดอะไร ๆ .
บทว่า ปริจาเรหิ ความว่า เจ้าจงให้พวกนักขับร้องนักเต้นรำและ
นักฟ้อนเป็นต้น บำรุงบำเรอเฉพาะตนแล้ว จงให้อินทรีย์ (คือร่างกายทุกส่วน)
เที่ยวไป คือให้สัญจรไปตามสบายร่วมกับสหายทั้งหลาย ในหมู่นักขับร้องเป็น
ต้นเหล่านั้น,อธิบายว่า เจ้าจงนำนักขับร้องเป็นต้น เข้ามาทางนี้และทางนี้เถิด.
 
๑/๗๘/๖๙๗

วันอาทิตย์, กันยายน 15, 2567

Kratham

 
ไปยังหิมวันตประเทศ แล้วให้ท้าวเธอเสด็จกลับ. พระเจ้ากิกีพรหมทัตเสด็จกลับ
บำเพ็ญบุญ ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดในตระกูลเศรษฐี
ในเสตัพยนครในพุทธุปบาทกาลนี้ เจริญวัยแล้ว เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับอยู่ในสีสปาวัน ณ เสตัพยนคร เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว
นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
พระศาสดาทรงตรวจดูอัธยาศัยของเขาแล้ว ทรงแสดงธรรมด้วยคาถา
นี้ว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ ดังนี้ เมื่ออนิจจ-
สัญญาปรากฏชัด ท่านจึงได้ความสลดใจ เพราะท่านมีอธิการอันกระทำไว้แล้ว
ในภพนั้น ๆ เริ่มพิจารณา กระทำอาทิผิด อักขระทุกขสัญญา และอนัตตสัญญาไว้ในใจ
ขวนขวายวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าว
ไว้ในอปทานว่า
สาวกทั้งหลายของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า
ปทุมุตตระ เที่ยวไปในป่า เป็นผู้หลงทาง เหมือนคน
ตาบอดเที่ยวอยู่ในป่าใหญ่ บุตรของพระมุนีเหล่านั้น
ระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า ปทุมุตตระ
ผู้เป็นนายกของโลก หลงทางอยู่ในป่าใหญ่ ข้าพระองค์
(เป็นเทพบุตร) ลงจากภพมาในสำนักของภิกษุ บอก-
ทางให้แก่พระสาวกเหล่านั้น และได้ถวายโภชนาหาร
ข้าแต่พระองค์ผู้จอมประชา เชษฐบุรุษของโลก ประ-
เสริฐกว่านระ ด้วยกรรมนั้น ข้าพระองค์ได้บรรลุ
พระอรหัตแต่อายุ ๗ ขวบเท่านั้น โดยกำเนิด ในกัปที่
๕๐๐ แต่ภัทรกัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๒ พระองค์
 
๕๐/๒๐๔/๓๓๗

วันเสาร์, กันยายน 14, 2567

Ma

 
สัทธัมมปัชโชติกา
อรรถกถาขุททกนิกาย มหานิทเทส
ภาคที่ ๒
อรรถกถาปุราเภทสุตตนิทเทสที่ ๑๐
พึงทราบวินิจฉัยในปุราเภทสุตตนิเทสที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้.
พึงทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยเหมือนกันแห่งสัตว์นี้ว่า กถํทสฺสี
บุคคลมีความเห็นอย่างไร ดังนี้เป็นต้น และสูตรอื่นจากสูตรนี้อีก ๕ สูตร
คือ กลหวิวาทสูตร ๑ จูฬวิยูหสูตร ๑ มหาวิยูหสูตร ๑ ตุวฏกสูตร ๑
อัตตทัณฑสูตร ๑ แต่โดยต่างกันพึงทราบดังต่อไปนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงแสดงธรรมให้เป็นที่สบายของ
เทวดาที่เป็นราคจริตในมหาสมัยนั้น ทรงให้พระพุทธนิมิตตรัสถามปัญหา
กะพระองค์แล้วจึงได้ตรัส สัมมาปริพพชานียสูตร ขึ้นด้วยประการใด
ในมหาสมัยนี้ก็ด้วยประการนั้นเหมือนกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ
จิตของทวยเทพผู้มีจิตเกิดขึ้นว่า ก่อนกายแตกควรจะทำอะไรหนอ เพื่อ
ทรงอนุเคราะห์ทวยเทพเหล่านั้น จึงทรงพาพระพุทธนิมิตพร้อมด้วยภิกษุ
บริวาร ๒,๕๐๐ รูปมาอาทิผิด อาณัติกะทางอากาศ แล้วทรงให้พระพุทธนิมิตทูลถามพระ-
องค์ จึงได้ตรัสพระสูตรนี้. ตรัสไว้อย่างไร. ตรัสไว้ดังต่อไปนี้ ธรรมดา
พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ใหญ่ยิ่ง เป็นสัตว์ผู้วิเศษ รูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้
ฟัง อารมณ์ที่ได้ทราบ ได้รู้แจ้ง ได้ถึง ได้แสวงหา ได้เที่ยวตามไปด้วยใจ
ของโลกพร้อมด้วยเทวโลกด้วยตนเอง บรรดารูปารมณ์ที่จำแนกออกไป
โดยมีสีเขียวเป็นต้น รูปารมณ์ไร ๆ หรือบรรดาสัททารมณ์ที่จำแนกออก
 
๖๖/๔๔๑/๖๓

วันศุกร์, กันยายน 13, 2567

Nan

 
นุสสติกรรมฐานด้วยบททั้ง ๗ นี้ เปรียบเหมือนพ่อค้ากล่าวสรรเสริญคุณ
วิสกัณฏกะ ทำให้มหาชนเกิดอุตสาหะเพื่อต้องการจะซื้อเอาวิสกัณฏกะนั้น
ฉะนั้น.
ปัญหาว่า กตโม เอกธมฺโม ดังนี้ เป็นกเถตุกัมยตาปุจฉา คำถาม
ที่พระองค์ตรัสถามเพื่อทรงตอบด้วยพระดำรัสว่า พุทฺธานุสฺสติ นี้ เป็นชื่อ
ของอนุสสติซึ่งเกิดขึ้นเพราะปรารภพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์. ก็พุทธา-
นุสสติกรรมฐานนั่นนั้นเป็น ๒ อย่าง คือเป็นประโยชน์แก่การทำจิตให้
ร่าเริง และเป็นประโยชน์แก่วิปัสสนา.
คำที่กล่าวนั้น เป็นอย่างไร. คือ ในขณะใดภิกษุเจริญอสุภสัญญา
ในอสุภารมณ์ จิตตุปบาทถูกกระทบกระทั่ง เอือมระอา ไม่แช่มชื่น
ไม่ไปตามวิถี ซัดส่ายไปทางโน้นทางนี้ เหมือนโคโกงฉะนั้น ในขณะนั้นอาทิผิด สระ
จิตตุปบาทนั้นละกรรมฐานเดิมเสีย แล้วระลึกถึงโลกิยคุณและโลกุตร-
คุณของพระตถาคตโดยนัยว่า อิติปิ โส ภควา ดังนี้เป็นต้น. เมื่อ
ภิกษุนั้นระลึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่ จิตตุปบาทย่อมผ่องใส ปราศจากนิวรณ์.
ภิกษุนั้นฝึกจิตนั้นอย่างนั้นแล้วจึงมนสิการกรรมฐานเดิมนั่นแหละอีก.
ถามว่า มนสิการกรรมฐานเดิมอีกอย่างไร. ตอบว่า มนสิการกรรม-
ฐานเดิม เหมือนบุรุษกำลังตัดต้นไม้ใหญ่เพื่อต้องการเอาไปทำช่อฟ้าเรือน
ยอด เมื่อคมขวานบิ่นไปเพราะเพียงตัดกิ่งและใบไม้เท่านั้น แม้เมื่อไม่อาจ
ตัดต้นไม้ใหญ่ได้ ก็ไม่ทอดธุระ ไปโรงช่างเหล็กให้ทำขวานให้คม แล้วพึง
ตัดต้นไม้ใหญ่นั้นอีกฉันใด พึงทราบข้ออุปไมยนี้ฉันนั้น ภิกษุฝึกจิตด้วย
อำนาจพุทธานุสสติอย่างนี้ได้แล้ว จึงมนสิการถึงกรรมฐานเดิมอีก ทำ
ปฐมฌานมีอสุภเป็นอารมณ์ให้เกิดขึ้น พิจารณาองค์ฌานทั้งหลาย ย่อมหยั่ง
 
๓๓/๑๘๐/๑๗๘

วันพฤหัสบดี, กันยายน 12, 2567

Wimutti

 
อริยสาวิกาผู้ใด ย่อมเจริญด้วย
ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญา
ทั้งสองฝ่าย อริยสาวิกาผู้เช่นนั้น เป็นผู้มี
ศีล เป็นอุบาสิกา ชื่อว่าย่อมยึดถือสาระ
แห่งตนในโลกนี้ไว้ได้ทีเดียว.
จบทุติยวัฑฒิสูตรที่ ๔
๕. สากัจฉสูตร
ว่าด้วยคุณสมบัติของผู้ควรสนทนา ๕ ประการ
[๖๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ
ย่อมเป็นผู้ควรสนทนาของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลด้วยตน
เอง และเป็นผู้พยากรณ์ปัญหาที่มาในกถาปรารภสีลสัมปทาได้ ๑ ย่อมเป็นผู้
ถึงพร้อมด้วยสมาธิด้วยตนเอง และเป็นผู้พยากรณ์ปัญหาที่มาในกถาปรารภ
สมาธิสัมปทาได้ ๑ ย่อมเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาด้วยตนเอง และเป็นผู้
พยากรณ์ปัญหาที่มาในกถาปรารภปัญญาสัมปทาได้ ๑ ย่อมเป็นผู้ถึงพร้อมด้วย
วิมุตติด้วยตนเอง และเป็นผู้พยากรณ์ปัญหาที่มาในกถาปรารภวิมุตติสัมปทา
ได้ ๑ ย่อมเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติญาณทัสสนะด้วยตนเอง และเป็นผู้
พยากรณ์ปัญหาที่มาในกถาปรารภวิมุตติอาทิผิด อักขระญาณทัสสนสัมปทาได้ ๑ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ควรสนทนา
ของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย.
จบสากัจฉสูตรที่ ๕
 
๓๖/๖๕/๑๕๕

วันพุธ, กันยายน 11, 2567

Ong

 
แม้ครั้งที่สาม ความมืดหายไป แสงสว่างได้ปรากฏแก่อนาถบิณฑิก-
คหบดี ความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้าอันใดได้มีแล้ว
อันนั้นได้สงบแล้ว จึงอนาถบิณฑิกคหบดีเดินเข้าไปยังสีตวันแล้ว.
[๒๔๘] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลุกขึ้นจงกรมในที่แจ้ง ณ
เวลาปัจจุสสมัยแห่งราตรี ได้ทอดพระเนตรเห็นอนาถบิณฑิกคหบดีนั้นเดินมา
แต่ไกลเทียว ครั้นแล้วเสด็จลงจากที่จงกรมประทับนั่งเหนืออาสนะที่ปูลาดไว้
ครั้นแล้วได้ตรัสกะอนาถบิณฑิกคหบดีว่า มาเถิดสุทัตตะ ทันใดนั้น อนาถ-
บิณฑิกคหบดี เบิกบานใจ ดีใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกชื่อเรา แล้ว
เข้าไปเฝ้าซบเศียรลงแทบพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลถามว่า พระองค์
ประทับสำราญ หรือ พระพุทธเจ้าข้า.
[๒๔๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบโดยคาถา ว่าดังนี้ :-
พราหมณ์ผู้ดับทุกข์ได้แล้ว ย่อมอยู่
เป็นสุขแท้ทุกเวลา ผู้ใดไม่ติดในกาม มีใจ
เย็น ไม่มีอุปธิ ตัดความเกี่ยวข้องทุกอย่าง
ได้แล้ว บรรเทาความกระวนระวายในใจ
ถึงความสงบแห่งจิตเป็นผู้สงบระงับแล้ว
ย่อมอยู่เป็นสุข.
[๒๕๐] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุปุพพิกถาแก่อนาถ
บิณฑิกคหบดี คือ บรรยายถึงทาน ศีล สวรรค์ อาทีนพ ความต่ำทราม
ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย แล้วทรงประกาศอานิสงส์ในการออกจากกาม
ขณะที่พระองค์อาทิผิด อักขระทรงทราบว่า อนาถบิณฑิกคหบดีมีจิตควรแก่การงาน มีจิตอ่อน
 
๙/๒๕๐/๑๒๕

คลังบทความของบล็อก